Image
Image

“ภิกษุทั้งหลาย นั่นโคนไม้ 
นั่นเรือนว่าง เธอทั้งหลาย
จงเพ่งพินิจ อย่าประมาท 
อย่าได้เป็นผู้มีความเดือดร้อน
ในภายหลัง นี้เป็นคําพรํ่าสอน
ของเราแก่เธอทั้งหลาย”

   พุทธพจน์

Image
Image
Image

วัตรปฏิบัติพระป่า แม้ในวันงานบุญใหญ่ที่ญาติโยมนำภัตตาหารมาถวายที่วัดมากมาย แต่พระวัดป่ายังออกบิณฑบาตเป็นวัตร เวลาฉันจะรวมทุกอย่างลงในบาตรและฉันในบาตรเดียว

“การอดอาหารนี่อาตมาอดไม่ใช่เพื่อฆ่าตัวเองนะ อดเพื่อฆ่ากิเลส” พระอาจารย์มหาบัวอรรถาธิบายธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติตามแนวทางทรมานกิเลสของพระป่า “จงเอาให้กิเลสเสียนํ้าตาบ้างสิ ที่เป็นมามีแต่เราเสียนํ้าตา...”

Image

ข้อกติกาสงฆ์ในสำนักพระกัมมัฏฐาน ข้อหนึ่งว่า เมื่อพระอุปัชฌาย์หรือพระอาจารย์กลับจากบิณฑบาต สัทธิวิหาริก (ลูกศิษย์ ผู้อยู่ด้วย ผู้ได้รับอุปสมบทจากพระอุปัชฌาย์รูปใด ก็เป็นสัทธิวิหาริกของรูปนั้น) ต้องคอยรับผ้าสังฆาฏิ และล้างเท้า เช็ดเท้า ก่อนขึ้นศาลาฉัน ซึ่งพระวัดป่ายังถือปฏิบัติ

คามวาสี อรัญวาสี
ล้วนคือเถรวาท

พระป่าในมโนนึกของสาธุชนทั่วไป มักเกี่ยวโยงอยู่กับความเคร่ง ขลัง น่าเลื่อมใส รวมถึงนัยของความคาดหวัง ศรัทธา และพึ่งพามรรคผลในทางธรรม

ส่วนคนที่ยังไม่แจ่มชัดก็มักถามไถ่กันไปมาว่า พระป่าคือใคร อย่างไรคือพระป่า

พระป่าเกี่ยวพันอยู่กับวัดป่า วิปัสสนา กัมมัฏฐาน ธุดงค์ ธรรมยุต อรัญวาสี

ทั้งกล่าวกันอย่างถึงที่สุดว่า พระป่าคือพระยุคแรกสุดนับแต่มีพระสงฆ์กำเนิดขึ้นในพระพุทธศาสนา พระสงฆ์สมัยพุทธกาลนับเป็นพระป่าทั้งสิ้น เป็นผู้ละจากบ้านหักคานเรือน แสวงความวิเวกอยู่ในเถื่อนถ้ำลำเนาไพร

ทางดำเนินของพุทธสาวกยุคต้นล้วนอยู่บนเส้นทางกลางไพรตามพุทธโอวาทว่า “ภิกษุทั้งหลาย นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง เธอทั้งหลายจงเพ่งพินิจ อย่าประมาท อย่าได้เป็นผู้มีความเดือดร้อนในภายหลัง นี้เป็นคำพร่ำสอนของเราแก่เธอทั้งหลาย”

กระทั่งเสนาสนะอารามเมื่อครั้งพุทธกาลก็ล้วนเป็นวัดป่าที่ตั้งอยู่ห่างออกจากบ้านเมืองชุมชน

ครั้นล่วงกาลผ่านยุคสมัย มีวัดตั้งขึ้นในละแวก “บ้าน” ด้วย จึงเกิดคำว่าคามวาสีคู่กับอรัญวาสี ที่กลายเป็นสายสงฆ์ในสองลักษณะสืบต่อมา

Image

ประติมากรรมเหนือสันหลังคาหอฉัน วัดเลียบ อุบลราชธานี  วัดแห่งแรกที่พระอาจารย์เสาร์ เป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี ๒๔๓๕

พระอรัญวาสีที่พำนักอยู่ในเสนาสนะป่า วัดป่า หรืออรัญญิกาวาส สมาทานการปฏิบัติสมาธิกัมมัฏฐาน หรือการภาวนา ซึ่งเป็นคำสอนภาคปฏิบัติในพุทธศาสนา เพื่อตัดกิเลสดับทุกข์ ตามลักษณะของภิกษุในพุทธศาสนามาแต่ดั้งเดิมเรียกฝ่ายวิปัสสนาธุระ หรือต่อมามักเรียกว่าพระป่า หรือพระกัมมัฏฐาน

พระคามวาสีพำนักอยู่ในวัดละแวกบ้าน สมาทาน การเล่าเรียนพระคัมภีร์ เพื่อให้การอบรมสั่งสอนธรรมแก่สาธุชนเรียกว่าฝ่ายคันถธุระ หรือพระบ้าน

นับแต่พุทธศาสนาแผ่เข้ามาในสยาม การปกครองคณะสงฆ์ก็แยกเป็นสองสาย คณะคามวาสีและคณะอรัญวาสีมาตั้งแต่ต้น มีพระสังฆราชองค์เดียว มีสังฆนายกสองฝ่าย ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเรียกฝ่ายซ้าย-ฝ่ายขวา ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เปลี่ยนเป็นคณะเหนือ คณะใต้

Image

0