สมัยกรุงธนบุรี
หัวเมืองลาวเข้ามาอยู่ใต้ปกครองของสยาม
สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
หัวเมืองลาวเป็นเมืองประเทศราช ชายพระราชอาณาเขต
สมัยรัชกาลที่ ๓
หัวเมืองลาวจัดเป็นหัวเมืองชั้นนอก
๒๔๑๐
สยามเสียเขมรส่วนนอกให้ฝรั่งเศสและมีการทำสัญญาปักปันเขตแดน
๒๔๒๘
ออกประกาศยกเลิกการตั้งเมืองใหม่ในพื้นที่หัวเมืองลาว
“การเป็นผู้นำนั้นต้องให้รองเท้าขาดก่อนกางเกง ต้องออกตรวจตรา
จนรองเท้าขาดไม่ใช่นั่งเก้าอี้ จนกางเกงขาด”
แนวสายโทรเลขที่เชื่อมโยงระหว่างเมืองในอีสานและกับกรุงเทพฯ ได้ทำให้เส้นทางคมนาคมคู่ขนานไปด้วย การเสด็จตรวจราชการอีสานของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ เมื่อปี ๒๔๔๙ ส่วนใหญ่เสด็จไปตามเส้นทางเหล่านี้ โดยการขี่ม้าและนั่งระแทะ
ภาพความเป็นอยู่ของผู้คน บ้านเมืองอีสานเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อนที่เผยแพร่อ้างอิงกันอยู่ทุกวันนี้จำนวนหนึ่งเป็นภาพถ่ายเมื่อคราวพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสด็จตรวจราชการอีสานเมื่อปี ๒๔๔๙ ซึ่งกล่าวกันว่าพระองค์เป็นเจ้านายสยามพระองค์แรกที่เสด็จไปทั่วท้องถิ่นอีสาน
ด้วยแต่โบราณกาลก่อนนั้นกษัตริย์หรือเจ้านายจะเสด็จออกจากพระนครก็เมื่อมีเหตุการณ์หรือเป็นวาระสำคัญ อย่างการศึกสงคราม หรือการบุญตามพระราชประเพณี
แต่ในสมัยเจ้าฟ้ามงกุฎผนวชเป็นพระวชิรญาณภิกขุได้เสด็จธุดงค์ไปทางหัวเมืองเหนือเมื่อปี ๒๓๗๖ ครั้นขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ ๔ พระองค์ก็เสด็จประพาสหัวเมือง ทอดพระเนตรสภาพบ้านเมืองและให้ราษฎรได้เข้าเฝ้าฯ กระทั่งในการเสด็จฯ ครั้งสุดท้ายที่หว้ากอ ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ เมื่อยังเยาว์ขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าดิศวรกุมารได้ตามเสด็จด้วย ดังปรากฏในงานนิพนธ์ของ ม.จ. หญิงพูนพิศมัย ดิศกุล พระธิดาองค์ที่ ๗
“ได้ตามเสด็จไปหว้ากอด้วย และกลับมาประชวรเป็นไข้ป่าพร้อมกับคุณย่าเหมือนกัน แต่หายทันขึ้นไปสรงน้ำพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระชันษา ๖ เข้า ๗ ปี ทรงเล่าว่าจำได้ดีว่าขึ้นไปทรงกันแสง”
กระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ก็โปรดเสด็จประพาสหัวเมืองต่าง ๆ ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ คงจะทรงได้รับแบบอย่างและแนวพระราชดำริจากทั้งสองพระองค์ในการเสด็จตรวจราชการหัวเมืองเมื่อขึ้นดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ดังที่มีพระนิพนธ์ว่า
“ถ้าผู้ทำราชการได้เที่ยวเตร่ ได้รู้เห็นภูมิลำเนาบ้านเมือง และความศุขทุกข์ของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ก็เหมือนหนึ่งมีทุนในทางที่จะดำริห์ตริตรองราชการอันควรแก่หน้าที่ตน”
ทั้งทรงมีความเชื่อมั่นที่เป็นเหมือนคำพังเพยว่า
“การเป็นผู้นำนั้นต้องให้รองเท้าขาดก่อนกางเกง” ในความหมาย “ต้องออกตรวจตราจนรองเท้าขาด ไม่ใช่นั่งเก้าอี้จนกางเกงขาด เพราะหลักโบราณก็มีอยู่ว่า จงคิด จงสั่ง จงตรวจ”
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ในห้องทำงานที่ทำการกระทรวงมหาดไทย ภายในพระบรมมหาราชวัง พระองค์เป็นเสนาบดีคนแรกตั้งแต่ปี ๒๔๓๕ จนถึงปี ๒๔๕๘
กล่าวกันว่าพระองค์เป็นเจ้านายจากกรุงเทพฯ พระองค์แรกที่ชาวบ้านอีสานได้เข้าเฝ้าเห็นตัวจริง ด้วยธรรมเนียมโบราณแต่เดิมกษัตริย์หรือเจ้านายจะไม่ค่อยเสด็จออกจากพระนคร
ระแทะ หรือเกวียนมีซุ้มหลังคา พาหนะที่พระองค์มักใช้เมื่อเสด็จตอนกลางคืนในหน้าร้อน