คำบรรยายภาพโดยกรมศิลปากรระบุว่า ชาวโคราชหาบเสบียงไปมณฑลอุดร เป็นภาพจริงตามคำเล่าของผู้เฒ่าชาวขอนแก่นคนหนึ่งที่บอกว่าเขาหาบไก่เดินทางราว ๑๔๐ กิโลเมตรจากบ้านมูลนาคมาขายที่ตลาดเมืองนครราชสีมา ตัวละ ๒๕ สตางค์ เพื่อหาเงินเสียภาษีให้ราชการ

Image

Image

จากมณฑลนครราชสีมาหรือหัวเมืองลาวกลางในอดีตมีทางเกวียนเชื่อมต่อกับมณฑลลาวพวนหรือมณฑลอุดรมาแต่ดั้งเดิมแล้ว ต่อมาเมื่อมีการวางแนวสายโทรเลขก็คงจะเลียบเคียงไปตามเส้นทางโบราณเหล่านั้น

จากเรือนประทับแรมแสนสุขในตัวเมืองโคราช คณะตรวจราชการใช้เวลา ๔ วันเดินตามแนวสายโทรเลขจากมณฑลนครราชสีมาเข้าสู่เขตมณฑลอุดรที่เมืองชนบท

“พลับพลาที่พักที่มณฑลอุดรทำรับ คือที่เมืองชนบท เมืองขอนแก่น แลเมืองหนองคาย รวม ๓ แห่ง ที่ได้ไปประทับมาแล้วนั้น เขาทำด้วยเครื่องไม้จริง จะใช้เปนที่ว่าการต่อไปด้วย”

รายงานการตรวจราชการลงวันที่ ๗ มกราคม ๒๔๔๙ ที่กลายเป็นบันทึกประวัติศาสตร์และพัฒนาการด้านการปกครองของมหาดไทยในยุคบุกเบิกไปด้วย ทั้งยังบันทึกสภาพบ้านเมือง ความเป็นอยู่ อาชีพของผู้คนท้องถิ่น

ที่เมืองชนบท 
“พึ่งตัดไปขึ้นมณฑลอุดรเมื่อตั้งข้าหลวงใหญ่ประจำมณฑลอุดร  ราษฎรเมืองชนบทมีชาวโคราชกับชาวอุดรเกือบจะเท่า ๆ กัน รวมทั้งสิ้น ๓๕,๙๐๖ คน การทำมาหาเลี้ยงชีพ ทำนาอย่าง ๑ ทำไร่ฝ้ายอย่าง ๑ ไร่อ้อยอย่าง ๑ ทำเกลืออย่าง ๑ ผสมโคอย่าง ๑ ทำไหมอย่าง ๑ ไหมเดิมทำแต่พอใช้ ในบ้านเมืองขายกันราคาชั่งละ ๓ บาท ตั้งแต่ ๒ ปีมานี้ ไหมได้ออกเปนสินค้าทางเมืองนครราชสิมาบ้าง ราคาขึ้นเปนชั่งละ ๗ บาท ๓๒ อัฐ”

๑ ชั่ง เท่ากับ ๑.๒ กิโลกรัม
เวลานั้น ๑ บาท เท่ากับ ๖๔ อัฐ

ส่วนที่เมืองไผทสงฆ์เป็นเมืองโบราณริมฝั่งลุ่มแม่น้ำมูล “มีเนินดินเป็นกำแพงและมีคูสองชั้น จำนวนพลเมือง รวม ๒๒๘,๐๐๐ การทำมาหาเลี้ยงชีพ มีการทำนา ทำไร่ผัก ไร่ยาสูบและจับสัตว์น้ำพอเลี้ยงกันเอง และมีการทำไหมและหุงเกลือจำหน่ายขายไปที่อื่น ๆ บ้าง บ้านราษฎรหมู่หนึ่ง ๆ มีรั้วไม้จริงบ้าง ไม้ไผ่บ้างเป็นเขตหมู่บ้าน”

เป็นยุคที่บ้านเมืองเริ่มมีถนนและสะพาน

สภาพบ้านเมืองที่ได้เห็นตั้งแต่ย่านแขวงเมืองขอนแก่น 
“สพานใหญ่ข้ามลำน้ำพาชี เปนสพานไม้แก่นมีพนักสองข้าง”

ที่เมืองหนองคาย “ทางเกวียนที่เปนทางสำคัญในการค้าขาย แลเขาอ้างเหตุที่จะรับเสด็จซ่อมทาง แลทำสพานอย่างถาวรข้ามลำน้ำแทบทั่วทั้งมณฑล แลได้ทรงเห็นสพานใหญ่ ๆ หลายสพาน กับทั้งที่พักตามระยะทางก็ทำด้วยเครื่องไม้จริงสำหรับจะได้เอาไว้เปนศาลาสำหรับอาไศรยต่อไปโดยมาก เพราะเขาหาไม้ได้ง่ายใช้แรงราษฎรแลเรี่ยรายเงินพวกพ่อค้าทำสำเร็จได้ ตลอดจนทางโทรเลขก็ถางเตียนซ่อมแซมไว้ไม่มีที่ติ ถ้าจะคิดเปนราคาเงินที่ต้องซื้อหรือจ้าง ทำการถาวรที่เขาทำครั้งนี้ จะเปนเงินราวสี่ห้าหมื่นบาท”

Image

เรือนประทับแรมที่ใช้รับเสด็จ ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ทรงพระนิพนธ์ว่า บางส่วนเขาทำด้วยเครื่องไม้จริง จะใช้เป็นที่ว่าการต่อไปด้วย

Image

0