ความรักหรือความไม่รู้
ที่ทำร้ายสัตว์ป่า
เรื่อง : จินตพร จันทร์แต่งผล
ภาพ : ณัฐฐินี ศิริจันทร์
Image
สัตวแพทย์ประจำคลินิกสัตว์ป่า กำลังเล่นกับลูกหมีควายเพื่อช่วยให้มันผ่อนคลาย ก่อนเริ่มขนย้ายไปยังสถานีเพาะเลี้ยง
หลายสิ่งบนโลกกำลังพัฒนา 
แต่จิตใจมนุษย์กลับอ่อนแอลงทุกที
หลายครั้งมนุษย์หลงไปตามสิ่งยั่วยุต่าง ๆ ทำร้ายสัตว์ที่อาศัยอยู่ร่วมกันบนโลกอย่างไม่น่าให้อภัย สำหรับคนที่เลือกทำอาชีพล่าและค้าสัตว์ป่า เงินคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดใจให้เขาเลือกทำอาชีพนี้
ปัจจุบันการลักลอบค้าสัตว์ป่า
มีมากในแถบเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้ ได้แก่ ไทย ลาว 
และเวียดนาม ตามรายงาน
ของหน่วยงานในสังกัด
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า 
และพันธุ์พืช ตั้งแต่ปี ๒๕๕๓-๒๕๖๑ 
พบกรณีที่เกี่ยวข้องกับ
สัตว์ป่าเกิดขึ้นรวม ๕,๒๓๐ คดี 
มีผู้กระทำความผิด ๕,๘๙๐ คน 
สัตว์ป่าของกลาง
จำนวน ๑๑๓,๒๙๒ ตัว และ
ซากสัตว์ป่าที่ตายจากคดีเหล่านี้
ถึง ๑๙,๗๓๘ ซาก
และนี่คือตัวอย่างสัตว์ป่าสี่ตัว
ที่ได้รับผลกระทบจาก
การกระทำของมนุษย์

ลูกหมีควาย
“ลูกหมีวัยนี้ต้องอยู่ติดแม่ สัญชาตญาณของแม่หมีไม่มีทางทิ้งลูกแน่นอน แม่หมีส่วนใหญ่จะซ่อนลูกไว้ในถ้ำหรือโพรงไม้ ถ้าต้องออกไปหาอาหารก็จะไปไม่ไกล และกว่าจะพาลูกหมีออกจากที่ซ่อนก็เป็นเดือน ออกมาลูกหมีจะเดินไม่ห่างจะอยู่ใกล้ตีนแม่ตลอด การเอาลูกหมีออกจากแม่หมีแบบนี้ได้ เกือบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แม่หมีตัวนั้นต้องตาย  ‘ไจโกะ’ วันแรกที่มาก็ดูแข็งแรงดี แสดงให้เห็นว่าได้รับภูมิคุ้มกันที่เพียงพอจากแม่มาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง”

สุนิตา วิงวอน หรือหมอนก สัตวแพทย์ประจำคลินิกสัตว์ป่า ซึ่งตั้งอยู่ภายในกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพมหา-นคร เล่าถึงความเป็นมาของลูกหมี

หมีควายหรือหมีดำเอเชีย เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๕๓ หมีควายชอบอาศัยในป่าเขา แต่พบในที่ราบบ้าง กระจายพันธุ์ในแถบเอเชียตะวันออก
ฉากหน้าที่เห็นคือความน่ารักของลูกหมีควาย แต่ที่มาของมันไม่สวยงามนัก การพรากลูกจากอกแม่ นำสัตว์ป่าออกจากป่าที่เป็นบ้านหลังเดียวของมันเพื่อนำมาเป็นสินค้าซื้อขายกันในปัจจุบันนั้น…คนขายได้เงิน คนซื้อได้เลี้ยง แล้วสัตว์ล่ะได้อะไร ?

เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๒  มีรายงานข่าวการล่อซื้อสัตว์ป่าทางอินเทอร์เน็ต โดยพ่อค้าสัตว์ป่าออนไลน์ลงประกาศขายลูกหมีควาย  เจ้าลูกหมีควายตัวนั้นก็คือ “ไจโกะ” ซึ่งรอดพ้นเงื้อมมือมนุษย์ที่จับมันมาเป็นสินค้าขายให้แก่คนที่อยากเลี้ยงหมี  มันได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการเหยี่ยวดง หน่วยงานของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช วางแผนล่อซื้อมันจากพ่อค้าสัตว์ป่าออนไลน์ และนำมาส่งให้คลินิกสัตว์ป่าเพื่อเป็นสถานที่พักพิงหรือหลบภัยชั่วคราว

ระยะเวลากว่า ๑ เดือนทำให้ลูกหมีควายตัวนี้ โตขึ้นจากเดิมเกือบเท่าตัว แต่ก็ยังมีนิสัยเหมือนเด็ก มันปีนป่าย ห้อยโหนกิ่งไม้ แล้วลงนอนกลิ้งไปมาอยู่ในกะละมังน้ำเล็ก ๆ ภายในกรง  คลินิกสัตว์ป่าอาจเปรียบเสมือนบ้านหลังที่ ๒ ของไจโกะ ซึ่งมันเองก็คงไม่รู้ว่าทำไมต้องมาอยู่ที่นี่  แต่บ้านหลังนี้ไม่สามารถเป็นที่พักพิงของไจโกะไปได้ตลอด เพราะยังมีสัตว์ป่าอีกหลายตัวที่จะถูกส่งมาพักพิงชั่วคราว

ถึงเวลาแล้วที่ไจโกะต้องถูกส่งตัวไปยังสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าบางละมุง จังหวัดชลบุรี ซึ่งหมอนกขนานนามว่าเป็น “อาณาจักรของหมี”
Image
เจ้าหน้าที่กำลังขนย้าย “ไจโกะ” ลูกหมีควายขึ้นรถไปยังสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าบางละมุง
“เราเคยทำงานกับหมีมาก่อน  พอรู้พฤติกรรมที่เขาแสดงออก ลูกหมีก็ ไม่ต่างจากลูกคน หรือลูกสัตว์ชนิดอื่น ๆนอกจากอาหารที่เขาต้องกินทุกวัน  เขาก็ต้องการความอบอุ่น ความรัก  และการปกป้องดูแล”
หมอนก ผู้ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะเป็นหมอสัตว์ป่า ผู้ดูแลไจโกะ ลูกหมีควายที่ปัจจุบันอายุ ๓ เดือนเศษ เล่าว่า

“ตอนแรกที่มาน่าจะอายุประมาณ ๒ เดือน ขนาดตัวเล็กกว่านี้ครึ่งหนึ่ง ช่วงแรก ๆ ยังมีอาการหวาดระแวง ดุตามสัญชาตญาณสัตว์ป่า หลังจากอยู่ได้ ๑ สัปดาห์ เราสังเกตถึงความเครียดของไจโกะ เลยย้ายจากกรงเล็กมาอยู่กรงใหญ่ขึ้น

“เราเคยทำงานกับหมีมาก่อน พอรู้พฤติกรรมที่เขาแสดงออก ลูกหมีก็ไม่ต่างจากลูกคน หรือลูกสัตว์ชนิดอื่น ๆ นอกจากอาหารที่เขาต้องกินทุกวัน เขาก็ต้องการความอบอุ่น ความรัก และการปกป้องดูแล”

อันที่จริงผู้ที่จะดูแลลูกหมีได้ดีที่สุดคือแม่ของมัน
Image
“ไจโกะ” ลูกหมีควาย สัตว์ป่าของกลาง
จากขบวนการลักลอบซื้อขายสัตว์ป่า

นางอาย
“นางอายตัวนี้ก่อนจะนำมาขายมันถูกตัดเขี้ยวออกเพื่อไม่ให้กัดคน เจ้าของไม่รู้ว่ามันกินอะไรได้บ้าง เลยให้กินแต่ของหวาน ฟันเลยผุจนส่งกลิ่นเหม็น สภาพที่เห็นคือรากฟันเน่า เลยต้องถอนฟันออกทั้งหมด แค่มันขยับปากเลือดก็ไหล ไม่อยากจะคิดว่ามันจะรู้สึกปวดขนาดไหน” หมอนกบอกเราด้วยความรู้สึกสงสาร

นางอายตรงหน้า
นางอาย สัตว์ป่าที่ถูกซื้อมาเลี้ยงอย่างผิดวิธีพอมันป่วยก็เลี้ยงไม่ไหว เจ้าของเลยนำมาส่งให้คลินิกสัตว์ป่ารักษา

นางอายหรือลิงลม เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ และบัญชีชนิดอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) ในบัญชีหมายเลข ๒  นางอายเป็นลิงขนาดเล็ก ขนนุ่ม สั้นและหนาเป็นปุยสีขาวนวล และมีสีน้ำตาลเข้มคาดจากหัวไปตลอดแนวสันหลัง หน้าสั้น ตากลมโต ใบหูเล็ก ออกหากินเวลากลางคืน  อาหารของมัน ได้แก่ แมลง ไข่นก และผลไม้

นางอายมีถิ่นกำเนิดอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์แล้วในธรรมชาติ  ด้วยความน่ารักจึงถูกจับไปเป็นสัตว์เลี้ยงบ่อย ๆ จัดเป็นสัตว์ป่าที่มีการลักลอบขายกันมากเป็นอันดับ ๑ ขณะบางพื้นที่จับไปทำยาบำรุงตามความเชื่อ
ที่ผ่านมามีข่าวการลักลอบค้านางอายจำนวนมาก ถูกซื้อขายทั้งในตลาดออนไลน์และแอบขายในตลาดนัดกลางกรุงเทพฯ
นางอายเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีพิษแฝงอยู่ในข้อศอกหากผสมกับน้ำลายของมัน เมื่อมันกัดคนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นเพื่อเตรียมส่งขายให้คนรักสัตว์ที่มีรสนิยมเลี้ยงสัตว์ป่าแปลก ๆ เหล่าพ่อค้าแม่ค้าจึงต้องตัดเขี้ยวหรือฟันหน้าออกทั้งซี่บนและล่างเพื่อมิให้ถูกกัดและให้ลูกค้าปลอดภัย โดยยังเหลือรากฟันอยู่  แต่หาสนใจไม่ว่านางอายจะรู้สึกเจ็บปวดขนาดไหน ซึ่งนางอายบางตัวอาจติดเชื้อจากขั้นตอนนี้ทำให้ตายได้

จากภาพถ่ายในเว็บไซต์ ขณะที่คนกำลังใช้กรรไกรตัดเล็บตัดเขี้ยวของมัน ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตของนางอายจ้องมองมนุษย์ที่อุ้มมัน เขาใช้มือขวาจับคอมันแน่นเพื่อบังคับให้อ้าปาก และใช้กรรไกรตัดเล็บตัดฟันซี่เล็ก ๆ ออกมาทีละซี่ เลือดค่อย ๆ รินไหล มันทั้งเจ็บและปวด แต่ไม่มีแม้แต่ยาชาที่จะฉีดเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด

วิธีการปกป้องตัวเองของมนุษย์แบบนี้นั้นรู้หรือไม่ว่าคือการทารุณกรรมสัตว์

หากมนุษย์อ้างว่าทำเพราะอยากเลี้ยงอยากดูแลมัน นั่นก็เป็นเหตุผลที่เห็นแก่ตัวที่สุด
“ใครกันที่อยู่ผิดที่” เต่าหับตัวนี้ได้รับบาดเจ็บจากการข้ามถนน กระดองแตก แผลเริ่มเน่า และมีตัวหนอนไช กำลังได้รับการรักษาจากสัตวแพทย์ประจำคลินิกสัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
เต่าหับ
“รักษาไปเรื่อย ๆ จนกว่ามันจะหายหรือตายจากกัน”
หมอนกเผยความตั้งใจกับการดูแลเต่าหับตัวหนึ่ง
ซึ่งได้รับบาดเจ็บ สัตว์เลื้อยคลานถูกนำมาจากต่างแดนเดินหลงทางอยู่บนถนนกลางกรุงเทพฯ ท้ายที่สุดก็หนี
ไม่พ้นอันตรายบนท้องถนน ถูกรถยนต์ทับจนกระดองแตก แต่โชคดีที่มีชาวบ้านไปพบจึงนำมาส่งให้คลินิก
สัตว์ป่า

เต่าหับเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทสัตว์เลื้อยคลานจำพวกเต่าชนิดหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ ถือเป็นสัตว์ป่าหายากที่นิยมลักลอบซื้อขายในตลาดมืด ถูกนำมาจากประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซียเข้ามายังประเทศไทยเพื่อผ่าน
ไปยังประเทศจีน บ้างก็เลี้ยงเพื่อเสริมโชคลาภ บางคน
นำมาต้มทำเป็นยาจีนช่วยบำรุงร่างกาย

คลินิกสัตว์ป่านอกจากเป็นที่พักพิงชั่วคราวของ
สัตว์ป่าในเมืองกรุงแล้ว ยามมีสัตว์บาดเจ็บที่นี่ก็คือโรงพยาบาลรักษาสัตว์ดี ๆ นั่นเอง

ตู้คอนเทนเนอร์ขนาด ๒๐ ฟุต ดูจากภายนอกอาจคิดไม่ถึงว่าด้านในจะมีอุปกรณ์และยาต่าง ๆ ที่เตรียมพร้อมไว้รักษาสัตว์อย่างเพียงพอ  ภายในอบอวลด้วยกลิ่นยา มีเตียงสำหรับทำแผลเหมือนคลินิกทั่วไป  หมอนกและผู้ช่วยช่วยกันจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับล้างแผลให้เต่าหับ อาหารที่เรียกว่า critical care เป็นอาหารเหลว
สำหรับสัตว์กินพืชโดยเฉพาะ และอุปกรณ์ทำแผล ได้แก่ น้ำเกลือ เบตาดีน สำลี กรรไกร และปลาสเตอร์ปิดแผล เมื่อทุกอย่างพร้อมก็เริ่มลงมือรักษา
เต่าหับเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทสัตว์เลื้อยคลานจำพวกเต่าชนิดหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.๒๕๓๕
หมอนกค่อย ๆ จับเต่าหับขึ้นมาดูบาดแผลกระดองแตกจากการถูกรถทับทะลุเข้าไปถึงลำตัว หมอหยิบหลอดเข็มฉีดยาขึ้นมา ฉีดน้ำเกลือที่ผสมเบตาดีนเข้าไปบริเวณลำตัวของเต่าหับเพื่อล้างแผล พอฉีดเข้าไปแล้วหนอนก็ค่อย ๆ ไต่ออกมาหมอนกใช้คีมคีบหนอนออกเพื่อไม่ให้หนอนกัดกินแผลไปมากกว่านี้

หลังจากใช้น้ำเกลือผสมเบตาดีนล้างแผลอยู่สี่ห้ารอบ หมอนกก็เปลี่ยนมาใช้แค่น้ำเกลืออย่างเดียว เพราะเบตาดีนอาจทำให้เต่าระคายเคือง

ขณะล้างแผลเต่าหับพยายามดิ้นหนี มุดหัวเข้าไปในกระดอง คล้ายเจ็บแสบไม่น้อย ต่อจากนี้ไปโคนขาหน้าซ้ายของมันคงไม่สามารถกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม เพราะส่วนที่ถูกทับมันกินเนื้อบริเวณนี้จนหลุดหลังจากล้างแผลเสร็จเรียบร้อยก็ถึงขั้นตอนให้อาหาร critical care ซึ่งมีสีเขียวลักษณะเหมือนผักบดให้เหลว โดยสอดท่อสายยางเข้าไปในปากของเต่าหับดันลงไปจนถึงกระเพาะอาหาร เรียกว่า feeding tube มีแค่วิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้มันอยู่รอดได้  แต่การให้อาหารแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ระหว่างที่หมอใช้ไซรินจ์ฉีดอาหารลงในสายท่ออาหารมันกลับทะลักออกเพราะสายท่อตัน ต่างคนต่างตกใจ หมอนกต้องใส่ท่อสายยางลงไปใหม่เพื่อให้อาหารอีกครั้ง

แท้จริงก็ไม่มีใครรู้ว่าเต่าหับตัวนี้มาจากไหน รู้เพียงมันถูกรถทับจนกระดองแตก เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับเต่ามาหลายตัวแล้ว

จะบอกว่าเป็นความผิดของเต่าที่มาเดินบนถนนอย่างนั้นหรือ

เต่าก็คือเต่า ไม่รู้หรอกว่านั่นคือถนนที่เต็มไปด้วยอันตรายหากมนุษย์รู้จักระมัดระวังสัตว์ก็คงไม่ต้องเจ็บตัว
“เพราะความไม่เข้าใจ” งูเหลือมคือตัวควบคุมประชากรหนู แต่ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงไม่เข้าใจและหวาดกลัวมันอยู่ดี
งูเหลือม
“พื้นที่เมืองในปัจจุบัน อดีตคือป่า การที่เราเจองูอยู่บริเวณบ้านหรือคอนโดมิเนียมไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะก็เป็นบ้านของงูเช่นกัน และการที่ประชาชนไม่รู้เจองูก็รีบโทร. แจ้งให้ไปจับนั้น ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ถูกหรอก จับงูมาหนูก็เต็มบ้าน สิ่งที่ประชาชนทั่วไปควรเข้าใจคือ ‘ความแฟร์’ ในพื้นที่ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ ซึ่งต่างอาศัยพึ่งพากัน” สุรศักดิ์อธิบายถึงปัญหาระหว่างงูกับคน

สุรศักดิ์ อบอุ่น หรือแอมแปร์ ช่วยปฏิบัติการวิชาการป่าไม้ ด้วยเรียนจบวนศาสตร์ สาขาการจัดการสัตว์ป่าและทุ่งหญ้า ทำให้เขาเข้าใจว่าสัตว์ป่าประเภทไหนอาศัยอยู่บริเวณใด ความรู้นี้ทำให้เขาเริ่มต้นทำงานวิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศสัตว์ป่า หรือ GIS (Geographic Information System) เป็นตำแหน่งแรกในกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มีหน้าที่เก็บสถิติ และช่วยเหลือสัตวแพทย์เวลามีสัตว์ป่าเข้ามารักษา แต่สัตว์ที่เขาเจอบ่อย ๆ ไม่ใช่สัตว์ป่าที่ได้รับบาดเจ็บ หรือสัตว์ที่ถูกลักลอบนำมาขาย แต่กลับเป็นงู สัตว์ที่เขาสนใจ

“ผมสนใจเรื่องงูตั้งแต่ตอนเรียนวนศาสตร์ เพราะไม่ค่อยมีใครสนใจ ที่จริงงูหลายพันธุ์ไม่มีพิษ บางทีหมากัดยังเจ็บกว่าอีก” สุรศักดิ์เปรียบเทียบ

งูเหลือมเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทสัตว์เลื้อยคลาน ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕

หลายคนอาจไม่รู้มาก่อนว่างูเหลือมเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองเช่นกัน ด้วยความที่มันคืองู จึงถูกมองว่าเป็นสัตว์อันตราย งูเหลือมเป็นสัตว์ไม่มีพิษ แต่เป็นสัตว์ที่ปากมีขนาดใหญ่และฟันแหลมคม ขากรรไกรแข็งแรง สามารถถอดขากรรไกรเพื่อกลืนเหยื่อที่มีขนาดใหญ่ ทำให้เมื่อประชาชนพบเห็นงูเหลือมมักกลัวลนลาน จึงโทร. มาแจ้งให้ไปจับงูอยู่แทบทุกวัน
“จับงูมาหนูก็เต็มบ้าน 
สิ่งที่ประชาชนทั่วไป
ควรเข้าใจคือ ‘ความแฟร์’ 
ในพื้นที่ระหว่างมนุษย์
กับสัตว์” 

สุรศักดิ์ อบอุ่น
Image
จ่าสิบตำรวจภิญโญ พุกภิญโญ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงและกู้ภัย กำลังสอนเทคนิคจับงูเห่าให้สุรศักดิ์
กรงที่ตั้งอยู่ด้านหน้าคลินิกเต็มไปด้วยงูเหลือมนอนเกยกันและเลื้อยไปมา นอกจากนี้ยังมีถุงกระสอบที่ใส่งูชนิดอื่น ๆ อีกกว่า ๑๐ ถุง แสดงให้เห็นถึงประชากรงูที่ถูกจับออกจากเมือง

พื้นที่ภาคกลางบริเวณเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เดิมเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ทำการเกษตร ปลูกผัก ปลูกข้าว และทำสวนสัตว์ที่นิยมกินพืชจึงมักเข้ามาอาศัย รวมทั้งงูก็เข้ามาอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ด้วย  หากลองสังเกตดูอาคาร บ้านเรือน และคอนโดมิเนียม ส่วนใหญ่ปลูกสร้างบนพื้นที่ที่เคยเป็นป่ารกร้าง จึงไม่ใช่เรื่องผิดที่งูจะอาศัยอยู่ในเมือง เพราะเมืองก็คือป่า บ้านของมันเช่นกัน งูเหลือมชอบกินหนู ถ้าไม่มีหนูงูก็ไม่เข้าบ้าน วิธีป้องกันงูคือทำความสะอาดที่อยู่อาศัยอยู่เสมอ

ประชากรของงูหลายชนิดจำนวนมากถูกจับมาไว้ที่นี่ สะท้อนสภาพของระบบนิเวศที่มนุษย์เป็นผู้เลือกและคัดสรร

จริงอยู่ที่ว่างูเป็นสัตว์ป่าควรนำไปปล่อยในป่า แต่ป่าก็ยังเป็นพื้นที่ของสัตว์ป่าอื่น ๆ ด้วย หากปล่อยมากไปจะส่งผลให้งูไปทำลายเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศความสมดุลของธรรมชาติป่านั้น สุดท้ายสัตว์ประจำถิ่นจะถูกงูกินสูญพันธุ์หมด

ความเจริญและการพัฒนาที่ไม่สิ้นสุด การทำลายพื้นที่ป่าเปลี่ยนเป็นสิ่งปลูกสร้าง ทำให้เมืองศิวิไลซ์ แม้มนุษย์อาจสะดวกสบายขึ้น แต่ต่อไปก็คงไม่มีพื้นที่สำหรับสัตว์ป่าในเมือง
Image
“คลินิกสัตว์ป่า” สถานที่พักฟื้นและรักษาสัตว์ป่า ยังมีการขนย้ายสัตว์ป่าหมุนเวียนเข้ามาอยู่เรื่อย ๆ  เมื่อพักฟื้นจนสภาพร่างกายสัตว์ดีขึ้นแล้วจึงส่งต่อไปยังสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าที่เหมาะสม
คลินิกสัตว์ป่า
“การที่ต้องรักษาสัตว์บาดเจ็บล้มตายทุกวันไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจ เพราะมันเป็นผลงานที่เกิดจากทุกขเวทนาของสัตว์เหล่านั้น แต่ก่อนการเกิดแก่เจ็บตายของสัตว์เป็นเรื่องที่เกิดจากธรรมชาติ แต่ปัจจุบันไม่ใช่ ปัจจัยการตายของสัตว์ป่า ๑๐ ปีให้หลังมานี้เกี่ยวข้องกับเรื่องการคุกคามสัตว์ป่าทั้งทางตรงและทางอ้อม ถึงเวลาแล้วที่มนุษย์ต้องยื่นมือเข้ามาแก้ไข”

ภัทรพล มณีอ่อน หรือหมอล็อต นายสัตวแพทย์ชำนาญการ หัวหน้าประจำคลินิกสัตว์ป่า หมอสัตว์ป่าที่เชื่อว่าสัตวแพทย์ทำอะไรได้มากกว่าการรักษา ด้วยความรู้ที่มีทำให้เขามุ่งมั่นที่จะสร้างความเข้าใจให้ประชาชนรับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นว่ามาจากฝีมือของมนุษย์

หากมนุษย์ช่วยเหลือสัตว์ป่า ธรรมชาติก็จะสามารถดำรงอยู่ให้มนุษย์ได้พึ่งพาต่อไป

คลินิกสัตว์ป่าตั้งอยู่ภายในพื้นที่ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รูปแบบของอาคารไม่ได้เหมือนตึกทั่วไป สำนักงานตั้งอยู่ภายในตู้คอนเทนเนอร์ที่เรียงกันสี่ตู้ แบ่งตามความรับผิดชอบของกลุ่มงานจัดการสุขภาพสัตว์ป่า ได้แก่ ๑. งานแก้ไข ๒. งานบริหาร ๓. งานคลินิกสัตว์ป่า และ ๔. ห้องสำหรับใช้รักษาสัตว์ ด้านบนเป็นห้องทำงานของหัวหน้าประจำคลินิกสัตว์ป่า

มองจากภายนอกคงคาดไม่ถึงว่าด้านในจะเต็มไปด้วยสัตว์ป่าหลากหลายชนิดที่สับเปลี่ยนแวะเวียนมาพักพิงชั่วคราว ไม่ว่าหมีควาย เต่า นางอาย งู นก ไก่ หรือแม้แต่นาก แม้พื้นที่ไม่กว้างมากนัก แต่ก็สามารถรองรับสัตว์ทุกอย่างได้ด้วยการบริหารจัดการกระจายสัตว์ที่ไม่มีปัญหาสุขภาพไปยังสถานีเพาะเลี้ยงที่เหมาะสมโดยเร่งด่วนอยู่เสมอ ทำให้สัตว์ที่มาไม่ต้องอยู่แบบแออัด
Image
มันคือความรักหรือความเห็นแก่ตัว” นากเล็กเล็บสั้นตัวนี้ คงจะดีกว่านี้ถ้ามันได้อยู่กับฝูง ได้แหวกว่ายในลำน้ำกว้างใหญ่ ได้อยู่บ้านที่แท้จริงของมัน
“พื้นที่นี้ไม่ถาวร แต่พวกเรามีแนวทางในการทำงานที่ถาวร” ภัทรพลบอกเราด้วยสีหน้าเชื่อมั่น

การทำงานในตู้คอนเทนเนอร์ไม่ได้มีผลทำให้ประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ลดลง ทุกคนตระหนักว่ามีภารกิจที่ต้องให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนและสัตว์ป่า

คลินิกสัตว์ป่าจึงไม่ได้เป็นสถานที่รักษาสัตว์โดยเฉพาะเหมือนคลินิกรักษาสัตว์ทั่วไป แต่เกิดขึ้นจากการเพิ่มบทบาทหน้าที่ของกลุ่มงานจัดการสุขภาพสัตว์ป่า (Wildlife Health Management and Monitoring) คือการเฝ้าระวังและการจัดการสุขภาพสัตว์ป่า และบทบาทของสัตวแพทย์สัตว์ป่าคือการจัดการและเฝ้าระวังเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายกับสัตว์ป่า

สำหรับที่นี่การรักษาถือเป็นภารกิจสุดท้ายที่ทางคลินิกต้องช่วยรักษาสัตว์ให้ดีที่สุด
ความรัก
หรือความไม่รู้

เมื่อคิดจะรักก็ต้องมีความรู้ เพราะการเลี้ยงสัตว์ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง ไม่ใช่เพียงอาหาร ที่อยู่ ความรัก แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง ความเข้าใจในพฤติกรรมสัตว์ และความพร้อมในด้านต่าง ๆ ทั้งผู้เลี้ยงและสภาพแวดล้อมที่ให้สัตว์อยู่อาศัย

ลูกสัตว์ตอนมาแรก ๆ ก็น่ารัก แต่พอเลี้ยงไปเรื่อย ๆ มันโตขึ้น กินมากขึ้น สัตว์บางตัวพอโตก็มีกลิ่นตัวแรงขึ้น ต้องยอมรับให้ได้ก่อนจะนำมาเลี้ยง ไม่ใช่แค่เพียงสัตว์ป่า แต่สัตว์ทั่วไปก็เช่นกัน ต้องใช้ความเข้าใจและใส่ใจถ้าคิดจะเลี้ยง

“พวกที่ชอบล่าสัตว์ป่าและพวกชอบกินเนื้อสัตว์ป่า ผมขอเถอะ พวกที่ชอบซื้อสัตว์ป่ามาเลี้ยงก็เช่นกัน ธรรมชาติเขาเลี้ยงได้ดีกว่าอยู่แล้ว” คำพูดของ สืบ นาคะ-เสถียร อดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี ผู้ล่วงลับ
“เป็นสัตว์ป่าจึงมีสัญชาตญาณ” นกเค้ากู่ที่ได้รับแจ้งให้ไปรับจากชาวบ้าน กำลังกางปีกขู่ด้วยสัญชาตญาณระวังภัย
“สัตว์ป่าถือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินที่เคลื่อนที่ได้” วิรัตน์ เพ็ชรตะกั่ว หรือพี่รัตน์ นักวิชาการสัตวบาลประจำคลินิกสัตว์ป่า ให้ความเห็นกับเรา  ยิ่งคนในสังคมให้ความสำคัญกับสัตว์ป่ามากขึ้นเท่าไรยิ่งเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อมที่สัตว์ป่านั้นจะตอบแทนกลับคืนแก่มนุษย์

ท้ายที่สุดแล้วภารกิจการช่วยเหลือสัตว์ป่านั้นไม่ใช่แค่หน้าที่ของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า สัตวแพทย์ หรือนักวิชาการป่าไม้แต่คือหน้าที่ของประชาชนทุกคน

“ไหนบอกว่ารักสัตว์ แค่นี้ก็ไล่มันละ หนูก็รักแต่สัตว์ที่มันน่ารัก แล้วสัตว์ที่ไม่น่ารักล่ะก็ไม่รักมันอย่างนั้นเหรอ”

ประโยคสั้น ๆ ของคนที่เข้ามาช่วยจับลูกเขียดตัวสีเขียว ๆ ในเต็นท์นอนของเราบนดอยอ่างขางช่วงปลายปี ๒๕๖๑ ย้อนกลับมาทำให้เราหวนคิด

คำว่า “คนรักสัตว์” ถึงตอนนี้เราคงไม่กล้าพูดได้เต็มปาก
แต่สิ่งที่เราทำได้คือ 
ไม่สนับสนุนการล่า ฆ่า เลี้ยง 
และกินสัตว์ป่า

ขอบคุณผู้ให้สัมภาษณ์
ภัทรพล มณีอ่อน 
นายสัตวแพทย์ชำนาญการ 
หัวหน้าประจำคลินิกสัตว์ป่า

สุนิตา วิงวอน 
สัตวแพทย์ประจำคลินิกสัตว์ป่า

สุรศักดิ์ อบอุ่น 
ช่วยปฏิบัติงานวิชาการป่าไม้
ประจำคลินิกสัตว์ป่า

วิรัตน์ เพ็ชรตะกั่ว 
นักวิชาการสัตวบาลประจำคลินิกสัตว์ป่า

ขอบคุณสถานที่
คลินิกสัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

Image