Image
Image

รัชกาลที่ ๖ ในพระราชพิธี
บรมราชาภิเษกสมโภช ปี ๒๔๕๔

Image
Image

รัชกาลที่ ๖ ฉลองพระองค์
เครื่องแบบทหารเรือ

Image

ประวัติต้นรัชกาลที่ ๖ พระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ ๖ ระบุว่า ยุค “หัวเลี้ยวหัวต่อ” เริ่มมาตั้งแต่ปี ๒๔๕๓ ช่วงสุดท้ายของรัชกาลที่ ๕ ด้วยถึงแม้พระองค์จะอยู่ในฐานะรัชทายาท แต่ก็ทรงพบว่า “ผู้ใหญ่บางคน” แสดงตนเป็นศัตรู และบางคนก็มองว่าพระองค์ “บกพร่องในคุณสมบัติ”

ในระดับ “พี่น้อง” พระองค์ทรงมีพระราชวิจารณ์ “น้องชายเล็ก” (สมเด็จฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ) ไม่พอพระราชหฤทัยที่รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้ส่งพระอนุชาองค์นี้ไปร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระเจ้าจอร์จที่ ๕ ที่อังกฤษแทนพระองค์ แต่ในพระราชหัตถเลขาที่รัชกาลที่ ๕ มีไปถึงพระราชโอรสนั้น ทรงอธิบายว่า “พ่อก็เจ็บ ๆ ไข้ ๆ ไม่สู้มั่นคง” ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกว่า “ไม่ให้ฉันได้เถียงได้อีกต่อไป” และต้องประทับในราชอาณาจักรเผื่อเหตุอันไม่คาดคิด

ย้อนกลับไปวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๒๓ (นับตามปฏิทินเก่า) พระองค์ประสูติในฐานะพระราชโอรสลำดับที่ ๒๙ ในรัชกาลที่ ๕ กับพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี (ต่อมาสมัยรัชกาลที่ ๖ เฉลิมพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ) ทรงเป็น “เจ้าฟ้าชายพระองค์ที่ ๒” ซึ่งประสูติจากพระมเหสี

แต่เดิมทรงไม่กังวลเรื่องราชบัลลังก์ ด้วยพระเชษฐา คือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร (ในสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี) ทรงดำรงตำแหน่งอยู่แล้ว

สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนเทพทวาราวดี/เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ หรือ “ลูกโต” ของรัชกาลที่ ๕ จึงเสวยบรรทม เรียนหนังสือ กับ “เจ้าพี่เจ้าน้อง” รุ่นเดียวกัน คือ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศฯ, ทูลกระหม่อมเล็ก (ต่อมาคือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ), พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ (ต่อมาคือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์), พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ (ต่อมาคือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์), เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ (ต่อมาคือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต) อย่างไม่มีกังวล

เจ้าพี่เจ้าน้องรุ่นนี้เผชิญเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ มาด้วยกัน เมื่อฝรั่งเศสส่งเรือปืนเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยา ทอดสมอหน้าสถานกงสุลฝรั่งเศสย่านบางรัก เอาปืนจ่อพระนคร จนสยามต้องยอม “สละการอ้างสิทธิ์” ในดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง จ่ายค่าเสียหาย ๓ ล้านฟรังก์ (ร้อยละ ๑๐ ของงบประมาณแผ่นดินขณะนั้น)

ด้วย “บาดแผล” นี้ พระราชบิดาจึงทรงตัดสินพระราชหฤทัยส่งเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธฯ พระชันษา ๑๒ ปี กับพระเชษฐาต่างพระมารดาคือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสด็จไปทรงศึกษาด้านทหารเรือในยุโรปเพื่อเตรียมกลับมาควบคุมทัพเรือแทนที่ชาวตะวันตกที่ไม่อาจไว้วางใจได้

เรือรบของสยามออกไปส่งเสด็จที่สิงคโปร์ ทรงลงเรือเดินสมุทรที่นั่น เดินทางผ่านศรีลังกา คลองสุเอซ ขึ้นฝั่งที่เมืองท่าเนเปิลส์ (อิตาลี)  หลังเดินทาง ๖๙ วัน ทรงใช้ทางบกขึ้นรถไฟต่อไปยังฝรั่งเศสจนถึงอังกฤษในที่สุด เป็นครั้งแรกที่ทรงเห็นผู้คนต่างบ้านต่างเมือง ที่สำคัญคือลอนดอน สมัยนั้นเป็นศูนย์กลางจักรวรรดิที่มีอำนาจมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ที่นี่เอง พระราชภาระหนักอึ้งตกใส่บ่าของพระองค์

Image

Image