ขบวน “เดินหยุดแลนด์บริดจ์” จากชายฝั่งอันดามัน มุ่งไปคัดค้านการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ ๓ หรือ ค. ๓ ของโครงการสร้างท่าเรือน้ำลึกบริเวณแหลมอ่าวอ่าง
แลนด์บริดจ์
LAND BRIDGE
สะพานข้ามชีวิต
เรื่อง : ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล
ภาพ : ณัฐพล พันธ์พงษ์สานนท์, วิจิตต์ แซ่เฮ้ง
“ร่างกายฉันไม่ไหวหรอก แต่ใจฉันสู้และฉันจะเดินจากอ่าวอ่างไปเมืองระนองที่จัดเวที ค. ๓ ใครจะเดินกับฉันก็มา”
ไม่กี่วันก่อนจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ ๓ โครงการพัฒนาท่าเรือบริเวณแหลมอ่าวอ่าง อำเภอเมืองระนอง “มะทม” หรือ ทม สินสุวรรณ ออกเดินจากบ้านห้วยปลิงไปยังศาลากลางจังหวัดระนองเพื่อแสดงออกถึงการคัดค้านโครงการนี้
มะทมเป็นคนไทยพลัดถิ่นอายุ ๖๗ ปี ได้รับสัญชาติและบัตรประชาชนเมื่อ ๒๐ ปีก่อน ทำประมงพื้นบ้านอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ริมอ่าวอ่าง
การถมทะเลเพื่อสร้างท่าเรือน้ำลึกเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (Southern Economic Corridor : SEC) ที่มีโครงการแลนด์บริดจ์ (Land Bridge) เป็นตัวชูโรงกำหนดให้สร้างท่าเรือน้ำลึกนอกชายฝั่งจังหวัดระนองและชุมพร ทางหลวงพิเศษขนาดหกช่องจราจร พร้อมทางรถไฟ เชื่อมท่าเรือทั้งสองฝั่งจากอันดามันไปยังอ่าวไทย
เฉพาะท่าเรือน้ำลึกบริเวณแหลมอ่าวอ่าง--บ้านของมะทม ต้องถมทะเล ๖,๙๗๕ ไร่ ใหญ่กว่าเกาะหลีเป๊ะ ๓.๔ เท่า
“ที่ตั้งท่าเรืออยู่กลางอ่าวอ่าง ทับดอนตาแพ้วซึ่งอุดมสมบูรณ์มาก เป็นพื้นที่ทำกินของชาวบ้านมาหลายชั่วอายุคน ฉันไม่รู้จะพึ่งใคร เลยมาบอกกล่าวหน้าหลุมศพของโต๊ะหยีสีมบนเกาะสนขอให้ช่วยดูแลลูกหลาน ขอให้โครงการถูกยกเลิก”
หญิงมุสลิมบอก ก่อนออกเดินตามทางเล็ก ๆ มุ่งสู่เมืองเบื้องหน้า
ในช่วงต้น มะทมเดินนำหน้าผู้คนไปบนเส้นทางที่แวดล้อมด้วยผืนป่าดิบภาคใต้
ธงเขียวถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ต้านโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่จะส่งผลกระทบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และทรัพยากรอย่างรุนแรง รวมทั้งขาดการรับฟังความคิดเห็นและเก็บข้อมูลอย่างรอบด้าน
อภิมหาโปรเจกต์
แห่งศตวรรษ
จากบ้านห้วยปลิงริมอ่าวอ่างไปศาลากลางจังหวัดระนองเป็นระยะทางประมาณ ๔๕ กิโลเมตร มะทมต้องเดินผ่านป่าชายเลนเข้าไปในเขตเมือง
ระยะทางไม่ถึงครึ่งเมื่อเทียบกับ ๑๐๙ กิโลเมตรของโครงการแลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง ที่จะทอดผ่านคาบสมุทรภาคใต้แต่ก้าวย่างของมะทมมีความหมาย
หลังจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ ๓ หรือ ค. ๓ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา จะปรับแก้รายงานอีเอชไอเอเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการตัดสินใจ (decision making) โดยส่งร่างรายงานให้หน่วยงานต่าง ๆ พิจารณา ได้แก่ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.), คณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.), คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี ตามลำดับ
แลนด์บริดจ์มีที่มาจากฐานคิดเรื่องความต้องการเชื่อมสองฝั่งทะเลภาคใต้ ร่นระยะทางเดินเรือสินค้าจากมหาสมุทรอินเดียและภูมิภาคตะวันออกกลาง ไปยังทะเลจีนใต้และประเทศต่าง ๆ แถบมหาสมุทรแปซิฟิก โดยไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกาตอนล่างของมาเลเซีย เอกสารประชาสัมพันธ์โครงการของ สนข. ระบุว่า “ปัจจุบันการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดียต้องขนส่งผ่านช่องแคบมะละกาซึ่งมีความหนาแน่นคับคั่งประมาณ ๘๕,๐๐๐ ลำต่อปี และมีตู้สินค้าผ่านท่าเรือในช่องแคบมะละกาประมาณ ๗๐.๔ ล้าน TEU๑/ปี และคาดว่าจะเต็มศักยภาพในปี ๒๕๗๓ โดยเฉลี่ยตู้สินค้าจะใช้เวลาในการเดินทางและขนถ่ายสินค้าข้ามช่องแคบมะละกาประมาณ ๙ วัน จากความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ของไทยที่ตั้งอยู่ใจกลางคาบสมุทรอินโดจีน ทำให้ไทยเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการผลิตและการคมนาคมขนส่งของเอเชีย ประเทศไทยจึงมีนโยบายสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และเพิ่มศักยภาพทางการค้าของประเทศ ตามยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ”
๑ TEU คือหน่วยนับตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ขนาดความยาว ๒๐ ฟุต ซึ่งเทียบเท่ากับ 1 TEU
พื้นที่รอบ ๆ แลนด์บริดจ์ฝั่งระนองเป็นเขตอนุรักษ์ที่เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ...จะเอาแลนด์บริดจ์หรือมรดกโลกยังคงเป็นข้อกังขา
แนวคิดคล้ายกันนี้มีมานานแล้ว แต่รูปแบบวิธีการต่างกันตามบริบทของยุคสมัย สืบสาวย้อนความไปได้ไกลถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ครองราชย์ระหว่างปี ๒๑๙๙-๒๒๓๑) และอีกหลายยุคต่อมาก็ยังมีความพยายามรื้อฟื้นแนวคิดเรื่องการขุดคลองเชื่อมสองฝั่งทะเล
ยกตัวอย่างแนวคิดขุด “คลองกระ” หรือ “คลองไทย” ช่วงทศวรรษ ๒๔๗๐ เสนอโดย ปรีดี พนมยงค์ และรัฐบาลคณะราษฎร แต่ถูกตีตกเนื่องจากข้อห่วงกังวลเรื่องอธิปไตยและการแบ่งแยกดินแดน ต่อมาหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศนำมาศึกษาอีกหลายครั้ง ซึ่งก็ต้องยุติและพับเก็บไว้ในลิ้นชักด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงและงบประมาณรายจ่าย
โครงการแลนด์บริดจ์ปรากฏขึ้นครั้งแรกราวปี ๒๕๓๒ โดยอยู่ในแผนพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ (Southern Seaboard) ยุค พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรีและได้รับการผลักดันจริงจังในรัฐบาลพรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร หลังวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ด้วยหวังฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยปี ๒๕๔๙ มีการอนุมัติงบประมาณศึกษาความเป็นไปได้และออกแบบโครงการท่าเรือน้ำลึกปากบารา อำเภอละงู จังหวัดสตูล เพื่อเชื่อมต่อกับโครงการท่าเรือน้ำลึกสงขลาแห่งที่ ๒ ในพื้นที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา รวมถึงศึกษาโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟรางคู่เชื่อมต่อโครงการท่าเรือน้ำลึกทั้งสอง
ในปี ๒๕๖๐ รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ ๑ หรือ ค. ๑ โครงการท่าเรือน้ำลึกปากบารา แต่ถูกคัดค้านอย่างหนักจากเครือข่ายประชาชนติดตามแผนพัฒนาสตูล-สงขลา จนต้องระงับโครงการไป
โครงการแลนด์บริดจ์ทอดผ่านคาบสมุทรภาคใต้จากอ่าวไทยไปยังอันดามัน เฉพาะระยะทางบนแผ่นดิน ๘๙.๓๕ กิโลเมตร โดยมีสะพานเชื่อมท่าเรือยื่นลงไปในทะเลทั้งสองฝั่งอีก ๒.๑๕ กิโลเมตร และ ๒.๔๘ กิโลเมตร
แนวเส้นทางรถไฟรางคู่ มอเตอร์เวย์ และระบบขนส่งทางท่อส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร ที่มีภูมิประเทศเป็นภูเขา เป็นต้นกำเนิดของสายน้ำนับร้อยสาย
เครือข่ายรักษ์ระนองและภาคประชาชนไม่ได้ปฏิเสธความเจริญหรือต่อต้านการพัฒนา เพียงแต่ถามหาโครงการที่สอดคล้องกับศักยภาพชุมชน และเคารพความต้องการคนท้องถิ่น
ท่าเรือบางเบนในเขตอุทยานแห่งชาติแหลมสน จังหวัดระนอง เป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและจุดขึ้นปลาของกลุ่มประมงพื้นบ้าน
ภาพ : Beach For Life
โครงการแลนด์บริดจ์กลับมาอยู่ในความสนใจของสาธารณะอีกครั้งในปี ๒๕๖๔ คราวนี้จังหวัดชุมพรกับระนองถูกกำหนดเป็นที่ตั้งโครงการพัฒนาโครงข่ายโลจิสติกส์ในพื้นที่ภาคใต้สองฝั่งทะเล คาดหวังให้เชื่อมต่อกับโครงการพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออกที่รัฐบาลเดินหน้าผลักดันเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี (Eastern Economic Corridor : EEC)
โครงการแลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง เป็นอภิมหาโปรเจกต์ ประเมินมูลค่าเบื้องต้นสูงถึง ๑ ล้านล้านบาท ทั้งในส่วนท่าเรือน้ำลึกสองฝั่งทะเล ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง เส้นทางรถไฟ และถนนบริวาร ร่วมกับระบบขนส่งทางท่อที่จะสร้างคู่ขนานกัน ซึ่งเข้าข่ายว่าจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตของประชาชน ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพหรืออีเอชไอเอ (environmental health impact assessment : EHIA)
สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม เป็นผู้ออกแบบรายละเอียดเบื้องต้น และว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาจำนวนหกบริษัทเพื่อจัดทำรายงานดังกล่าว
แม้เป็นโครงการเดียวกันภายใต้หลักคิด “ท่าเรือเดียวเชื่อมสองฝั่ง (one port two sides)” แต่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าทำไมการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจึงแยกเป็นหลายส่วน ได้แก่ ท่าเรือน้ำลึกบริเวณแหลมอ่าวอ่าง จังหวัดระนอง, ท่าเรือน้ำลึกแหลมริ่ว จังหวัดชุมพร, ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง, รถไฟรางคู่, ระบบขนส่งทางท่อและถนนบริวาร ซึ่งบางช่วงต้องขุดอุโมงค์ลอดภูเขา
การจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนครั้งที่ ๑ และ ๒ เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๖๖ และกรกฎาคม ๒๕๖๗ สะท้อนข้อห่วงกังวลว่าไม่แสดงผลกระทบที่แท้จริง เนื่องจากไม่มีการประเมินผลกระทบภาพรวมทั้งโครงการ
จากฟากฝั่งอันดามัน...โครงการแลนด์บริดจ์จะทอดยาวมาถึงที่นี่ บริเวณที่ตั้งโครงการท่าเรือน้ำลึกแหลมริ่ว จังหวัดชุมพร ต้องถมทะเลนอกชายฝั่ง ๕,๘๐๘ ไร่
แม้เป็นโครงการเดียวกันทั้งหมดภายใต้หลักคิด “ท่าเรือเดียวเชื่อมสองฝั่ง” (one port two sides) แต่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า ทำไมการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจึงแยกเป็นหลายส่วน
บริเวณปากคลองแหลมริ่ว ตำบลบางน้ำจืด อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร...ชุมชนชาวประมงและคนท้องถิ่น ก่อนที่คลองริ่วจะไหลลงสู่ทะเลอ่าวไทย
หนังสือ Land bridge Effect ผลกระทบโครงการท่าเรือน้ำลึกแลนด์บริดจ์ชุมพร-ระนอง ตีพิมพ์เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ จากความร่วมมือของกลุ่มนักวิชาการสาขาต่าง ๆ ได้แก่ วิศวกรรมศาสตร์ วิศวกรรมชายฝั่ง นักเศรษฐศาสตร์ นักสังคมศาสตร์ นักกฎหมาย องค์กรด้านสิ่งแวดล้อม และภาคประชาชนที่มีความสนใจ ระบุว่า
“โครงการแลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง เป็นเมกกะโปรเจคที่ถูกประชาชนในพื้นที่และสาธารณะวิพากษ์วิจารณ์อย่างหลากหลาย ทั้งในแง่ความคุ้มค่าและการลงทุน ผลกระทบด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่
“ตลอดระยะเวลาการขับเคลื่อนโครงการ ภาคประชาชนในพื้นที่ชุมพร-ระนอง ได้มีการเคลื่อนไหวคัดค้านโครงการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการยื่นหนังสือต่อรัฐบาลการชุมนุมเรียกร้อง รวมไปถึงการจัดเวทีสาธารณะ และการจัดทำข้อมูลของชุมชนเพื่อคัดค้านโครงการ”
หนังสือเล่มนี้ยังตั้งคำถามเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีโครงการแลนด์บริดจ์เป็นธงนำด้านโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐาน กับศักยภาพด้านทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมที่ไม่สอดคล้องกัน เช่น พื้นที่สงวนชีวมณฑล
ระนอง การนำเสนอให้ชายฝั่งทะเลจังหวัดระนองและใกล้เคียงเป็นมรดกโลกทางทะเล วิถีชีวิตชุมชนชายฝั่งที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติเป็นแหล่งทำมาหากิน เป็นต้น
“กระบวนการรับฟังความคิดเห็นและรายงานอีเอชไอเอไม่รอบด้าน ขอบเขตการศึกษาจำกัดอยู่ที่รัศมี ๕ กิโลเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นน้ำทะเล แล้วประเมินว่ามีผู้ได้รับผลกระทบแค่เจ็ดชุมชน
รสิตา ซุ่ยยัง เครือข่ายรักษ์ระนอง
แมงกะพรุนเป็นหนึ่งในสัตว์เศรษฐกิจของจังหวัดระนอง จับได้มากช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม เป็นโอกาสทองทางเศรษฐกิจของกลุ่มประมงพื้นบ้าน
ภาพ : Beach For Life
เส้นทางธรรมชาติ
มะทมออกเดินพร้อมชาวบ้านประมาณ ๑๕ คน ขบวนประชาชนเคลื่อนไปบนเส้นทางที่แวดล้อมด้วยผืนป่าดิบภาคใต้ บางช่วงมองเห็นสายน้ำตกสีขาวสวยทะลุขุนเขาสูงอันไกลลิบ ถึงแม้จะอ่อนล้าแต่ก็รู้สึกชุ่มชื่นหัวใจ ใกล้เที่ยงมีคนมาเดินด้วยเพิ่มเป็น ๓๐ คน
การเดินของมะทมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม “เดินหยุดแลนด์บริดจ์” ระหว่างวันที่ ๒-๕ สิงหาคม ๒๕๖๘ ที่เครือข่ายรักษ์ระนอง เครือข่ายรักษ์พะโต๊ะ และภาคประชาสังคมร่วมกันจัดขึ้น เริ่มต้นจากท่าเรือยางคต ตำบลราชกรูด อำเภอเมืองระนอง ปลายทางคือไปคัดค้านการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ ๓ หรือ ค. ๓ ของโครงการพัฒนาท่าเรือบริเวณแหลมอ่าวอ่าง ที่ทางสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) จะจัดขึ้นวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๘ ที่โรงแรมเฮอริเทจ แกรนด์คอนเวนชั่น ก่อนถึงสถานที่จัดงานทางเครือข่ายตกลงกันว่าจะไปยื่นหนังสือคัดค้านโครงการที่ศาลากลางจังหวัดระนอง
“กระบวนการรับฟังความคิดเห็นและรายงานอีเอชไอเอ ไม่รอบด้าน ขอบเขตการศึกษาจำกัดอยู่ที่รัศมี ๕ กิโลเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นน้ำทะเล แล้วประเมินว่ามีผู้ได้รับผลกระทบแค่เจ็ดชุมชน ทั้งที่มีชุมชนรายล้อมพื้นที่ท่าเรือเยอะแยะ
แต่ไม่อยู่ในขอบเขตการศึกษา บริเวณที่จะสร้างท่าเรือก็มีความอุดมสมบูรณ์มาก เขารู้หรือเปล่าว่าตรงนั้นเป็นดอนตาแพ้ว” รสิตา ซุ่ยยัง เครือข่ายรักษ์ระนองที่มาร่วมเดินด้วยกล่าว
ป่าชายเลนจังหวัดระนองต่อเนื่องเป็นผืนใหญ่ ส่วนหนึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑลระนอง (Ranong Biosphere Reserve) ภายใต้โครงการมนุษย์และชีวมณฑล (Man and the Biosphere Programme) ขององค์การยูเนสโก
เด็ก ๆ มอแกนในยามเช้าก่อนออกเดินทางจากหมู่บ้านไปเรียนหนังสือ บนเกาะพยามมีชาติพันธุ์มอแกนเป็นกลุ่มประชากรดั้งเดิมดำรงชีวิตด้วยการออกเรือหาปลาและจับสัตว์น้ำ รวมทั้งเป็นแรงงานของภาคการท่องเที่ยว
นกแก๊กบนเกาะพยามเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ พบได้ทั่วไปบนเกาะพยามและเกาะต่าง ๆ ในทะเลอันดามันที่มุ่งเน้นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
ไม่แปลกที่คนทั่วไปจะไม่รู้จักและ “มองไม่เห็น” ดอนตาแพ้วในเชิงกายภาพ ด้วยสันดอนแห่งนี้จมอยู่ใต้น้ำ
แม้ขึ้นชื่อว่า “ดอน” แต่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลตั้งแต่ ๒-๔ เมตรขึ้นไป เป็นโคกเป็นดอนใต้น้ำระหว่างเกาะพยามกับเกาะตาวัว เกาะตาควาย
สามารถ นาวาลอย กลุ่มประมงพื้นบ้านจากหมู่บ้านห้วยปลิง หลังท่าเรือยางคต เล่าว่า “ดอนตาแพ้วมีอยู่จริง ๆ ชาวประมงรู้จัก บริเวณนั้นน้ำไม่ลึกและไม่ตื้นจนเกินไปทำให้มีสัตว์น้ำชุกชุม เป็นจุดที่ชาวประมงจากพื้นที่ต่าง ๆ พากันมาจับสัตว์น้ำ”
รอบ ๆ โครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกทั้งบริเวณอ่าวอ่าง แหลมไผ่ เป็นพื้นที่อนุรักษ์ซึ่งเต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เมื่อพิจารณาพื้นที่คุ้มครองตามกฎหมายในรัศมี ๑ กิโลเมตร พบว่าโครงการนี้ทับซ้อนกับพื้นที่ชุ่มน้ำปากแม่น้ำกระบุรี-ปากคลองกะเปอร์ ซึ่งเป็นแรมซาร์ไซต์ลำดับที่ ๘ ของประเทศไทย และอยู่ในลำดับที่ ๑,๑๘๓ ตามทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ
ทั้งยังทับซ้อนกับพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะระนองอุทยานแห่งชาติแหลมสน และมีพื้นที่คุณภาพลุ่มน้ำชั้น 1A อยู่ห่างจากบริเวณที่ตั้งโครงการแค่ ๒๔๐ เมตร
ในฐานะกลุ่มประชากรดั้งเดิมแห่งท้องทะเลอันดามัน ก้อย ทะเลลึก ชาวมอแกนบนเกาะพยามอธิบายว่า ชายฝั่งระนองอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง มีคลองสองสายหลักไหลลงทะเล คือ คลองกะเปอร์และคลองบางหิน รวมถึงคลองเล็กคลองน้อยอีกหลายสาย อย่างคลองหงาว คลองละออง คลองบางริ้น คลองทรายขาว
ชาวเลมอแกนอาจสื่อสารเรื่องราวไม่แคล่วคล่องนัก แต่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีภูมิปัญญาในการอาศัยและทำมาหากินในท้องทะเลอย่างเจนจัด เช่น ความรู้ด้านการเดินเรือลำเล็ก การจับสัตว์น้ำโดยฟังเสียงฝูงปลาใต้น้ำ การสังเกตสภาพอากาศและคลื่นลมอันตราย รู้ดีว่าตั้งแต่ปากแม่น้ำกระบุรี อำเภอเมืองระนอง ตอนบน ไล่ลงมาถึงปากคลองกะเปอร์ อำเภอกะเปอร์ ตอนล่าง มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ซึ่งน้ำทะเลกับน้ำจืดมาบรรจบกัน เป็นแหล่งอาหารของสัตว์น้ำ แวดล้อมด้วยเกาะแก่งต่าง ๆ เช่น เกาะพยาม เกาะตาวัว เกาะตาควาย เกาะช้าง ฯลฯ มีแนวปะการังน้ำตื้นตามธรรมชาติอยู่รอบ ๆ เกาะ รวมถึงแนวป่าชายเลนที่ยาวต่อเนื่องเป็นผืนใหญ่สุดของประเทศไทย ทำให้บริเวณชายฝั่งในอำเภอเมืองระนองและอำเภอกะเปอร์เป็นแหล่งวางไข่และอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน
อาหารทะเลสด ๆ ในตลาดกลางเมืองระนอง ทะเลระนองมีสัตว์น้ำนับร้อยชนิด เบื้องต้นแบ่งออกเป็นปลา ๑๒๑ ชนิด ปู ๑๑ ชนิด หอย ๒๖ ชนิด นำมาทำปฏิทินการจับสัตว์น้ำได้ตลอดทั้งปี
“น้ำจืดลงมาเจอน้ำเค็ม มันก็ผสมผสาน ดินหรืออะไรที่ธรรมชาติสร้างไว้กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ สัตว์เศรษฐกิจที่พบมากคือ ปลาทราย กุ้งแชบ๊วย ปลาจะละเม็ด หลากหลายนับร้อยชนิด ปลาตะลุมพุกก็แยะ ถึงฤดูกุ้ง กุ้งก็ขึ้นเป็นแพนะ พวกนี้ชอบอยู่ตรงจุดที่มีน้ำจืดไหลลงทะเล ผมจับได้บ่อยตรงดอนตาแพ้ว” มอแกนวัยกลางคนสื่อสาร
“ปลาเหล่านี้เวลาวางไข่ต้องขึ้นหายอดน้ำ ตรงไหนมีน้ำจืดก็จะไปตรงนั้น พอเริ่มโตก็ทยอยว่ายออกทะเล หากินเองได้ก็จะไปไกลหน่อยจนกว่าจะโตเต็มวัย”
การไหลเวียนของระบบน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม ประกอบกับการสะสมของตะกอนและธาตุอาหาร มีส่วนทำให้บริเวณปากแม่น้ำกระบุรีจนถึงคลองกะเปอร์ได้ขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑลระนอง (Ranong Biosphere Reserve) ภายใต้โครงการมนุษย์และชีวมณฑล (Man and the Biosphere Programme) ขององค์การยูเนสโก
“คนจากกระบุรีก็ต้องมาหาปลาที่นี่ ฝั่งอ่าวไทยบางคนก็ข้ามมาฝั่งนี้เวลาเข้าฤดูมรสุม คนอาชีพทะเลจริง ๆ จะบรรทุกเรือข้ามมาฝั่งอันดามัน” สามารถ นาวาลอย ลูกทะเลเข้มข้นเล่า
ก่อนการจัดเวที ค. ๓ เครือข่ายภาคประชาสังคมนำโดยกลุ่ม Beach For Life, มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม และเครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนภาคใต้ ทดลองติดตามเส้นทางเดินเรือของกลุ่มประมงพื้นบ้านระนอง โดยใช้ระบบระบุตำแหน่งบนพื้นโลก (GPS) มีเรือของอาสาสมัครจำนวน ๒๖ ลำจากเกาะพยาม เกาะช้าง บ้านหาดทรายดำ ท่าเรือ ๓๗ ท่าเรือต้นสน ท่าเรือคลองของ ท่าเรือคลองลัดโนด ชุมชนประมงอ่าวเคย และท่าเรือบ้านม่วงกลวง พบว่าส่วนใหญ่ไปวางอวนจับสัตว์น้ำบริเวณดอนตาแพ้ว หลังสัมภาษณ์เชิงลึกและจัดสนทนากลุ่มย่อยร่วมกับชาวประมงพื้นบ้านในอำเภอเมืองระนองและอำเภอกะเปอร์ พบว่าทะเลระนองมีสัตว์น้ำนับร้อยชนิด จำแนกเป็นปลา ๑๒๑ ชนิด ปู ๑๑ ชนิด หอย ๒๖ ชนิด นำมาทำปฏิทินการจับสัตว์น้ำได้ตลอดทั้งปี ยกตัวอย่างบางส่วนดังนี้
นอกเหนือจากสัตว์เศรษฐกิจที่หล่อเลี้ยงชีวิตฐานราก ข้อมูลจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังระบุว่าพบสัตว์น้ำสำคัญหลายชนิดที่มีหน้าที่รักษาสมดุลระบบนิเวศในพื้นที่ระนอง เช่น โลมา เต่าทะเล พะยูน ทากทะเล ดาวทะเล
ม้าน้ำ ฯลฯ
(ขบวน) การมีส่วนร่วม
เครือข่ายรักษ์ระนองและภาคประชาชนไม่ได้ปฏิเสธความเจริญหรือต่อต้านการพัฒนา เพียงแต่ถามหาโครงการที่สอดคล้องกับศักยภาพชุมชนและเคารพความต้องการคนท้องถิ่น
ที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวคัดค้านโครงการแลนด์บริดจ์เกิดขึ้นตลอด ทั้งจัดเวทีเสวนาในพื้นที่ ชุมนุมเรียกร้อง กระทั่งยื่นหนังสือถึงรัฐบาลในกรุงเทพฯ
เพราะเป็นอภิมหาโปรเจกต์มูลค่าสูงถึง ๑ ล้านล้านบาท จากการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public Private Partnership หรือ PPP) ที่ประกาศเชิญชวนนักลงทุนต่างชาติเข้ามาร่วมสร้างและบริหารโครงการเป็นระยะเวลานานถึง ๕๐ ปี จึงถูกตั้งคำถามทั้งมิติสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐศาสตร์
ก่อนการเดินของมะทมเพียง ๑ วัน เครือข่ายภาคประชาสังคม นำโดยกลุ่ม Beach For Life, กรีนพีซ ประเทศไทย, มูลนิธินิติธรรมสิ่งเเวดล้อม, มูลนิธิภาคใต้สีเขียวเเละเครือข่ายนักวิชาการ ที่จับตาเเละห่วงกังวล ได้ร่วมกันจัดเวทีเสวนา “วิพากษ์ EHIA ท่าเรือเเลนด์บริดจ์ชุมพร-ระนอง” วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๘ ที่โรงแรมไอบิส สไตล์ กรุงเทพ รัชดา เพื่อสร้างความรับรู้เเละตื่นตัวของประชาชนในวงกว้าง
“แลนด์บริดจ์ชุมพร-ระนอง ไม่ได้เป็นเพียงโครงการที่รัฐบาลวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แต่พยายามผลักดันคู่กับกฎหมาย SEC ที่จะพัฒนาภาคใต้สี่จังหวัดหลักให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ประกอบด้วยระนอง ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช” สุภาภรณ์ มาลัยลอย ผู้จัดการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม กล่าวเปิดเวทีในฐานะตัวแทนภาคประชาสังคม
“การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ รวมถึงสังคม เป็นกระบวนการสำคัญที่บรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ นโยบายหรือโครงการของรัฐที่อาจเกิดผลกระทบรุนแรงตามมาควรศึกษาเชิงยุทธศาสตร์ก่อน แต่โครงการแลนด์บริดจ์ไม่มีการศึกษาด้านนี้ และไม่มีทางเลือกว่าควรจะเกิดหรือไม่ ขอย้ำว่าการประเมินดังกล่าว หากพิจารณาแล้วว่าไม่คุ้มค่า ก็ควรมีทางเลือกด้วยว่าไม่เกิด หรือต้องปรับเปลี่ยนแผนพัฒนา เราจัดเวทีขึ้นมาเพื่อให้นักวิชาการ ผู้มีความเชี่ยวชาญในมิติต่าง ๆ ช่วยวิพากษ์เนื้อหารายงานอีเอชไอเอ และร่วมตัดสินใจว่าควรเดินหน้าต่อหรือหยุดแค่นี้”
ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หนึ่งในนักวิชาการที่จับตาและกังวลเกี่ยวกับโครงการนี้ เขาเคยลงพื้นที่สำรวจสัตว์หน้าดินเเละความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่อ่าวอ่าง อุทยานเเห่งชาติเเหลมสน จังหวัดระนอง ร่วมกับกรมอุทยานเเห่งชาติ สัตว์ป่า เเละพันธุ์พืช พบสัตว์ทะเลหน้าดินมากถึง ๑๒ ไฟลัม ๔๘๐ ชนิด เช่น ไส้เดือนตัวกลมทะเล หอยตะเกียบหรือหอยราก ความหนาแน่นเฉลี่ยอยู่ในช่วง ๒๗๖±๕๕ ถึง ๒,๓๖๐±๗๒๕ ตัวต่อตารางเมตร
อีกฟากฝั่งคาบสมุทร กรีนพีซ ประเทศไทย ร่วมกับชุมชนชายฝั่งอำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ออกสำรวจบริเวณที่ตั้งโครงการพัฒนาท่าเรือบริเวณแหลมริ่ว พบสัตว์ทะเลหน้าดินมากถึง ๒๔๒ ชนิด ชุกชุมเฉลี่ย ๕๓๓±๕๒๗ ตัวต่อตารางเมตร
“พอพูดเรื่องนิเวศวิทยา ธรรมชาติวิทยา คนทั่วไปจะสนใจน้อยมากเมื่อเทียบกับมิติด้านเศรษฐกิจหรือสังคม หลายโครงการที่ผมอ่านรายงานอีเอชไอเอหรืออีไอเอจะออกมาคล้าย ๆ กัน คือละเลย ไม่ค่อยให้ความสำคัญ ยกตัวอย่างอีเอชไอเอท่าเรือระนองที่บอกเจอสัตว์หน้าดินแค่ ๑ ชนิด ๗ ตัวต่อพื้นที่ ๑ ตารางเมตร ซึ่งน้อยมาก ไม่น่าตรงกับความเป็นจริง ฝั่งเเหลมริ่ว จังหวัดชุมพร จากการสำรวจ ๒ จุด ๓ ครั้ง ก็พบสัตว์หน้าดิน ๑ ชนิด ๗ ตัวต่อพื้นที่ ๑ ตารางเมตร ตัวเลขเหล่านี้ตรงกันโดยบังเอิญหรือ”
อาจารย์ศักดิ์อนันต์ตั้งข้อสังเกตว่ารายงานอีเอชไอเอเหมือนพยายามทำให้บริเวณที่ตั้งท่าเรือน้ำลึกมีความหลากหลายทางชีวภาพต่ำ
“พูดง่าย ๆ คือทำให้เป็นทะเลร้าง ไม่มีคุณค่าใด ๆ ขัดแย้งกับผลการศึกษาที่ผ่านมาซึ่งระบุว่ามีความหลากหลายทางชีวภาพสูง มีคุณค่าต่อการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ผมท้าให้ลงไปเก็บข้อมูลกับผม จะพบสิ่งมีชีวิตมากกว่าที่เขียนในรายงาน”
ความพยายามผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อเส้นทางสู่มรดกโลกของทะเลอันดามัน
แนวคิดนำเสนอพื้นที่แถบทะเลอันดามันเป็นมรดกโลกเริ่มต้นเมื่อ ๒๐ กว่าปีก่อน หลังจากผู้เชี่ยวชาญชาวไทยและ IUCN พิจารณาว่าบริเวณนี้มีศักยภาพ มีความสำคัญระดับโลกในเชิงนิเวศวิทยา โดยระดมผู้เชี่ยวชาญทางทะเลมาร่วมศึกษาข้อมูล
วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการนำเสนอพื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามันเข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก หนึ่งเดือนต่อมาศูนย์มรดกโลกก็รับเข้าสู่บัญชี
อาจารย์ศักดิ์อนันต์อธิบายว่าพื้นที่ “แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามัน” ประกอบด้วยป่าชายเลนและกลุ่มเกาะชายฝั่งจังหวัดระนอง ชายหาดและป่าสันทรายชายฝั่งจังหวัดภูเก็ตและพังงา ร่วมด้วยหมู่เกาะทะเลลึกจังหวัดพังงา ในปี ๒๕๖๖ คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก มีมติเห็นชอบเอกสารนำเสนอพื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามันเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว
การเคลื่อนไหวคัดค้านโครงการแลนด์บริดจ์เกิดขึ้นตลอด ทั้งจัดเวทีเสวนาในพื้นที่ ชุมนุมเรียกร้อง กระทั่งยื่นหนังสือถึงรัฐบาลในกรุงเทพฯ
วงพูดคุย “ฟังคนเกาะพยาม ก่อนเสียงจะจมหายไปในคลื่นแลนด์บริดจ์” ริมอ่าวเขาควายบนเกาะพยาม กลางเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๘ ขณะที่สถานการณ์ยังคุกรุ่น เมื่อรัฐบาลประกาศเดินหน้าโครงการแลนด์บริดจ์
“หน้าที่ของรายงานอีเอชไอเอที่สำคัญที่สุดไม่ใช่แค่นำเสนอผลการคำนวณที่ซับซ้อน แต่คือการตอบคำถามพื้นฐานอย่างมั่นใจและมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ...หากยังไม่สามารถตอบคําถามสำคัญที่ชาวบ้านอยากรู้ นั่นคือช่องว่าง อันตรายที่สุดของโครงการนี้”
รศ.ดร. สมปรารถนา ฤทธิ์พริ้ง
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
“คีย์เวิร์ดสุดท้ายมาจบทางฝั่งอันดามันตอนบน ตั้งแต่ลำน้ำกระบุรี แหลมสน มีหมู่เกาะสุรินทร์ หมู่เกาะสิมิลัน หาดท้ายเหมือง ซึ่งมีระบบนิเวศทางทะเลเขตร้อนที่สำคัญครบถ้วนภายใต้ละติจูดประมาณ ๒ องศาเท่านั้น เราส่ง Tentative List เข้าประกวดปี ๒๕๖๔ ซึ่งคณะกรรมการมรดกโลกกำหนดให้ยื่นเอกสาร nomination ภายใน ๒ ปี
แต่แล้วก็มีโครงการแลนด์บริดจ์เข้ามา”
เกิดเป็นคำถามตัวโต ๆ ว่า รัฐบาลมีทีท่าต่อการผลักดันพื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามันเป็นมรดกโลกอย่างไร
“ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีการวิเคราะห์ภัยคุกคามจากโครงการแลนด์บริดจ์อยู่ในรายงานที่เตรียมนำเสนอมรดกโลก อีเอชไอเอท่าเรือฝั่งระนองก็พูดแต่อ้อม ๆ ว่ามรดกโลกมีความสำคัญ แต่ไม่ได้บอกว่าพื้นที่แถบนี้อยู่ใน Tentative List ทั้งที่การเข้าไปถึง Tentative List แสดงว่าศักยภาพมันไปไกลถึงมรดกโลก ได้แต่รอดูการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมว่าจะมีวิธีป้องกันอย่างไร...
“ปรากฏว่ารายงานอีเอชไอเอไม่ได้ให้ความสนใจประเด็นนี้ ทั้งจำกัดขอบเขตพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ ไม่สนใจศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพให้ดีพอ แค่ทำ ๆ ไปอย่างนั้น” อาจารย์ศักดิ์อนันต์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อน
รศ.ดร. สมปรารถนา ฤทธิ์พริ้ง คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นนักวิชาการอีกคนที่ขึ้นเวทีวิพากษ์เพื่อให้ข้อมูลด้านสมุทรศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงชายฝั่ง อาจารย์สมปรารถนามีความเชี่ยวชาญในสาขาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำและวิศวกรรมชายฝั่งทะเล มีประสบการณ์และผลงานวิจัยเกี่ยวกับโครงสร้างป้องกันชายฝั่ง กำแพงกันคลื่น
“ท่าเรือทั้งสองฝั่งเป็นอภิมหาโปรเจกต์ที่จะถมทะเลขนาดใหญ่มากตั้งแต่มีประเทศไทยมา ใหญ่กว่าท่าเรือน้ำลึกภาคตะวันออกหลายเท่า ไม่ต้องพูดถึงว่ารอบ ๆ คือมรดกโลกหรือเปล่า มีชุมชนอะไรบ้าง นอกจากถมทะเลยังต้องขุดร่องน้ำให้เรือแล่น ฝั่งระนองระยะทาง ๑๑.๕ กิโลเมตร ฝั่งชุมพร ๙.๗ กิโลเมตร เราเคยเห็นการขุดร่องน้ำระยะทางขนาดนี้ไหม แล้วจะเอาตะกอนไปไว้ไหน”
ฟากฝั่งอันดามัน…
ท่าเรือแหลมอ่าวอ่าง จังหวัดระนอง ต้องถมทะเลประมาณ ๖,๙๗๕ ไร่
สร้างสะพานเชื่อมท่าเรือยาว ๒.๔๘ กิโลเมตร (พื้นที่ท่าเรืออยู่ห่างจากชายฝั่งในภาพรวมประมาณ ๔.๕ กิโลเมตร)
ต้องขุดร่องน้ำยาว ๑๑.๕ กิโลเมตร ลึก ๑๙ เมตร เพื่อให้เรือสินค้าแล่นเข้าออกได้ตลอดทั้งปี
ต้องขุดลอกใต้ท้องทะเลรวม ๑๔๙.๕ ล้านลูกบาศก์เมตร โดยวัสดุจากการขุดลอกจะใช้ถมทะเล
ต้องสร้างเขื่อนกันคลื่นสามเขื่อน ยาว ๓,๑๒๐ เมตร ๓๔๐ เมตร และ ๒๙๐ เมตร เพื่อล้อมรอบปกป้องท่าเรือ
ฟากฝั่งอ่าวไทย...
ท่าเรือแหลมริ่ว จังหวัดชุมพร ต้องถมทะเลประมาณ ๕,๘๐๘ ไร่
สร้างสะพานเชื่อมยาว ๒.๑๕ กิโลเมตร
ขุดร่องน้ำยาว ๙.๗ กิโลเมตร ลึก ๑๗ เมตร
งานขุดลอกรวม ๑๓๐.๐๙ ล้านลูกบาศก์เมตร
และสร้างเขื่อนกันคลื่นสองเขื่อน ยาว ๕,๔๐๐ เมตร และ ๖๘๕ เมตร
หากเทียบเคียงกับโครงการถมทะเลขนาดใหญ่อย่างท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี และท่าเรือมาบตาพุด จังหวัดระยอง นับว่าโครงการถมทะเลภายใต้โครงการแลนด์บริดจ์กินพื้นที่ใหญ่กว่าท่าเรือแหลมฉบังประมาณ ๒.๔ เท่า และใหญ่กว่าท่าเรือมาบตาพุดถึง ๓.๘ เท่า
ลองเทียบเคียงพื้นที่กับเกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล เพื่อให้เห็นภาพชัด จะพบว่าพื้นที่ถมทะเลของท่าเรือแหลมริ่วและท่าเรืออ่าวอ่างใหญ่กว่าเกาะหลีเป๊ะประมาณ ๒.๘ เท่า และ ๓.๔ เท่า ตามลำดับ
“สิ่งที่แตกต่างคือท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังและท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุดเป็นการถมทะเลที่ประชิดชายฝั่งในระบบนิเวศที่เป็นหาดทราย โดยไม่มีสะพานข้ามทะเลไปยังท่าเรือ ขณะท่าเรือที่จะเกิดขึ้นภายใต้โครงการแลนด์บริดจ์ที่ถมทะเลห่างฝั่งโดยมีสะพานเชื่อม ระบบนิเวศโดยรอบมีทั้งหาดทราย ป่าชายเลน” อาจารย์สมปรารถนาอธิบาย และวิพากษ์รายงานอีเอชไอเอท่าเรือแลนด์บริดจ์ต่อว่า
“คำถามที่ตรงไปตรงมาและน่ากังวลสุดสำหรับคนชายฝั่งคืออะไร เขื่อนกันคลื่นยาว ๆ ที่ยื่นออกไปในทะเลจะทําให้หาดทรายที่เคยเดินเล่น เป็นที่จอดเรือ ถูกน้ำทะเลกัดเซาะเข้ามาจนถึงที่ดินของเราหรือเปล่า ? โครงสร้างท่าเรือจะไปบังคับให้คลื่นเปลี่ยนทิศทางมาซัดบ้านเราแรงขึ้นกว่าเดิมไหม ? ช่วงที่ขุดทะเลนานเป็น ๑๐ ปี น้ำจะขุ่นแค่ไหน ? ตะกอนที่เขาขุดจะทับถมแนวปะการัง หญ้าทะเล ที่เป็นบ้านของสัตว์น้ำจนตายหมดหรือไม่ ? ปู ปลา กุ้ง หอย ที่เคยหากินจะหนีไปไหน ? เรือประมงหากวิ่งลอดตอม่อสะพานเข้าท่าเทียบเรือจะได้รับผลกระทบอย่างไร ?”
ก่อนที่คลื่นของความเปลี่ยนแปลงจะพลิกโฉมชายฝั่งไปตลอดกาล คือคำถามที่ไร้คำตอบในรายงานอีเอชไอเอ
“หน้าที่ของรายงานอีเอชไอเอที่สำคัญสุดไม่ใช่แค่นำเสนอผลการคำนวณที่ซับซ้อน แต่คือการตอบคำถามพื้นฐานอย่างมั่นใจและมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียซึ่งใช้ชีวิตอยู่กับทะเลอ่าวอ่างแหลมริ่ว รวมถึงพื้นที่ข้างเคียง หากยังไม่สามารถตอบคําถามสำคัญที่ชาวบ้านอยากรู้ นั่นคือช่องว่างอันตรายที่สุดของโครงการนี้”
โอกาสทองทางเศรษฐกิจ
“ขอร้องเถอะค่ะ ช่วยไปตรวจสอบใหม่ พิจารณาใหม่ได้ไหมว่าพี่น้องเดือดร้อนไม่ใช่แค่สองสามคน บอกรัฐบาลด้วยว่ามีโครงการอื่นอีกมากที่ทำให้พี่น้องเจริญ”
มะทมกล่าวกับเจ้าหน้าที่ สนข. และบริษัทที่ปรึกษา หลังมาถึงหน้าโรงแรมที่กำลังจะจัดเวที ค. ๓
ก่อนหน้านั้น ๑ วัน มะทม เครือข่ายรักษ์ระนอง เครือข่ายรักษ์พะโต๊ะ รวมถึงประชาชน เข้ายื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดระนองเพื่อขอให้ยุติการจัดเวที ค. ๓
มะทมกับโปสเตอร์ “อ่าวระนอง ขุมทรัพย์อันดามัน” แสดงเกาะใหญ่น้อยในท้องทะเล รวมถึงดอนตาแพ้ว สันดอนกลางอ่าวที่มีความลึกท้องน้ำตั้งแต่ ๒-๔ เมตรขึ้นไป ทับซ้อนกับพื้นที่ตั้งโครงการท่าเรือน้ำลึกอ่าวอ่าง
เนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า ตามที่สำนักงานนโยบายเเละเเผนการขนส่งเเละจราจร (สนข.) ประกาศจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ ๓ (ค. ๓) เพื่อทบทวนร่างรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพสำหรับโครงการที่มีผลกระทบรุนแรง (EHIA) โครงการท่าเรือน้ำลึกอ่าวอ่าง ภายใต้โครงการแลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง พวกเราไม่เห็นด้วยกับการจัดเวที ด้วยพบข้อผิดพลาดในการดำเนินโครงการศึกษาหลายประการ
“แลนด์บริดจ์เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยโครงการย่อยหลายโครงการ แต่กลับไม่มีการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) โดยพบว่ามีการแยกศึกษาเป็นรายโครงการย่อยที่ต่างคนต่างทำ เช่น โครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกอ่าวอ่าง โครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกแหลมริ่ว โครงการก่อสร้างทางรถไฟรางคู่ โครงการมอเตอร์เวย์ โครงการนิคมอุตสาหกรรม (ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต) และเชื่อว่าจะมีโครงการอื่น ๆ ตามมาอีก…”
เนื้อหาอีกช่วงหนึ่งเขียนว่า
“รายงานการศึกษา (EHIA) โครงการนี้มีเนื้อหาไม่ตรงความเป็นจริงหลายประการ ตามที่นักวิชาการอิสระกว่า ๑๐ ท่าน จัดเวทีวิพากษ์เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๘ ทั้งข้อมูลด้านทรัพยากรสัตว์น้ำทะเล ข้อมูลที่อาจตัดแปะมาจากแหล่งอื่น รวมถึงกระบวนการศึกษาที่ถูกตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่...”
ช่วงเดียวกันนั้นนักวิชาการและนักสิ่งแวดล้อมจำนวน ๗๔ คน เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง สนข. ชี้ข้อบกพร่องและความไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการอย่างน้อย ๑๑ ข้อของรายงานอีเอชไอเอ ขอให้ สนข. ในฐานะเจ้าของโครงการยุติเวที ค. ๓ เเละนำกลับไปศึกษาใหม่
เเต่การจัดเวที ค. ๓ ยังเดินหน้าต่อท่ามกลางเสียงคัดค้าน
...
ปัจจุบันสถานะโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกชุมพร-ระนอง ภายใต้โครงการแลนด์บริดจ์อยู่ในขั้นตอนกระบวนการตัดสินใจ
เดือนกันยายน ๒๕๖๘ เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลชุดใหม่ สื่อมวลชนหลายสำนักพาดหัวข่าว
“รัฐบาลใหม่สานต่อการลงทุนแลนด์บริดจ์”
“จับตา ! แลนด์บริดจ์ เมกะโปรเจกต์ยุคนายกฯ อนุทิน”
“รัฐบาลลั่นเดินหน้าแลนด์บริดจ์เต็มสูบ”
๑๕ กันยายน ๒๕๖๘ คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา แถลงข่าวหลังลงพื้นที่แสดงความเป็นห่วงโครงการแลนด์บริดจ์ โดยเฉพาะกระบวนการศึกษาอีเอชไอเอที่ขาดความโปร่งใสและไร้การมีส่วนร่วมของประชาชน เสนอให้ชะลอโครงการนี้ รวมถึงความพยายามผลักดันร่าง พ.ร.บ. ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ หรือร่าง พ.ร.บ. SEC (Southern Economic Corridor) จนกว่าจะมีการศึกษาและรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน
๑๘ กันยายน ๒๕๖๘ เครือข่ายภาคประชาชนภาคใต้และภาคตะวันออกเดินทางไปที่ทำการพรรคภูมิใจไทยยื่นหนังสือถึง อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ขอให้ทบทวนนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) รวมถึงโครงการแลนด์บริดจ์ที่พวกเขาเห็นว่าดำเนินการอย่างเร่งรีบและรวบรัด
โครงการนี้อาจช่วยกระตุ้นการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม
และการค้าระหว่างประเทศ แต่ขณะเดียวกันอาจส่งผลเสียต่อภาคเศรษฐกิจท้องถิ่นและคนในชุมชน เช่น การประมง การท่องเที่ยว การเกษตร สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของจังหวัดระนองและชุมพร
“ฉันขอตายในบ้านเกิด ไม่ไปไหนทั้งนั้น สู้จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ถ้าอยากเห็นก็ออกมากันมาก ๆ ให้รู้ว่าความเดือดร้อนอยู่ตรงไหน” หญิงมุสลิมสูงวัยบอกก่อนก้าวเดินเมื่อแสงฉาบไล้ไปทั่วอ่าว
ชีวิตอีกนับไม่ถ้วนล้วนพึ่งพาทะเลและชายฝั่งแถบนี้
จาก EEC ถึง SEC
ดร. สมนึก จงมีวศิน
ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย กลุ่มศึกษาการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC Watch)
กฎหมายและแผนปฏิบัติการแบบ EEC คือภาวะคุกคามภาคใต้ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC (Eastern Economic Corridor) เดิมคือโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เกิดขึ้นในยุครัฐบาล คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ตามมาด้วยคำสั่ง คสช. อีกหลายฉบับ และต่อมาเปลี่ยนไปอยู่ในรูปแบบ พ.ร.บ. เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑ หรือ พ.ร.บ. EEC ที่ใช้ภาคอุตสาหกรรมเป็นตัวนำการพัฒนา ทำให้ประชาชนและสิ่งแวดล้อมได้รับผลกระทบเชิงลบอย่างรุนแรง โดยปฏิบัติการของ EEC เข้ามาเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน ยกเว้นการจัดทำผังเมืองรวม มอบสิทธิพิเศษต่าง ๆ แก่นักลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามจังหวัด คือ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา เพิ่มพื้นที่พัฒนาอุตสาหกรรมอย่างล้นเกิน จนเกิดสภาพชีวิตที่เลือนหายของคนท้องถิ่น ธุรกิจระดับ SME ชาวประมง เกษตรกรในพื้นที่ฐานการผลิตอาหาร
สิ่งที่ค้นพบจากร่าง พ.ร.บ. ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้หรือร่าง พ.ร.บ. SEC (Southern Economic Corridor) คือ ร่างนี้คัดลอกเนื้อหามาจาก พ.ร.บ. EEC เกือบทั้งฉบับจะต่างกัน เพียงเปลี่ยนจากภาคตะวันออกเป็นภาคใต้ พื้นที่นำร่องมีสี่จังหวัด คือ ระนอง ชุมพร นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และอาจมีอีก ๑๐ จังหวัดประกาศเพิ่มเติมภายหลัง ผลกระทบที่เคยเกิดขึ้นในพื้นที่ EEC จะสร้างรอยแผลแบบเดียวกันในพื้นที่ SEC เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมจากกฎหมายที่สร้างสภาวะเร่งรัด ยกเว้น และหย่อนยาน ล้างผลาญฐานทรัพยากรโดยไม่คำนึงถึงระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม และจะมีคนเพียงหยิบมือเดียวที่ได้ประโยชน์ คือชนชั้นนายทุนและผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งไทยและต่างประเทศ ทิ้งคนเล็กคนน้อยให้เผชิญชะตากรรม ถูกพรากสิทธิในการพัฒนา
ทุกมาตราของร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ที่มีคำว่าประชาชนอยู่ในนั้น จะมีสถานะเป็นผู้ถูกกระทำ หลายมาตราจึงเขียนให้เกิดการเยียวยาผลกระทบ เหมือนแจ้งข้อมูลล่วงหน้า มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อเยียวยา ปรากฏการณ์เช่นนี้เรียกว่าปลอบโยนด้วยคำขวัญกีดกันโดยกลไก
เอกสารประกอบการเขียน
สมนึก จงมีวศิน และ ประสิทธิ์ชัย หนูนวล. (๒๕๖๗). ถอดบทเรียน EEC สู่ SEC : เปลี่ยน “หายนะ” สู่ “นวัตกรรม” เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ โดยประชาชน เพื่อประชาชน. นครศรีธรรมราช : โรงพิมพ์อักษรการพิมพ์.
สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร. (๒๕๖๘). “แลนด์บริดจ์ เชื่อมเศรษฐกิจไทยสู่เส้นทางการค้าระดับโลก สร้างโอกาสในการพัฒนาอย่างยั่งยืน”. กระทรวงคมนาคม.
อธิวัฒน์ เส้งคุ่ย และ พาซีย๊ะ ซีแต บรรณาธิการ. (๒๕๖๘). Land bridge Effect ผลกระทบโครงการท่าเรือน้ำลึกแลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง. มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม กลุ่ม Beach For Life และเครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนภาคใต้ : ธรรมดาเพรส.
เสวนา/สนทนาออนไลน์
“ดอนตาแพ้ว ชาวเลมอแกน-ไทยพลัดถิ่น เเละเเลนด์บริดจ์-SEC” วันพุธที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๘ จัดโดยกลุ่ม Beach For Life
“วิพากษ์ EHIA ท่าเรือเเลนด์บริดจ์ชุมพร-ระนอง” วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๘ จัดโดยกลุ่ม Beach For Life กรีนพีซ ประเทศไทย มูลนิธินิติธรรมสิ่งเเวดล้อม มูลนิธิภาคใต้สีเขียว และเครือข่ายภาคประชาสังคม
ขอขอบคุณ
บัณฑิตา อย่างดี, สมยศ โต๊ะหลัง, วิชัย จันทวาโร และ ณัฐพล พันธ์พงษ์สานนท์