Image

ต้นสักทองขนาดเกินโอบยืนต้นกระจายอยู่ทั่วป่าบริเวณที่คนท้องถิ่นเรียกว่าป่าสักทอง หรือดงสักงาม ซึ่งมีต้นสักใหญ่ให้เห็นตลอดแนวฝั่งแม่น้ำยมในช่วง ๑๒ กิโลเมตรเหนือขึ้นไปจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่ยม และที่อยู่ลึกเข้าไปในหุบเขา  โดยเฉพาะตามเส้นทางระหว่างบ้านดอนชัยสักทอง-บ้านพร้าว ที่มีอยู่หนาแน่น อวดลำต้นทรงกระบอก เปลือกมีรอยแตกตื้นเป็นร่องตามแนวยาว เรือนยอดทรงกลมหนาทึบด้วยใบเดี่ยวขนาดใหญ่ เรียงตัวตามกิ่งเป็นคู่ ซึ่งจะทิ้งร่วงในฤดูผลัดใบ  ตามข้อมูลของอุทยานฯ ระบุว่า “เป็นผืนป่าสักที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย”

แก่งเสือเต้น
๓๕ ปี ต้านเขื่อนแลกป่า

เรื่อง : วีระศักร จันทร์ส่งแสง
ภาพ : บันสิทธิ์ บุณยะรัตเวช 

แทบทุกครั้งที่มีน้ำท่วมแถบภาคกลางตอนบน ก็มักได้ยินข่าวการผลักดันให้สร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นตามติดมาด้วยเสมอ

พิพาท เผชิญหน้า วิวาทะกันมากว่า ๓๐ ปี กระทั่งเกิดวาทกรรมปลุกผีแก่งเสือเต้นขึ้นมาทุกคราที่น้ำท่วมลุ่มน้ำยมตอนล่างแถบเมืองแพร่ สุโขทัย พิจิตร

เรื่องราวข่าวคราวเหล่านี้ชุลมุนกันอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำยม หนึ่งในสี่แควหลัก ก่อนรวมเป็นเจ้าพระยา มหานทีสายหลักของเมืองไทย

นอกจากเฝ้าระวังพื้นที่ เกาะติดความเคลื่อนไหว  เมื่อถึงช่วงฝนชนหนาวของทุกปี ชาวบ้านในพื้นที่จึงต้องคอยติดตามสอดส่องสื่อสารกับสังคมถึงความไม่เหมาะสมของเขื่อนกลางผืนป่าแม่น้ำยม

...

“เราต่อสู้ด้วยสันติ ใครมาก็พามาดูยอดป่าสักทอง ทุกคณะ เป็นร้อย ๆ คณะ ให้เขาดูว่าป่ามีจริงไหม”

ณัฐปคัลภ์ ศรีคำภา ประธานคัดค้านการสร้างเขื่อนคนปัจจุบันพูดเป็นประโยคแรก ๆ เมื่อนำคณะผู้ร่วมงาน ๓๕ ปีคัดค้านเขื่อนแก่งเสือเต้น มาชุมนุมกันอยู่บนยอดผาอิงหมอก

จากริมหน้าผาทางฝั่งขวาของแม่น้ำยม มองเห็นแอ่งหุบเบื้องล่างได้กว้างไกล คนในพื้นที่ชี้ให้ดูแนวแม่น้ำยมที่เลาะเลื้อยคดเคี้ยวอยู่กลางร่องหุบจากเหนือลงใต้ อำพรางตัวอยู่ใต้เงาป่าซึ่งไล่หลั่นตามความซับซ้อนของทิวเขา เรียงรายทอดต่อกันไปจดสันเขาสูงไกลลิบทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำ ซึ่งตามข้อมูลของอุทยานแห่งชาติแม่ยมบอกว่า ทัศนียภาพผืนป่าสักเฉพาะที่เห็นจากจุดชมวิวผาอิงหมอกนี้มีเนื้อที่ราว ๒ หมื่นไร่

Image

แผนที่แสดงพื้นที่ลุ่มน้ำยมตามแนวเขตเส้นสีแดง จะเห็นที่ตั้งเขื่อนแก่งเสือเต้นอยู่เกือบบนสุดของลุ่มน้ำ พื้นที่รับน้ำไม่ถึง ๑ ใน ๑๐ ของทั้งลุ่มน้ำ จึงไม่น่ามีผลต่อการป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ตอนล่าง

ดอกสักสีเหลืองนวลเป็นสีสันโดดเด่นครองพื้นที่ส่วนมากในหุบเขาช่วงปลายปี แม้จะไม่ใช่ไม้พุ่มสูงสุดในป่าแม่ยม  ตามข้อมูลจากรายงานการศึกษาของมหาวิทยาลัยมหิดลระบุว่า สักเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ เรือนยอดกลม ความสูงโดยเฉลี่ย ๑๔ เมตร  ขณะที่พันธุ์ไม้เรือนยอดที่เป็นเหมือนหลังคาของผืนป่าแม่ยมสูง ๓๐-๔๐ เมตร ซึ่งปกคลุมพื้นที่ร้อยละ ๙๔ สะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าบริเวณนี้

จากยอดผาอิงหมอกมองข้ามแนวแม่น้ำยมไปอีกฝั่งจะเห็นชุมชนสะเอียบ อำเภอสอง จังหวัดแพร่ อยู่สุดขอบแอ่งฟากตรงข้าม

“หมู่บ้านของเราอยู่ขอบแนวเขตที่ทำร่วมกับอุทยานฯ ดูสิเราไม่ได้ทำภูเขาหัวโล้นเลย เดี๋ยวจะพาไปดูว่ายอดสักที่เราเห็นอยู่นี้ต้นใหญ่แค่ไหน  ป่าผืนนี้ ๑.๔ แสนกว่าไร่ ถ้าสร้างเขื่อนจะถูกน้ำท่วมราว ๔ หมื่นไร่ รวมทั้งพื้นที่เกษตรด้วย” ณัฐปคัลภ์บรรยายภาพหุบเขาเวิ้งว้างตรงหน้า แล้วละสายตามองไปทางท้ายน้ำ

“สันเขื่อนจะถูกสร้างระหว่างเขาสองเทือกด้านใต้จากนี่ไปราว ๒ กิโลเมตร แอ่งกระทะที่เราเห็นอยู่ข้างหน้านี้จะจมอยู่ใต้น้ำทั้งหมด  ๔ ใน ๑๐ หมู่บ้านของตำบลสะเอียบจมน้ำ และอีกหลายหมู่บ้านจะได้รับผลกระทบ”

เป็นข้อมูลที่ชาวบ้านทุกคนรู้และแบกไว้ด้วยความหวาดหวั่นมาหลายสิบปี
...

ชนวนปัญหาการปลุกผีแก่งเสือเต้นตั้งต้นมาแต่ปี ๒๕๒๓ เมื่อมีโครงการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำยมบริเวณแก่งหินกลางแม่น้ำ ในตำบลสะเอียบ อำเภอสอง จังหวัดแพร่ ที่เรียกกันว่าแก่งเสือเต้น เป็นส่วนหนึ่งของอภิมหาโครงการผันน้ำกก-อิง-ยม-น่าน ที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ศึกษาหาทางผันน้ำจากแม่น้ำกก แม่น้ำอิง ที่เป็นสาขาของแม่น้ำโขง มาลงสู่แม่น้ำยม โดยมีเขื่อนแก่งเสือเต้นรับน้ำ เก็บกัก ปั่นไฟ และผันน้ำบางส่วนผ่านอุโมงค์ไปยังเขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่กั้นแม่น้ำน่านเพื่อส่งต่อสู่เจ้าพระยา

ปี ๒๕๒๙ ประกาศพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติแม่ปุง-แม่เป้า ๒๘๔,๒๑๘ ไร่ สองฝั่งแม่น้ำยมในอำเภอสอง จังหวัดแพร่ เป็นอุทยานแห่งชาติแม่ยม ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตจากภาคประชาชนว่าอาจเพื่อไม่ต้องจ่ายค่าเวนคืนเมื่อจะสร้างเขื่อนในเขตอุทยานแห่งชาติ

ต่อมาในปี ๒๕๓๒ โครงการเขื่อนแก่งเสือเต้นถูกโอนไปอยู่กับกรมชลประทาน เพื่อพัฒนาระบบชลประทานในพื้นที่จังหวัดแพร่และจังหวัดสุโขทัย ๓.๐๕ แสนไร่ แต่ยังคงมีแผนการติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด ๔๘ เมกะวัตต์ ที่ความสูงสันเขื่อน ๗๒ เมตร และมีศักยภาพที่จะเสริมให้สูงได้ถึง ๙๒ เมตร ซึ่งจะสามารถติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเป็น ๒๓๐ เมกะวัตต์ 

เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๒ คณะรัฐมนตรีสัญจรที่เชียงใหม่ สมัยรัฐบาล พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ อนุมัติให้ทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยกรมชลประทานได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทำการศึกษาวิจัยในปี ๒๕๓๔ ซึ่งคนในพื้นที่เห็นว่าเป็นไปอย่างไม่ชอบธรรมและขาดการมีส่วนร่วม แต่ก็ดำเนินการไปแล้วเสร็จในปี ๒๕๓๗ และเข้าสู่คณะผู้ชำนาญการพิจารณา EIA ในปีต่อมา

แต่ในระหว่างที่คณะกรรมการผู้ชำนาญการกำลังตรวจสอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมไม่ทันแล้วเสร็จ โครงการเขื่อนแก่งเสือเต้นก็ถูกนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๓๘ พร้อมกับมีการชุมนุมสนับสนุนเขื่อนในตัวเมืองแพร่ และ สส. ในพื้นที่ก็เห็นชอบให้สร้าง

เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ คณะรัฐมนตรีสัญจรเชียงใหม่ในสมัยรัฐบาล บรรหาร ศิลปอาชา มีการนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมอีกครั้ง  แต่กระแสคัดค้านต่อต้านทำให้ ครม. เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๔๐ มีมติชะลอโครงการเพื่อศึกษาเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจ

สะเอียบเป็นชุมชนเก่าแก่ในหุบเขาทางตอนเหนือสุดของจังหวัดแพร่ ตั้งบ้านเรือนกันอยู่แถวสบห้วยแม่สะกึ๋นไหลลงบรรจบแม่น้ำยม ตามประวัติว่าอายุเกิน ๒๐๐ ปี บรรพชนรุ่นแรกอพยพจากทางเวียงสา จังหวัดน่าน มาตั้งถิ่นฐานทำนาปลูกข้าว ส่งส่วยเมืองน่าน 

จนถึงยุคสมัยสัมปทานป่า เมืองแพร่ถือเป็นศูนย์กลางของการทำไม้สัก เฉพาะที่สะเอียบเคยมีช้างถึง ๘๙ เชือก ที่ชาวบ้านใช้รับจ้างชักลากไม้สัมปทาน ฉากส่วนใหญ่ในหนังเรื่อง คนเลี้ยงช้าง ก็ถ่ายทำที่หมู่บ้านนี้

Image

“ต้นเดียวเต็มรถสิบล้อจอหนังเลย ซุงสมัยนั้น” ดารัตน์ สะเอียบคง กรรมการรักษาป่า หมู่บ้านดอนชัย ลูกสาวกำนันชุม สะเอียบคง หนึ่งในแกนนำขบวนการต่อต้านเขื่อนแก่งเสือเต้นยุคแรก บรรยายให้เห็นภาพความใหญ่โตของไม้สักโบราณ “บ้านชาวสะเอียบทุกวันนี้ บางหลังยังมีเสาไม้ต้นใหญ่ ๆ ซึ่งได้มาจากค่าจ้างขนไม้ยุคสัมปทาน”

จนปี ๒๕๓๒ รัฐบาลปิดสัมปทานป่า พร้อมข่าวการมาของเขื่อนแก่งเสือเต้นในแม่น้ำยม

ชาวบ้านประกาศมอบอาวุธล่าสัตว์ เครื่องมือทำไม้ ตั้งกลุ่มอนุรักษ์สะเอียบ ตั้งคณะกรรมการคัดค้านการสร้างเขื่อน เลือกตัวแทนหมู่บ้านละ ๓๐ คน คอยสอดส่องไม่ให้ตัดไม้และเฝ้าพื้นที่บริเวณที่ตั้งหัวงานเขื่อน ซึ่งอยู่ห่างแนวหินแก่งเสือเต้นลงไปราว ๒ กิโลเมตร

ข่าวการมาของโครงการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นนำคนจากโลกตะวันตกมายังหุบเขาริมฝั่งน้ำยมด้วย ในห้วงเวลาที่ชาวบ้านกำลังลุกขึ้นมาตรวจตราเฝ้าระวังผืนป่าและชุมชน

“ช่วงแรกเจ้าหน้าที่ธนาคารโลกเข้ามาศึกษา คนแปลไม่รู้ว่าจงใจหรือเข้าใจผิด แปลว่าชาวบ้านเห็นด้วยกับเขื่อน ชาวบ้านตกใจประกาศเสียงตามสาย เรียกกันมาล้อมตีฝรั่งหัวแตก  ช่วงนั้นข่าวก็ออกไปว่าชาวสะเอียบป่าเถื่อน  ชาวบ้านจะยอมมอบตัวทั้งหมู่บ้าน แต่สุดท้ายเจ้าหน้าที่ให้ส่งตัวแทนหกคน เรื่องก็เลยจบ และสุดท้ายธนาคารโลกก็ไม่ให้เงินกู้สร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น”

ประสิทธิพร กาฬอ่อนศรี เป็นคนหนุ่มจากต่างถิ่น แต่งงานสร้างครอบครัวที่สะเอียบมา ๒๐ กว่าปี ปัจจุบันเขาเป็น ๑ ในกรรมการรักษาป่า ๓๐ คนของหมู่บ้านดอนชัย

ธนาคารโลกไม่อนุมัติเงินกู้ให้สร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น แต่ให้กู้สร้างเขื่อนปากมูล ในการพิจารณาครั้งเดียวกัน เขื่อนปากมูลจึงเกิดขึ้นและได้กลายเป็นภาพเปรียบเทียบ

“ชาวบ้านไปดูพื้นที่ได้รับผลกระทบ ไปเห็นคนที่เขื่อนปากมูล ได้คำแนะนำจากผู้ได้รับผลกระทบว่าอย่าให้เขาสร้าง ถ้าสร้างแล้วชุมชนล่มสลาย บ้านแตก พี่น้องแตกแยกกัน”

รวมทั้งออกไปดูพื้นที่ซึ่งทางการเสนอให้เป็นที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ ตามคำเล่าของดารัตน์ “ไปดูที่บ้านแต้ม อำเภอสอง เป็นที่ดอย เป็นโขดหิน พื้นที่น้อยไม่พออยู่ ตอนนั้นชาวบ้านเราก็เยอะแล้ว เดี๋ยวนี้เป็นพันครอบครัว”

Image

“ในหมู่บ้านบริเวณที่เป็นศูนย์กลางของตำบล มีเอกสารสิทธิ น.ส.๓ ก. มาก่อนประกาศอุทยานแห่งชาติแม่ยม  ตอนหลังชาวบ้านโดนหลอกเก็บคืนบอกว่าจะเอาไปออกโฉนด แล้วมาบอกว่าไม่ได้ เป็นเขตอุทยานฯ แล้ว ไม่สามารถเป็นมรดก  ตอนนี้ใครที่ไปมีที่ดินข้างนอกจะหมดสิทธิ์การถือครองที่เดิมในอุทยานฯ  เขาจะเอาคนออกหมด แต่เรายังเอาผักเห็ดหน่อในป่าได้” 

ประสิทธิพรเล่าสถานการณ์ด้านความเป็นอยู่ในปัจจุบันและความตื่นตัวต่อการมาของเขื่อน “เราศึกษาแล้วรู้ว่าสี่หมู่บ้านของตำบลสะเอียบจะอยู่ใต้น้ำหมดเลยทุกหลังคาเรือน  วัดดอนชัยซึ่งอยู่สูง ๒๔๐ เมตรจากระดับทะเลปานกลางจะถูกน้ำท่วมสูง ๑๘ เมตร เพราะระดับกักเก็บของเขื่อน ๒๕๘ เมตรจากระดับทะเลปานกลาง  เรารับรู้มากขึ้น ๆ จนเสียงทั้งหมดในชุมชนเห็นตรงกันว่าไม่อยากให้สร้าง”

จากนั้นมาชาวสะเอียบจึงตั้งขบวนการคัดค้านเขื่อนต่อเนื่องมาร่วม ๓๕ ปี

“พัฒนาแกนนำรุ่นใหม่ขึ้นมาเป็นแผง ใช้กรรมการคัดค้านการสร้างเขื่อน ๑๒๐ คน จากหมู่บ้านละ ๓๐ คน คัดเลือกตัวแทนกันมา  แต่ละหมู่บ้านมีประธาน แล้วมีประธานใหญ่อีกคน ป้องกันการซื้อตัวหรือการฆ่าผู้นำ”
...

ไม่ใช่แต่คนท้องถิ่นซึ่งต้องสูญเสียบ้านช่อง-ที่ไม่เห็นด้วยกับเขื่อน แต่ทั้งข้อมูลจากการศึกษาวิจัยและความเห็นของผู้รอบรู้ทางวิชาการต่างชี้ให้เห็นเชิงเปรียบเทียบระหว่างคุณค่าของป่ากับประโยชน์ที่จะได้จากการสร้างเขื่อน

“ผู้เชี่ยวชาญด้านป่าไม้ส่วนใหญ่จัดให้ป่าบริเวณโครงการแก่งเสือเต้นเป็นป่าสักธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดที่ยังเหลืออยู่ในประเทศไทย”

ตามรายงานการสำรวจผลกระทบการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นที่ธนาคารโลกให้มหาวิทยาลัยมหิดลศึกษา

คนท้องถิ่นเรียกบริเวณนั้นว่าป่าสักทองหรือดงสักงาม ซึ่งมีต้นสักใหญ่ให้เห็นตลอดแนวฝั่งแม่น้ำยมในช่วง ๑๒ กิโลเมตร เหนือจากที่ทำการอุทยานฯ และที่ลึกเข้าไปในหุบเขาตามเส้นทางระหว่างบ้านดอนชัยสักทอง-บ้านพร้าว ที่มีอยู่หนาแน่นอย่างยากจะประเมินมูลค่าด้วยสายตา ตามข้อมูลของอุทยานแห่งชาติแม่ยมระบุว่า “เป็นผืนป่าสักที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย”

ต้นสักทองขนาดเกินโอบยืนต้นกระจายอยู่ทั่วป่า ลำต้นทรงกระบอกเรียบ มีรอยแตกตื้นเป็นร่องตามแนวยาว เรือนยอดกลมหนาทึบด้วยใบเดี่ยวขนาดใหญ่ เรียงตัวตามกิ่งเป็นคู่ ซึ่งจะทิ้งร่วงในฤดูผลัดใบ 

แก่นไม้สักทองจะมีเส้นสีเหลืองแทรกอยู่ เมื่อแปรรูปผิวหน้าไม้จะเป็นลวดลายสวยงาม  เนื้อไม้ไม่แข็งมาก ง่ายต่อการเลื่อย ไส ตกแต่ง แต่ทนต่อการผุกร่อนได้ดี ไม่ฉีกแตกง่าย ทนต่อศัตรูของเนื้อไม้พวกรา มอด ปลวก เมื่อประกอบกับโลหะไม่ทำให้เหล็กเป็นสนิม  นอกจากใช้สร้างบ้านและทำเฟอร์นิเจอร์ สมัยหนึ่งไม้สักถูกใช้เป็นส่วนประกอบของรถยนต์ ตู้รถไฟ และเครื่องบิน รวมทั้งดาดฟ้าเรือ ด้วยคุณสมบัติที่ทนแดดทนฝนและความเค็ม
จากคุณภาพดังกล่าวไม้สักจึงมีราคาแพงกว่าไม้ทั่วไปสี่ถึงห้าเท่าตัว

ส่วนเขื่อนหินถมดาดคอนกรีตอเนกประสงค์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าและชลประทาน ขนาดกักเก็บน้ำ ๑,๑๗๕ ล้านลูกบาศก์เมตร ที่ประเมินมูลค่าเบื้องต้นไว้เกือบ ๓ พันล้านบาท ที่จะสร้างกั้นแม่น้ำยม ใจกลางผืนป่า จะทำให้เกิดอ่างเขื่อนขนาดประมาณ ๔ หมื่นไร่ ซึ่งจะทำให้ดงสักงามที่เป็นหัวใจของป่าสักในอุทยานแห่งชาติแม่ยมจมอยู่ใต้น้ำด้วย

รายงานการสำรวจของมหาวิทยาลัยมหิดลพบพันธุ์ไม้ในบริเวณที่จะถูกน้ำท่วมจากการสร้างเขื่อน ๔๓๐ ชนิด ในจำนวนนี้เป็นสมุนไพร ๑๓๕ ชนิด ซึ่งตัวเลขดังกล่าวอาจแค่ครึ่งหนึ่งของพันธุ์ไม้ที่มีอยู่จริง เนื่องจากในช่วงเวลาที่สำรวจเป็นฤดูที่ไม้ล้มลุกเหี่ยวเฉาไปมากแล้ว

ตามการคำนวณของกรมป่าไม้ มวลไม้ราว ๖๐ ล้านต้นกับต้นไม้ใหญ่อีกกว่า ๒ ล้านต้นจะจมอยู่ใต้เขื่อนคิดเป็นปริมาณ ๔๐๓,๘๘๔.๖๗ ลูกบาศก์เมตร  ขณะที่รายงานการศึกษาของกรมชลประทานระบุว่ามีเพียง ๑๑๒,๒๗๒.๑๙ ลูกบาศก์เมตร

ฝ่ายสนับสนุนอ้างว่าเขื่อนจะช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง ให้ประโยชน์ทางชลประทานแก่ ๑๒ จังหวัดท้ายเขื่อน

แต่ก็ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าพื้นที่ชลประทาน ๓.๐๕ แสนไร่ ที่ว่านั้นอยู่ตรงไหน เพราะในความเป็นจริงพื้นที่ล่างลงมาจากที่ตั้งเขื่อนแก่งเสือเต้นมีฝายแม่ยมซึ่งส่งน้ำให้พื้นที่เกษตร ๑.๘ แสนไร่อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำซ้ำซ้อน

การเสียพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ให้กับการสร้างเขื่อนเป็นการทำลายป่าต้นน้ำที่จะทำให้เกิดปัญหาภัยแล้ง ตามข้อมูลที่เกิดกับพื้นที่เหนืออ่างเขื่อนซึ่งไม่ค่อยมีฝนตก และมีข้อมูลจากการศึกษาของนักวิจัยชาวออสเตรเลียพบว่าน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่มีการระเหยสูงถึงร้อยละ ๔๐

สะเอียบเป็นชุมชนเก่าแก่ในหุบเขาทางตอนเหนือสุดของจังหวัดแพร่ ตั้งบ้านเรือนอยู่แถวสบห้วยแม่สะกึ๋น ไหลลงบรรจบแม่น้ำยม ตามประวัติว่า อายุเกิน ๒๐๐ ปี  หลังยุคสัมปทานป่า ชาวบ้านตั้งกลุ่มอนุรักษ์สะเอียบคอยสอดส่องไม่ให้คนลักลอบตัดไม้ และเฝ้าพื้นที่บริเวณที่ตั้งหัวงานเขื่อน

Image

ป้ายต่อต้านเขื่อนเป็นเหมือนนิทรรศการของบ้านสะเอียบ มานับ ๓๐ ปี พบเห็นได้ทันทีเมื่อเข้าสู่เขตชุมชน ทั้งที่ติดตั้งถาวรอยู่ตามบ้านเรือน และตามวาระโอกาสที่มีกระแสการ “ปลุกผีแก่งเสือเต้น” จากคนในรัฐบาล

นอกจากนี้ลุ่มแม่น้ำยมมีตะกอนจากการพังทลายของหน้าดินสูงมาก ปริมาณตามการประเมินของกรมพัฒนาที่ดินราว ๑๐-๑๕ ล้านตันต่อปี  ความจุน้ำอ่างเขื่อนแก่งเสือเต้น ๑.๒ พันล้านลูกบาศก์เมตร ตะกอนจะเต็มหน้าเขื่อนใน ๒๐ ปี อายุการใช้งานเขื่อนจะไม่ถึง ๕๐ ปีตามที่ตั้งเป้าเอาไว้

ในที่สุดเมื่อปี ๒๕๓๘ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีมติให้ตั้งอนุกรรมการศึกษาผลกระทบด้านระบบนิเวศและธรณีวิทยา เนื่องจากแก่งเสือเต้นตั้งอยู่บนรอยเลื่อนแพร่ ซึ่งยังเป็นรอยเลื่อนมีพลัง (active fault) เสี่ยงเกิดแผ่นดินไหว ดังปรากฏหลุมยุบโบราณเส้นผ่านศูนย์กลางเป็น ๑๐๐ เมตร ใกล้ผาอิงหมอก ห่างที่ตั้งสันเขื่อนขึ้นไปราว ๗ กิโลเมตร ที่คนท้องถิ่นเรียกว่าหล่มด้ง
...

นอกจากนั้นยังมีการศึกษาในมิติอื่น ๆ คู่ขนานกันไปด้วย โดยนักวิชาการผู้ชำนาญการหลายด้าน

ในปี ๒๕๔๗ ท่านผู้หญิง ดร. สุธาวัลย์ เสถียรไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ จากสถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม (GSEI) ได้เปิดเผยผลการวิจัยเรื่อง “การประเมินค่าทางเศรษฐศาสตร์ของป่าไม้ : กรณีศึกษามูลค่าที่ไม่มีการใช้ประโยชน์ของป่าไม้สักในอุทยานแห่งชาติแม่ยมจากการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น”

เป็นการประเมินค่าสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรชีวภาพออกมาเป็นตัวเลข  การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของป่าสักทองแม่ยมในช่วง ๕๐ ปีของอายุเขื่อน

พบว่ามูลค่าของผลิตภัณฑ์ที่คนในพื้นที่ได้กินใช้จากป่า ๒,๓๓๑ บาท

จะสูญเสียมูลค่าการท่องเที่ยวเชิงนิเวศจากการสร้างเขื่อน ๔,๒๑๒ ล้านบาท

มูลค่าของป่าแม่ยมในแง่ต่อจิตใจคนไทยรุ่นนี้และรุ่นต่อ ๆ ไป ๕,๖๘๒ ล้านบาท หากคิดในมูลค่าปัจจุบัน ๒,๑๗๘.๓ ล้านบาท

ตัวเลขจากการศึกษาวิจัยบ่งชี้ว่า ผืนป่าให้ผลตอบแทนสูงกว่ามูลค่าของการมีเขื่อน ซึ่งทางองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และธนาคารโลกประเมินไว้ที่ ๑,๘๐๐ ล้านบาท

แต่ข้อมูลดังกล่าวนี้ไม่ถูกนำมาใช้ประกอบการพิจารณาความเหมาะสมของโครงการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น

ปี ๒๕๕๓ ผลศึกษาเรื่องการพัฒนาโครงการแหล่งน้ำขนาดใหญ่เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม มหาวิทยาลัยมหิดล ชี้ว่า ควรสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นและเขื่อนน้ำยม ทั้งระบุด้วยว่าระหว่างปี ๒๕๔๕-๒๕๕๑ อุทกภัยสร้างความเสียหายในจังหวัดริมแม่น้ำยม ๑.๕ แสนล้านบาท

ต่อมาหลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี ๒๕๕๔ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ยกประเด็นสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากหลายฝ่าย ด้วยเหตุผลจากการศึกษาวิจัยของหลายหน่วยงาน

องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่า เขื่อนแก่งเสือเต้นจะช่วยแก้ปัญหาอุทกภัยได้เพียงร้อยละ ๘ เท่านั้น

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ตอกย้ำว่าการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นไม่คุ้มค่ากับการลงทุน

มหาวิทยาลัยนเรศวรเสนอใช้แผนการจัดการน้ำ ๑๙ แผนงานบูรณาการในลุ่มน้ำยมโดยไม่ต้องสร้างเขื่อนเช่นเดียวกับมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ที่เสนอว่าสามารถจัดการน้ำโดยทำแก้มลิง อ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก จะแก้ปัญหาอุทกภัยได้ผลและคุ้มค่ากว่าการสร้างเขื่อน

แต่ดูจะไม่ใช่ทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นจนถึงระดับชาติ รวมถึงนักจัดการน้ำในคณะรัฐบาลบางคนยังโหม “ปลุกผีแก่งเสือเต้น” ขึ้นมาทุกครั้งที่มีน้ำท่วมแถบภาคกลางตอนบน ซึ่งเป็นช่วงปลายของแม่น้ำยม

“นักวิชาการน้ำชอบเขื่อน เพราะจัดการง่าย แต่ปัจจุบันไม่ใช่ห้วงเวลาที่จะสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ได้อีกแล้ว ขนาดกักเก็บน้ำหลักพันล้านลูกบาศก์เมตรนั้นลืมไปได้เลย หลักร้อยล้านก็ยาก  หลักสิบล้านถ้าชดเชยชาวบ้านไหวก็สร้างได้”

Image

ผศ.ดร. สิตางศุ์ พิลัยหล้า อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้นับเรื่องน้ำเป็นงานวิชาชีพ เนื่องจากร่ำเรียนและทำงานด้านนี้มาตลอด

“ที่จะบอกคือ เขื่อนไม่ใช่ของวิเศษที่มีแล้วน้ำจะไม่ท่วมไม่แล้ง แต่สำคัญที่น้ำท่วมแล้วเราจะจัดการรับมืออย่างไรให้เสียหายน้อยที่สุด  เราแก้ปัญหาน้ำอย่างไรได้บ้างควรทำตรงนั้น  ในเขตเมืองขยายคลองระบายน้ำต่าง ๆ ให้มีศักยภาพ ใช้ทุ่งหน่วงน้ำ ผันน้ำเข้าทุ่งก่อนจะมาถึงตัวเมือง วางแผนการเพาะปลูกให้ชาวบ้านได้เก็บเกี่ยวข้าวก่อนถึงหน้าน้ำ รักษาโบราณสถานไว้ให้ได้ และการเตือนภัยก่อนก็ช่วยลดความเสียหายทางเศรษฐกิจ”

สำหรับแนวคิดสร้างเขื่อนกลางป่าแม่ยม

“การสร้างเขื่อนที่สะเอียบเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว นับหนึ่งทำ EIA ยังทำไม่ได้เลย ป่าสักก็เป็นของที่ทำลายไม่ได้ตอนหลังรัฐอยากสร้างมาก ปรับแผนเป็นสองเขื่อน ยมบน-ยมล่าง หลบบ้านสะเอียบ แต่ก็ยังมีผลกระทบอยู่ดี ชุมชนโดนน้ำล้อม เวนคืนก็ไม่ไหว จะเอาเงินที่ไหนมาชดเชย ความเป็นอยู่เขาดีอยู่แล้ว”


มวลน้ำที่ท่วมลุ่มน้ำยมตอนล่างไม่ได้มาจากทางตอนบนทั้งหมด

อาจารย์สิตางศุ์เปิดให้ดูภาพแสดงพื้นที่ลุ่มน้ำยมทั้งระบบ นึกภาพเปรียบได้กับใบไม้ที่มีลำน้ำยมเป็นเส้นสายใหญ่อยู่กลาง แล้วมีลำน้ำสาขาแตกแขนงแยกย่อยออกไปสองข้างเหมือนเส้นใบ (ไม้) ซึ่งรับการรินหลากของน้ำจากรายรอบพื้นที่ในเขตลุ่มน้ำที่เปรียบว่าเป็นเส้นขอบใบ

ลำน้ำสาขาบางสายมีเขื่อนอยู่แล้ว ขนาดร้อยล้านลูกบาศก์เมตร 

“ลุ่มน้ำยมมี ๑๙ ลุ่มน้ำสาขา จุดที่จะสร้างเขื่อนมีสายน้ำย่อยมาลง ๖-๗ ลำน้ำสาขา อีก ๑๐ กว่าสาขา ไม่ได้เก็บน้ำลงเขื่อน ไหลลงไปสู่ข้างล่าง  จะสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นขนาดกักเก็บน้ำ ๑.๒ พันล้านลูกบาศก์เมตร เก็บน้ำทางเหนือเขื่อน ซึ่งน้ำฝนตามธรรมชาติทั้งปีน้อยกว่าพันล้าน เป็นขนาดโอเวอร์ดีไซน์ ใหญ่เกินความต้องการ ส่วนน้ำอีกหลายพันล้านลูกบาศก์เมตรอยู่ทางท้ายเขื่อน”

Image

“สำคัญที่ฝนจะตกเหนืออ่างเขื่อนหรือเปล่า ถ้าปริมาณฝนมากในลำน้ำสาขาที่อยู่ใต้เขื่อนลงมา เขื่อนก็ไม่ได้ช่วยอะไรในการป้องกันน้ำท่วม” หาญณรงค์ เยาวเลิศ นักพัฒนาเอกชนด้านการจัดการน้ำที่คลุกคลีติดตามกรณีเขื่อนแก่งเสือเต้นมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๖ ให้ข้อมูลอย่างคุ้นเคยกับภูมิศาสตร์แม่น้ำยมโดยไม่ต้องเปิดดูเอกสาร

“ต้นแม่น้ำยมมาจากทางจังหวัดพะเยา ผ่านอำเภอปง อำเภอเชียงม่วน เข้าจังหวัดแพร่ที่อำเภอสอง ที่จะสร้างเขื่อน เลยลงไปมีฝายแม่สอง ผ่านอำเภอหนองม่วงไข่ อำเภอเมือง อำเภอลอง อำเภอวังชิ้น แล้วเข้าสู่อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย อำเภอสวรรคโลก อำเภอศรีสำโรง อำเภอเมือง อำเภอกงไกรลาศ เข้าอำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ไปอำเภอสามง่าม อำเภอโพธิ์ประทับช้าง อำเภอโพทะเล แล้วเข้าจังหวัดนครสวรรค์ ไปบรรจบแม่น้ำน่านที่บ้านเกยชัย อำเภอชุมแสง ซึ่งแม่น้ำน่านตอนบนมีเขื่อนสิริกิติ์อยู่ที่อุตรดิตถ์ แต่น้ำก็ยังท่วมจังหวัดพิจิตร ช่วงนั้นแม่น้ำยมกับแม่น้ำน่านไหลอยู่ใกล้กันราว ๓๐ กิโลเมตร”

จากนั้นชี้ให้เห็นความต่างระดับของแม่น้ำยมทั้งสายซึ่งยาว ๗๙๓ กิโลเมตร 

“ที่ต้นน้ำความสูง ๓๗๐ เมตรจากระดับทะเลปานกลาง ไหลลงมา ๑๑๕ กิโลเมตร ถึงจุดที่จะสร้างเขื่อน ความสูง ๑๙๒ เมตร  จากที่ตั้งเขื่อนไปจนถึงสุโขทัยระยะราว ๓๐๐ กิโลเมตร ความสูงลดเหลือ ๕๘ เมตร แต่จากนั้นไปจนถึงสบน้ำที่บ้านเกยชัยซึ่งมีความสูง ๓๗ เมตร หมายความว่าระยะทาง ๓๐๐ กว่ากิโลเมตรช่วงปลายน้ำ ความต่างระดับเพียง ๒๐ เมตร อย่างไรน้ำก็ต้องเอ่อ เพราะเป็นแอ่งกระทะ แถวศรีสัชนาลัย บางระกำ และแถวในเมืองสุโขทัยแม่น้ำแคบ น้ำผ่านได้หลักร้อยลูกบาศก์เมตรต่อวินาที”

เขาย้ำหนักแน่นว่าไม่ใช่ว่าทุกที่ต้องมีเขื่อนในการแก้ปัญหาน้ำท่วม

Image

ตอนหลังทางการพยายามปรับลดความสูงสันเขื่อนลงมา รวมทั้งแนวคิดที่จะแยกเป็นสองเขื่อน ยมบน-ยมล่าง แต่ท้องถิ่นมองว่าไม่ใช่การแก้ปัญหา

“โครงการยมบน-ล่าง มาจากการแบ่งเขื่อนแก่งเสือเต้นเป็นสองเขื่อน ยมล่างขยับลงไปจากเขตอุทยานแห่งชาติแม่ยม ๕ กิโลเมตร  ในแผนบอกว่าจะเป็นเขื่อนยาวที่สุดในประเทศ สันเขื่อนยาว ๒.๒ กิโลเมตร ของแก่งเสือเต้นเดิมยาว ๘๐๐ เมตร แต่ข้างล่างไม่มีภูเขา ต้องสร้างสันเขื่อนยาว สิ้นเปลืองงบประมาณแค่ไหนก็ขอให้ได้ทำ  ระดับกักเก็บน้ำ ๒๔๐ เมตรจากระดับทะเลปานกลาง น้ำท่วมป่าสัก แต่จะทำคันถนนกั้นไม่ให้น้ำเข้าชุมชน แล้วไปสร้างยมบนอีกเขื่อน เหนือบ้านแม่เต้นขึ้นไป สูง ๒๕๘ เมตร  ทั้งสี่หมู่บ้านไม่ต้องอพยพ แต่เราก็ไม่เห็นด้วย เพราะท่วมซูเปอร์มาร์เกตเราเหมือนเดิม” ประสิทธิพรยืนยันในฐานะเจ้าของถิ่น

ตอนนี้โครงการถูกชะลอค้างคามาตั้งแต่ปี ๒๕๔๐ 

ทุกวันนี้ชาวบ้านสะเอียบยังอยู่กับความวิตกกังวล “เราต้องการหลักประกันที่ยั่งยืน ความเครียดจะได้บรรเทาเบาบางลงบ้าง ไม่ใช่มาโยนใส่บ่าเราแบกไว้แบบนี้แล้วคอย ‘ปลุกผีแก่งเสือเต้น’ มาหลอกหลอนชาวบ้านอยู่ตลอด คนเฒ่าก็เครียดว่าลูกหลานจะอยู่อย่างไรต่อไป”

ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน คือป่าสักทองผืนใหญ่แห่งสุดท้ายของประเทศ ที่จะหาจากไหนได้อีก หากดงสักงามต้องถูกน้ำเขื่อนท่วม  

Image

อ้างอิง
กองบรรณาธิการ. “เขื่อนแก่งเสือเต้น ประเด็นทางด้านธรณี” ใน สารคดี ฉบับที่ ๑๒๙ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๓๘.

เกสร สิทธิหนิ้ว. “๒๒ ปี แก่งเสือเต้น กับคำถามเดิม : จะเอาเขื่อนหรือเอาป่า ?” ใน สารคดี ฉบับที่ ๒๐๗ เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๕.

ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล. “‘คนสะเอียบเป็นคนไทยคนหนึ่ง เราปกป้องถิ่นฐานที่อยู่’ คำให้การของ สมมิ่ง เหมืองร้อง ประธานกรรมการคัดค้านการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น” ใน สารคดี ฉบับที่ ๓๓๙ เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖.

วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์. “เขื่อนแก่งเสือเต้น เมื่อชาวบ้านกับป่าสักคือเหยื่อ” ใน สารคดี ฉบับที่ ๙๕ เดือนมกราคม ๒๕๓๖.

สุเจน กรรพฤทธิ์. “การกลับมาของเขื่อนแก่งเสือเต้น?” ใน สารคดี ฉบับที่ ๓๓๐ เดือนสิงหาคม ๒๕๕๕.

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.). “๖,๐๐๐ ล้านบาทของป่าแก่งเสือเต้น มูลค่าป่าที่ (อยาก) มองข้าม?” ใน สารคดี ฉบับที่ ๒๐๖ เดือนเมษายน ๒๕๔๕.

Image

จากริมหน้าผาทางฝั่งขวาของแม่น้ำยม 
มองเห็นแอ่งหุบเบื้องล่างได้กว้างไกล 
เรือนยอดไม้ไล่หลั่นกันตามความซับซ้อนของทิวเขา 
เรียงรายทอดต่อกันไปจดสันเขาสูงไกลลิบ 
ซึ่งตามข้อมูลของอุทยานแห่งชาติแม่ยมระบุว่า 
ทัศนียภาพผืนป่าสักทองเฉพาะที่มองเห็น
จากจุดชมวิวผาอิงหมอกนี้มีเนื้อที่ราว ๒ หมื่นไร่  
ซึ่งในช่วงปลายปีจะออกดอกสีเหลืองนวล
โดดเด่นเป็นสีสันครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในหุบเขา

๒๕๒๓

กำเนิดโครงการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นส่วนหนึ่งภายใต้อภิมหาโปรเจกต์ผันน้ำกก-อิง-ยม-น่าน

๒๕๒๙

ประกาศพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติแม่ปุง-แม่เป้า ๒๘๔,๒๑๘ ไร่ เป็นอุทยานแห่งชาติแม่ยม

๒๕๓๒

รัฐบาลอนุมัติให้ทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ดำเนินการแล้วเสร็จปี ๒๕๓๗

๒๕๓๘

โครงการเขื่อนแก่งเสือเต้นถูกนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
เพื่อพิจารณา มีการชุมนุมในตัวเมืองแพร่สนับสนุนให้สร้างเขื่อน

๒๕๔๐

รัฐบาลมีมติชะลอโครงการ เนื่องจากกระแสคัดค้านจากหลายฝ่าย

๒๕๔๗

ท่านผู้หญิง ดร. สุธาวัลย์ เสถียรไทย เปิดเผยผลการวิจัยที่ระบุว่า ผืนป่าให้ผลตอบแทนสูงกว่ามูลค่าของการมีเขื่อน

๒๕๕๓

ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยมหิดลอีกชุดชี้ว่า ควรสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นและเขื่อนน้ำยม เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม

๒๕๕๕

หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี ๒๕๕๔ รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หยิบโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้นกลับมาศึกษาอีกครั้ง

๒๕๖๗

รองนายกรัฐมนตรี ภูมิธรรม เวชยชัย กล่าวระหว่างติดตามสถานการณ์น้ำท่วมว่า อยากให้เขื่อนแก่งเสือเต้นเกิดขึ้นภายในปีนี้

ปัจจุบัน

กรมชลฯ ระบุว่าไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับเขื่อนแก่งเสือเต้นแล้ว และชาวบ้านต้องการให้ยกเลิกโครงการโดยมติ ครม.