Image

ขึงกางอวนตาถี่กลางลานหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สี่แยกปทุมวัน กิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ แสดงออกว่าไม่เห็นด้วยกับการใช้อวนตาถี่ล้อมจับสัตว์ทะเล เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๘

เครือข่ายประมงพื้นบ้าน :
ทบทวนแก้กฎหมายมาตรา ๖๙
“เคลื่อนไหว” ให้ทะเล 

เรื่อง : ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล 
ภาพ : บันสิทธิ์ บุณยะรัตเวช, วิจิตต์ แซ่เฮ้ง 

เนื้อหาเดิมของพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๖๙ ระบุว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดใช้อวนล้อมจับที่มีช่องตาอวนเล็กกว่า ๒.๕ เซนติเมตรทำประมงในเวลากลางคืน” แต่ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา เสนอให้เปลี่ยนเนื้อหาเป็น “ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องมืออวนล้อมจับที่มีช่องตาอวนเล็กกว่า ๒.๕ เซนติเมตรทำการประมงในเขต ๑๒ ไมล์ทะเลนับจากแนวทะเลชายฝั่งในเวลากลางคืน เว้นแต่ตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด”

หากการแก้ไขกฎหมายผ่านความเห็นชอบ ในอนาคตการทำประมงนอกเขต ๑๒ ไมล์ทะเล จะสามารถใช้อวนตาถี่ขนาดช่องตาเล็กกว่า ๒.๕ เซนติเมตร และใช้ตอนกลางคืนได้ด้วย

“พวกเรากังวลว่าการแก้ไขมาตรา ๖๙ จะพาทะเลไทยกลับสู่ยุคทะเลร้างอีกครั้ง” ปิยะ เทศแย้ม นายกสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย อธิบายสาเหตุที่เครือข่ายประมงพื้นบ้านออกมาเรียกร้องให้ทบทวนการแก้ไขกฎหมาย... 

การทำประมงแบบทำลายล้าง (destructive fishing) หรือทำประมงเกินขนาด (overfishing) กวาดต้อนล้อมจับสัตว์น้ำทุกชนิดโดยไม่คำนึงถึงขนาดหรืออายุ เคยทำให้ทะเลไทยตกอยู่ในสภาพ “ทะเลร้าง” มาแล้ว

ย้อนกลับไปช่วงปี ๒๕๒๐-๒๕๓๐ ชาวประมงพื้นบ้านที่จับสัตว์น้ำใกล้แนวเขตชายฝั่งต้องแล่นออกเรือไปไกลกว่าเดิม เพราะปริมาณสัตว์น้ำมีไม่มากพอ อันเป็นผลจากการใช้เครื่องมือประมงเชิงพาณิชย์ เช่น อวนลาก อวนรุน อวนล้อม ที่จับสัตว์น้ำได้ทุกขนาดตั้งแต่ลูกปลาเล็ก ๆ ถึงปลาตัวใหญ่ มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น เรือกลประมงขนาดใหญ่ ระบบนำร่อง เครื่องมือค้นหาฝูงปลา รวมถึงลักลอบใช้เครื่องมือผิดกฎหมาย เช่น อวนตาถี่หรืออวนล้อมในเขตชายฝั่ง บางพื้นที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำลายลูกปลาและสัตว์น้ำวัยอ่อนจนทรัพยากรฟื้นตัวไม่ทัน

Image

ป้ายผ้าสื่อสารเจตนารมณ์ บอกเล่าเรื่องราวสู่คนเมืองกรุงที่กำลังเดินอยู่บนสกายวอล์กแยกปทุมวัน

เมื่อต้องออกเรือไกลขึ้น ค่าน้ำมัน ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของชาวประมงพื้นบ้านก็เพิ่มพูน จนต้องละทิ้งอาชีพนี้ หรือไปเป็นลูกจ้างในเรือประมงพาณิชย์แทน 

หลังเกิดวิกฤต กลุ่มประมงพื้นบ้านเริ่มรวมกลุ่มกันเพื่อฟื้นฟูประชากรสัตว์น้ำ อนุรักษ์ฐานทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงเรียกร้องและผลักดันให้ภาคส่วนต่าง ๆ สร้างระบบการทำประมงอย่างยั่งยืน

แต่เนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงในมาตรา ๖๙ กำลังจะทำให้ความพยายามต้องล้มครืน…

“การอนุญาตให้ใช้อวนตาถี่ขนาด ๓-๖ มิลลิเมตร หรือ ‘อวนตามุ้ง’ ล้อมจับสัตว์น้ำตอนกลางคืนโดยใช้แสงไฟล่อ จะทำให้สัตว์น้ำเศรษฐกิจวัยอ่อนติดมา ประเทศของเราจะสูญเสียผลประโยชน์ที่ควรได้รับจากการจับสัตว์น้ำที่มีขนาดโตพอจริง ๆ ปีละนับแสนล้านบาท กลุ่มอุตสาหกรรมประมงพาณิชย์จะเข้ามาตักตวงผลประโยชน์ตรงนี้ ตัดวงจรชีวิตห่วงโซ่อาหาร ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรร่วมของประเทศ” ปิยะอธิบาย

การใช้แสงไฟล่อสัตว์น้ำแล้วตีวงล้อมจับด้วยอวนตาถี่ตามุ้งถูกห้ามมาตลอดหลายสิบปี เพราะมีข้อมูลทางวิชาการยืนยันว่าจะจับเอาสัตว์น้ำเศรษฐกิจวัยอ่อนขึ้นมาด้วยในสัดส่วนสูง ด้วยเขตทะเลระดับ ๑๒ ไมล์ออกไปจากชายฝั่งเป็นแหล่งกำเนิดและอาศัยของสัตว์น้ำเศรษฐกิจวัยอ่อนหลากหลาย 

เครือข่ายนักรบผ้าถุง กลุ่มสตรีจากชุมชนประมงพื้นบ้านเข้าร่วมกิจกรรม “ตามหาใครขโมยปลา และงานศิลป์เพื่อทะเลไทย” เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๘

Image

“ทางสมาคมฯ เห็นว่าการจัดการทรัพยากรธรรมชาติโดยไม่อิงฐานข้อเท็จจริงทางวิชาการ จะเกิดความเสียหายทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรุนแรง ผู้ได้รับประโยชน์เป็นแค่กลุ่มเล็ก ๆ แต่มีผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ยิ่งตราไว้ในกฎหมายพระราชบัญญัติ การปรับปรุงแก้ไขความผิดพลาดยิ่งจะทำได้ยากในอนาคต”

ถึงแม้ฝ่ายที่สนับสนุนการแก้ไขกฎหมายมาตรา ๖๙ จะให้เหตุผลเรื่องเพิ่มศักยภาพในการจับสัตว์น้ำเศรษฐกิจบางชนิด โดยเฉพาะปลากะตัก ช่วยลดการนำเข้า และส่งเสริมอุตสาหกรรมประมงของไทยให้แข่งขันได้มากขึ้น เพราะการแก้ไขกฎหมายให้มีความยืดหยุ่นจะช่วยให้ประเทศไทยใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำได้คุ้มค่า 

แต่ช่วงปี ๒๕๖๗-๒๕๖๘ เครือข่ายประมงพื้นบ้านและนักวิชาการด้านความยั่งยืนยังคงเรียกร้องให้ทบทวนการแก้ไขกฎหมาย ความพยายามสื่อสารสถานการณ์ล่อแหลมของท้องทะเลไทยเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จันทิมา ชัยบุตรดี เครือข่ายนักรบผ้าถุง กลุ่มสตรีจากอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ที่ลุกขึ้นมาปกป้องวิถีชุมชนและทรัพยากรชายฝั่ง กล่าวในกิจกรรม “ตามหาใครขโมยปลา และงานศิลป์เพื่อทะเลไทย” บริเวณลานด้านหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร หัวมุมถนนพญาไทตัดถนนพระรามที่ ๑ ที่เครือข่ายประมงพื้นบ้าน เครือข่ายนักรบผ้าถุง ร่วมกันจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๘ เพื่อแสดงออกว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา ๖๙ 

การทำประมงแบบทำลายล้าง หรือทำประมงเกินขนาด กวาดต้อนล้อมจับสัตว์น้ำทุกชนิดโดยไม่คำนึงถึงขนาดหรืออายุ เคยทำให้ทะเลไทยตกอยู่ในสภาพ “ทะเลร้าง” มาแล้ว

Image

 เครื่องมือสื่อสารที่ตั้งใจทำให้เข้าถึงคนหมู่มาก เครือข่ายประมงพื้นบ้านและผู้เกี่ยวข้องหวังว่าจะช่วยบอกเล่าเรื่องราวสู่สาธารณะ

วิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย ปราศรัยหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เรียกร้องให้สังคมหันมาตระหนักถึงมรสุมที่กำลังรุมเร้า
ชาวประมงพื้นบ้านและท้องทะเลไทย

“ปลาทูที่ควรกินอย่างเอร็ดอร่อย เขาเอาไปให้เป็ดไก่กินตั้งแต่มันตัวเล็ก ๆ ไม่มีโอกาสโตเต็มวัย แล้วปลาชนิดอื่น ๆ ที่อวนตาถี่จะกวาดจากท้องทะเล ปลาอินทรี ปลาจะละเม็ด ปลาเศรษฐกิจทั้งหลายก็ต้องหมดไปเหมือนกัน เราที่เป็นเจ้าของทรัพยากรในประเทศจะกินอะไร”

นักรบผ้าถุงจากแดนใต้กล่าวต่อว่า “อ่าวไทยของเราที่ควรอุดมสมบูรณ์ จะไม่เหลือสิ่งใดเลยเพราะถูกทำลายล้างแบบนี้ คนตัวเล็กตัวน้อยอย่างพวกเรานี่แหละที่ต้องออกมาปกป้องทะเล ทั้งที่เป็นทะเลของคนทั้งประเทศ”

การอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลไม่ใช่หน้าที่เฉพาะของชาวประมงพื้นบ้านเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น ทว่าผู้คนทุกหมู่เหล่าต้องให้ความสำคัญ เพราะเป็นแหล่งอาหาร เป็นฐานทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งที่ภาคประชาชนต้องการคือกฎหมายที่ปกป้องระบบนิเวศทางทะเล 

Image

ทัพพ์ มีทรัพย์วัฒนา นักตกปลาที่ติดตามความคืบหน้าของการแก้ไขพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ แสดงความเห็นในกิจกรรมนี้ว่า “การถูกลิดรอนสิทธิโดยเงียบ ๆ มันไม่ยุติธรรม บางอาชีพอาจหายไปเป็นลูกโซ่ก็ได้”

ทัพพ์เป็นยูทูบเบอร์และอินฟลูเอนเซอร์ที่ผลิตเนื้อหาการตกปลาเชิงอนุรักษ์ และเป็นเจ้าของบริษัทนำเข้าอุปกรณ์ตกปลา เขาเชื่อว่าการตกปลาเชิงอนุรักษ์ช่วยให้คนเข้าใจธรรมชาติและสัตว์น้ำดีขึ้น

“ในมุมมองผมที่เป็นนักตกปลาเชิงอนุรักษ์ อยู่ในธุรกิจตกปลา มีเพื่อนหลายคนทำอาชีพไต๋เรือ ปลาอินทรีเป็นปลาหลักของอ่าวไทยที่นักตกปลาจะออกไปตกกัน ถ้าวงจรชีวิตปลาอินทรีถูกตัดตอน แรก ๆ นักตกปลาอาจจะยังไม่รู้สึก คิดว่าวันนี้อินทรีไม่อยู่นะ หรือยังไม่เข้า จะเอะใจจริง ๆ ก็เมื่อเวลาผ่านไป ๒-๓ ปีว่า อ้าว...อินทรี ไม่มาอีกแล้วเหรอ จนกลายเป็นเรื่องปรกติ หากปลาอินทรีหมดจากทะเลไทย เราก็ต้องไปซื้อปลาจากต่างประเทศ

“ผมขอพูดเรื่องสิทธิในฐานะนักตกปลา ในฐานะนักท่องเที่ยว ที่มีสิทธิ์เข้าถึงธรรมชาติและทรัพยากร เราควรจะมีสิทธิ์เดินออกไปชายน้ำ จูงมือใครสักคนไปหาปลาแล้วเอากลับมากินที่บ้าน  ถ้ามาตรานี้ผ่าน ต่อไปทะเลอาจไม่มีอะไรเหลือให้เรา”

ความพยายามแก้ไขกฎหมายมาตรา ๖๙ เป็นสาเหตุที่ผู้คนออกมาคัดค้าน ไม่เฉพาะเครือข่ายประมงพื้นบ้าน แต่รวมถึงเครือข่ายนักตกปลา นักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ไต๋เรือนำเที่ยว ฯลฯ ด้วย

ชี้ชะตาทะเลไทยว่าจะมีปลาให้จับให้กินถึงรุ่นต่อไปหรือเปล่า...