Image

คุยกันในฝัน

วิทย์คิดไม่ถึง

เรื่อง : ดร. นำชัย ชีววิวรรธน์ namchai4sci@gmail.com
ภาพประกอบ : นายดอกมา

ชื่อบทความ “คุยกันในฝัน” ฟังดูคล้ายชื่อเพลงชวนฝันหรือคำหวานที่คู่รักหยอดใส่กัน แต่ในทางวิทยาศาสตร์ยังมีคำถามเกี่ยวกับ “ความฝัน” ที่อยากตอบให้ได้อยู่จำนวนหนึ่ง และเมื่อเทคโนโลยีดีมากขึ้นเรื่อย ๆ คำถามที่ดูไม่น่าเป็นไปได้อย่างเช่นการคุยกันในความฝันของคนสองคนก็อาจเป็นไปได้มากขึ้นเรื่อย ๆ

มาดูการทดลองที่อาจช่วยตอบคำถามว่า “คนสองคนคุยกันในฝันได้หรือไม่ ?”

งานวิจัยชิ้นแรกตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. ๒๐๒๑ ในวารสาร Current Biology โดยนักวิจัยหลักจากมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา การทดลองนี้พยายามพิสูจน์ว่าคนที่นอนหลับจะรับข้อมูลและตอบคำถามนักวิจัยที่ตื่นอยู่ได้หรือไม่ ผ่านการสื่อสารเรียลไทม์

ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน ฝรั่งเศส เยอรมัน และเนเธอร์แลนด์ แสดงให้เห็นว่าคนที่ตื่นอยู่อาจถามคำถามง่าย ๆ กับอาสาสมัครที่นอนหลับ แล้วให้อาสาสมัครตอบด้วยการกลอกตา โดยกำหนดว่าถ้าเลือกข้อ A ให้กลอกตาซ้าย-ขวา แต่ถ้าเลือกข้อ B ให้กลอกตาขึ้น-ลง

ขอปูพื้นสักนิด ขณะนอนหลับนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงกับสมองและร่างกายหลายรูปแบบ การทดลองแบบที่เล่านี้ทำในขั้นตอนจำเพาะที่เกิดการกลอกตาอย่างรวดเร็วระหว่างนอนหลับเรียกว่า REM (rapid-eye-movement) sleep ซึ่งกล้ามเนื้อทั้งร่างจะเหมือนเป็นอัมพาต มีก็แต่ดวงตาเท่านั้นที่กลอกได้

สิ่งสำคัญคือช่วงเวลาดังกล่าวเราจะฝันแจ่มชัดมาก ที่พิเศษกว่านั้นคือเป็นจังหวะที่เรา “รู้ตัว” ว่าฝันอยู่ เป็นนาทีทอง
ที่นักวิจัยนำมาใช้เรียกว่าเกิดความฝันรู้ตัว (lucid dreaming)

แต่นี่ไม่ใช่เรื่องปรกติทั่วไปที่พบได้ในทุกคน การทดลองจึงลำบากเล็กน้อย นักวิจัยจำเป็นต้องประกาศรับอาสาสมัครที่เคยมี “ความฝันรู้ตัว” หรืออาจเลือกอาสาสมัครมาฝึกฝนจนเกิดความฝันแบบนี้ได้

พอได้อาสาสมัครที่เหมาะสมแล้วก็ต้องเตรียมการเล็กน้อย ก่อนที่อาสาสมัครล้มตัวลงนอนต้องฝึกวิธีสื่อสาร โดยอุปกรณ์ตรวจการกลอกตาเป็นเซนเซอร์พิเศษและพ่วงด้วยการสังเกตการเคลื่อนไหวบนใบหน้าประกอบ

ยกตัวอย่างในการทดลองดังกล่าว หากนักวิจัยถามว่า ๘ ลบ ๖ ได้เท่าไร คำตอบที่ถูกต้องคือ ๒ อาสาสมัครก็ต้องกลอกตาจากซ้ายไปขวาสองหน (ซ้าย-ขวา ซ้าย-ขวา) จากนั้นนักวิจัยจะถามซ้ำ อาสาสมัครก็จะต้องกลอกตาแบบเดิม

เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้วก็เริ่มการทดลองกัน

มีอาสาสมัคร ๓๖ คน ทำการทดลองรวม ๑๕๘ ครั้ง ผลลัพธ์คือ ราว ๑๘ เปอร์เซ็นต์ตอบถูกต้อง มี ๑๘ เปอร์เซ็นต์ตอบกำกวม ขณะที่ตอบผิดมีราว ๓ เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก ๖๑ เปอร์เซ็นต์ ไม่มีผลตอบสนองใด ๆ

ผู้เข้าร่วมการทดลองแต่ละคนเห็นอะไรในฝันขณะถามตอบกันแน่ ?

บ้างฝันว่ากำลังตอบคำถามอยู่ บางคนรู้สึกราวได้ยินเสียงกระตุ้นจากภายนอกฝัน แต่ก็มีคนที่รู้สึกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของความฝันนั้นเลย โดยปรับเปลี่ยนให้เข้ากับเนื้อหาอื่นที่เกิดขึ้นอยู่

บางรายถึงกับบอกว่าคำถามที่ได้ยินนั้นให้ความรู้สึกเหมือนพระเจ้ามาพูดคุยด้วยทีเดียว !

นักวิจัยชี้ว่าการค้นพบนี้เป็นโอกาสใหม่ ๆ ที่จะได้ข้อมูลเกี่ยวกับความฝันแบบเรียลไทม์ และอาจนำไปดัดแปลงได้ ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งอาจมีการรักษาแบบที่เรียกว่า “บำบัดด้วยความฝัน (dream therapy)” เพื่อรับมือผู้ป่วยที่ฝันร้าย (แบบรู้ตัวแน่ชัดว่าเป็นความฝัน)

เท่านั้นยังไม่พอ หากมีวิธีสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้ ไม่แน่ว่าฝันรู้ตัวแบบนี้อาจมีประโยชน์ในการสร้างแรงบันดาลใจทางศิลปะหรือความคิดสร้างสรรค์บางรูปแบบได้ด้วย เราอาจเคยได้ยินเรื่องที่คนเก็บโจทย์ปัญหายาก ๆ ไปฝันและได้คำตอบที่ถูกต้อง  การประยุกต์ใช้ประโยชน์ในแง่นี้อาจสร้างคุณูปการได้มากทีเดียว

แม้ทั้งหมดนี้เป็นการสื่อสารสองทางแล้ว แต่ก็ยังมีความจำกัดของรูปแบบอยู่มาก และฝ่ายหนึ่ง (คือนักวิจัย) ไม่ได้หลับด้วย  คำถามคือมีการทดลองอะไรที่แสดงถึงการสื่อสารสองทางของคนสองคนที่หลับอยู่บ้างหรือเปล่า ?

บริษัทสตาร์ตอัปในซิลิคอนแวลลีย์รัฐแคลิฟอร์เนีย ชื่อเร็มสเปซ (REMspace) ให้ข้อมูลการทดลองสื่อสารสองทางโดยคนที่หลับอยู่แบบ lucid dream ซึ่งทางบริษัทประสบความสำเร็จ ใช้เครื่องมือช่วยทำให้ส่ง “ข้อความ” บางอย่างระหว่างกันได้

ก่อนหน้านี้บริษัทพัฒนาเซนเซอร์ที่บันทึกค่าที่ตรวจวัดได้ระหว่างฝัน แล้วจัดทำเป็น “ภาษาความฝัน” พิเศษ โดยตั้งชื่อว่าเร็มไมโอ (Remmyo) ต่อมาวันที่ ๒๔ กันยายน ค.ศ. ๒๐๒๔ ทำการทดลองที่น่าทึ่ง โดยวัดสัญญาณสมองจากอาสาสมัครชายที่นอนอยู่บ้าน เมื่อเข้าสู่ความฝันระยะ REM และเกิดความฝันรู้ตัวแล้ว ระบบก็ส่งคำที่สุ่มเลือกในรูปแบบเร็มไมโอผ่านทางหูฟัง

ในความฝันอาสาสมัครชายต้องทวนคำที่ได้ยิน ซึ่งระบบจะจัดเก็บสัญญาณสมองไว้  อีก ๘ นาทีต่อมาอาสาสมัครหญิงที่พร้อมอยู่ในความฝันแล้วเช่นกัน ก็จะได้รับสัญญาณข้อความจากอาสาสมัครชาย

อาสาสมัครหญิงต้องยืนยันคำตอบเมื่อเธอลืมตาตื่นขึ้น ซึ่งเธอก็ตอบได้ถูกต้อง  นี่จึงเป็นการทดลองครั้งแรกสุดของโลกที่คนสองคน “สื่อสารความฝัน” ได้จริง มีหลักฐานการทดลองชัดเจนและหนักแน่นพิสูจน์ให้เห็นได้ ทางบริษัททำคลิปแอนิเมชันแบบง่าย ๆ อธิบายการทดลองนี้ไว้ที่นี่ ไปรับชมกันได้

ความสำเร็จนี้ไม่ได้มาอย่างง่ายดาย นักวิจัยของบริษัทหมกมุ่นทำการทดลองเกือบ ๕ ปี กว่าจะพัฒนาเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ดีพอจะใช้สื่อสาร

การประยุกต์ใช้งานความรู้เรื่องนี้ในระยะยาวน่าจะทำได้กว้างขวาง ตั้งแต่เรื่องการสื่อสาร การศึกษา ความบันเทิง จนถึงการบำบัดรักษา แม้ว่าอาจจะต้องศึกษาผลเสียและจริยธรรมควบคู่ไปด้วย

ขั้นตอนต่อไปที่ทางบริษัทหมายมั่นปั้นมือคือจะทำให้การสื่อสารแบบนี้เกิดขึ้นแบบเรียลไทม์ ไม่ต้องผ่านการบันทึกก่อนแล้วส่งให้อีกที ซึ่งก็น่าจะยากขึ้นพอสมควรทีเดียว