เป็นมิตรกับความเหงา
Holistic
เรื่อง : ภัสน์วจี ศรีสุวรรณ์
ภาพประกอบ : zembe
ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าความเหงาเป็นหนึ่งในอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ แต่หากมีอยู่และไม่สามารถจัดการได้ นานวันเข้าอาจเปลี่ยนเป็นความเศร้าและวิตกกังวล ความเหงามีผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพอย่างรุนแรง โดยมีงานวิจัยเปรียบเทียบว่าเท่ากับสูบบุหรี่ ๑๕ มวน หรือดื่มแอลกอฮอล์ ๖ แก้วต่อวัน
งานวิจัย “สำรวจความเหงาในสังคมไทย” ที่เปิดเผยในงาน “สัปดาห์การฟังแห่งชาติ” โดยธนาคารจิตอาสา ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ดำเนินการโดย รศ.ดร. สมบุญ จารุเกษมทวี อาจารย์คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะ ระบุว่าการเก็บกลุ่มตัวอย่างจากคนทั่วไปกว่า ๘๖๔ คน อายุตั้งแต่ ๑๘-๗๕ ปี ซึ่งมีความหลากหลาย พบว่าร้อยละ ๖๕ ตอบว่า “เหงาปานกลาง” ขณะร้อยละ ๑๗ บอกว่า “เหงาน้อย” และร้อยละ ๑๘ ระบุว่า “เหงามาก ๆ” ซึ่งคล้ายกับตัวเลขที่เคยสำรวจพบในสหรัฐอเมริกาเมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว ขณะที่ปัจจุบันตัวเลขของสหรัฐฯ คาดการณ์ว่ามีไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๔๐ ที่เหงามาก
ผลการวิจัยพบว่า “ทุกวัยเหงาได้” ไม่ว่าวัยรุ่น วัยเรียน วัยทำงาน หรือผู้สูงอายุ ระดับการศึกษาไม่ได้เป็นปัจจัยบ่งชี้ว่าใครเหงามากกว่าใคร “เรียนสูงก็เหงาได้” และสังคมเมืองเหงามากกว่าคนที่อยู่สังคมนอกเมืองเล็กน้อย
ทั้งนี้ความเหงาเป็นเรื่องคุณภาพของความสัมพันธ์ที่สำคัญกว่าปริมาณ การมีคนสนิทในครอบครัวหรือเพื่อนสนิทจำนวนมากไม่ได้หมายความว่าความเหงาจะลดลง การแต่งงาน การมีคู่หรือแฟนไม่ได้รับประกันว่าจะไม่เหงา แต่คุณภาพของคนที่อยู่ข้าง ๆ จะช่วยจัดการความเหงาได้มากกว่า
ผลวิจัยที่น่าตกใจคือร้อยละ ๒๐ (หนึ่งในห้า) ของผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึกว่าเอไอเข้าใจตนเองดีกว่าคนในครอบครัว
และร้อยละ ๑๗ รู้สึกว่าเอไอเข้าใจตนเองดีกว่าเพื่อน โดยคนกลุ่มนี้มีคะแนนความเหงาสูงกว่ากลุ่มอื่น ซึ่งก่อนวิจัย นักวิจัยคาดว่าตัวเลขนี้ควรจะเป็นศูนย์ ผลลัพธ์นี้แสดงถึงปัญหาการขาดผู้ฟังหรือคุณภาพความสัมพันธ์ภายในครอบครัวไม่ดีนัก
ในงานเสวนา “สัปดาห์แห่งการฟังแห่งชาติ” ซึ่งเน้นทำกิจกรรมภายใต้แนวคิด “ทุกปัญหาดีขึ้นด้วยการฟัง” นักจิตวิทยาระบุว่าการฟังเป็นจุดเริ่มต้นที่ถูกต้องในการจัดการและดูแลความเหงา อันนำไปสู่สุขภาวะทางปัญญาได้ ซึ่งหมายถึงความสุขจากการรู้จักและเข้าใจตนเอง รวมถึงการเชื่อมโยงกับคนรอบข้างและธรรมชาติ
ในงานวิจัยระบุว่า มีสี่ตัวแปรหลักที่ช่วยลดความเหงาได้ โดยหากทำรวมกันสามารถลดความเหงาได้ถึง ๖๐ เปอร์เซ็นต์
หรือเกินครึ่ง คือ
๑. การสนับสนุนทางสังคม โดยเฉพาะ “การรับฟังโดยไม่ตัดสิน” ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและไม่มีค่าใช้จ่าย ลดความเหงาได้ในระดับที่สูงมาก
๒. การเรียนรู้ที่จะควบคุมและกำกับอารมณ์ของตนเอง ด้วยความเหงาก็คืออารมณ์อย่างหนึ่ง
๓. การมีชีวิตที่มีความหมายและแบ่งปันความหมายนั้นแก่ผู้อื่น
๔. เข้าร่วมกิจกรรมที่ทำให้ผู้คนได้เชื่อมโยงและช่วยเหลือกัน
ขณะที่พระไพศาล วิสาโล ได้เขียนหนังสือ เป็นมิตรกับความเหงา แนะนำให้เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อความเหงาจากศัตรูหรือสิ่งรบกวน สู่การเป็นเพื่อน เป็นโอกาสและครูที่สอนให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เราอยู่กับตัวเองได้อย่างสงบ ไม่ว่าจะอยู่คนเดียวหรือในสังคมก็ตาม
ทั้งนี้ผู้คนยุคปัจจุบันมีสิ่งเร้ามาก เช่น โทรศัพท์มือถือ โซเชียลมีเดีย งาน ไปเที่ยว เมื่อสิ่งเร้าน้อยลง หรือยามพัก จิตใจจึงว่างจนรู้สึกว่าอยู่คนเดียวแล้วไม่มีอะไรดึงดูด ต้องออกไปแสวงหาสิ่งเร้าจากภายนอกอีกครั้ง วนเวียนเป็นวงกลมเช่นนี้
“ความเหงาไม่จำเป็นต้องหมายความว่า ‘เราเป็นคนเหงา’ เสมอไป เพราะหากเรารู้จักอยู่กับมันได้ เราจะสามารถอยู่กับตัวเองได้อย่างสงบ ทำได้โดยมีสติรู้กาย รู้ใจ พึงรู้ว่า ‘กาย’ เคลื่อนไหวอย่างไร ‘ใจ’ คิดอย่างไร รู้เวทนา เช่น เมื่อรู้สึกเหงาก็รู้ว่า ‘กูเหงา’ โดยไม่คิดว่าเป็นความผิด” พระไพศาลกล่าวไว้ในหนังสือ
วิธี “เป็นมิตรกับความเหงา”
• แทนที่จะวิ่งหนีความเหงา หรือพยายามหลีกเลี่ยง โดยหาสิ่งอื่นมาทดแทน (งาน กิจกรรม สังคม มือถือ) ให้เรียนรู้ว่า “ความเหงาเกิดขึ้นได้” เป็นธรรมดา และจะไม่ทุกข์ถ้ามีท่าทีเหมาะสม คือไม่ต่อต้าน ไม่หลีกหนี แต่รู้เท่าทัน
• ให้เปรียบความเหงาเสมือน “อาคันตุกะ (แขก)” ที่มาเยือน เมื่อเราเป็นมิตรกับแขก เขาก็อยู่ได้แบบไม่รบกวน และจากไปด้วยดี
• ยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ไม่ผลัก ไม่ปฏิเสธ พยายาม “รับรู้” ให้ได้ว่านี่คือความรู้สึก ไม่ใช่ตัวเราโดยแท้
• ฝึกให้ใจเป็นมิตรกับตัวเอง ไม่เช่นนั้นเราจะไม่มีทางอยู่กับตัวเองได้อย่างสงบ แม้จะมีเพื่อนมากมาย
• ใช้เวลาปลีกวิเวกออกจากสิ่งเร้าบ้าง เช่น หาสถานที่อยู่กับตัวเอง เมื่อเจอความเหงาก็เรียนรู้จากมัน