ยั่งยืน
จากบรรณาธิการ
ไม่กี่ปีมานี้ทุกคนได้ยินคำว่า “ยั่งยืน” กันบ่อยๆ แต่ความหมายของคำนี้แท้จริงเป็นอย่างไรแน่
ยิ่งน่าสับสนเมื่อคำว่า “ยั่งยืน” ถูกใช้ต่อท้ายกิจกรรมต่าง ๆ
เสียแทบทุกอย่าง เช่น การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน การทำเหมืองแร่อย่างยั่งยืน การลงทุนอย่างยั่งยืน การใช้พลังงานอย่างยั่งยืน ฯลฯ
คำถามคือเป็นความยั่งยืนของใคร ของอะไร และอย่างไร
คำเต็มของ “ยั่งยืน” มาจาก “การพัฒนาอย่างยั่งยืน” แปลจากภาษาอังกฤษ sustainable development ซึ่งประชาคมโลกนิยามขึ้นครั้งแรกใน ค.ศ. ๑๙๘๗ ว่าคือ “แนวทางการพัฒนาที่ตอบสนองความต้องการของคนรุ่นปัจจุบัน โดยไม่ลิดรอนความสามารถในการตอบสนองความต้องการของคนรุ่นหลัง”
ความต้องการของมนุษย์อย่างหยาบ ๆ หรือตามปัจจัยพื้นฐานก็คือปัจจัย ๔ อาหาร-น้ำดื่มน้ำใช้ บ้านเรือนที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่มยารักษาโรค รวมถึงความต้องการอื่น ๆ ที่จับต้องไม่ได้ อย่างอากาศบริสุทธิ์ ไม่มี PM 2.5
ทั้งหมดที่มนุษย์ต้องพึ่งพาล้วนมาจากธรรมชาติ ตั้งแต่ดิน หิน ทราย น้ำใต้ดิน แม่น้ำ ทะเล ป่า พืช แมลง สัตว์ ฯลฯ
แต่ถ้าใครค้นหาคำอธิบายเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าต้องประกอบด้วยสามมิติ คือ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ใช้แผนผังวงกลมสามวงขนาดเท่ากันที่ทับซ้อนกันตรงกลางสื่อถึงการดูแลทั้งสามมิติอย่างสมดุลไปพร้อม ๆ กัน
ฟังดูดี ทว่าในความจริง ทุกองค์กรทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชน ต่างต้องการตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นทุก ๆ ปี ไม่มีใครอยากเห็นตัวเลขคงเดิมอยู่กับที่ ยิ่งไม่ต้องการเห็นตัวเลขติดลบ แน่นอนว่า สังคม และโดยเฉพาะสิ่งแวดล้อมหรือธรรมชาติ ซึ่งไม่มีปากเสียงที่สุด คือผู้ต้องเสียสละ (ถูกบังคับ) ให้กับการเติบโตทางมิติเศรษฐกิจ
ที่พูดว่าดูแลให้สมดุลสามด้าน จึงเป็นเพียงภาพลวงตาของการชดเชยสังคมด้วยกิจกรรม CSR ชดเชยการทำลายพื้นที่ธรรมชาติด้วยการปลูกต้นไม้ ซึ่งไม่อาจเทียบคุณค่าทางระบบนิเวศแทนกันได้
ความจริงความยั่งยืนแบบสมดุลสามมิติเป็นเพียงคำอธิบาย
แบบหนึ่งเท่านั้น ในทางวิชาการยังมีความยั่งยืนแบบอื่น ซึ่งภาครัฐและธุรกิจไม่ค่อยอยากพูดถึง คือความยั่งยืนบนฐานมิติสิ่งแวดล้อม ให้มิติเศรษฐกิจและสังคมสำคัญรองลงไป
ความยั่งยืนสองแบบนี้ต่างกันแทบจะคนละขั้ว และส่งผลให้ความแข็งแรงของความยั่งยืนแตกต่างกันด้วย
ความยั่งยืนแบบสมดุลสามมิติจัดเป็นความยั่งยืนที่ค่อนไปทางอ่อน (weak sustainability) เอามนุษย์เป็นตัวตั้ง มองธรรมชาติเป็นทุนหรือทรัพยากรที่มนุษย์ใช้ เพื่อมุ่งหวังการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ความยั่งยืนบนฐานมิติสิ่งแวดล้อม จัดว่าค่อนไปทางแข็งแรง (strong sustainability) เอาธรรมชาติเป็นตัวตั้ง เห็นธรรมชาติมีคุณค่าในตัวของมันเอง ไม่ใช่แค่ทุนของมนุษย์ การเติบโตทางเศรษฐกิจทำได้ถ้าธรรมชาติไม่ตกอยู่ในอันตราย
นอกจากมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังมีอีกมิติที่สำคัญของความยั่งยืนซึ่งไม่ค่อยพูดถึงเช่นกัน คือมิติวัฒนธรรม เช่น ความหลากหลายของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่น ความตระหนักถึงพลังของผู้บริโภค วัฒนธรรมประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกกลุ่ม ฯลฯ
สารคดี ฉบับนี้พาผู้อ่านมาทบทวนขบวนการคนรากหญ้าที่มักถูกปฏิบัติจากภาครัฐและกลุ่มทุนผู้กุมอำนาจเศรษฐกิจว่าเป็น “ม็อบชาวบ้าน” เป็นพวกขัดขวางการพัฒนาประเทศ แต่คำถามคือโครงการพัฒนานั้นเป็นแบบใด
การพัฒนาอย่างยั่งยืนที่เข้มแข็ง ยั่งยืนอย่างลวงตา หรือยั่งยืนอย่างฟอกเขียว ทำลายธรรมชาติและสังคม
ทุกปีจะมีรางวัลด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน มอบให้หน่วยงานและองค์กรธุรกิจต่าง ๆ เป็นที่เชิดหน้าชูตาของกลุ่มทุนชั้นนำในสังคม ขณะที่ขบวนการคนรากหญ้าซึ่งต่อสู้มาอย่างยาวนานก่อนที่คนไทยจะได้ยินคำว่า “ยั่งยืน” บางคนต้องสละชีวิต เพื่อปกป้องฐานทรัพยากรธรรมชาติและวิถีวัฒนธรรมท้องถิ่น อันเป็นรากฐานที่แท้จริงของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ไม่เคยได้รับการเอ่ยถึง
เมื่อรัฐและกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเอ่ยคำว่า “ยั่งยืน” จึงต้องตั้งคำถามให้ดีว่าหมายถึงอะไร
สุวัฒน์ อัศวไชยชาญ
บรรณาธิการบริหารนิตยสารสารคดี
suwatasa@gmail.com
ฉบับหน้า : The Other
เสียงของความหลากหลาย
ภาพ : ธีรเมธ เชิดวงศ์ตระกูล