Image

...
การปรากฏตัวของเยาวชนเป็นสัญญาณแห่งความหวังว่าการเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคมและประชาชนยังไม่ดับสูญ

NEW GENERATIONS
คลื่นลูกใหม่ในขบวนการประชาชน

INTERVIEW

สัมภาษณ์ : ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล
ถ่ายภาพ : ประเวช ตันตราภิรมย์
ขอขอบคุณ : กมล สุกิน และ ศิริรุ่ง ศรีสิทธิพิศาลภพ

ยะห์
ไครียะห์ ระหมันยะ 

คนรุ่นใหม่จากอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ที่เคลื่อนไหวต่อต้านโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ ปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้านริมฝั่งทะเล ผ่านการประท้วงและต่อสู้อย่างสันติวิธี เช่น ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ปักหลักที่ทำเนียบรัฐบาล ให้ผู้มีอำนาจรับฟังเสียงชุมชนที่ต้องการกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง 

กอล์ฟ
พชร คำชำนาญ 

นักเคลื่อนไหวที่เรียกร้องสิทธิการใช้ชีวิตในป่าอันเป็นถิ่นฐานเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ ขับเคลื่อนประเด็น “สิทธิในที่ดิน” และ “ความเป็นธรรม” ผ่านการสื่อสารเชิงนโยบาย พร้อมตั้งคำถามต่อโครงสร้างรัฐที่ละเมิดสิทธิคนชายขอบ

ดวงแก้ว
พรชิตา ฟ้าประทานไพร 

เยาวชนหญิงจากบ้านกะเบอะดินอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ที่ต่อต้านโครงการเหมืองถ่านหินในถิ่นเกิด เธอเป็นกระบอกเสียงของชุมชนบนภูเขาที่ไม่ต้องการให้การพัฒนาแลกมาด้วยการทำลายสิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต และอนาคตของลูกหลาน

น้ำนิ่ง
อภิศักดิ์ ทัศนี 

ผู้ประสานงานกลุ่ม Beach For Life  กลุ่มเยาวชนที่จับประเด็นสิ่งแวดล้อมชายหาด การอนุรักษ์ชายฝั่ง สร้างองค์ความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบจากการก่อสร้างกำแพงกันคลื่น การใช้อำนาจทางกฎหมาย โดยแปลงเรื่องยากให้คนทั่วไปเข้าใจง่ายเพื่อสร้างความตระหนักรับรู้ในวงกว้าง

อะไรคือแรงบันดาลใจหรือจุดเริ่มต้น
ให้คุณเข้ามาอยู่บนเส้นทาง
การขับเคลื่อนภาคประชาสังคม

กอล์ฟ-พชร คำชำนาญ : 

วันแรกที่ได้ยินคําว่าสิทธิชุมชน ผมรู้สึกแปลกประหลาดแล้วก็ว้าวมาก  ตอนนั้นเรียนอยู่ปี ๔ นิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ภาควิชาวารสารสนเทศ ไปทําวารสารเรื่องโรงไฟฟ้าเทพา แล้วก็ไปที่อีอีซี แต่ละพื้นที่เขาพูดเรื่องสิทธิชุมชน ที่ผ่านมาเราพูดเรื่องสิทธิเสรีภาพของเราคนเดียว เวลาเห็นชาวบ้านรวมตัวกันแล้วบอกว่าเป็นสิทธิของทั้งชุมชน ไม่ใช่แค่คนแต่รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติ ปลาในทะเล น้ำ  มีข้อตกลงร่วมกัน สร้างความเหนียวแน่น สร้างความเปลี่ยนแปลงได้เป็นเรื่องใหม่มากสำหรับเรา แล้วก็ตัดสินใจเข้าเป็นอาสาสมัครมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ องค์กรที่ทํางานเรื่องสิทธิชุมชนในบริบทคนบนพื้นที่สูง เป็นจุดเริ่มต้นจนถึงวันนี้

น้ำนิ่ง-อภิศักดิ์ ทัศนี :

น่าจะเป็นสงขลาฟอรัม ภาคประชาสังคมในพื้นที่จังหวัดสงขลา เมื่อก่อนมีบางกอกฟอรัม สงขลาฟอรัม ปัตตานีฟอรัม ผมโตมาจากแนวคิดภาคประชาสังคมแบบนั้น ซึ่งเป็นภาคประชาสังคมที่ทํางานร่วมกับรัฐ

แต่พอเห็นปัญหาเรื่องชายหาด ตัวปัญหากลับเป็นรัฐที่ออกนโยบาย กำหนดกฎหมายทางเดียวทั้งประเทศ เราไม่อยากให้ประเทศเรามีแต่กำแพงกันคลื่น เชื่อว่านโยบายจัดการชายหาดที่ดีคือเก็บรักษาชายหาดไว้ จะป้องกันแผ่นดินอย่างไร มันคนละเรื่อง

มีหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับงานภาคประชาสังคมที่อ่านแล้วติดใจมากคือ การเมืองเพื่อประชาชน (Politics for People) ของ เดวิด แมทธิวส์ พูดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน รัฐ ชุมชน  ถ้าเราจะสร้างภาคประชาสังคมที่เข้มแข็ง แล้วทํางานต่อต้านรัฐด้วย พร้อมเสนอสิ่งที่ดีกว่าด้วยได้ไหม หรือบางครั้งร่วมกับรัฐบ้างก็ได้ เช่น เสนอโฉนดชุมชน วิธีแก้ปัญหาด้วยการรื้อกําแพงกันคลื่น มันจะเป็นไปได้หรือเปล่า

Image

ดวงแก้ว-พรชิตา ฟ้าประทานไพร :

ปัญหาที่ชุมชนกำลังเผชิญคือมีโครงการเหมืองถ่านหินเข้ามาในหมู่บ้าน คนในชุมชนไม่รู้ว่าถ่านหินมีประโยชน์หรือส่งผลกระทบอย่างไร แต่หน่วยงานก็ประกาศจะทำเหมืองถ่านหินพื้นที่ ๒๘๔ ไร่ ๓๔ ตารางวา ให้ชาวบ้านที่อยู่ในรัศมีตามกฎหมายระบุไปรับฟังความคิดเห็น เราเห็นข่าวในสื่อ ตั้งคำถามว่าคืออะไร จนวันหนึ่งมีเครือข่ายยุติเหมืองแร่ถ่านหินซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาสังคมเข้ามา คนในพื้นที่ช่วยกันส่งเสียงว่าไม่เห็นด้วย เพราะถ้ามีเหมืองจะส่งผลกระทบต่อชีวิต ทรัพยากรธรรมชาติที่ทํากิน ลําห้วย ทําให้เราลุกขึ้นมาต่อสู้ร่วมกับคนในชุมชนโดยมีองค์กรภาคประชาสังคมสนับสนุน คิดประเด็นเคลื่อนไหว เรียกว่าเป็นงานจัดตั้งก็ได้

ตอนแรก ๆ เขามาเคาะประตูถึงบ้าน ชวนแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ติดตั้งธงตามบ้าน มีงานถอดบทเรียน ไม่รู้เลยว่าสิ่งเหล่านี้เรียกการเคลื่อนไหว เขาถามรู้สึกอย่างไร มีข้อกังวลอะไร ก็ตอบไม่ได้

หลังจากนั้นก็เข้าร่วมกิจกรรม ออกแบบว่าจะทําอย่างไรไม่ให้มีเหมือง ทํางานกันหนักมากเพื่อไม่ให้เกิดเวทีรับฟังขอประทานบัตรทำเหมืองถ่านหิน ต้องทําความเข้าใจแก่คนในหมู่บ้านทางผ่านรถขนถ่านหินให้ไม่เห็นด้วยแล้วมาร่วมกับเรามาก ๆ

ยะห์-ไครียะห์ ระหมันยะ :

รับรู้ว่าบ้านเกิดกำลังจะสร้างท่าเรือน้ำลึก พอเห็นแผนที่ เป็นชายหาดที่เราวิ่งเล่นทุกวัน หลังคาสีแดงคือบ้านเรา หลังท่าเรือเป็นสวนแตงของพ่อ กังวลว่าจะไม่มีพื้นที่เหล่านี้อีก โตขึ้นก็รู้ว่าไม่ได้เพิ่งมีการต่อสู้แค่รุ่นเรา เคยสู้ตั้งแต่สมัยท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย รักษาปกป้องกันมาได้ถึงขนาดนี้

เราต้องการให้คนรุ่นหลังหรือรุ่นตัวเองได้หายใจ กินอาหารปลอดภัย ยิ่งมีอะไรกดทับมากยิ่งเหมือนเป็นสิ่งที่ต้องทํา อยู่ในสถานการณ์ที่ชาวบ้านโดนสลายการชุมนุมยิ่งทําให้เห็นว่าคนออกไปแสดงเจตนาเขามีแค่มือเปล่า อยากยืนยันจุดยืนเรื่องสิทธิชุมชนเพื่อปกป้องพื้นที่ทํากิน พื้นที่หายใจ

คนรุ่นใหม่มีบทบาทอย่างไรในการขับเคลื่อนประเด็นทางสังคม มีจุดแข็งและข้อจำกัดอะไร

กอล์ฟ-พชร คำชำนาญ : 

คนรุ่นใหม่ไม่ได้เป็นแค่มดงาน แต่ทํางานในฐานะนักสร้างสรรค์ขบวนการเคลื่อนไหวที่เข้ากับยุคสมัย เพื่อดึงคนรุ่นใหม่ในภูมิภาคต่าง ๆ ให้สนใจประเด็นที่ภาคประชาสังคมทํา  ข้อ ๒ อีกบทบาทสําคัญคือต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงในองค์กร คล้าย ๆ รีแบรนด์องค์กรให้ตรงกับคุณค่าที่คนรุ่นใหม่ยึดถือ ซึ่งอาจต่างจากที่คนรุ่นก่อนสร้างไว้

จุดแข็งคือเขาเกิดในยุคนี้ เข้าใจความต้องการในเรื่องคุณค่าของคนยุคนี้ อย่างการออกแบบขบวนการ คนรุ่นใหม่ทําได้ดีมากในการสื่อสารกับคนรุ่นเดียวกัน จนสร้างแรงกระเพื่อมได้

ในส่วนข้อจํากัด ความที่เติบโตมาในยุคที่สถานการณ์การเมืองไม่แน่นอน ส่งผลกระทบแก่เราในทุกด้าน โดยเฉพาะเรื่องปากท้อง ถ้าไม่สามารถดูแลปากท้องตัวเองได้ หรือหากองค์กรใดไม่มีที่ทางให้คนรุ่นใหม่เป็นได้มากกว่ามดงาน เขาอาจถอดใจ หลุดออกจากขบวนนี้

น้ำนิ่ง-อภิศักดิ์ ทัศนี :

บ้านของผมเจอนิคมฯ ชุมชนของผมเจอกำแพงกันคลื่น นี่คือภาวะที่คนรุ่นใหม่ในชนบทหลายคนเจอ ขณะคนเมืองอาจรู้สึกต่อประเด็นทางการเมืองมากกว่า ผมเห็นนักกิจกรรมหลายคนเคลื่อนไหวเรื่องประชาธิปไตยแล้วพอลงพื้นที่พบปัญหาของชุมชนต่าง ๆ ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องเดียวกัน

บทบาทคนรุ่นใหม่ในขบวนการทางสังคมไม่ได้จัดตั้งแบบเมื่อก่อน เป็นการเรียนรู้จากโซเชียลมีเดีย โดนกดจากรัฐแล้วเข้าไปอยู่ในขบวนการ เกิดจุดแข็งคือความหลากหลาย ตั้งแต่ระดับขาลอยพูดเรื่อง climate change จนถึงเรื่องชุมชน หรือเรื่องประชาธิปไตยแก้ไขรัฐธรรมนูญ กับเศรษฐกิจชุมชน การพัฒนาชุมชน ต่อต้านกลไกโครงการพัฒนา ซึ่งหลายเรื่องก็ทําได้ดีเพราะตอบสนองต่อยุคสมัย

จุดอ่อนหรือปัญหาคือคนรุ่นใหม่ยึดถืออุดมการณ์ ความเชื่อ แตกต่างจากคนรุ่นเก่า ให้คุณค่าต่อประชาธิปไตยมาก รวมถึงความเท่าเทียม สิทธิเสรีภาพ แต่เมื่อไปอยู่ในวัฒนธรรมองค์กรแบบเดิม แม้แต่เรื่อง LGBTQ+ อาจไม่ได้รับการยอมรับ เป็นการปะทะกันทางชุดความคิด ถามว่ามีผลต่อการเคลื่อนไหวไหม ในเชิงประเด็นอาจไม่มี ยังค้านเขื่อนเหมือนกัน แต่ในเชิงคอนเซปต์ของสังคมนั้นเป็นความน่ากังวล

ดวงแก้ว-พรชิตา ฟ้าประทานไพร :

เรียกว่าเป็นยุคเปลี่ยนผ่าน คนรุ่นเก่าพยายามให้คนรุ่นใหม่มีบทบาท ทํางานในองค์กรในแต่ละประเด็น เพราะกระบวนการต่อสู้อาจใช้เวลาเป็น ๑๐ ปี ๒๐ ปี หรือ ๓๐ ปี มีปัญหาให้แก้ไขเรื่อย ๆ มีประเด็นให้ติดตามต่อ

จุดแข็งคือคนรุ่นใหม่มีความคิดสร้างสรรค์ นำทักษะต่าง ๆ มาปรับใช้ทํางานภาคประชาสังคมได้ ไม่ว่าการรณรงค์ งานสื่อสาร ผ่านทาง Instagram หรือ TikTok ซึ่งพวกเขาเข้าถึงสื่อเหล่านี้ เทียบกับพี่ ๆ เอ็นจีโอยุคก่อนจะไม่ได้ใช้ทักษะดังกล่าว

จุดอ่อนหรือข้อจำกัดคือคนรุ่นใหม่บางคนอาจสนใจเรื่องปากท้องมากกว่าประเด็นทางสังคม ซึ่งบางทีก็ไม่ได้มีพื้นที่เยอะ นอกจากนี้ก็ต้องปรับตัวเข้ากับคนรุ่นเก่า คนที่มีแนวคิดไม่เหมือนกัน ถ้าเขาไม่ฟังความคิดเราก็ยากจะไปด้วยกันได้

ยะห์-ไครียะห์ ระหมันยะ :

การสื่อสารกับผู้ใหญ่ที่ไม่มีกําแพงสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ การต่อรองเพื่อขับเคลื่อนประเด็นกับหน่วยงาน ถ้าไปด้วยเจตนารมณ์ของเราจริง ๆ ง่ายกว่าที่ผู้ใหญ่บอกให้พูด อาจเปลี่ยนแปลงมุมมองของคนให้เงินทุนได้ด้วย  บทบาทของเยาวชนเหมือนพวกเราพูดภาษาเดียวกันเลยรวมตัวกันง่าย

เยาวชนที่มีโอกาสเข้ามาอยู่ในจุดที่สามารถเสนอนโยบายได้ในระดับหนึ่งมักผ่านการคัดกรองมาแล้ว อาจสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ซึ่งสะดวกต่อการรับรู้ข่าวสารเพื่อนำไปต่อยอดกับงานที่ตัวเองทำ อีกทั้งยังได้เปรียบกว่าเยาวชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจริง ๆ แต่ไม่มีคอนเนกชัน ทั้ง ๆ ที่องค์ความรู้บางอย่างยังเข้าไม่ถึงด้วยซ้ำ  นี่แหละคือปัญหาของเยาวชนพื้นบ้านที่บางทีถูกกดอีกหลายชั้น

Image

ภาคประชาสังคมในวันนี้
กำลังเผชิญความท้าทายใดบ้าง 

กอล์ฟ-พชร คำชำนาญ : 

หนึ่ง ความยากในการทําให้ประเด็นที่เราทํางานจนเชี่ยวชาญได้รับความเข้าใจจากสาธารณชน เช่นเรื่องชาติพันธุ์ ทําอย่างไรให้กลายเป็นฉันทามติของสังคมว่าคนกับป่าอยู่ร่วมกันได้

สอง พอเป็นสถานการณ์ที่ต้องอาศัยพลังในการมีส่วนร่วมของคนจํานวนมาก จะเห็นว่าภาคประชาสังคมด้วยกันก็ไม่มีเอกภาพ ด้วยช่วงหลังรัฐปรับรูปแบบเข้ามาทํางานกับเอ็นจีโอ หรือยึดที่ดินของชาวบ้านในลักษณะอะลุ่มอล่วย ภาคประชาสังคมบางส่วนที่ไม่ได้เชื่ออีกแล้วว่าเขาสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ ก็เข้าไปเป็นกลไกส่วนหนึ่งของรัฐ หรือเป็นประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานรัฐเสียเอง ทําให้ขบวนการของภาคประชาสังคมในปัจจุบันอ่อนแอ

น้ำนิ่ง-อภิศักดิ์ ทัศนี :

ความท้าทายเรื่องภาคประชาสังคมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ จริง ๆ แล้วอาจไปไกลกว่าไม่ได้เชื่อมั่นว่าตัวเองสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ คือเขาไม่ได้เชื่อมั่นและศรัทธาต่อคุณภาพของประชาธิปไตยที่จะพัฒนาขึ้นเวลาเราทํางาน วันนี้ต้องยอมรับว่านักเคลื่อนไหวหรือภาคประชาสังคมหลายกลุ่มกลายเป็นส่วนขยายของกลุ่มทุน ของรัฐ ของศาล ดูเหมือนเขาไม่ได้เชื่อมั่นในสิ่งที่เรียกว่า social movement ความท้าทายลำดับที่ ๒ คือแหล่งทุนมีผลต่อการเคลื่อนไหว เรามีหม้อข้าวอยู่ไม่กี่ใบ แล้วทุกคนก็วิ่งเข้าหาหม้อข้าวนี้ ต้องปรับตัวตามทุนที่เขากําหนด ทําให้ภาคประชาชน ไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องตอบสนองอุดมการณ์ของคนให้องค์กรไหนพยายามยืนหยัดด้วยตัวเองมักไปไม่รอด 

ดวงแก้ว-พรชิตา ฟ้าประทานไพร :

คนรุ่นใหม่สนใจงานภาคประชาสังคมหรืองานเอ็นจีโอน้อย อาจเพราะไม่รู้ว่ามีงานด้านนี้ เราเองก็ไม่รู้ถ้าไม่เจอเรื่องเหมืองถ่านหินที่บ้าน คิดว่าคนทํางานสายนี้ต้องมาจากสิ่งที่ตัวเองเจอ หรือเคยเรียนแล้วสนใจ เคยเข้าร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัย เคยทำงานกับองค์กรเหล่านั้น หรือไปทํางานในพื้นที่ ต้องมีประสบการณ์บ้าง

เรื่องเงินทุนก็ทําให้คนรุ่นใหม่ไม่เข้ามาทํางานกับองค์กรภาคประชาสังคม เพราะทุนที่ไม่ได้ต่อเนื่อง ค่าตอบแทนไม่สมเหตุสมผลนัก สวัสดิการต่าง ๆ แทบไม่มี

ยะห์-ไครียะห์ ระหมันยะ :

เรื่องของกฎหมาย กรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พอนักกิจกรรมเคลื่อนไหวก็จะมีการเข้าไปแทรกแซง รวมถึงกฎหมายพิเศษ เมื่อก่อนตรวจดีเอ็นเอคนเข้าร่วมกิจกรรม เยาวชนที่เป็นผู้นำ ตอนนี้รัฐเปลี่ยนวิธีเป็นเข้าทางครอบครัว ทําให้รู้สึกถูกกดดันกว่าเดิม เพื่อนเราเสียชีวิตโดยข่าวบอกว่าเกี่ยวกับโจรใต้ ซึ่งเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการนั้น เขาเป็นนักเคลื่อนไหวทางสิ่งแวดล้อม ไม่ได้รับความเป็นธรรมทางกฎหมาย แค่อยากแสดงเจตนารมณ์อย่างมีสิทธิเสรีภาพก็ไม่อาจทําได้

ที่น่ากังวลกว่านั้นคือกฎหมายพิเศษในพื้นที่และกําลังจะมีกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษเข้ามา ยิ่งทําให้ภาคประชาชนเคลื่อนไหวยาก

มีวิธีใดที่ทำให้การทำงานเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น ทั้งในเชิงเนื้อหาและรูปแบบการเคลื่อนไหว

กอล์ฟ-พชร คำชำนาญ : 

ในเชิงเนื้อหากับการเคลื่อนไหว ผมและเพื่อน ๆ ไม่ชอบวิธีมานั่งเลกเชอร์เพื่อให้เข้าใจประเด็นนั้น ๆ  เราจะดึงกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน สนใจประเด็นทางสังคมเข้ามา ช่วยออกแบบการเคลื่อนไหว สอดแทรกประเด็นที่เราขับเคลื่อน เช่น คัดค้านกฎหมายที่กระทบวิถีชีวิตของคนอยู่กับป่า โดยดึงน้อง ๆ คนรุ่นใหม่ทั้งในชุมชนกับคนเมืองให้มาเจอกัน โดยมีพี่ ๆ เป็นโซ่ข้อกลาง ค่อย ๆ สอดแทรกเรื่องสิทธิเพื่อเป็นโจทย์ให้เขาร่วมออกแบบขบวนการเคลื่อนไหว

อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเข้าร่วมขบวนหรือเรียนรู้เนื้อหา ต้องทําให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของเขา แล้วค่อย ๆ เรียนรู้ไปด้วยกัน

น้ำนิ่ง-อภิศักดิ์ ทัศนี :

ผมไม่เชื่อเรื่องการจัดตั้ง ให้เข้าไปหาน้อง ๆ ในมหาวิทยาลัยผมไม่ทํา ผมคิดว่าโดยมโนสํานึกคนเราอยากช่วยเหลือผู้อื่นอยู่แล้ว เห็นสิ่งไม่ถูกต้องก็อยากทําให้ดีขึ้น เห็นธรรมชาติถูกรบกวนก็อยากช่วยฟื้นฟูดูแล ฐานความคิดผมเป็นแบบนี้ ดังนั้น Beach For Life จะไม่จัดตั้งมวลชนแต่เราทำงานกับสาธารณะ เราจะเล่าเรื่องชายหาดแบบที่อยากเล่า ซึ่งก็มีคนอินบ็อกซ์ว่าเขาช่วยถ่ายภาพให้ได้ เขามีโปรเจกต์นี้มาร่วมด้วยไหม หรือเข้ามาเรียนรู้งานกับเรา มีลักษณะนี้เยอะมาก บางคนเข้ามาแป๊บหนึ่งก็ย้ายไปแวดวงอื่น เราเป็นองค์กรอาสาสมัคร ไม่มีเงินจ่ายให้ใคร เราพยายามทําอย่างไรก็ได้ให้ประเด็นของเรากว้างขวาง ไปถึงคนหมู่มาก แล้วเขาจะรู้สึกอยากช่วยด้วยความสามารถ ความรู้ หรือสิ่งที่มี เพื่อช่วยกันสื่อสาร

ทุกวันนี้ประเด็นการต่อสู้มีหลากหลาย ภาคประชาสังคมแบบที่เป็นขบวนการเหลืออยู่ไม่มากนัก อาจมีแค่ P-move กับสมัชชาคนจน อย่างกรณี Beach For Life ก็น่าจะเรียกการรณรงค์มากกว่า

เราจะทําให้ประเด็นได้รับการรับรู้เยอะ ๆ เพื่อให้คนมีส่วนร่วม แต่เข้ามาแล้วจะตีกันภายในหรือเปล่าเป็นอีกเรื่อง หน้าที่เราคือเปิดพื้นที่ให้เขาทําบางอย่าง อาจสร้างความเปลี่ยนแปลง หรือเป็นงานรณรงค์เล็ก ๆ ในสิ่งที่เขาอยากทํา

ดวงแก้ว-พรชิตา ฟ้าประทานไพร :

ในเชิงพื้นที่หรือชุมชนที่ได้รับผลกระทบ องค์กรภาคประชาสังคมเข้าไปหาคนรุ่นใหม่ได้นะ โดยเฉพาะคนที่ยังอาศัยในชุมชน  ถ้าเป็นคนที่ออกมาเรียนหรืออยู่ข้างนอกเรามองว่ามีส่วนน้อยที่เขาจะกลับมาบ้าน เพราะเขาต้องดิ้นรนต่อไป

อย่างกรณีกะเบอะดิน พี่ ๆ ทีมองค์กรภาคประชาสังคมจะเข้ามาหาชาวบ้าน รวมถึงคนรุ่นใหม่ที่ยังอยู่ในพื้นที่ สร้างความเข้าใจให้มีชุดความคิดเรื่องสิทธิ ผลกระทบที่จะเกิดแก่ชุมชนว่าเรามีสิทธิ์ที่จะปกป้องพื้นที่ตรงนี้ มีสิทธิ์ที่จะรู้ มีสิทธิ์ที่จะฟ้อง เหล่านี้เป็นข้อกฎหมายที่ทําให้คนรุ่นใหม่เข้าใจ กล้าเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้น

ปัจจุบันเราคิดว่าคนรุ่นใหม่ชอบทํางานด้านสิทธิมากขึ้น แล้วก็ชอบอยู่ในพื้นที่ธรรมชาติ สายน้ำ ป่าเขาถ้าวันหนึ่งคนรุ่นใหม่กลับมาพัฒนาชุมชน มีคนนอกสนใจเข้าไปเรียนรู้ มายาคติหรือวาทกรรมต่าง ๆ ที่มองคนในป่าว่าตัดไม้ทําลายป่า เผาป่า หรือก่อให้เกิดฝุ่น PM 2.5 จะเปลี่ยนไปในอนาคต

ยะห์-ไครียะห์ ระหมันยะ :

ตอนอยู่มหาวิทยาลัยเคยชวนเยาวชนกลุ่มเล็ก ๆ มาทํากิจกรรมกัน  จากเห็นนาร้างที่ยังใช้ประโยชน์ได้ เราเริ่มจากทํานา ฟื้นฟูหน้าดิน ให้นักวิชาการหรืออาจารย์มหาวิทยาลัยในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ช่วยสนับสนุนข้อมูล แต่เยาวชนเป็นผู้นำการฟื้นฟูทรัพยากรบ้านตัวเอง  วันที่จะดำนาเชิญองค์กรกิจกรรมต่าง ๆ จากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มาทํางานด้วย หลังจากนั้นก็แลกเปลี่ยนกันว่าเราจะคัดค้านโรงไฟฟ้าชีวมวลผ่านการดำนานี่แหละ เพราะถ้าสร้างโรงไฟฟ้า น้ำไม่สามารถไหลมาหล่อเลี้ยงนาได้ แล้วก็พูดถึงข้อเสนอในการทํางานภาคประชาสังคม

โดยให้เยาวชนเรียนรู้สิทธิของตัวเองก่อน ว่าเขามีสิทธิ์ทําอะไรในบ้านของเขาบ้างเพื่อเชื่อมโยงกับประเด็นการพัฒนา ทั้งสายทํางานในพื้นที่ สายออกไปต่อต้าน ด้วยพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีความละเอียดอ่อนหลายจุด ต้องคุยให้ชัดเจน บางทีต้องแบ่งบทบาท เป็นความท้าทายอย่างหนึ่งในการทํางานกับเยาวชน

บทบาทของภาคประชาสังคมควร
เปลี่ยนแปลงอย่างไรเพื่อให้ตอบโจทย์
สภาพสังคมและการเมือง
ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วในปัจจุบัน

กอล์ฟ-พชร คำชำนาญ : 

บริบทสังคมตอนนี้คือสิทธิเสรีภาพหดหาย นักเคลื่อนไหวถูกคุกคามทั้งแบบโต้ง ๆ และแนบเนียน บทบาทของภาคประชาสังคมอย่างแรกคือทําหน้าที่เป็นเครื่องด่า หมายถึงต้องวิพากษ์วิจารณ์ คอยส่งเสียง วิเคราะห์ว่าถ้านโยบาย กฎหมาย หรือแนวปฏิบัติของรัฐออกมาแบบนี้จะแสดงออกอย่างไร แทนที่จะไปร่วมกับรัฐ ควรตีให้แตกแล้วเสนอแนวทางใหม่ ๆ ต่อสังคม  ส่วนบทบาทที่ ๒ ผมคิดว่าในสังคมเรา ภาคประชาสังคมหลายคนค่อนข้างหมดไฟ ทั้ง ๆ ที่มีหน้าที่ต้องเสนอทางเลือกหรือทําให้สังคมกลับมามีความฝันใหม่อีกครั้ง ยกตัวอย่างเรื่องที่ดิน เราจะไม่บอกว่ามีแค่ที่ดินรัฐกับที่ดินปัจเจกหรือที่ดินโฉนด แต่จะบอกสังคมว่าเรายังสามารถจัดการแบบสิทธิชุมชนได้ด้วย 

น้ำนิ่ง-อภิศักดิ์ ทัศนี :

ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเลย แค่มีจุดยืน จะเอาอย่างไรต้องชัด ว่าขบวนการทางสายสิ่งแวดล้อม ป่าไม้ ที่ดิน คุณจะมองทรัพยากรเป็นของรัฐหรือของประชาชน

จุดยืนเป็นส่วนสำคัญ ภาคประชาสังคมต้องไม่เป็นส่วนขยายของรัฐ ไม่ทําให้อํานาจรัฐขยายเกินขอบเขต แต่มีหน้าที่ทําให้ภาคประชาชนเข้มแข็งแล้วก็จัดการตัวเองได้ ไม่ไปเป็นส่วนขยายของทุนโดยเข้าร่วมโฆษณาหรือทําซีเอสอาร์ให้ ไม่ไปเป็นส่วนขยายของระบบตุลาการที่ทําให้ระบบตุลาการใหญ่โต 

แค่มีจุดยืนมั่นคง แล้วทํางานในแบบที่คุณเชื่อก็ทําให้สังคมเปลี่ยนแปลงได้  

อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นปัญหาคือภาคประชาสังคมที่ทำงานเชิงประเด็นเป็นหลัก ควรต้องมองโครงสร้างและคุณภาพของประชาธิปไตยไปพร้อม ๆ กัน เพราะจะทําให้เกิดความเข้มแข็งและเติบโตเพื่อถ่วงดุลกับรัฐและทุนได้

Image

ดวงแก้ว-พรชิตา ฟ้าประทานไพร :

ภาคประชาสังคมควรมีจุดยืนเหมือนกันเพื่อให้ไปด้วยกันได้ ตอนนี้มีสองส่วน ส่วนที่ทํางานเชิงประเด็นกับเชิงโครงสร้าง องค์กรที่ทําเชิงประเด็นบางทีก็ไม่ได้แตะโครงสร้าง ทั้งที่ปัญหาอยู่ตรงนั้น เวลาคนรุ่นใหม่สนใจเรื่องโครงสร้างก็จะมีข้อท้วงติงกลับมาว่าห้ามแตะ เดี๋ยวกระทบองค์กรบ้าง หรืออาจเป็นภัยความมั่นคง แต่ถ้าไม่พูดเขารู้สึกว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ สุดท้ายต้องแยกกันไปคนละทิศคนละทาง แล้วปัญหาก็ไม่คลี่คลายสักที 

เคยมีรุ่นพี่คนหนึ่งคุยกับเรา บอกชอบการทำงานของดวงแก้วนะ รู้สึกว่าดวงแก้วเติบโตมาโดยไม่ต้องมีใครกํากับ หมายถึงว่าฉันจะพูดประเด็นไหนก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ทําหรือแตะเชิงโครงสร้างได้ ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับมีคนรุ่นใหม่บางคนถูกกํากับไว้ภายใต้โครงสร้างองค์กรที่ทำงานเชิงประเด็น ถูกเซนเซอร์ถึงพูดได้แค่นี้ ไม่งั้นจะมีปัญหาเรื่องทุนหรือความปลอดภัยขององค์กรบ้าง ซึ่งเราไม่ได้แคร์เรื่องนี้เลย ถ้าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อไปให้ถึงจุดที่เปลี่ยนแปลงได้

ยะห์-ไครียะห์ ระหมันยะ :

การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งภาคประชาสังคมมักมองเป้าหมายอย่างเดียว เวลาอยู่ในม็อบ อยู่ในขบวนการหรือวงพูดคุยขอให้คํานึงถึงเด็กและเยาวชนด้วย บางสถานการณ์ ยกตัวอย่างสลายการชุมนุม เด็กและเยาวชนอาจไม่ได้รับความปลอดภัย

การมุ่งทำงานเชิงประเด็นทำให้ภาคประชาสังคมไม่ได้มารวมกันสักที เหมือนเวลาเขียนกฎหมาย หรือเขียนแผนนโยบายการพัฒนา ยังแยกส่วนว่านี่เป็นกฎหมายสิ่งแวดล้อม นั่นเป็นของสภาพัฒน์ ส่วนอันนี้เกี่ยวกับนักการเมือง ถ้าคุยแบบตรงไปตรงมาว่าจริง ๆ ปัญหาคือชุดความเชื่อและแนวคิด แล้วไปแก้จุดนั้น คิดว่าหาทางออกได้ ไม่ใช่แก้ไขเฉพาะประเด็นที่ฉันกําลังทำ

ถ้ามีโอกาสส่งสารถึงคนรุ่นใหม่ที่สนใจจะลุกขึ้นมาทำงานเพื่อสังคม คุณอยากบอกอะไรพวกเขา

กอล์ฟ-พชร คำชำนาญ : 

คิดถึงบรรยากาศปี ๒๕๖๓-๒๕๖๔ ช่วงที่ประเด็นการเมืองกับประเด็นชุมชนเข้าใกล้กันมาก เกิดพลังสร้างสรรค์ ช่วยกันส่งเสียง จนหลายครั้งยันได้หลายเรื่อง เช่น กรณีบางกลอย ถ้าไม่ได้คนรุ่นใหม่ที่ตื่นตัวทางการเมือง เรื่องประชาธิปไตย เราตายเลยนะ ตอนนั้นไม่ต้องนิยามว่าเป็นภาคประชาสังคมหรืออะไร แค่มีความมุ่งมั่นอยากเปลี่ยนแปลงสังคมก็ออกมารวมกันเป็นพลังใหญ่

ข้อแรกคือไม่ต้องเข้ามาอยู่กับเราก็ได้ ขอให้ช่วยกันส่งเสียง จะรวมตัวเรียกร้องก็ได้ หรือแค่เข้าใจ 

ข้อ ๒ อย่าฝากสังคมไว้กับคนรุ่นก่อน ยากที่เขาจะเปลี่ยน ถ้าจะเรียกร้องจากนักการเมืองเก่า ๆ หน่วยงานรัฐ หรือพี่ ๆ เอ็นจีโอ อาจทําได้แค่วิพากษ์วิจารณ์

ถ้าอยากอยู่ในสังคมแบบไหนก็ลุกขึ้นมาสร้างด้วยตัวเอง เพื่อหวังว่าสังคมที่เราและคนรุ่นต่อไปต้องอยู่จะดีขึ้น

น้ำนิ่ง-อภิศักดิ์ ทัศนี :

คนรุ่นใหม่โดยพื้นฐานอยากอยู่ในสังคมที่ดี อะไรไม่ดีไม่ว่าคนรุ่นใหม่หรือรุ่นเก่าก็อยากมีส่วนร่วมแก้ไข ประเด็นคือเราได้ลงมือทําหรือเปล่า คนรุ่นใหม่อาจคิดเยอะ แต่อยากให้ลองทํา เพราะนี่คือการเรียนรู้ชีวิต แล้วยอมรับความผิดพลาด วิพากษ์วิจารณ์ และก็ปรับแก้ ถ้าเป็นแบบนี้สังคมจะน่าอยู่ขึ้นมาก

อีกข้อหนึ่งในการทํางานประเด็นจะเยอะมากเพราะรัฐกดเราพร้อมกันหลาย ๆ เรื่อง ทุนก็กดเรา สิ่งที่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างไม่ถูกพูดถึง สงสารกลุ่มที่วิ่งเรื่องแก้รัฐธรรมนูญนะ กลุ่มที่เหลือก็ทำงานฉีกกันไป ทั้งที่จริงปัญหาเชิงประเด็นที่เราเจอก็คือปัญหาโครงสร้าง

อย่างกําแพงกันคลื่นคือผลของสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีซึ่งเราไม่ได้มีส่วนร่วมกําหนด  ผมฟ้อง ๑๐ คดีโดยใช้สิทธิชุมชนก็เกี่ยวโยงกับรัฐธรรมนูญ ถ้ารัฐธรรมนูญไม่ดีเราไม่มีทางมีชายหาดที่ดีได้ ฉะนั้นปัญหาการเมือง รัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตย และสิ่งแวดล้อม คือเรื่องเดียวกัน 

ดวงแก้ว-พรชิตา ฟ้าประทานไพร :

อยากให้ลุกขึ้นมาพูดในสิ่งไม่ยุติธรรม กล้าเผชิญหน้า และเปิดเผยความจริง

เราอยากให้คนรุ่นใหม่เข้าใจความเป็นชุมชน เรื่องคนอยู่กับป่า เวลาน้ำท่วม มีประเด็นเรื่องไฟป่า เขาก็จะบอกว่าเพราะคนบนดอย ฉะนั้นต้องให้ย้ายออกมาทั้งหมดจริง ๆ แล้วไม่ใช่คนเหล่านี้เหรอที่ดูแลพื้นที่ตรงนั้น ในเมืองต่างหากมีแต่ตึกหรือพื้นที่ที่ใช้พลังงานเยอะ 

ถ้าวันหนึ่งทุกคนเห็นภาพเหมือนกันว่าปัญหาหลัก ๆ ล้วนเกิดจากรัฐและทุน ก็จะเป็นการเปลี่ยนผ่านที่ดี แล้วสามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้

ยะห์-ไครียะห์ ระหมันยะ :

อยากให้เห็นคุณค่าในเสียงของตัวเอง กรณีนิคมอุตสาหกรรมจะนะ พวกเราเป็นชาวบ้าน ตอนนั้นเราเดินขบวน แต่คนจับมือทำเป็นกําแพงคือกลุ่มประชาธิปไตยหรือกลุ่มเยาวชนซึ่งเราคิดถึงมาก อยากให้พวกเขากลับไปดูคุณค่าของตัวเองตอนนั้นว่า แต่ละเสียงไม่ว่าอยู่ตรงไหน ก็ร่วมแสดงพลังด้วยกันได้ แม้จะอยู่ในห้องเรียน แค่กดทวิตเตอร์ ก็คือการรวมพลังอย่างหนึ่ง 

จริง ๆ รัฐกลัวเสียงเยาวชนมากเลยพยายามสร้างสถานการณ์ เอาข้อกฎหมายมาข่มขู่

ในมหาวิทยาลัยก็มีขบวนการที่สามารถสื่อสารประเด็นปัญหาภายในชุมชนของตัวเอง จากเชิงพื้นที่ขึ้นมาสู่ระดับนโยบาย กล้าอ่านแถลงการณ์ นำเสนอสิ่งที่ต้องการ

คิดถึงบรรยากาศตอนนั้น อยากให้เกิดขึ้นอีกครั้ง

อะไรทำให้คุณยังไม่ล้มเลิกหรือก้าวออกจากการทำงานภาคประชาสังคม

กอล์ฟ-พชร คำชำนาญ : 

ข้อแรก คิดว่าสิทธิชุมชนเป็นคําตอบคือทางรอดของสังคมไทย  สอง อยู่ตรงนี้ยังทําอะไรต่อได้ ถ้าวันหนึ่งรู้สึกไม่มีประโยชน์กับขบวนหรือองค์กร หรือไปต่อไม่ได้ก็จะเลิก แต่ ณ ปัจจุบันยังสนุกกับงานนี้มาก 

อีกอย่างผมรู้สึกว่าเราทํางานเพื่อตัวเอง เพราะเราไม่สามารถอยู่ในสังคมที่ถูกบีบให้เหลือแค่วัฒนธรรมเดียว นโยบายเดียว มีที่ดินแบบเดียว หรือมีปฏิสัมพันธ์กันแบบเดียว เราทําสิ่งนี้เพื่อสังคมที่เรากับคนรุ่นหลังอยากอยู่

น้ำนิ่ง-อภิศักดิ์ ทัศนี :

ความฝันตอนเด็กคือเอาหาดสมิหลากลับมาจากกําแพงกันคลื่น ต้องการเห็นหาดสวย ๆ ซึ่งตอนนี้กลับมาแล้ว พอโตก็โลภขึ้น อยากเห็นหาดที่อื่นทั่วประเทศด้วย ผมคิดเรื่องสังคมที่ยังมีสูตรสําเร็จแบบเดียวเกินไป ทั้งที่ในความเป็นจริงมีหลากหลาย เราเสนอทางเลือกได้ ผมอาจไม่มีแรงทําหลายเรื่อง มีแรงแค่ชายหาด ก็อยากบอกว่าหาดมฤคทายวันควรฟื้นฟูระบบนิเวศแบบนั้น หาดชลาทัศน์ควรทําแบบนี้ หาดท้ายเหมืองควรปล่อยไว้ไม่ต้องทําอะไร ซึ่งรัฐไม่เคยให้เราทําแบบนั้นได้ จะมีวิธีเดียวหรือแค่สองทางให้เราวิ่งตาม เป็นมุมที่ยังต้องทําต่อ...จนกว่าสังคมจะเชื่อว่ามันมีทางที่ ๓, ๔, ๕, ๖ ด้วย เมื่อนั้นผมคิดว่าเราไปรอดทุก ๆ เรื่อง คงมีความสุขในบั้นปลาย

ดวงแก้ว-พรชิตา ฟ้าประทานไพร :

การต่อสู้ไม่รู้จะจบเมื่อไร ในเชิงพื้นที่ยังไม่มีบริษัทเข้ามาขุดแร่หรือยึดทรัพยากรธรรมชาติ แต่ พ.ร.บ. แร่ยังมีเขตแหล่งแร่เพื่อการทําเหมืองระบุไว้ชัดเจนอยู่ในพื้นที่บ้านกะเบอะดิน ๒๘๔ ไร่ ๓๔ ตารางวา เท่ากับว่าจะมีบริษัท องค์กรหรือหน่วยงานไหนเข้ามาทําเหมืองได้ 

ช่วงที่จะเลิกจริง ๆ คือวันที่เขาประกาศว่าหมู่บ้านกะเบอะดินไม่อยู่ในรายชื่อเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง รวมถึงพื้นที่อื่น ๆ ที่เราทํางานอยู่ด้วย เช่น เหมืองแร่ฟลูออไรต์ แม่ลาน้อย เหมืองแร่แบไรต์ ดอยเต่า

เรามีจุดยืนชัดเจนว่าไม่อยากให้ชุมชนไหนได้รับผลกระทบจากโครงการเหมือง รวมถึงปัญหาจากโครงการพัฒนาต่าง ๆ ของรัฐ เรามองว่ารัฐไม่ควรแทรกแซงพื้นที่ชุมชนเพราะชุมชนอยู่มาก่อน และมีวิถีชีวิตต่างจากคนเมือง

ยะห์-ไครียะห์ ระหมันยะ :

เวลาเห็นเยาวชนที่กล้าออกมาพูดเรื่องสิ่งแวดล้อมถูกกระทําจากกลไกของรัฐ ยิ่งทําให้เรารู้สึกมีแพสชัน ไม่รู้สึกกลัวเพราะสิ่งที่เราพูดคือความเป็นจริงและไม่ได้ร้ายแรง

ถึงแม้จะถูกฟ้องปิดปากหรือ SLAPP ก็ยังมีคนช่วยในวิธีของเขา ไม่ว่าคนทําสื่อหรือทางกฎหมาย มีอาสาสมัครนักสิทธิมนุษยชนยังดูแลปกป้องทรัพยากร ป่าไม้ ชายหาด เรามีเพื่อน เห็นความหวังว่าเราจะสามารถทําเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองอย่างไม่โดดเดี่ยว 

ปัญหาทําให้เรามีเพื่อน พอเห็นเป้าหมายเดียวกันว่าจะพุ่งชนใครก็ยิ่งมีพลัง เหมือนอยู่ในสนามรบให้ประลองกัน ว่าเราจะสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างไรแก่โลกหรือพื้นที่ที่เราอยากอยู่

Image

สิทธิของคนอยู่ในป่ามักถูกทำให้เป็นเรื่องซับซ้อน ไกลตัว หรือมีข้อจำกัดทางกฎหมาย สังคมไทยควรเริ่มเข้าใจ เรื่องนี้จากมุมไหนก่อน

กอล์ฟ-พชร คำชำนาญ : 

มองป่าให้เป็นบ้าน เป็นที่อยู่อาศัย เหมือนคนเมืองก็ต้องมีบ้าน มีคอนโดฯ คนอยู่ในป่าไม่ได้มองป่าในฐานะที่อยู่ของสัตว์เหมือนในสารคดีสัตว์โลก คนละเรื่องกัน  เขาเกิดในป่า มีความผูกพันคุ้นชิน อยู่กันจนเป็นวิถี ซึ่งพื้นที่ตรงนั้นคือบ้าน

ข้อ ๑ เขาไม่มีทางทําลายบ้านตัวเองครับ ไม่มีใครเผาบ้านตัวเอง โค่นต้นไม้ ทําลายล้างจนไม่เหลือทรัพยากรหรือไม่มีอาหารกิน  ข้อ ๒ ถ้ามีโครงการอย่างเหมืองจะไปสร้างบริเวณบ้านเขา แล้วคุณบอกให้เขาเสียสละ ถ้าเป็นบ้านคุณบ้างล่ะจะยอมไหม หรืออยู่บ้านตัวเองแท้ ๆ แต่เหมือนอยู่ในคุกต้องทําตามกฎระเบียบ

อยากให้มองว่าเรารู้สึกสบายใจที่ได้อยู่บ้านแบบไหน คนอยู่กับป่าก็สบายใจแบบนั้น  ถ้าวันหนึ่งเราอยู่ในบ้านตัวเองไม่ได้ก็คงรู้สึกเหมือนพวกเขาตอนนี้

คุณแปลงเรื่องวิชาการให้กลายเป็นเรื่องเข้าใจง่ายได้อย่างไร โดยเฉพาะกับชุมชนหรือคนทั่วไปที่อาจไม่รู้เรื่องเทคนิคหรือวิทยาศาสตร์ อะไรคือกุญแจสำคัญในการสื่อสารของคุณ

น้ำนิ่ง-อภิศักดิ์ ทัศนี :

เคยตั้งคำถามว่าทําไมเรื่องที่ทําถึงรู้กันเฉพาะกลุ่มเราสื่อสารกับใครแน่ น่าจะเป็น pain point ทําให้ปรับเรื่องการสื่อสาร เริ่มตระหนักว่าจริง ๆ Beach For Life แต่เราทํางานกับสาธารณะ ไม่ใช่ทำมวลชน สิ่งที่เราทําคือให้สังคมหรือสาธารณะเข้าใจว่ากําแพงกันคลื่นคือความเลวร้ายของชายหาด พอตั้งหลักแบบนี้ เรื่องยาก ๆ ต้องทําให้ง่ายทั้งหมด โชคดีปัญหากำแพงกันคลื่นเห็นผลกระทบชัดเจน เลยใช้วิธีพื้นฐานคือเดินทางไปถ่ายรูปแล้วเขียนประจานความเลวร้าย บอกว่าก่อนสร้างกำแพงชายหาดเป็นแบบไหน หลังสร้างกลายเป็นอีกแบบ เกิด end effect ตรงจุดสุดท้ายของโครงสร้างแข็ง หารูปจากกูเกิลเอิร์ทซีซีทีวี มาเทียบกับหลังสร้าง

สังคมส่วนใหญ่ไม่ได้อยากรู้ว่ากําแพงกันคลื่นมีกี่ประเภท แต่อยากรู้ว่าสร้างแล้วหาดหายจริงไหม กัดเซาะต่อเนื่องไหม คนต้องการแค่ pain point หลัก ภาพที่เห็นในงานของ Beach For Life จะเป็นภาพปีก่อนมีชายหาด หลังมีกําแพงกันคลื่นแล้วหาดหายไป สื่อสารโดยใช้ภาพเป็นหลัก ไม่ต้องทําแอนิเมชัน โพสต์แล้วเขียนให้ง่าย ๆ

นอกจากผลกระทบ คนอยากรู้เรื่องคอร์รัปชัน  เมื่อไรสื่อสารหัวข้อกำแพงกันคลื่นราคา ๑๕๐ ล้าน ผ่านไป ๓ ปีพัง คนจะสนใจมาก

เรื่องกําแพงกันคลื่นกับงบประมาณเป็นเรื่องเดียวกัน ต้องตั้งคําถามเชิงคอร์รัปชัน ประสิทธิภาพของการป้องกัน หรือความไม่สมเหตุสมผลในการก่อสร้าง

ขณะเดียวกันจะทํางานสาธารณะอย่างเดียวไม่ได้ ต้องใช้ยุทธการเคลื่อนไหวร่วมกับชุมชนด้วย ว่ามีชุมชนหรือสังคมที่ได้รับผลกระทบจากกำแพงกันคลื่นจริง และเขาปฏิเสธไม่เอา 

ส่วนสุดท้ายเราทํางานกับสื่อ เล่าเรื่องให้นักข่าวฟัง ไม่เน้นวิชาการ แค่อยากให้เห็นปัญหาเพื่อให้ประเด็นถูกขยาย หัวใจสำคัญในการสื่อสารคือเราต้องไปนั่งอยู่ในมุมของคนที่ไม่รู้ ถ้าเรานั่งในมุมของคนที่รู้ก็จะเหมือนที่คนอื่นเคยสื่อสารมา

ถ้าผู้มีอำนาจมองว่าคุณเป็นคนที่ไม่เข้าใจการพัฒนา คุณอยากบอกเขาอย่างไร

ดวงแก้ว-พรชิตา ฟ้าประทานไพร :

เราไม่ได้ขัดขวางโครงการพัฒนาหรือการพัฒนาประเทศ แต่การพัฒนานั้นต้องไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชน ผู้คน และสิ่งแวดล้อม 

รัฐต้องทําให้การพัฒนาหรือใช้พลังงานเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด จะใช้เทคนิคใหม่ ๆ หรือวิธีไหนอยู่ที่รัฐ แต่ต้องมีนโยบายที่ชุมชนไม่จําเป็นต้องแบกรับความเสี่ยงเหล่านี้

โครงการพัฒนาต่าง ๆ ที่รัฐพยายามบอกว่าต้องทําเพื่อหนึ่ง พัฒนาประเทศ  สอง ให้คนทั้งประเทศได้ใช้ไม่ว่าขุดเหมือง สร้างเขื่อน คนข้างนอกที่ได้ใช้ประโยชน์ไม่มีใครรู้เลยว่ามีคนกลุ่มหนึ่งได้รับผลกระทบ ทั้งสูญเสียพื้นที่ทางการเกษตร เกิดดินเค็มจนทํากินไม่ได้ อย่างเหมืองแร่โพแทชในภาคอีสาน รัฐช่วยเหลือเยียวยาอะไรไหม สุดท้ายก็ทิ้งให้ปัญหาอยู่ในชุมชนตลอดไป

การเป็นเยาวชนหญิงที่ลุกขึ้นมาท้าทายอำนาจรัฐและอำนาจทุนในพื้นที่
ชายแดนใต้ เคยรู้สึกหวั่นไหวหรือเกรงกลัวไหม อะไรทำให้คุณยังยืนหยัดอยู่ตรงนี้

ยะห์-ไครียะห์ ระหมันยะ :

ไม่ได้นึกว่าเราออกมาต่อสู้กับรัฐหรือกลุ่มทุน คิดเพียงจะทําอย่างไรให้ตัวเอง คนรุ่นหลัง หรือเยาวชนอื่น ๆ อยู่ในสังคมที่ดี

เราเชื่อในพลังของเยาวชน พลังของมวลชน พลังของภาคประชาสังคม รวมถึงประชาชนที่รวมตัวกันส่งเสียงในสิทธิที่ทําได้ เราเชื่อในคําว่าสิทธิชุมชน สิทธิมนุษยชน ไม่ได้เกรงกลัวหรือสงสัยว่าทําไมต้องออกมาต่อสู้ 

ถ้านึกว่าต้องสู้กับกลุ่มทุนหรือรัฐ อาจบั่นทอนตัวเองแล้วหาทางออกไม่ได้ แต่จริง ๆ จิตใต้จิตสํานึกก็รู้ตลอดว่าสิ่งที่เราต่อสู้ก็คือรัฐนั่นแหละ เราไปต่อได้ก็เพราะความคิดของคนในชุมชน เยาวชนในพื้นที่ อยากให้เขาเชื่อมั่นในสิทธิตัวเองว่าสามารถพูดได้ พัฒนาชุมชนด้วยตัวเองได้ เราให้ความสําคัญกับมวลชนมากกว่า รู้สึกว่าถ้าเราสร้างมวลชนได้ รัฐเองก็ไม่มีความหมายกับเราเลย