Image

๑๐๐ ปี วันสวรรคต
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

เรื่อง : ณัฐกันต์ จตุรวงษ์

เดือนสิงหาคม ๒๔๕๗ (ค.ศ. ๑๙๑๔) สงครามโลกครั้งที่ ๑ อุบัติขึ้นในทวีปยุโรป  หลังจากเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์อาร์ชดยุกฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ 
(Archduke Franz Ferdinand) มกุฎราชกุมารแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-
ฮังการี โดยขบวนการชาตินิยมเซอร์เบีย ทำให้ประเทศพันธมิตรของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีและเซอร์เบียต่างประกาศสงครามต่อกัน ทั้งสองฝ่ายสู้รบอย่างหนักเพื่อหมายจะเอาชนะอีกฝ่ายอย่างเด็ดขาด

ประเทศสยามในขณะนั้นตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ยังคงวางตนเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

กระทั่งในวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๔๖๐ (ค.ศ. ๑๙๑๗) รัชกาลที่ ๖ ทรงมีพระบรมราชโองการประกาศสงครามต่อฝ่ายมหาอำนาจกลาง ประกอบด้วยจักรวรรดิเยอรมันและจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และเข้าร่วมรบกับประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร ประกอบด้วยสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส รัสเซีย สหรัฐอเมริกา เป็นต้น


ต่อมาในวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๔๖๐ ทรงมีพระบรมราชโองการให้เสนาบดีกระทรวงกลาโหมออกประกาศรับสมัครทหารอาสาเพื่อเข้าร่วมรบกับกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร ณ ทวีปยุโรป  เมื่อได้จำนวนทหารที่ผ่านการคัดเลือกแล้ว จึงจัดตั้งเป็น “กองทหารอาสาซึ่งไปในงานพระราชสงครามข้ามทะเล” แบ่งทหารเป็นสามกอง ได้แก่ กองรถยนต์ กองบิน และกองพยาบาล โดยมีนายพลตรี
พระยาพิชัยชาญฤทธิ์ (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เป็นหัวหน้าคณะทูตทหารและผู้บังคับกองทหารอาสาสยาม

งานเขียนนี้จะขอนำเสนอเครื่องแบบที่ทหารสยามแต่งกายในงาน
พระราชสงครามครั้งนั้น

Image

Image

เครื่องแบบทหารบกสยามช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๑ กำหนดระเบียบการแต่งไว้ใน “พระราชกำหนดเครื่องแต่งตัวทหารบก พ.ศ. ๒๔๕๗”

พลทหารและนายสิบใช้เสื้อแบบราชการคอตั้งสีเทา กระดุมห้าเม็ด กางเกงขาสั้นคลุมเข่าสีน้ำเงินแก่ ผ้าพันแข้ง เข็มขัด และรองเท้าหุ้มข้อเป็นสีน้ำตาล  ส่วนนายทหารชั้นสัญญาบัตรนั้นแต่งกายเช่นเดียวกับพลทหารและนายสิบ แต่มีเข็มขัดพร้อมสายโยงบ่า และรองเท้าเป็นบูตทรงสูง 
สีน้ำตาล หรือใช้รองเท้าหุ้มข้อสีน้ำตาลประกอบสนับแข้งหนังสีเดียวกับรองเท้าได้

เมื่อจัดตั้งกองทหารอาสาแล้วจึงเปลี่ยนเสื้อและกางเกง

เป็นสีกากี  นับเป็นครั้งแรกที่กองทัพบกสยามเปลี่ยนสีของเครื่องแบบ

การเปลี่ยนสีเครื่องแบบจากสีเทาเป็นสีกากีนั้นสันนิษฐานว่าอาจเปลี่ยนให้ตรงกับสีเครื่องแบบของทหารชาติฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อแสดงความเป็นพันธมิตรกัน
ในสงคราม  ส่วนเครื่องสนามประกอบเครื่องแบบนั้นทำด้วยผ้ากระสอบ (canvas) และใช้ร่วมกับเครื่องสนาม บางอย่างที่เป็นเครื่องหนัง เช่น ล่วมยา (กระเป๋าใส่ยา) ซองปืนพก เป็นต้น

Image
Image
Image
Image

Image

เมื่อกองทหารอาสาสยามออกเดินทางจากพระนครในเดือนมิถุนายน ๒๔๖๐ (ค.ศ. ๑๙๑๗) มาถึงมาร์แซย์ (Marseille) เมืองท่าทางตอนใต้ของฝรั่งเศสในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน ก็ได้รับแจกเครื่องแบบใหม่จากกองทัพฝรั่งเศส ด้วยเห็นว่าเครื่องแบบของกองทหารอาสาสยามนั้นเป็นผ้าบางและไม่เหมาะกับภูมิอากาศของทวีปยุโรป

เครื่องแบบใหม่ทำจากผ้าขนสัตว์ (wool) ซึ่งหนาและป้องกันความหนาวเย็นได้ 


นอกจากนี้ยังได้รับแจกอุปกรณ์จำเป็นในสนามรบ เช่น หน้ากากกันแก๊สพิษ อาวุธและเครื่องกระสุน เสื้อกันหนาว แว่นตาสำหรับขับขี่ยานพาหนะ  ก่อนที่กองทหารอาสาจะแยกย้ายเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน โดยกองรถยนต์เดินทางไปสู่ยุทธบริเวณ ส่วนกองบินเดินทางไปฝึกวิชา
การบินแขนงต่าง ๆ ในฝรั่งเศส

เครื่องแบบทหารสยามในทวีปยุโรปมีรายละเอียดดังนี้


เสื้อ เสื้อแบบราชการคอตั้งสีกากี
แกมเขียว กระดุมห้าเม็ด มีกระดุมที่กระเป๋าย่ามที่อกเสื้อสองเม็ดและย่ามที่ชายเสื้อสองเม็ด มีเบาะรองไหล่เย็บด้านในเสื้อ รูปแบบการตัดเย็บใกล้เคียงกับเครื่องแบบ Pattern 1902 ของกองทัพแคนาดา เพียงแต่เสื้อของทหารสยามไม่ได้เย็บอินทรธนูผ้าติดมากับเสื้อ เพื่อความสะดวกสำหรับกองพยาบาล ซึ่งกำหนดให้ใช้อินทรธนูแบบขวางบ่า

กางเกง กางเกงขาสั้นคลุมเข่า สีเดียวกับเสื้อ

หมวก มีสองแบบ ได้แก่
- หมวกหม้อตาลทำด้วยผ้าสีเดียวกับเสื้อ สายรัดคางหนังสีน้ำตาล มีตราปทุมอุณาโลม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกองทัพบกสยามในสมัยนั้น ติดที่กึ่งกลางหน้าหมวก
- หมวกเหล็กแบบเอเดรียน M15 สี Horizon Blue อย่างเดียวกับกองทัพฝรั่งเศส ติดตราปทุมอุณาโลมตรงกลางหมวก

ผ้าพันแข้ง ผ้าสักหลาดสีกากีแกมเขียว พันรอบแข้งเพื่อเก็บปลายขากางเกงให้เรียบร้อย


รองเท้า รองเท้าหุ้มข้อหนังสีน้ำตาล


เครื่องสนาม ทำด้วยผ้ากระสอบ มีตัวกลัดทำด้วยโลหะทองเหลือง ได้แก่ เข็มขัดพร้อมซองกระสุน เป้สนาม ซองคาดกระบี่ (สำหรับจ่านายสิบและนายทหารสัญญาบัตร) ย่ามใส่สิ่งของและอุปกรณ์ประจำตัว นอกจากนี้
ยังใช้ร่วมกับเครื่องสนามที่ทำจากหนัง เช่น ซองปืนพกล่วมยา (กระเป๋าใส่ยา)

อาวุธ ปืนเล็กสั้นแบบ Gras Model 1874 พร้อม
ดาบปลายปืนและเครื่องกระสุน โดยปืนเล็กสั้นรุ่นนี้เป็นอาวุธประจำกายทหารประจำหน่วยสนับสนุนการรบของกองทัพฝรั่งเศสในขณะนั้น

Image
Image

Image

Image

เมื่อสยามส่งกองทหารอาสาไปร่วมรบในฝรั่งเศสแล้ว รัชกาลที่ ๖ ทรงมีพระราชดำริที่จะส่งอนุศาสนาจารย์ไปประจำในกองทหาร จึงแต่งตั้งให้อำมาตย์ตรี พระธรรมนิเทศทวยหาญ (อยู่ อุดมศิลป์) ข้าราชการกระทรวงธรรมการ (ปัจจุบันคือกระทรวงศึกษาธิการ) ผู้มีความรู้ด้านเปรียญธรรมเป็นอนุศาสนาจารย์เดินทางไปประจำในกองทหารอาสาเมื่อเดือนสิงหาคม ๒๔๖๐ (ค.ศ. ๑๙๑๗) เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ อบรมสั่งทหารให้อยู่ในความประพฤติที่ดีตามหลักพุทธศาสนา และเป็นผู้นำการประกอบพิธีกรรมของพุทธศาสนา 

เนื่องจากเป็นราชการด่วนจึงยังไม่ได้กำหนดระเบียบการแต่งกายของอนุศาสนาจารย์อย่างเป็นทางการ ใน
ขณะนั้นกำหนดให้แต่งกายเช่นเดียวกับทหารบก คือ คอเสื้อประดับเครื่องหมายดอกจัน ซึ่งเป็นเครื่องหมายของผู้ช่วยพลรบ ส่วนอินทรธนูนั้นคงใช้อย่างข้าราชการกระทรวงธรรมการ คือ อินทรธนูแบบขวางบ่า พื้นสีเหลือง ขอบดิ้นทอง ตรงกลางอินทรธนูมีดาราทำด้วยโลหะเงิน เป็นเครื่องหมายยศติดที่ไหล่ทั้งสองข้าง

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๑ สิ้นสุดลงแล้วจึงได้กำหนดระเบียบการแต่งกายของอนุศาสนาจารย์อย่างเป็นทางการในวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๔๖๒ (ค.ศ. ๑๙๑๙) โดยกำหนดให้แต่งกายเช่นเดียวกับทหารบก แต่ใช้อินทรธนูอย่างข้าราชการพลเรือนในกระทรวงกลาโหม (อินทรธนูแบบ
ขวางบ่า พื้นสีแดงชาด ขอบดิ้นทอง มีดาราเป็นเครื่องหมายยศ) มีปลอกแขนผ้าสีเหลืองกว้าง ๗ เซนติเมตรประดับที่กึ่งกลางแขนเสื้อด้านซ้าย ไม่คาดกระบี่

ภายหลังพระธรรมนิเทศทวยหาญได้รับการยกย่อง
เป็น “ปฐมอนุศาสนาจารย์กองทัพบก”

Image

Image

แม้ทหารเรือจะไม่ได้เข้าร่วมรบกับชาติสัมพันธมิตร ณ ทวีปยุโรปดังเช่นกองทหารอาสาสยาม แต่มีส่วนร่วมในสงครามครั้งนี้ โดยเข้ายึดเรือสินค้าของประเทศฝ่ายมหาอำนาจกลางที่ทอดสมอในแม่น้ำเจ้าพระยาในคืนวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๔๖๐ (ค.ศ. ๑๙๑๗) ก่อนที่สยามจะประกาศสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลางอย่างเป็นทางการ โดยมีนายนาวาตรี หลวงหาญสมุทร (บุญมี พันธุมนาวิน) เป็นผู้บังคับการ

ทหารเรือไทยยึดเรือสินค้าของชาติฝ่ายมหาอำนาจกลางได้ ๒๕ ลำ โดยไม่มีความสูญเสียใด ๆ นอกจากนี้
ยังมีบทบาทในการลำเลียงทหารอาสาสยามจากท่าราชวรดิฐในพระนครไปยังเกาะสีชัง เพื่อขึ้นเรือลำเลียงของฝ่ายสัมพันธมิตรเพื่อเดินทางไปยังทวีปยุโรป และยังมีบทบาทในการขนส่งเชลยศึกชาติมหาอำนาจกลางไปที่บริติชราช (อินเดีย) ของสหราชอาณาจักร เพื่อเดินทางกลับภูมิลำเนาหลังสงครามสิ้นสุด

Image

Image

กองทหารอาสาสยามมีส่วนร่วมส่งกำลังบำรุงให้แก่กองทัพฝรั่งเศส โดยลำเลียงทหาร เสบียง และกระสุนสู่แนวหน้า และมีส่วนร่วมการรบเมิส-อาร์กอนน์ (Meuse-Argonne) ปี ๒๔๖๑ (ค.ศ. ๑๙๑๘) ซึ่งเป็นการรุกครั้งใหญ่ของฝ่ายสัมพันธมิตรก่อนการเจรจาหยุดยิงในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๖๑ นอกจากนี้ยังได้รับภารกิจรักษาความสงบที่เมืองนอยสตัดท์ (Neustadt) ในเยอรมนี และมีส่วนร่วมในการรุกข้ามแม่น้ำไรน์ปีเดียวกัน 

เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายมหาอำนาจกลางบรรลุข้อตกลงในสนธิสัญญาแวร์ซายในวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๔๖๒ (ค.ศ. ๑๙๑๙)  กองทหารอาสาสยามได้จัดกำลังบางส่วนเข้าร่วมการสวนสนามฉลองชัยชนะที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส, กรุงบรัสเซลส์ เบลเยียม, กรุงลอนดอน สหราช-อาณาจักร และเดินทางกลับมายังสยาม 


สงครามโลกครั้งที่ ๑ ทำให้สยามมีสถานะเสมอกับชาติฝ่ายสัมพันธมิตรและเป็นโอกาสริเริ่มแก้ไขสนธิสัญญาต่าง ๆ ที่ไม่เป็นธรรมต่อสยามในอดีต 


ส่วนเครื่องแบบจากงานพระราชสงครามนั้น ต่อมา
กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของกองทัพบก ดังความที่ปรากฏตาม “พระราชกำหนดเครื่องแต่งตัวแบบทหารบก พ.ศ. ๒๔๖๒” และมีการแก้ไข ปรับเปลี่ยนให้เหมาะตามยุคสมัยจนยกเลิกพระราชกำหนดนี้หลังอภิวัฒน์สยามในปี ๒๔๗๕ (ค.ศ. ๑๙๓๒)  

Image

Image
Image
Image
Image