เคล็ดลับหลับดี
อยู่ที่ “สม่ำเสมอ”
Holistic
เรื่อง : ภัสน์วจี ศรีสุวรรณ์
ภาพประกอบ : zembe
เราได้รับการบอกเล่าตั้งแต่จำความได้
ว่าอยากสุขภาพดีให้นอนหลับวันละ ๘ ชั่วโมง แต่ ศ. แดเนียล ลีเบอร์แมน (Daniel Lieberman) นักชีววิทยาด้านวิวัฒนาการจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่ศึกษาวิถีชีวิตของมนุษย์ ครอบคลุมถึงการศึกษาชนเผ่าพื้นเมืองทั่วโลกบอกว่า ข้อมูลนี้เกิดขึ้นในสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อ ๒๐๐ ปีก่อน ที่การทำงานในโรงงานต้องการเวลางาน ๘ ชั่วโมง ดังนั้นในปี ๒๓๖๐ สหภาพแรงงานอังกฤษจึงสร้างคำขวัญ “๘ ชั่วโมงทำงาน ๘ ชั่วโมง
พักผ่อน ๘ ชั่วโมงนอน” ขึ้นมา แนวคิดนี้ทำให้ “นอน ๘ ชั่วโมง” กลายเป็นมาตรฐานสังคม ซึ่งไม่ได้มาจากข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ หรือวิวัฒนาการของมนุษย์
นักวิจัยด้านแพทยศาสตร์เชิงวิวัฒนาการได้ติดตั้งเซนเซอร์กับกลุ่มคนที่ไม่ได้สัมผัสกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น โทรทัศน์
ไฟฟ้า หรือโทรศัพท์มือถือที่เชื่อว่าทำลายการนอนหลับ พบว่าคนเหล่านี้มักนอนหลับเพียง ๖-๗ ชั่วโมงต่อคืน และไม่ได้งีบหลับตอนกลางวัน
“จากการศึกษาจำนวนชั่วโมงการนอนที่ดีที่สุดซึ่งส่งผลลัพธ์ต่อสุขภาพ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือโอกาสในการเสียชีวิตก็อยู่ที่ประมาณ ๗ ชั่วโมง โดยผู้ที่นอนหลับ ๗ ชั่วโมงมักจะมีสุขภาพดีกว่าผู้ที่นอน ๘ ชั่วโมง” ศาสตราจารย์แดเนียลกล่าว
งานวิจัยชิ้นใหม่ล่าสุดจากประเทศอังกฤษได้พลิกมุมมองจาก “การนอน ๗-๘ ชั่วโมง” มาสู่แนวคิด “การนอนที่สม่ำเสมอ” คือกุญแจสำคัญของสุขภาพดี
โดยอ้างอิงจากฐานข้อมูลสุขภาพและพันธุกรรมของประชากรในสหราชอาณาจักร (UK Biobank) เลือกกลุ่ม
ตัวอย่างประมาณ ๘.๘ หมื่นคน ที่มีประวัติวัดการนอนด้วยอุปกรณ์ตรวจวัดการเคลื่อนไหวที่ข้อมือ จากนั้นนำข้อมูลที่ได้ไปเชื่อมโยงกับประวัติสุขภาพและการวินิจฉัยโรคในระบบการแพทย์ ครอบคลุม ๑๗๒ โรค เพื่อดูว่าลักษณะการนอนแบบไหนสัมพันธ์กับโรคอะไรบ้าง
พบว่าความสม่ำเสมอมีผลต่อสุขภาพมากกว่าระยะเวลานอน คนที่นอนหลับไม่เป็นเวลา หรือเวลานอนเปลี่ยนไปมา เช่น นอนดึกบ้าง นอนหัวค่ำบ้าง มีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อหลายโรค ทั้งโรคหัวใจ เบาหวาน โรคตับ กระทั่งโรคที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับการนอน เช่น ตับแข็ง
จึงสรุปได้ว่าการนอนไม่เป็นเวลาส่งผลให้การทำงานของอวัยวะเสียสมดุลในระยะยาว และคุณภาพการนอนไม่ได้ส่งผลเฉพาะโรคหัวใจหรือโรคทางสมองอย่างที่คนส่วนใหญ่รับรู้ แต่ยังขยายไปถึงระบบอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบทางเดินอาหาร หลอดเลือด ภูมิคุ้มกัน
จากวิทยาศาสตร์การนอนยังพบว่า การนอนหลับที่ดีขึ้นอยู่กับรูปแบบการนอนหลับเป็นสำคัญ บางคนนอนหลับวันละ ๘-๙ ชั่วโมง แต่กลับอ่อนเพลียตลอดทั้งวัน บางคนนอนหลับเพียง ๗ ชั่วโมง แต่รู้สึกสดชื่นเมื่อตื่นนอน
รูปแบบการนอนหลับที่ดีและสมดุล เช่น มีการหลับลึกเพื่อซ่อมแซมร่างกาย ฮอร์โมนเจริญเติบโต การฟื้นตัวของกล้ามเนื้อ ใช้เวลาหนึ่งในสี่ หรือ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ของการนอนทั้งหมด การนอนหลับตื้นเพื่อเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างตื่นกับหลับ หรือจากหลับลึกไปสู่ภาวะหลับฝัน (REM) ใช้เวลาราวครึ่งหนึ่งของการนอนหลับ และการนอนหลับฝันซึ่งสำคัญต่อความจำ อารมณ์ สมองเชื่อมโยงข้อมูลใหม่ ใช้เวลาหนึ่งในสี่ของระยะเวลาการนอน หากน้อยเกินไปมักส่งผล
ให้ความจำสั้นลงและสมาธิลดลง
ตัวอย่างเช่น ในการนอนหลับ ๗ ชั่วโมง ควรหลับลึกประมาณ ๒ ชั่วโมง หลับตื้น ๓.๕ ชั่วโมง และหลับฝัน ๒ ชั่วโมง โดยสะดุ้งตื่นไม่เกินหนึ่งครั้งแต่คนส่วนใหญ่มักมีภาวะหลับลึกน้อยเกินไป และหลับตื้นมากเกินไป หากเป็นผู้สูงอายุมักสะดุ้งตื่นเกินกว่าหนึ่งครั้ง ซึ่งรบกวนวงจรการนอนหลับ
หากสงสัยว่ารูปแบบการนอนหลับของเราเป็นอย่างไร ลองหาเครื่องมือวัดคุณภาพการนอน เช่น สมาร์ตวอตช์ ที่วัดการนอนหลับได้ ใส่ต่อเนื่อง ๑ สัปดาห์ เพื่อดูการหลับลึก หลับตื้น หลับฝัน ของตนเอง อันจะนำไปสู่การปรับปรุงคุณภาพการนอนให้ถูกจุด
การนอนหลับที่ดีจึงเป็นหนึ่งในความลับหรือกุญแจสำคัญต่อสุขภาพ ไม่น้อยกว่าการกินอาหารและการออกกำลังกายที่ดี
เคล็ดลับ “หลับดี”
ปัจจัยที่ช่วยให้หลับลึกมากขึ้น
การหลับลึกจะเกิดขึ้นในช่วงการนอนหลับ ๓-๔ ชั่วโมงแรก
• เข้านอนตรงเวลาเป็นประจำ ถ้านอนดึกบ่อย นาฬิกาชีวภาพในร่างกายจะเสียจังหวะ ทำให้หลับลึกน้อย
• ห้องนอนมืด เงียบ อุณหภูมิพอดี ความเย็นและความมืด
ช่วยให้ร่างกายลดอุณหภูมิลง เข้าสู่ภาวะหลับลึกง่ายขึ้น
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการออกแรงและคาร์ดิโอ แต่อย่าออกกำลังกายหนักใกล้เวลานอน เพราะหัวใจเต้นเร็ว ทำให้หลับยาก
• งดกาเฟอีนและแอลกอฮอล์ช่วงบ่าย–ค่ำ กาเฟอีนทำให้การหลับลึกน้อยลง แอลกอฮอล์อาจทำให้หลับเร็ว แต่ไปกดการนอนหลับลึก
• หายใจช้า ๆ หรือทำสมาธิก่อนนอน เพื่อลดคลื่นสมองจากบีตาสู่เดลตา ช่วยให้หลับลึกได้ง่าย
ปัจจัยที่ช่วยให้เข้าสู่ภาวะหลับฝัน (REM) มากขึ้น
การหลับฝันจะเด่นในครึ่งหลังของการนอน (ช่วงตี ๓-๖ โมงเช้า)
• นอนให้พอประมาณ ๗ ชั่วโมง ถ้านอนสั้น ๆ ร่างกายจะตัดภาวะหลับฝันออกก่อนหรือได้ไม่เต็มที่
• จัดการความเครียด ความเครียดสูงทำให้การหลับฝันสั้นลงและสะดุ้งตื่นง่าย เทคนิคช่วยคือทำสมาธิ หรือฝึกหายใจก่อนนอน
• หลีกเลี่ยงอาหารมื้อหนักในช่วงเย็น และเว้นอย่างน้อย ๒-๓ ชั่วโมงก่อนนอน เพราะจะทำให้ระบบย่อยทำงานมากรบกวนการหลับฝัน
• หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และยาบางชนิด โดยเฉพาะยากล่อมประสาทยานอนหลับ ที่มักกดการหลับฝัน
• แสงแดดตอนเช้ากระตุ้นนาฬิกาชีวภาพ ทำให้ร่างกายรู้เวลาส่งผลให้วงจรการหลับฝันสมดุล
• ถ้าหยุดหายใจขณะนอนหลับ (sleep apnea) ควรรักษาเพราะจะทำลายทั้งการหลับลึกและหลับฝัน