คำบรรยายภาพเก่าระบุว่า “นายทหารฝรั่งเศสและไทยที่โรงเรียนการรถยนต์เมืองดูร์ด็อง”
ในการระดมทหาร รัฐบาลของรัชกาลที่ ๖ ตัดสินใจเลือกใช้การเปิดรับอาสาสมัคร ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การสงครามของราชอาณาจักร ปรากฏว่ามีผู้สมัครมากจนต้องคัดเลือกเท่าที่จำเป็น ได้จำนวน ๑,๒๘๔ นาย มีพระยาเฉลิมอากาศ (สุณี สุวรรณประทีป) เป็นผู้บังคับการ
ทหารอาสาเหล่านี้แบ่งเป็นสามหน่วย คือ กองทหารบกรถยนต์ กองบินทหารบก และกองพยาบาล ฝึกเตรียมพร้อมอยู่ราว ๒ เดือนแล้วออกเดินทางในวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๔๖๑ โดยวันเดินทางทหารอาสาไปรวมตัวกันที่สนามหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมเพื่อรับพระบรม-ราโชวาท ซึ่งตอนหนึ่งเน้นว่าสยามเป็นชาติที่ “ตั้งอยู่ในทางธรรม” (๑ ปีให้หลังก็ทรงย้ำอีกว่าสยามนั้นประกาศสงครามกับ “ผู้ประพฤติมิเป็นธรรม” คือ เยอรมนี และออสเตรีย-ฮังการี) ในเวลาเดียวกันยังทรงแก้ไขพระราช-บัญญัติธง พ.ศ. ๒๔๖๐ ประกาศใช้ “ธงไตรรงค์” แถบแดง-ขาว-น้ำเงิน-ขาว-แดง “สามสีตามลักษณธงชาติของประเทศที่เป็นสัมพันธมิตรกับกรุงสยามได้ใช้อยู่โดยมาก” แทนธงช้างบนพื้นสีแดง และทรงกำหนดแบบธงราชนาวี (กองทัพเรือ) มีรูปช้างเผือกทรงเครื่องยืนบนแท่น หันหน้าเข้าข้างเสาบนวงกลมสีแดงทับลงไปบนธงไตรรงค์
คำบรรยายภาพเก่าระบุว่า “รูปพยากรณ์ฝีมือฝรั่งเศสให้เกียรติยศแก่ไทย”
หนังสือ “จงรักเกียรติยิ่งชีวิต” พลเอก พระยาเทพหัสดินฯ บันทึกชีวประวัติของหัวหน้าคณะทูตทหารสยามสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๑ เล่าบรรยากาศการเดินทางของทหารอาสาว่า พวกเขาลงเรือจากแม่น้ำเจ้าพระยาออกไปปากน้ำเพื่อไปต่อเรือใหญ่ชื่อ เอมไพร์ (สัญชาติอังกฤษ) ที่เกาะสีชัง จากนั้นเดินทางผ่านสิงคโปร์ ลังกา คลองสุเอซ เข้าเทียบท่าที่เมืองมาร์กเซย์ (Marseille) ในวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๔๖๑ พระยาเฉลิมอากาศบันทึกบรรยากาศบนเรือไว้ว่า พอเรือออกจากสิงคโปร์คลื่นลมสงบ ทหารยังร้องรำทำเพลง แต่พอพ้นช่องแคบมะละกาก็เจอคลื่นลูกใหญ่ “เสียงเฮฮาค่อย ๆ เงียบหายไปทุกที” เพราะต่างเมาเรือ อาหารก็ไม่ดี กินไม่อิ่มแม้จะมีครบ ๓ มื้อ จนหนหนึ่งมีการขโมยอาหารกินจนต้องมีการลงโทษตามวินัยทหาร
เมื่อถึงฝรั่งเศส กองทหารบกรถยนต์ผ่านการฝึกและเข้าสู่สนามรบในวันที่ ๑๔ ตุลาคม ส่วนกองบินทหารบกไปที่เมืองอิสเทร (Istres) เข้าโรงเรียนการบินชั้นต้น ที่เหลือก็ฝึกในหน้าที่ช่างเครื่องบินและเครื่องยนต์ตามโรงงานต่าง ๆ สำหรับนักบินมีหลักสูตรต่อเนื่องคือ การบินขับไล่ที่เมืองโป (Pau) หลักสูตรทิ้งระเบิดที่เมืองอาวอร์ (Avord) เป็นต้น อุปสรรคสำคัญคือภาษาฝรั่งเศสที่ไม่สามารถสื่อสารได้ชัดกับครูการบินฝรั่งเศส แต่ละคนยังเรียนรู้ได้เร็วช้าต่างกัน ทั้งนี้กองทหารบกรถยนต์เป็นกองเดียวที่ได้สัมผัสสนามรบเพราะต้องลำเลียงพลทหารสัมพันธมิตร ๖,๐๓๓ คน ในระยะทาง ๑๔๐ กิโลเมตร มีบางส่วนประสบอุบัติเหตุและป่วยจนเสียชีวิตไป ๑๙ นาย ต้องทำพิธีฝังไว้ในฝรั่งเศสและนำอัฐิกลับบ้านภายหลัง
ทหารสยามในเรือ เอมไพร์ออกเดินทางจากพระนครไปยุโรป
คำบรรยายภาพเก่าระบุว่า “เรือศรีสมุทลำเลียงกองทหารบกรถยนต์จากพระนครไปส่งเรือเอ็มไปร์ที่เกาะสีชัง”
คำบรรยายภาพเก่าระบุว่า “พิธีฝังศพทหารไทยตำบลยูเบคูร์ท์ ในยุทธบริเวณฝรั่งเศษ”
สงครามจบในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๖๑ หลังการลงนามในสัญญาสงบศึกบนรถไฟ ณ เมืองกงเปียญ ประเทศฝรั่งเศส พอถึงเดือนธันวาคม มีรายงานว่ากองทหารบกรถยนต์สยามเข้าไปในเยอรมนี ส่วนหนึ่งอยู่ที่เมืองนอยสตัดท์ ควบคุมดินแดนข้าศึกและแบ่งกำลังไปสวนสนามฉลองชัยชนะร่วมกับทหารฝ่ายสัมพันธมิตรตามเมืองใหญ่ของยุโรป คือ ปารีส บรัสเซลส์ และลอนดอน
กองบินทหารบกได้กลับบ้านก่อนในเดือนสิงหาคม ๒๔๖๒ ด้วยเรือ มิเตา ถึงบ้านในเดือนกันยายน ถึงแม้ไม่ได้รบ แต่พวกเขาก็นำความรู้และเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกลับมาจนเป็น “รากฐาน” ของ “กรมอากาศยาน” ที่จะพัฒนาเป็นกองทัพอากาศ โดยมาเปลี่ยนเรือที่เกาะสีชังและนั่งเรือทวนแม่น้ำเจ้าพระยามาขึ้นที่ท่าราชวรดิฐ
ในครั้งนั้นรัฐบาลสยามนอกจากจัดงานต้อนรับ ประกาศเป็นวันหยุดราชการ ๓ วัน จัดพิธีทางศาสนาและให้ทหารอาสาสวนสนามหน้าพระพักตร์รัชกาลที่ ๖ จากนั้นเดินแถวไปยังสถานทูตชาติพันธมิตร เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ที่มีอุปทูตคอยกล่าวต้อนรับและชื่นชม
คำบรรยายภาพเก่าระบุว่า “นักบินไทยและนักบินฝรั่งเศสจะขึ้นบินเดินทางเปนขบวนที่เมืองโป”
คำบรรยายภาพเก่าระบุว่า “อนุสาวรีย์ซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นสำหรับบรรจุอัฐิทหารเท่าที่ทำแล้ว ในวันบรรจุอัฐิ” ต่อมาคืออนุสาวรีย์ทหารอาสา บริเวณด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของสนามหลวง กรุงเทพฯ
ทหารซึ่งกลับจากราชการสงครามคราวสงครามโลกครั้งที่ ๑ มาถวายบังคมที่ปราสาทพระเทพบิดร
การประสบชัยชนะร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรส่งผลโดยตรงกับการเมืองภายในสยาม
พระบรมราโชบายของรัชกาลที่ ๖ ได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง เรื่องนี้รวมถึงการระดมเงินบริจาคซื้อ “เรือหลวง พระร่วง” ซึ่งดำเนินมาตั้งแต่ช่วงเริ่มสงครามและถูกต่อต้านอย่างหนัก ก็สำเร็จลงด้วยดี
ก่อนสงครามจบไม่นาน ทรงได้พระเชษฐา--กรมหลวงชุมพรฯ เสด็จกลับมาทำงานในกระทรวงทหารเรือ ต่อมายังทรงเป็นข้าหลวงพิเศษนำเรือหลวง พระร่วง ที่ซื้อจากกองทัพเรืออังกฤษเดินเรือข้ามทวีปกลับมาถึงสยามในเดือนตุลาคม ๒๔๖๓ ทำให้รัชกาลที่ ๖ ทรงโสมนัสมาก จนมีพระราชดำรัสว่า “...ทหารเรือไทยเป็นผู้นำมา นับว่าเป็นการเผยแผ่เกียรติยศของชาติบ้านเมือง แสดงให้เห็นว่าในกรุงสยามมีผู้สามารถในทางทหารเรือจริง ๆ...” ความขุ่นข้องหมองพระทัยต่อกรมหลวงชุมพรฯ ก็หมดไป โดยทรงตั้งให้เป็นเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือในที่สุด
อาจารย์เทพวิเคราะห์ว่า “ปัญหาในสยามก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๑ เช่น การต่อต้านพระราชอำนาจ ปัญหาระหว่างกองทัพบกกับเสือป่า ทั้งหมดเบาลง ที่ทรงตั้งกรมทหารรักษาวังเพิ่มที่นครศรีธรรมราชก็ใช้งบประมาณพระคลังข้างที่ ไม่เกี่ยวกับงบประมาณแผ่นดินจึงไม่มีปัญหากับกองทัพ ที่มีผู้ตีความว่ารัชกาลที่ ๖ ทำเพราะป้องกันอังกฤษจะบุก ผมมองว่าเป็นไปได้ยาก ถ้าบุกจริงสยามก็สู้ไม่ได้กับกำลังเท่านี้ ผมกลับมองว่าการวางกำลังที่ภาคใต้ก็เพื่อปรามคนจีนก่อความวุ่นวายในภาคใต้มากกว่า”
ปัจจุบันสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับสงครามโลกครั้งที่ ๑ ในไทยมีอยู่เพียงสองแห่งในกรุงเทพฯ
ส.ค.ส. พระราชทานในวาระขึ้นปีใหม่ ปี ๒๔๖๔ (ขึ้นปีใหม่ทุกวันที่ ๑ เมษายน ตามปฏิทินเก่า) แก่กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ
เหรียญเงินในสมัยรัชกาลที่ ๖
คำบรรยายภาพเก่าระบุว่า “ผู้บังคับการ อาจารย์ โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย รัชกาลที่ ๖ (โรงเรียนมหาดเล็กหลวงกรุงเทพเดิม)”
แห่งแรก อนุสาวรีย์ทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ ๑ ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของสนามหลวง ตั้งอยู่บนเกาะกลางถนน ใกล้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร อนุสาวรีย์มีสีขาว ทรงคล้ายเจดีย์ มีซุ้มสี่ด้าน ประดับแผ่นหินอ่อนจารึกข้อความ มีสองด้านเป็นเรื่องความเป็นมาในการประกาศสงคราม อีกสองด้านจารึกนามทหารอาสาที่เสียชีวิต ภายในบรรจุอัฐิทหาร ผู้ออกแบบคือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนอนุสาวรีย์แห่งนี้เป็นโบราณสถานในปี ๒๕๖๑
ทุกปี ในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน “วันที่ระลึกทหารอาสา” จะมีพิธีวางพวงมาลา ประธานในพิธีมักเป็นผู้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี ผู้เข้าร่วมคือทายาทของทหารผ่านศึกและทูตทหารชาติที่เกี่ยวข้อง น่าสนใจว่าบางครั้งมีผู้ช่วยทูตทหารของเยอรมนี (คู่สงครามในครั้งนั้น) เข้าร่วมพิธีด้วย
แห่งที่ ๒ คือ “วงเวียน ๒๒ กรกฎาคม” สร้างเป็นที่ระลึกในคราวประกาศสงครามวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๔๖๐ พร้อมถนนสามสาย ตั้งชื่อคล้องจองกันคือ “ไมตรีจิตต์-มิตรพันธ์-สันติภาพ”
ในสายตาคนยุคต่อมา เราเห็นได้ชัดเจนว่า การที่สยามเข้าร่วมรบกับสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ส่งผลต่อกระบวนการ “แก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม” เป็น “จุดเริ่มต้น” ทำให้สยามมีอิสระทางการศาลและศุลกากร ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะเดินต่อไปจนเสร็จสมบูรณ์ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒
นอกจากนี้การส่งทหารไปรบในยุโรปยังกลายเป็น “โมเดล” ของการส่งทหารไทยไปปฏิบัติภารกิจนอกประเทศ ไม่ว่าจะกรณีสงครามเกาหลีหรือสงครามเวียดนาม
“รัชกาลที่ ๖ เป็นยุคสมัยที่สำคัญมากของประวัติศาสตร์ไทย เป็นยุคเปลี่ยนผ่าน เป็นจุดเริ่มของการพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ต่างจากในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่เป็นยุคกึ่งเก่ากึ่งใหม่ สองรัชกาลนี้สำคัญ แต่คนสนใจรัชกาลที่ ๖ น้อยมาก ทั้งที่มีหลายเรื่องให้เราศึกษากันอีกมาก”
อาจารย์ ดร. เทพ บุญตานนท์
อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้เขียนหนังสือ การเมืองในการทหารไทย สมัยรัชกาลที่ ๖
พระวัชรินทร์ราชนิเวศน์ หนึ่งในกลุ่มพระมหาปราสาทในเมืองดุสิตธานี จัดแสดงในหอวชิราวุธานุสรณ์
ภาพ : สุเจน กรรพฤทธิ์
ในห้วงคาบเกี่ยวกัน มีพระราชกรณียกิจของรัชกาลที่ ๖ ซึ่งคนรุ่นหลังจำนวนมากตีความตามที่แบบเรียนในโรงเรียนสอนว่าเป็นการทดลองระบอบประชาธิปไตยคือการสร้างเมืองจำลอง “ดุสิตธานี” ในปี ๒๔๖๑
กลางปี ๒๕๖๘ นี้เอง ผมเพิ่งได้เห็นส่วนหนึ่งของ “ดุสิตธานี” เป็นครั้งแรกจากนิทรรศการถาวรในห้อง “สวัสดิสมิต” ชั้น ๔ หอวชิราวุธานุสรณ์ ท่าวาสุกรี
หลักฐานที่เกี่ยวข้องชี้ว่า รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชดำริเรื่องนี้ตั้งแต่เสด็จนิวัตพระนครใหม่ ๆ โดยในครั้งแรกทรงทดลองขณะประทับที่พระตำหนักสวนอัมพวา ด้วยการสร้าง “เมืองมัง” ครั้งที่ ๒ เกิดขึ้นหลังทรงผนวช ประทับ ณ วังปารุสกวัน โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเรือนห้องแถวให้มหาดเล็กอยู่ห้องละสองคน จัดให้มี “คณาภิบาล” ปกครอง ทำนองเป็นเมืองขนาดย่อม บรรจุเจ้าพนักงานลงตำแหน่งต่าง ๆ ทำหนังสือพิมพ์ ชวนหัว รายสัปดาห์ สร้างแบงก์ (ธนาคาร) “ลีฟอเทีย” ส่วนครั้งที่ ๓ บันทึกรายวัน ของ ม.ล. ปิ่น มาลากุล อดีตมหาดเล็กในรัชกาลที่ ๖ เล่าว่า เกิดขึ้นระหว่างประทับ ณ พระรามราชนิเวศน์ (พระราชวังบ้านปืน) จังหวัดเพชรบุรี โดยเสด็จลงหาดทรายแล้ว “สร้างเมืองทรายมีกำแพงและป้อม” ทรงเรียกว่า “ดุสิตธานี” (เป็นครั้งแรกที่มีการออกชื่อ)
แผนผังเมืองดุสิตธานี ภายในพระราชวังดุสิต
ภาพมุมสูง เมืองดุสิตธานี
เมื่อเสด็จนิวัตพระนคร โปรดเกล้าฯ ให้ลงมือสร้างเมืองจำลองในเขตพื้นที่พระราชวังดุสิต ใกล้พระที่นั่งอุดรภาคทันที ทรงใช้พื้นที่ขนาด ๒.๕ ไร่ เป็นรูปสี่เหลี่ยม จุบ้าน (จำลอง) ได้ราว ๑๐๐ หลัง หลังละประมาณ ๑ ตารางเมตร ให้มี “ทวยนาคร” (ประชากร) ที่ส่วนมากเป็นมหาดเล็กใกล้ชิด ใครได้รับพระบรมราชานุญาตเป็นเจ้าของที่ต้องเสนอแบบบ้านให้เจ้าหน้าที่โยธาธิการพิจารณาก่อนลงมือสร้าง กำหนดให้เจ้าของดูแลให้เรียบร้อย ต่อไฟฟ้า ประปา มีเสมียนของ “ท่านราม ณ กรุงเทพ” (นามแฝงของรัชกาลที่ ๖) เก็บเงินเพื่อนำมาสร้างสาธารณูปโภค ทั้งนี้บ้านและอาคารแต่ละหลังมีขนาดใหญ่กว่าศาลพระภูมิเล็กน้อย “...สร้างขึ้นด้วยฝีมือวิจิตรพิสดาร ฉลุลวดลายในที่จำเป็น บางหลังก็มีบานประตูหน้าต่างน้อย ๆ เมื่อแลดูเผิน ๆ จะเห็นเป็นบ้านคนจริง ๆ ส่วนภายในปล่อยโล่ง...แทบทุกหลังก็ทำเป็นสองชั้นกันทั้งนั้น...บางคนลองทำบ้านชั้นเดียวไปวางดู เมื่อเดินผ่านไปจะแลเห็นหลังคาบ้านครอบดิน พอหญ้าแห้วหมูขึ้นสูงจะมองดูเหมือนบ้านจมในพงหญ้า”
น่าสนใจว่าราคาบ้านค่อนข้างสูง “จ้าง (ทำ) ในเวลานั้นถึงพันบาท อย่างถูก ๆ สองสามร้อยบาทก็มีแต่ดูแทบไม่ได้ ถ้าจะเทียบกับเงินเดือนที่ข้าราชการชั้นผู้น้อย ๒๐ บาท ก็หมดหวังที่จะสร้างบ้านเหล่านี้สักหลังหนึ่ง...” ปัญหาที่เกิดขึ้นก็เช่น มี “อึ่งอ่าง คางคก” เข้าไปอยู่อาศัย
ในแง่ของแนวคิด หนังสือ ดุสิตธานี เมืองประชาธิปไตย ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งรวมปากคำอดีตข้าราชบริพาร เล่าว่า เกิดจากพระราชดำริว่าข้าราชการและราษฎรได้รับการศึกษามากขึ้น สมควรมีส่วนในการปกครอง การอบรมที่ดุสิตธานีจะถือเป็นแห่งแรก “ให้พระยาบุรีนวราษฎร์ราชเลขานุการ...แปลธรรมนูญการปกครองเทศบาลของอังกฤษ แล้วทรงนำมาพิจารณาดัดแปลงแก้ไขใช้ในดุสิตธานี” จากนั้นประกาศใช้ “ธรรมนูญลักษณปกครอง คณะนคราภิบาล พระพุทธศักราช ๒๔๖๑”
ภาพล้อฝีพระหัตถ์รัชกาลที่ ๖ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็น “ทวยนาคร” ในดุสิตธานี ถูกจัดแสดงในลักษณะของงานศิลปะประยุกต์ ใช้เทคนิคคอลลาจ ด้วยฝีมือศิลปินยุคหลัง ในหอวชิราวุธานุสรณ์
ภาพ : สุเจน กรรพฤทธิ์
หนังสือพิมพ์ ดุสิตเรกคอร์ดเดอร์ ที่ออกในเมืองดุสิตธานี
ผลคือการแบ่งเขตอำเภอ เช่น เขาหลวง ดอนพระราม ดุสิต ปากน้ำ ฯลฯ มีการประชุมทวยนาครตามวาระเพื่อเลือก “เชษฐบุรุษ” ตัวแทนแต่ละอำเภอไปเลือก “นคราภิบาล” มาบริหารเมือง เก็บภาษีที่ดิน ออกหนังสือพิมพ์ (รายได้ส่งเข้าราชนาวีสมาคมสำหรับซื้อเรือหลวง พระร่วง) ต่อมายังทรงให้ตั้งพรรคการเมืองคือ “คณะแพรแถบสีน้ำเงิน” และ “คณะแพรแถบสีแดง” เพื่อแข่งกัน ทรงให้เปิดสอบมัคคุเทศก์เพื่อนำผู้มาเยือนคนนอกชมเมือง
ภายหลังทรงย้ายดุสิตธานีมาไว้ด้านหลังพระราชวังพญาไท จากนั้นพระองค์เสด็จฯ มาประทับ ณ พระราชวังแห่งนี้โดยตลอดจนปีสุดท้ายแห่งรัชกาล
น่าเสียดายว่าในนิทรรศการคงเหลืออาคารและบ้านจำลองจากดุสิตธานีเดิมเพียง ๑๐ กว่าหลัง ผู้ที่อยากเห็นสภาพจริงคงทำได้แค่ดูภาพถ่ายเก่าที่รักษาไว้ในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ เจ้าหน้าที่นำชมยังเล่าว่า ตึกต่าง ๆ ที่จัดแสดงบางส่วนต้อง “ตามหากลับมา” ด้วยหลังสิ้นรัชกาล เจ้าของก็นำกลับบ้าน บ้างก็ดัดแปลงเป็นศาลพระภูมิ บ้างก็ทำเป็นของเล่น บางส่วนก็เสียหายจนไม่สามารถซ่อมแซมได้
แม้มีการตีความว่าทรงทดลองประชาธิปไตย แต่อาจารย์เทพมองว่า “ทรงทดลองขยายการปกครองส่วนท้องถิ่นมากกว่า สมัยนั้นมีการปกครองแบบสุขาภิบาลอยู่แล้วที่ชุมชนท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ถ้าจะอ้างอิงแบบนี้ก็อาจย้อนกลับได้ถึงชุมชนนี้ด้วย อีกทั้งผมยังไม่เห็นแนวโน้มจากหลักฐานแวดล้อมเลยว่ารัชกาลที่ ๖ จะทรงทำเช่นนั้น”
แต่สิ่งสำคัญกว่าคือ “ดุสิตธานีเป็นที่แรกที่มีเสรีภาพสื่อ (free press) เห็นได้จากหนังสือพิมพ์ ดุสิตสมิต ที่ทรงก่อตั้ง แม้ออกสำหรับทวยนาคร แต่ก็รับบทความคนนอก เป็นตัวอย่างว่าถกเถียงกันได้ ฝึกรับฟังความเห็นต่าง เรื่องนี้ขยายไปสู่หนังสือพิมพ์ภายนอก เป็นพื้นฐานให้การเปลี่ยนแปลงที่จะตามมา ถ้าเทียบกับสมัยรัชกาลที่ ๕ พระพุทธเจ้าหลวงทรงมีความเป็นกษัตริย์ยุคเก่าอยู่มาก ท่านจะไม่ค่อยยอมเรื่องนี้ แต่รัชกาลที่ ๖ ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลง ทรงมองว่าถ้าจะไปรอดต้องเปิดพื้นที่ เป็นไปไม่ได้ที่คนอ่านออกเขียนได้แล้วจะไปห้ามการวิจารณ์”
การเปลี่ยนผ่านสำคัญอีกเรื่องหนึ่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวคือการวางพื้นฐาน “ความเป็นชาติ”
วอลเทอร์ เอฟ. เวลลา (Walter F. Vella) ผู้เขียน Chaiyo ! King Vajiravudh and the Development of Thai Nationalism ซึ่งศึกษาการก่อตัวของความรู้สึกชาตินิยมสยาม ระบุว่า รัชกาลที่ ๖ ทรงมีอังกฤษเป็นต้นแบบเรื่องชาตินิยม เพราะทรงเคยเรียนอยู่ ๙ ปี ทรงตระหนักถึงกระแสชาตินิยมที่แพร่หลายในยุโรปขณะนั้น ชัยชนะของญี่ปุ่นเหนือรัสเซียช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๑ (ปี ๒๔๔๘) และการปฏิวัติซินไห่ (จีนเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ ปี ๒๔๕๔) ทำให้ต้องทรงทำอะไรบางอย่าง “วิธีของพระองค์คือเอาไฟสู้กับไฟ” และหากจะหาจุดเริ่มต้นของ “ประวัติศาสตร์ชาตินิยมไทย” ก็ต้องเริ่มในรัชสมัยนี้
ผู้พิพากษาออกพิจารณาคดีในสมัยรัชกาลที่ ๖
ภาพการ์ตูนล้อ แสดงพระราชกรณียกิจของรัชกาลที่ ๖ ที่ทรงยกระดับราษฎรสยาม
อาจารย์เทพชี้ว่า รัชกาลที่ ๖ ทรง “ทำให้ ‘ชาติ’ ผูกกับ ‘พระมหากษัตริย์’ ต่างจากชาตินิยมอังกฤษ เวลาพูดถึง Royalism ในอังกฤษไม่ต้องมีสมเด็จพระราชินี พวกนิยมระบอบสาธารณรัฐก็ไม่ได้สนใจกษัตริย์ ในยุโรปก็ไม่มีประเทศไหนบอกว่าต้องรักพระเจ้าแผ่นดินก่อนจึงรักชาติได้ สยามเป็นกรณีเฉพาะมาก”
แนวคิดชาตินิยมลักษณะนี้สะท้อนผ่านบทความ “ความเป็นชาติไทยโดยแท้จริง” ที่ทรงใช้นามปากกา “อัศวพาหุ” ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย (ปี ๒๔๕๘) ส่วนหนึ่งว่า “ถ้าเขาจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยาม เขาจึ่งจะเป็นไทยแท้ แต่ถ้าใครแสดงตนว่าเป็นอิสระแก่ตน ไม่มีความจงรักภักดีต่อผู้ใดดั่งนี้ ต้องจัดว่าผู้นั้นเป็นคนไม่มีชาติ...”
นั่นหมายถึง ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีเชื้อสายใด หากจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ก็ “เป็นไทย” ได้
กระทั่งคำขวัญ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ก็น่าจะทรงรับมาประยุกต์ จากคำขวัญอังกฤษที่ใช้รณรงค์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ ว่า “เพื่อพระเจ้า กษัตริย์ และประเทศชาติ” (For God, King and Country)
ชุดคำนี้ปรากฏโดยอ้อมครั้งแรกในพระราชนิพนธ์กาพย์ฉบัง ๑๖ “เครื่องหมายแห่งไตรรงค์” ใน ดุสิตสมิต เดือนเมษายน ๒๔๖๑ อธิบายความหมายของสีธงชาติไทยว่า
ขาวคือบริสุทธิ์ศรีสวัสดิ์ หมายพระไตรรัตน์ และธรรมะคุ้มจิตไทย
แดงคือโลหิตเราไซร้ ซึ่งยอมสละให้ เพื่อรักษาชาติศาสนา
น้ำเงินคือสีโสภา อันจอมประชา ธ โปรดเป็นของส่วนองค์
จัดริ้วเข้าเป็นไตรรงค์ จึ่งเป็นสีธง ที่รักแห่งเราชาวไทย
ความดังกล่าวต่างจากคำอธิบายในกฎหมายว่าด้วยธงที่บอกว่าใช้สีทำนองเดียวกับธงของชาติฝ่ายสัมพันธมิตรโดยไม่ให้ความหมายเจาะจง นี่จึงเป็นการประกาศเรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ผ่านสีบนธงไตรรงค์
ยังมีเนื้อหาในแบบเรียนหลวงคือ พลเมืองดี แต่งโดยเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี ย้ำเรื่องการจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้พระราชบัญญัติประถมศึกษาที่บังคับใช้ตั้งแต่ปี ๒๔๖๔ ทำให้อนุมานได้ว่า เด็กอายุตั้งแต่ ๗ ปีขึ้นไปที่เรียนระดับประถมศึกษาจนอายุ ๑๔ ปี ก็ได้รับการปลูกฝังเรื่องนี้ด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นรากฐานของ “ชาตินิยม (แบบไทย)” ที่เรารู้จักกันมาจนถึงทุกวันนี้
นักเรียนหลักสูตรรักษาดินแดน (รด.) ในสมัยปัจจุบัน ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะได้แนวคิดมาจากกิจการเสือป่า เกี่ยวกับการจัดการกำลังสำรอง
ภาพ : วิจิตต์ แซ่เฮ้ง
ในบทนิพนธ์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ของ ม.จ. พูนพิศมัย ดิศกุล พระธิดาในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ อดีตเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ระบุว่า ตั้งแต่ปีแรกที่รัชกาลที่ ๖ ครองราชย์ คนจำนวนมาก “พากันบ่นว่ายังไม่ทรงมีรัชทายาทสืบพระองค์อยู่จนพระชันษาถึง ๓๐ ปีแล้ว”
ด้วยเหตุนี้ทำให้ทรงตั้งพระราชหฤทัยทำเรื่องนี้ให้เป็นระบบไม่ต่างจากราชวงศ์ในยุโรป เห็นได้จากทรงออก กฎมณเทียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. ๒๔๖๗ วางลำดับสืบราชสมบัติอย่างชัดเจน เริ่มนับจากพระราชโอรสองค์ใหญ่ที่ประสูติจากพระราชชนนีที่มีฐานะสูงสุด ถ้าไม่มีก็ให้ลำดับไปทางสายพระราชอนุชา หากไม่มีพระราชโอรสหรือพระราชอนุชา ก็ให้พิจารณาลำดับพระราชบุตรของพระมเหสีองค์ที่ ๒ พ้นจากนี้ก็ให้เรียงตามลำดับอายุของพระราชวงศ์ เน้นบุรุษเพศเท่านั้น
ในช่วงต้นรัชกาล ทรงตั้งพระราชอนุชา สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เป็นรัชทายาท แต่ถูกกระแสค้าน ด้วยกรมหลวง
พิษณุโลกฯ มีพระชายาเป็นต่างชาติ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพกราบบังคมทูลเตือนถึงกระแสต้านนี้ จึงทรงแก้ปัญหาด้วยการ “ให้ตาเล็กทำปฏิญาณเสียก่อนว่า จะไม่ยอมยกราชสมบัติให้กับลูกที่ไม่ได้เกิดจากผู้หญิงไทย” อย่างไรก็ตามในปี ๒๔๖๓ ระหว่างเสด็จประพาสแหลมมลายู กรมหลวงพิษณุโลกฯ ประชวรด้วยพระโรคปัปผาสะเป็นพิษ (ปอดบวม) แล้วทิวงคตที่สิงคโปร์
รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชดำริทบทวนเรื่องนี้ใหม่ ด้วยแม้ลำดับสืบราชสมบัติจะไปตกอยู่กับสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา (ต่อมาคือรัชกาลที่ ๗) ตามลำดับ ก็ทรงไม่มั่นพระราชหฤทัย
คำบรรยายภาพเก่าระบุว่า “รัชกาลที่ ๖ ทรงอภิเษกกับพระนางเจ้าสุวัทนา”
อาจารย์เทพวิเคราะห์ว่ารัชกาลที่ ๖ น่าจะทรงพระราชดำริว่า “ตอนนั้นกรมหลวงนครราชสีมาก็ประชวรมาก กรมหลวงสุโขทัยฯ ก็ไม่แน่ว่าจะรับพระราชภาระไหว เมื่อกรมหลวงนครราชสีมาทิวงคตในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๖๘ พระองค์จึงทรงกลับมาคิดเรื่องมีพระโอรสอีกครั้ง”
แต่เรื่องนี้ก็ไม่เป็นไปตามพระราชประสงค์ แม้หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ ทรงพยายามมีพระมเหสีโดยทรงหมั้นกับกลุ่มพระธิดาของราชตระกูล “วรวรรณ” (พระธิดาของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์) และสายสกุล “สุจริตกุล” คือกรณีสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี พระวรราชชายา แต่ก็ไม่สัมฤทธิผล ความหวังสุดท้ายของพระองค์อยู่ที่พระครรภ์ของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ที่ทรงเตรียมการรับพระราชกุมารเป็นอย่างดี และมีการเขียนพระราชพินัยกรรมเรื่องนี้โดยเฉพาะหากพระราชกุมารต้องขึ้นครองราชย์ โดยทรงหวังให้กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชาทรงเป็นประธานคณะผู้สำเร็จราชการ
ทว่าต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๔๖๘ พระองค์ทรงประชวรจากพระโรคเก่าที่ทรงเคยผ่าตัดในอังกฤษ ในช่วงท้ายของการประชวร พระราชธิดาซึ่งต่อมาคือสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีก็ประสูติในวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๔๖๘ ก่อนรัชกาลที่ ๖ จะสวรรคตในช่วงย่ำรุ่งวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน
สิบห้าปีแห่งการครองราชย์ของ “พระมงกุฎเกล้าฯ” สิ้นสุดลง สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา ทรงเป็นรัชทายาทตามกฎมณเฑียรบาลที่จะเสด็จสู่ราชบัลลังก์โดยชอบธรรม
รัชสมัยที่ ๗ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์กำลังจะเริ่มต้น
คลื่นลมประวัติศาสตร์จะแปรผันไปอีกรูปแบบหนึ่ง
พระบรมสาทิสลักษณ์รัชกาลที่ ๖ โดย เอมิล กรูท (Emil Groote) จากนิทรรศการ “พระผู้มาก่อนกาล” จัดแสดงระหว่างวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๘-๗ มกราคม ๒๕๖๙ ณ นิทรรศสถาน อาคารศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ภาพ : ประเวช ตันตราภิรมย์