Image

ดร. รวีดาอร มณเฑียร และดร. นันทมนต์ กู้ตลาด สองผู้ขับเคลื่อนชุมชนคนรักพิพิธภัณฑ์ กับความฝันที่อยากให้ผู้คนได้มาเบิกบานใจในพิพิธภัณฑ์

เบิกบานใจ
เมื่อไปพิพิธภัณฑ์

PEOPLE OF THE MUSEUM
คนรักพิพิธภัณฑ์

เรื่อง : อิทธิกร ศรีกุลวงศ์
ภาพ : ประเวช ตันตราภิรมย์

หากคุณเป็นคนรักพิพิธภัณฑ์และเล่นโซเชียลมีเดียเป็นประจำ เชื่อว่าต้องเคยเห็นกลุ่มเฟซบุ๊ก ไปพิพิธภัณฑ์แล้วหัวใจเบิกบาน ในฐานะพื้นที่รวมตัวของเหล่าคนรักพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดพื้นที่หนึ่งในประเทศไทย

ที่นี่มีผู้จัดนิทรรศการมากมายแวะเวียนส่งข่าวสารงานแสดงใหม่ ๆ ที่กำลังจะเปิดตัว มีนักเดินทางจำนวนไม่น้อยมาเขียนเล่าประสบการณ์ประทับใจที่ได้พบเจอในพิพิธภัณฑ์รอบโลก มีแม้กระทั่งคนจากพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ มาประกาศรับสมัครหาคนร่วมทีม  ไม่ว่าคุณจะเป็นคนรักพิพิธภัณฑ์หน้าเก่าหรือหน้าใหม่ เพียงแค่เข้ากลุ่มแล้วพิมพ์ถามว่า “กำลังจะไปที่…มีพิพิธภัณฑ์ไหนแนะนำบ้าง” คุณก็จะได้รับการตอบรับจากเพื่อน ๆ สมาชิกอย่างอบอุ่น

วันนี้เราย้ายการพูดคุยผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มาเป็นการพูดคุยต่อหน้าผู้อยู่เบื้องหลัง “ไปพิพิธภัณฑ์แล้วหัวใจเบิกบาน” คือผู้ก่อตั้งและแอดมินกลุ่ม ดร. รวีดาอร มณเฑียร และแอดมินกลุ่ม ดร. นันทมนต์ กู้ตลาด เพื่อย้อนอดีตวันแรก ๆ ของพื้นที่นี้ รวมถึงชวนจินตนาการต่อไปในอนาคตว่าการรวมตัวของคนรักพิพิธภัณฑ์จะสร้างสรรค์สิ่งใดขึ้นบ้าง

“ไป…เราไปพิพิธภัณฑ์กันเถอะ”

ร่วมสร้างสรรค์ชุมชน
พิพิธภัณฑ์ (วิทยา) ใหม่

“อาจฟังดูตลกมากเลยนะ แต่กลุ่ม ‘ไปพิพิธภัณฑ์แล้วหัวใจเบิกบาน’ เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญจากการที่เราโพสต์แนะนำตัวในกลุ่มหาคู่ออนไลน์” รวีดาอรเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ

เธอเรียนจบปริญญาโทด้านพิพิธภัณฑ์ (Museology Arts) จาก Amsterdam School of Arts ประเทศเนเธอร์แลนด์
และมีผลงานเป็นที่รู้จักในแวดวงพิพิธภัณฑ์ไทยจากการเป็นที่ปรึกษาการสร้างพิพิธภัณฑ์บ้านฮอลันดา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่เปิดให้เข้าชมในปี ๒๕๕๔ ก่อนเธอจะมีคำนำหน้านามว่า ดร. หลังเรียนจบปริญญาเอกด้านการจัดการมรดกสถาปัตยกรรมกับการท่องเที่ยว จากมหาวิทยาลัยศิลปากร

เธอเล่าว่ากลุ่ม ดร. โสด เป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นมาในช่วงโควิด-๑๙

ในฐานะพื้นที่ทำความรู้จักเพื่อนใหม่ที่ยังโสดอยู่

“ช่วงโควิด-๑๙ เราก็เข้าไปแนะนำตัวบ้าง พิมพ์ว่าอยากหาเพื่อนไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ด้วย ปรากฏว่ามีทั้งชายหญิงราว ๒๐๐-๓๐๐ คนมาทักตอบ ตอนนั้นไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะมีคนสนใจพิพิธภัณฑ์กันมากขนาดนี้ เราเลยสร้างกลุ่มขึ้นมาเพื่อจะรวมเพื่อน ๒๐๐-๓๐๐ คนนี้ไว้”

กลุ่มเฟซบุ๊ก “ไปพิพิธภัณฑ์แล้วหัวใจเบิกบาน” ตั้งขึ้นในเดือนเมษายน ๒๕๖๓ ช่วงที่สถานการณ์โควิด-๑๙ ในประเทศไทยยังระบาดหนักและพิพิธภัณฑ์ทั่วประเทศถูกสั่งปิดอย่างไม่มีกำหนด เมื่อพื้นที่ทางกายภาพไม่สามารถใช้งานได้ พื้นที่ออนไลน์แห่งนี้เลยกลายเป็นพื้นที่พูดคุยแห่งใหม่ของเหล่าคนที่รักการไปพิพิธภัณฑ์

“ตอนนั้นเราก็เริ่มเอาภาพการไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์แห่งต่าง ๆ มาโพสต์แบ่งกันดู ไม่ได้เล่าในฐานะคนทำงาน แต่เป็นแนวท่องเที่ยวเลย คนอื่นก็มาแชร์ด้วย ทุกคนเล่าสนุกจนน่าตกใจ  ช่วงแรก ๆ เหมือนอ่านนิตยสารท่องเที่ยว ไปค้น ๆ ดูน่าจะมีพิพิธภัณฑ์เกือบครบทุกประเทศในโลกแล้ว”

เริ่มต้นจากคนแค่หลักร้อย เมื่อสมทบด้วยเพื่อน ๆ ในวงการพิพิธภัณฑ์ของรวีดาอรและการชวนกันต่อไปเรื่อย ๆ ในเวลาแค่ ๓ เดือนกลุ่มเฟซบุ๊กนี้ก็ขยายใหญ่เป็นหลักหมื่นคน

รวีดาอรเน้นย้ำว่ากลุ่มออนไลน์ด้านพิพิธภัณฑ์ไม่ใช่สิ่งใหม่ ก่อนหน้านี้ก็มีกลุ่มอื่น ๆ อยู่แล้วมากมาย แต่เหตุผลที่ทำให้ “ไปพิพิธภัณฑ์แล้วหัวใจเบิกบาน” กลายเป็นกลุ่มยอดนิยมที่ทั้งคนทำงานในวงการพิพิธภัณฑ์ นักท่องเที่ยวผู้รักการไปพิพิธภัณฑ์ รวมถึงคนนอกวงที่เริ่มสนใจพิพิธ-ภัณฑ์ พากันเข้ามาไม่ขาดสาย ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะกลุ่มนี้เน้นการบอกเล่าประสบการณ์ ความรู้สึกของตัวเองได้แบบเล่าให้เพื่อนฟัง ไม่ใช่แบบผู้รู้ เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกคนมีส่วนร่วมได้อย่างสบายใจ ไม่มีใครตัดสินใคร

“ตั้งแต่ประมาณช่วงปี ๒๕๓๐ เกิดแนวคิดพิพิธภัณฑ์วิทยาใหม่ (new museology) ขึ้นในโลกตะวันตก อธิบายง่าย ๆ คือเป็นการรู้ตัวของพิพิธภัณฑ์ว่าตัวเองหยิ่งไม่ได้แล้ว จะแค่จัดแสดงของเฉย ๆ ไม่ได้ แต่ต้องทำงานกับสังคมและชุมชนด้วย” นันทมนต์พยายามอธิบายคำศัพท์วิชาการยาก ๆ ให้เราเข้าใจมากขึ้น

ปัจจุบันนันทมนต์เป็นอาจารย์หลักสูตรปริญญาโท สาขาพิพิธภัณฑศึกษา สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล เธอเป็นสมาชิกกลุ่ม “ไปพิพิธภัณฑ์แล้วหัวใจเบิกบาน” ตั้งแต่ช่วงแรก สมัยที่เธอยังเรียนปริญญาเอกด้าน Museum and Exhibition Design อยู่ที่ De Montfort University เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ก่อนรวีดาอรชักชวนให้มาเป็นแอดมินกลุ่ม

แนวคิดพิพิธภัณฑ์วิทยาใหม่ที่นันทมนต์พูดถึงคือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในแวดวงพิพิธภัณฑ์โลกที่มองว่าพิพิธภัณฑ์เป็นพื้นที่สาธารณะของสังคม จากที่เคยมุ่งเน้นการจัดแสดงวัตถุ ก็ประยุกต์หลักการจากศาสตร์อื่น ๆ เช่น design thinking และ human-centered design ที่มุ่งเน้นการออกแบบโดยมีลูกค้าหรือผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง รวมถึง co-creation ที่มุ่งเน้นการแบ่งปัน การร่วมสร้างสรรค์ ร่วมแบ่งปันความเป็นเจ้าของในชุมชน

Image

รอยยิ้มนี้เกิดจากความรักและความสนใจในพิพิธภัณฑ์ ช่วยจัดสรร นำพารวีดาอรมาพบเจอกับเพื่อนใหม่ผู้รักพิพิธภัณฑ์นับหมื่นคน

“แบบเดียวกับที่โลกเปลี่ยนแนวคิดการทำพิพิธภัณฑ์ ใช้หลักการ co-creation ถามความคิดเห็นจากสังคมมากขึ้น ทั้งคนที่มาพิพิธภัณฑ์และคนที่ไม่มาพิพิธภัณฑ์ กลุ่มเราก็พยายามทำแบบนั้น เป็นพื้นที่เปิดและปลอดภัยสำหรับการคุยกัน รวมถึงประสบการณ์แย่ ๆ และจุดที่อยากให้พิพิธภัณฑ์ปรับปรุงด้วย”

นันทมนต์เล่าว่าเคยมีสมาชิกโพสต์ว่าเขาพาครอบครัวไปพิพิธภัณฑ์ของรัฐแห่งหนึ่งซึ่งมีประกาศว่าเปิดให้เข้าชมฟรีหากมากันเป็นครอบครัวในวันสงกรานต์ แต่วันนั้นครอบครัวของเขาไม่ได้รับสิทธิ์นี้เนื่องจากมีกันแค่พ่อ ลูก และคุณย่า ไม่มีคุณแม่

คืนนั้นคนทำงานพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวติดต่อมาแล้วขอโทษขอโพยยกใหญ่ ทั้งขอโทษแอดมินกลุ่มและขอโทษผู้ไปเยี่ยมชมคนนั้น แม้เธอจะไม่รู้ว่าท้ายที่สุดปัญหานี้จะถูกนำไปปรับแก้มากเพียงใด แต่อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ได้ถูกปล่อยผ่านไปเฉย ๆ

“บางช่วงก็มีคนมาติว่าในกลุ่มมีแต่คนลงรูปพิพิธภัณฑ์ต่างประเทศ ไม่ค่อยมีพิพิธภัณฑ์ไทยเลย เราก็พยายามเข้าใจเขาว่าคงรู้สึกเหมือนโดนผลักออกไปจากบทสนทนา ก็มาคิดกันว่าจะทำยังไงดี เพราะเรายังอยากให้กลุ่มคงความเป็นนิตยสารท่องเที่ยวที่คนมาแบ่งปันเรื่องราวแต่ก็อยากให้คนที่ไม่มีโอกาสไปชมพิพิธภัณฑ์ต่างประเทศรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มด้วย ก็พยายามชวนคนมาเล่าถึงพิพิธภัณฑ์ไทยมากขึ้น”

ตั้งแต่ปลายปี ๒๕๖๓ พิพิธภัณฑ์ทั่วโลกเริ่มกลับมาเปิดให้เข้าชมได้ คนรักพิพิธภัณฑ์ในต่างประเทศคิดเกมชื่อ “#museum30” ที่ท้าให้ผู้คนมาโพสต์รูปพิพิธภัณฑ์ทุกวันไปตลอดเดือนตามที่กำหนดไว้ ซึ่งนันทมนต์ก็หยิบยกนำมาชวนเพื่อน ๆ สมาชิกกลุ่ม “ไปพิพิธภัณฑ์แล้วหัวใจเบิกบาน” เล่นด้วย

“ตอนแรกกังวลว่าจะมีคนเล่นกับเราไหม มันยากนะแล้วก็ไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ แต่สุดท้ายก็มีคนเล่นด้วย บางคนไม่ได้ลงแค่วันละรูป แต่ลงวันละอัลบัม แถมเขียนเล่าสนุกมาก ตอนจบเดือนมีคนรู้จักกันส่งของที่ระลึกในพิพิธภัณฑ์เขามาให้ใช้เป็นรางวัลด้วย ช่วงนั้นกลุ่มคึกคักมาก”

หากคุณเปิดเฟซบุ๊กแล้วค้นหาว่า #Museum30 ก็จะมีพิพิธภัณฑ์มากมายที่เหล่าคนรักพิพิธภัณฑ์ทั่วโลกเคยร่วมแบ่งปันกันไว้บนโลกอินเทอร์เน็ตให้คุณได้เพลิดเพลินไปด้วย

กลุ่ม “ไปพิพิธภัณฑ์แล้วหัวใจเบิกบาน” เกิดขึ้นมาพร้อมกับความคึกคักบนโลกออนไลน์ของผู้คนในสถานการณ์ โควิด-๑๙ และเมื่อสถานการณ์ผ่านไป บรรยากาศในกลุ่มก็ค่อย ๆ เปลี่ยนตาม

“คนในกลุ่มที่เคยเขียนเล่าเรื่องยาว ๆ ก็น้อยลง เพราะคงยุ่งกับชีวิตการงาน แต่กลับกันคือมีอินฟลูเอนเซอร์รีวิวงานนิทรรศการเยอะขึ้น มีเพจชวนคนไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์มากขึ้น เจ้าของเพจเหล่านี้ก็จะใช้วิธีแชร์โพสต์จากเพจของตัวเองเข้ามา ซึ่งมีความเป็นงานโฆษณานิดหนึ่ง คนที่เข้ามาทีหลังบางทีก็ไม่ได้เข้าใจกลุ่มของเรามาก โพสต์ขายคาเฟ่บ้างอะไรบ้าง เลยต้องปรับระบบใหม่ จากเดิมที่ใครจะโพสต์ก็ได้ก็ต้องรอให้แอดมินกดยืนยันก่อน อันไหนที่ไม่เกี่ยวข้องกับพิพิธภัณฑ์ก็ต้องขอปฏิเสธเขาไป” นันทมนต์เล่าวิธีการดูแลกลุ่มในปัจจุบัน

แม้บทสนทนาจะเปลี่ยนไป แต่สิ่งที่ “ไปพิพิธภัณฑ์แล้วหัวใจเบิกบาน” สร้างไว้คือชุมชนชาวพิพิธภัณฑ์ที่มีมากกว่า ๓ หมื่นคน 

“มีคนทำงานพิพิธภัณฑ์ในกลุ่มเยอะมาก เวลามีประเด็นสังคมที่เกี่ยวข้องกับพิพิธภัณฑ์เราจะเห็นคนมาพูดคุยถกเถียงกันอยู่เรื่อย ๆ  เราเองก็อยากให้กลุ่มเป็นพื้นที่ปลอดภัยแบบนั้นต่อไป เป็นพื้นที่ที่คนจะใช้บอกพิพิธภัณฑ์ได้ว่าควรปรับแก้อะไร คงความจริงใจในการติและชมเอาไว้ แล้วก็เป็นพื้นที่เปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้ผู้คน ว่าเรามองพิพิธภัณฑ์ในมุมไหนได้อีกบ้าง”

“แบบเดียวกับที่โลกเปลี่ยนแนวคิดการทำพิพิธภัณฑ์ ใช้หลักการ co-creation ถามความคิดเห็นจากสังคมมากขึ้น กลุ่มเราก็พยายามทำแบบนั้น เป็นพื้นที่เปิดและปลอดภัยสำหรับการพูดคุย รวมถึงประสบการณ์แย่ ๆ และจุดที่อยากให้พิพิธภัณฑ์ปรับปรุงด้วย”

การมาพิพิธภัณฑ์หรือการมาชมนิทรรศการในภาพจำของสังคมยังเป็นกิจกรรมเพื่อหาความรู้ แต่ทั้งคู่อยากให้การมาพิพิธภัณฑ์เป็นเรื่องในชีวิตประจำวัน มาพักผ่อนหย่อนใจ มาสนุกเพลิดเพลิน หรือแค่มาใช้เวลาว่างกับเพื่อน  ๆ

เพื่อนของพิพิธภัณฑ์

“สิ่งหนึ่งที่พบจากการทำกลุ่มนี้คือในประเทศไทยมีคนอยากรู้เรื่องอาชีพเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์เยอะมากนะ อยากรู้ว่าเป็นยังไง ทำอะไรบ้าง บางทีเราก็เขียนเล่าเองบ้าง ชวนเพื่อน ๆ ในวงการมาเล่าบ้าง” รวีดาอรเอ่ย

นันทมนต์เสริมรวีดาอรว่าไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเพราะแวดวงคนทำงานพิพิธภัณฑ์นั้นเหมือนแดนสนธยาที่น้อยคนจะได้สัมผัส การรับรู้ถึงอาชีพนี้ในไทยจึงน้อยจนน่าใจหาย ตัวเธอเองยังยอมรับว่าตอนเธอเด็ก ๆ เวลาผู้ใหญ่ถามว่าอยากทำอาชีพอะไร เธอก็ยังไม่รู้จักอาชีพเหล่านี้เลย แม้แต่ในยุคปัจจุบันอาชีพคนทำพิพิธภัณฑ์ก็ยังไม่เคยติดโผรายชื่ออาชีพที่เด็กและเยาวชนสนใจ

“เรามองว่าพิพิธภัณฑ์กับสังคมยังมีระยะห่างอยู่มากจริง ๆ โมเดลหนึ่งที่อาจจะพอช่วยลดช่องว่างตรงนี้ได้คือการสร้างกลุ่มอาสาสมัครหรือกลุ่มเพื่อนพิพิธภัณฑ์”

นันทมนต์แลกเปลี่ยนประสบการณ์จากการเป็นนักศึกษาในประเทศอังกฤษว่าพิพิธภัณฑ์เกือบทุกแห่งที่นั่นจะเปิดรับอาสาสมัครเข้ามาช่วยขับเคลื่อน บางคนมาในฐานะของเด็กฝึกงานจากมหาวิทยาลัย (กรณีของนันทมนต์จัดอยู่ในประเภทนี้) ขณะที่บางคนก็เข้ามาด้วยฐานะคนในชุมชนที่รู้สึกเป็นเจ้าของร่วมในพิพิธภัณฑ์แห่งนั้น

“ในหลักสูตรปริญญาโท Museum Studies ที่เรียนมีการจัดงานมหกรรมจัดหางานเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนมีพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ มาตั้งโต๊ะประกาศว่าเขากำลังต้องการคนทำงานตำแหน่งอะไรบ้าง ช่วยงานด้านไหนบ้าง ทำให้ได้เห็นเลยว่างานพิพิธภัณฑ์ไม่ได้มีแค่การทำนิทรรศการหรือการเป็นภัณฑารักษ์ คุณสามารถทำการตลาดได้ เป็นแอดมินดูแลเอกสารทั่วไปก็มี ใครชอบพบเจอผู้คนก็มีงานด้านการศึกษาหรืองานนำชม หากเป็นคนเงียบ ๆ เก็บตัวก็มีทั้งดูแลระบบหลังบ้านและอนุรักษ์วัตถุจัดแสดง จริง ๆ งานพิพิธภัณฑ์มีหลากหลายมากพอสำหรับคนทุกรูปแบบ”

พิพิธภัณฑ์ที่นันทมนต์ได้ไปฝึกงานด้วยเป็นพิพิธภัณฑ์เอกชนขนาดเล็กที่มีพนักงานประจำแค่สามคน กิจกรรมทั้งหมดขับเคลื่อนโดยกลุ่มจิตอาสาที่อยากให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้คงอยู่ ตั้งแต่คนหนุ่มสาวที่มาเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เพื่อดูแลผู้เยี่ยมชมคณะใหญ่ ไปจนถึงคุณตา วัย ๘๐ ที่มานำชมเองทุกสัปดาห์เพราะผูกพันกับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มานาน

“ส่วนกลุ่มเพื่อนพิพิธภัณฑ์ (Museum Friends) จะคล้าย ๆ กลุ่มไลน์ส่งข่าวสาร เวลามีการจัดกิจกรรมอะไรคนในชุมชนก็จะรับรู้และเข้าร่วมได้ ยังมีกิจกรรมหนึ่งที่น่ารักมากคือวัน Takeover Day ของกลุ่ม Kids in Museums ทุกปีพิพิธภัณฑ์ที่เข้าร่วมจะเปิดให้เด็ก ๆ มาทำงานแทนผู้ใหญ่ จัดนิทรรศการเอง จัดโปรแกรมต่าง ๆ เองตลอดวัน ผู้ใหญ่แบบเรา ๆ เป็นที่ปรึกษา ก็เป็นทางหนึ่งที่ช่วยให้พิพิธภัณฑ์กับสังคมใกล้ชิดกันมากขึ้น”

เธอเล่าว่าในไทยมีตัวอย่างพิพิธภัณฑ์ที่ทำงานร่วมกับชุมชนได้อย่างน่าสนใจแห่งหนึ่งคือ “โรงเล่น พิพิธภัณฑ์เล่นได้” จังหวัดเชียงราย เปิดพื้นที่ลดช่องว่างระหว่างวัย ชวนคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านมาทำของเล่นไม้พื้นบ้านให้เด็ก ๆ ทำให้ผู้สูงอายุมีกิจกรรมทำและยังรับรู้ถึงคุณค่าในตัวเองผ่านรอยยิ้มของเด็ก ๆ ที่ได้เล่นของเล่น

ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มจัดตั้งกันเองแบบ “ไปพิพิธภัณฑ์แล้วหัวใจเบิกบาน” หรือกลุ่มทางการของพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์เดียวกันคือชวนให้คนไปพิพิธภัณฑ์มากขึ้น เป็นเพื่อนของพิพิธภัณฑ์ที่อยากเข้าไปมีส่วนร่วม พัฒนา ทำกิจกรรมด้วยกัน

“เราอยากเห็นแบบนี้เยอะ ๆ การที่พิพิธภัณฑ์เปิดรับคนข้างนอกก็เหมือนเปิดใจ ให้ชุมชนโดยรอบเข้าร่วมเป็นเจ้าของด้วย เป็นลักษณะของพิพิธภัณฑ์ที่ควรจะเป็นตามยุคสมัย แต่โจทย์แบบนี้ก็ท้าทายคนทำงานด้วย เพราะพิพิธภัณฑ์ในไทยเองก็มีหลากหลายมาก มีตั้งแต่พิพิธภัณฑ์ของวัดที่จัดการโดยพระทั้งหมด ไปจนถึงพิพิธภัณฑ์เอกชนจัดแสดงของสะสมส่วนตัวของนักสะสม แต่ละที่มีคนดูแลไม่เท่ากัน หวงของไม่เท่ากัน มีความพร้อมไม่เท่ากัน

“พวกเราเพื่อนของพิพิธภัณฑ์จะมีช่องทางเข้าไปช่วยผลักดันพิพิธภัณฑ์ยังไงบ้าง ถ้าเป็นโมเดลงานอาสาสมัครจะวางระบบแบบไหนให้เหมาะกับบริบทของบ้านเรา อาจต้องค่อย ๆ หาทางกันไป”

“จากคนที่ไม่เคยคิดจะไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์เลย เราได้เห็นเขาเปลี่ยนความคิด ในฐานะคนชวนไปแค่นี้ก็ไม่เสียเปล่าแล้ว เราฟังแล้วใจเราเองก็เบิกบานไปด้วยเหมือนกัน”

Image

เรื่องเล่าและแววตาของนันทมนต์ พาเรามองไปถึงอนาคตที่ชุมชนและพิพิธภัณฑ์สามารถเติบโตไปด้วยกันได้จริง  ๆ

อยากให้หัวใจ
ได้ผลิดอกเบ่งบาน

“เชื่อไหมว่าพิพิธภัณฑ์ดี ๆ เปลี่ยนชีวิตคนได้” รวีดาอรเอ่ยถาม

ในความทรงจำ รวีดาอรในวัยเด็กไม่ใช่คนชอบพิพิธภัณฑ์ แม้สมัยเรียนปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์ศิลปะที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้เข้าออกพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่อยู่ใกล้เคียงนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อทำรายงานส่งอาจารย์

“เราเองก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่าการไปพิพิธภัณฑ์คือรูปแบบการเรียนรู้ที่วัดผลได้ แต่ละครั้งต้องไปจดเนื้อหาเอามาเขียนรายงาน เราอาจเข้าพิพิธภัณฑ์เพราะโรงเรียนพาไปทัศนศึกษา แต่ไม่ได้เอาหัวใจไปสัมผัสจริง ๆ เลยไม่เคยรู้ว่าการไปชื่นชมของจัดแสดง การไปมีบทสนทนาที่ดี หรือการไปใช้เวลาอย่างเพลิดเพลินในพื้นที่เป็นอย่างไร

“พิพิธภัณฑ์ที่เปลี่ยนเราไปตลอดกาลคือ Getty Museum ที่ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา เราไปอยู่ที่นั่น ทั้งวันตั้งแต่เปิดยันปิด เดินดูห้องจัดแสดง เสร็จแล้วไปร้านหนังสือ เหนื่อยก็ไปพักในสวนหย่อมของเขา ทุกอย่างเป็นมิตรกับเราหมด มีรายการให้เลือกชมได้ทั้งวัน อยู่ที่นั่นเรามีความสุขมาก ตอบสนองทุกความต้องการได้จนงงว่านี่คืออะไรกัน นี่คือพิพิธภัณฑ์ของจริงเหรอ แล้วที่ผ่านมาที่เราเข้าใจมาตลอดคืออะไร”

รวีดาอรอธิบายในฐานะคนที่เป็นนักทฤษฎีพิพิธภัณฑ์ว่าโดยหลักการแล้วคนที่มาพิพิธภัณฑ์มีความต้องการหลัก ๆ สี่รูปแบบ อย่างแรกที่มักคุ้นเคยกันดีคือการมาค้นหาข้อมูลความรู้ อย่างที่ ๒ คือการมาตามหาความผ่อนคลายทางอารมณ์ อย่างที่ ๓ คือการมาพบปะสังสรรค์ใช้เวลาร่วมกับผู้อื่น และอย่างสุดท้ายคือการมองพิพิธภัณฑ์เป็นเหมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เป็นพื้นที่ชุบชูพลังชีวิต เติมเต็มความต้องการทางจิตวิญญาณ

“บ้านเรายังวนเวียนอยู่กับข้อแรกมาก ในฐานะคนที่ชวนคนอื่นไปพิพิธภัณฑ์เราก็อยากชวนคนไปสัมผัสด้วยแง่มุมอื่น ๆ นอกจากความรู้ ไปสัมผัสช่วงเวลาในพิพิธภัณฑ์อย่างอิสระ และมีความสุขกับมันไม่ว่าจะแง่มุมไหนก็ตาม เราเชื่อว่าทุกคนจะมีประสบการณ์แบบนั้น แล้วก็อยากให้ส่งต่อ ให้คนออกมาแบ่งปันประสบการณ์ที่ตัวเองรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจกัน”

บางครั้งความสุขที่ค้นเจอในพิพิธภัณฑ์อาจเป็นเรื่องง่าย ๆ เล็ก ๆ แต่จุดประกายบางอย่างในดวงใจให้สว่างไสว

ในงานวิจัยระดับปริญญาเอกของรวีดาอร ส่วนหนึ่งเธอศึกษาถ้อยคำในสมุดเยี่ยมชมของพิพิธภัณฑ์บ้านฮอลันดาที่เธอมีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มต้น เป็นเวลากว่า ๕ ปี เพื่อวิเคราะห์สิ่งที่ผู้มาเยี่ยมชมรู้สึกและได้รับจากพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ มีเด็กคนหนึ่งว่าที่นี่มหัศจรรย์และสวยมาก และยังมีขนมอร่อย ฉันจะไปเล่าเรื่องเกี่ยวกับบ้านฮอลันดาให้เพื่อนที่โรงเรียนฟัง

“สิ่งนี้แหละคือความต้องการสูงสุดของคนทำพิพิธภัณฑ์ การได้รู้ว่าการมาพิพิธภัณฑ์จุดประกายบางอย่างในตัวเขา แล้วทำให้เขาอยากส่งต่อ ไปชวนเพื่อน พี่น้อง และครอบครัวมาใช้เวลาที่พิพิธภัณฑ์ด้วย”

สิ่งนี้เองคือการไปพิพิธภัณฑ์แล้วหัวใจเบิกบานในแบบของรวีดาอร

“พวกเราเชื่อว่าทุกคนจะมีประสบการณ์แบบนั้นได้จริง ๆ อย่างที่เกิดขึ้นกับเรา คือตอนเรียนอยู่ที่อังกฤษเคยชวนเพื่อนที่ไม่ได้ชื่นชอบอะไรแบบนี้ไปพิพิธภัณฑ์ปากกาที่เมืองเบอร์มิงแฮม” นันทมนต์แลกเปลี่ยน

นันทมนต์ขยายความว่าพิพิธภัณฑ์ปากกาเมืองเบอร์มิงแฮมนั้นก่อตั้งโดยคุณตาสามคนที่เคยทำงานในอุตสาหกรรมการผลิตหัวปากกาคอแร้งมาก่อน เพื่อบันทึก รักษา และส่งต่อความทรงจำที่ชาวเมืองมีต่อยุคสมัยนั้น ในฐานะส่วนหนึ่งที่สร้างเมืองเบอร์มิงแฮมให้เป็นอย่างทุกวันนี้

“มีคุณตามานำชม เล่าประสบการณ์จริงให้ฟัง พาเราไปทำปากกาคอแร้งของตัวเองทีละขั้น ๆ  พอออกจากพิพิธภัณฑ์เราก็จะได้ปากกาติดมือกลับไป เพื่อนที่เราชวนไปด้วยพูดขึ้นมาว่า สนุกจังเลย ไม่เคยรู้เลยว่าไปพิพิธภัณฑ์จะสนุกแบบนี้ รอบหน้าชวนเราไปอีกนะ

“จากคนที่ไม่เคยคิดจะไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์เลย เราได้เห็นเขาเปลี่ยนความคิด ในฐานะคนชวนไปแค่นี้ก็ไม่เสียเปล่าแล้ว เราฟังแล้วใจเราเองก็เบิกบานไปด้วยเหมือนกัน”

รวีดาอรทิ้งท้ายว่าน่าดีใจมากที่ทุกวันนี้มีคนไปพิพิธภัณฑ์มากขึ้น ไปดูนิทรรศการ หาความรู้ เล่นสนุก ถ่ายรูป ทำรายการลงโซเชียลมีเดีย วัฒนธรรมการไปพิพิธภัณฑ์ค่อย ๆ เติบโตมากขึ้น

เธอหวังว่ากลุ่มเฟซบุ๊ก “ไปพิพิธภัณฑ์แล้วหัวใจเบิกบาน” จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้การไปพิพิธภัณฑ์เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวและนำความสุขมาให้ทุกคน

“มีคนอีกมากเลยที่ไม่รู้ว่าจะไปพิพิธภัณฑ์ทำไม ยังหาแง่มุมสนุกไม่เจอ การไปพิพิธภัณฑ์อาจจะเป็นแค่การไปกินวาฟเฟิลอร่อย ๆ แล้วรู้สึกว่าตัวเองได้มีวันดี ๆ ก็ได้ หวังว่าการมีอยู่ของ ‘ไปพิพิธภัณฑ์แล้วหัวใจเบิกบาน’ จะเป็นส่วนเล็ก ๆ ที่ช่วยให้คุณค้นพบวิธีสนุกแบบใหม่ ๆ และเกิดเป็นวัฒนธรรมการใช้เวลาว่างอย่างมีความสุขในพิพิธภัณฑ์”