พระพุทธรูปยืน ศิลา สมัยทวารวดี ที่เมื่อบรรทุกลงแพล่องจากเมืองสุโขทัย มาถูกจับยึดที่บางคลาน จังหวัดพิจิตร จนทำให้ทางราชบัณฑิตยสภาต้องเจรจากับกระทรวงมหาดไทยอยู่พักใหญ่
“ของที่มีค่า
ควรดูควรชม”
วัตถุในพิพิธภัณฑสถาน
สำหรับพระนคร ยุคสมเด็จฯ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
PEOPLE OF THE MUSEUM
เรื่อง : ศรัณย์ ทองปาน
ภาพ : บันสิทธิ์ บุณยะรัตเวช
ปลายเดือนพฤศจิกายน ๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ สวรรคต สมเด็จฯ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิ-เดชน์ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา สืบราชสันตติวงศ์ทรงครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗
ด้วยปัญหาด้านการคลังจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก นโยบายเฉพาะหน้าของรัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์คือการลดทอนรายจ่ายทุกอย่างเท่าที่จะเป็นไปได้ หน่วยงานราชการหนึ่งซึ่งเห็นพ้องกันว่าสมควรยุบเลิกเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายได้แก่กรมศิลปากร
กรมศิลปากรก่อตั้งเมื่อปี ๒๔๕๔ ตอนต้นรัชกาลที่ ๖ โดยทรงให้แยกกรมโยธาออกจากกระทรวงโยธาธิการ แบ่งงานช่างก่อสร้างไปไว้ในกรมศุขาภิบาล กระทรวงนครบาล ส่วน “การช่างที่เปนประณีตศิลป” ให้เอามารวมกับกรมพิพิธภัณฑ์ที่ย้ายมาจากกระทรวงธรรมการ แล้วตั้งเป็นกรมศิลปากร อัน “มีผู้บัญชาการกรมขึ้นตรงต่อพระเจ้าแผ่นดิน จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้ใดในกระทรวงใดฤๅกรมใดเปนผู้บังคับบัญชาเมื่อใดก็ได้”
ทว่าเมื่อต้องยุบเลิกกรมศิลปากร พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ยังทรงเล็งเห็นความสำคัญของงานต่าง ๆ ที่เคยอยู่ในความรับผิดชอบของกรมศิลปากร จึงทรงมีแนวพระราชดำริชัดเจนว่า จะให้หอพระสมุดวชิรญาณ หรือ “หอสมุดสำหรับพระนคร” ขยายขอบเขตงานขึ้นเป็น “ราชบัณฑิตยสภา” มีหน้าที่เกี่ยวเนื่องด้วยการบำรุงวิชาหนังสือและวรรณคดีเป็นหลัก พร้อมกับได้รับมอบหมายให้ “บำรุงประณีตศิลป์” ด้วย
ราชบัณฑิตยสภา
๑๙ เมษายน ๒๔๖๙ มีพระบรมราชโองการประกาศยุบเลิกกรมศิลปากร ความว่า “เนื่องจากที่เงินรายได้ของแผ่นดินไม่พอกับรายจ่ายนั้น ทรงพระราชดำริห์เห็นว่าเปนการจำเปนที่ควรจะยุบเลิกกรมศิลปากรเสีย เพื่อตัดรายจ่ายเงินแผ่นดินให้เข้าสู่ดุลยภาพ”
ในวันเดียวกันมีประกาศตั้งราชบัณฑิตยสภา โดยปรับเปลี่ยนกรรมการหอพระสมุดสำหรับพระนครให้มีหน้าที่กว้างขวางครอบคลุมยิ่งขึ้น แบ่งออกเป็นสามแผนก ได้แก่
๑) แผนกวรรณคดี มีหน้าที่ดูแลหอพระสมุดสำหรับพระนคร และสอบสวนพิจารณาวิชาอักษรศาสตร์
๒) แผนกโบราณคดี มีหน้าที่จัดการงานพิพิธภัณฑสถานและตรวจรักษาโบราณวัตถุสถาน
๓) แผนกศิลปากร มีหน้าที่จัดการบำรุงรักษาวิชาช่าง
พร้อมกันนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งกรรมการราชบัณฑิตยสภา มีนายพลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดำรงราชานุภาพ เป็นสภานายก
มหาอำมาตย์โท พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ เป็นอุปนายก แผนกวรรณคดี
มหาอำมาตย์โท พระยาโบราณราชธานินทร์ เป็นอุปนายก แผนกโบราณคดี
นายพลเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ เป็นอุปนายก แผนกศิลปากร
อากรม
นายพลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดำรงราชานุภาพ (พระอิสริยยศขณะนั้น) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ประสูติเมื่อปี ๒๔๐๕ ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยนับแต่แรกตั้งกระทรวงเมื่อปี ๒๔๓๕ ต่อเนื่องยาวนานกว่า ๒๐ ปี มาจนถึงช่วงต้นรัชกาลที่ ๖ ก่อนจะกราบถวายบังคมลาออก แล้วมารับตำแหน่งสภานายกหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนครในปี ๒๔๕๘ มีหน้าที่ดูแลจัดการหอพระสมุดฯ ซึ่งเทียบได้กับหอสมุดแห่งชาติ
ในช่วงนี้เองกรมพระดำรงราชานุภาพทรงมีเวลามากขึ้น จึงทรงพระนิพนธ์หนังสือขึ้นใหม่หลายเรื่องในหลากหลายหัวข้ออันจะกลายเป็นหมุดหมายของวิชาความรู้เรื่องเมืองไทยต่อมาอีกช้านาน เช่น เรื่องประดิษฐานพระสงฆ์สยามวงษ์ในลังกาทวีป (ปี ๒๔๕๙), พระราชพงษาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ (ปี ๒๔๕๙), ตำนานเรื่องเครื่องโต๊ะแลถ้วยปั้น (ปี ๒๔๖๐), พงษาวดารเรื่องเรารบพม่า ๒ เล่ม (ปี ๒๔๖๑ และปี ๒๔๖๓), ตำนานเรื่องลครอิเหนา (ปี ๒๔๖๔), ตำนานคณะสงฆ์ (ปี ๒๔๖๖), จดหมายเหตุเรื่องเสด็จประพาสต้นในรัชกาลที่ ๕ (ปี ๒๔๖๖), ตำนานเครื่องราชอิศริยาภรณ์จุลจอมเกล้า (ปี ๒๔๖๗), ตำนานเครื่องราชอิศริยาภรณ์สยาม (ปี ๒๔๖๘), นิราสนครวัด (ปี ๒๔๖๘) ฯลฯ
ขณะเดียวกัน โดยหน้าที่ของสภานายกหอพระสมุดฯ พระองค์ยังทรงมีบทบาทในการคัดเลือกต้นฉบับหนังสือเก่าจำนวนมหาศาล เพื่อจัดพิมพ์แจกจ่ายในวาระงานพระศพเจ้านายและงานศพขุนนางผู้มีบรรดาศักดิ์ รวมถึงยังทรงต้องรับภาระเรียบเรียงประวัติผู้วายชนม์เพื่อพิมพ์ลงในหนังสือจนทรงกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงในทางนี้
เมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ กรมพระดำรงราชานุภาพ สภานายกหอพระสมุดฯ ผู้ทรงมีพระชันษากว่า ๖๐ ปี กลายเป็นพระบรมวงศ์ ผู้ใหญ่ เป็น “อากรม” ของในหลวง เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยจนได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นหนึ่งในอภิรัฐมนตรีทำหน้าที่ให้คำปรึกษาราชการแผ่นดินตั้งแต่ต้นรัชกาล
เมื่อมีพระบรมราชโองการจัดตั้งราชบัณฑิตยสภาขึ้นในเดือนเมษายน ๒๔๖๙ กรมพระดำรงราชานุภาพก็ได้รับหน้าที่เป็นสภานายกแห่งราชบัณฑิตยสภาซึ่งมิได้ดูแลเฉพาะแต่หอพระสมุดฯ อีกต่อไป หากแต่ยังต้องรับผิดชอบพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครอีกด้วย
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี (กลาง) ทรงฉายพระบรมฉายาลักษณ์ร่วมกับกรรมการราชบัณฑิตยสภาหน้าพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ (ซ้าย) พระยาโบราณราชธานินทร์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (ขวา) หม่อมเจ้าปิยภักดีนาถ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ คราวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๖๙
ภาพ : การพัฒนาพิพิธภัณฑสถานและงานโบราณคดีของกรมศิลปากร ปี ๒๕๐๘
ตำนาน
พุทธเจดีย์สยาม
ม.จ. หญิงพูนพิศมัย ดิศกุล พระธิดาในกรมพระดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าว่า
“พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานวังหน้าให้เป็นพิพิธภัณฑ์ และโปรดให้เสด็จพ่อทรงจัด วันที่ไปรับสถานที่จากทหารซึ่งอยู่ในตอนหลังพระที่นั่งนั้น ในบางห้องที่ปิดไม่ได้ใช้ เต็มไปด้วยขี้ค้างคาว กลิ่นตลบอบอวลไปหมด ทางระเบียงพระที่นั่งก็หักพัง หลังคาห้อยเป็นแห่ง ๆ เสด็จพ่อทรงพระดำเนินตรวจทั่วแล้วตรัสว่า - ‘จะไปขอเงินคลังก็ไม่ได้เพราะเขาจะต้องตอบว่าให้รอเพราะราชการด่วนยังมี
แต่อายุพ่อมันไม่รอด้วย ต้องคิดหาสตางค์เอาเอง’…”
ท่านหญิงพูนฯ ยังทรงบรรยายวิธีการที่ “เสด็จพ่อ” ต้องขอรับบริจาควัสดุก่อสร้างจากบรรดานายห้างพ่อค้าฝรั่ง แขก จีน ในพระนครไว้ด้วย จนในที่สุด “พิพิธภัณฑ์ของชาติจึงกลับบริบูรณ์ขึ้นได้โดยรัฐมิได้ออกสตางค์ช่วยเหลือเลย”
เมื่อมีสถานที่แล้ว สิ่งหนึ่งที่จำเป็นสำหรับการจัดพิพิธภัณฑ์คือกรอบแนวคิดหรือเค้าโครงเรื่องราวที่ต้องการบอกเล่า
เดือนต่อมาหลังจากมีพระบรมราชโองการ คือพฤษภาคม ๒๔๖๙ มีงานพระราชทานเพลิงศพเจ้าจอมมารดาชุ่มในรัชกาลที่ ๔ (ปี ๒๓๘๗-๒๔๖๖) พระมารดาในกรมพระดำรงราชานุภาพ ณ วัดเทพศิรินทราวาส
กรมพระดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์หนังสือ ตำนานพุทธเจดีย์สยาม ขึ้นเพื่อจัดพิมพ์อุทิศเป็นพระกุศลสนองคุณพระมารดาโดยทรงกล่าวไว้ในคำนำตอนหนึ่งว่า “หนังสือเรื่องนี้แต่งยากกว่าหนังสือเรื่องอื่น ๆ ซึ่งข้าพเจ้าได้เคยแต่งมาโดยมาก ด้วยมีกิจที่จำต้องตรวจหนังสือต่าง ๆ และต้องค้นหาวัดถุที่จะทำรูปภาพมากอยู่”
หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยคติการสร้างพุทธเจดีย์ เท้าความย้อนไปตั้งแต่หลังสมัยพุทธกาล จนถึงการเกิดขึ้นของพระพุทธรูป และวิวัฒนาการที่มีมาเป็นลำดับ โดยเฉพาะตอนที่ ๙ ว่าด้วยพุทธเจดีย์ในสยามประเทศ มีเนื้อความว่าด้วยการแบ่งยุคสมัยของพระพุทธรูปและสถูปเจดีย์ที่พบในประเทศสยาม การกำหนดแบบศิลปะในประเทศไทยเรียงตามลำดับ นับตั้งแต่สมัยทวารวดี สมัยศรีวิชัย สมัยลพบุรี สมัยเชียงแสน สมัยสุโขทัย สมัยศรีอยุธยา และสมัยรัตนโกสินทร์ เริ่มปรากฏครั้งแรกจากหนังสือเล่มนี้ ก่อนที่จะถูกอ้างอิงสืบต่อมาร่วมศตวรรษ
ยินดีขอบคุณท่าน
ภารกิจสำคัญเฉพาะหน้าคือการรวบรวมโบราณวัตถุเข้ามาเพื่อจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถาน อันย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าต้องอาศัยการร้องขอ เชิญชวน และโน้มน้าวเป็นการส่วนพระองค์ จากสภานายกฯ คือกรมพระดำรงราชานุภาพ
ผู้ทรงเป็นพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่และเป็นที่นับหน้าถือตากันอย่างกว้างขวางนั่นเอง
ใน ราชกิจจานุเบกษา ช่วงปี ๒๔๖๙-๒๔๗๐ มีการตีพิมพ์ “แจ้งความราชบัณฑิตยสภา” ประกาศรายนามเจ้าของผู้ครอบครอง พร้อมรายการสิ่งของที่มอบให้แก่พิพิธภัณฑสถานบ่อยครั้ง ทั้งคงเพื่อประกาศเกียรติคุณแก่ผู้มอบ และเป็นหลักฐานยืนยันว่าทางพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครได้รับสิ่งของเหล่านั้นไว้เรียบร้อยแล้ว
ในระยะแรกผู้มอบมักเป็นพระบรมวงศานุวงศ์และพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ผู้เป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวง เช่น “แจ้งความราชบัณฑิตยสภา” ลงวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๔๖๙ กล่าวว่า “กรรมการราชบัณฑิตยสภามีความยินดีขอบคุณท่านที่ได้ให้สิ่งของแก่พิพิธภัณฑ์สถานในกรุงเทพฯ มีนามและรายชื่อสิ่งของดังต่อไปนี้” คือ พระสุเมธมุนี เจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม ส่งมอบ “พระพุทธรูปต่าง ๆ ซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ ได้ส่งไปรวบรวมไว้” พระเทพสุธี เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม ส่งมอบ “พระแท่นที่บันทมของโบราณ สันนิษฐานว่าเปนพระแท่นของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี” และพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ส่ง “พระแท่นที่บันทมของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว”
นอกจากนั้น “แจ้งความราชบัณฑิตยสภา” บางฉบับ ยังระบุถึงการซ่อมสร้างสิ่งของที่มีอยู่แล้วด้วย เช่นฉบับ วันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๔๖๙
“ด้วยนายพลเอก พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงกำแพงเพ็ชร์อัครโยธิน ผู้บัญชาการรถไฟหลวง ได้ทรงรับซ่อมแซมรถไฟตัวอย่าง ซึ่งเปนราชบรรณาการของสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียประเทศอังกฤษ ส่งมาถวายพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับได้ทรงสร้างรถลำเลียงขึ้นใหม่คัน ๑ และทางรถไฟท่อน ๑ ประทาน สำหรับประดิษฐานไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถาน...”
โมเดลหัวรถจักรไอน้ำ Victoria (วิกตอเรีย) พร้อมขบวนรถไฟ หนึ่งในเครื่องราชบรรณาการจากอังกฤษที่ส่งเข้ามาทูลเกล้าฯ ถวายในสมัยรัชกาลที่ ๔ เมื่อจะนำมาจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครในปี ๒๔๖๙ กรมรถไฟหลวงเอื้อเฟื้อจัดทำทางรถไฟให้เป็นที่ตั้ง พร้อมสร้างรถลำเลียงเพิ่มเติมให้อีกคันหนึ่ง (ยังไม่ทราบว่าคือคันใด)
ของหลวง-
ของราษฎร์
ยิ่งใกล้กำหนดการเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครในเดือนพฤศจิกายน ๒๔๖๙ เข้ามาเท่าใด การระดมสิ่งของเตรียมจัดตั้งรับเสด็จยิ่งเข้มข้น ดังมี “แจ้งความราชบัณฑิตยสภา” กล่าวย้อนหลังไปว่า ระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน มี “ของหลวง” จากหน่วยงานของรัฐบาลที่ส่งเข้ามาเพื่อ “ตั้งประดับ” ในพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครเป็นจำนวนมาก เช่น (ตัวสะกดตามต้นฉบับใน ราชกิจจานุเบกษา)
“ปืนมหาฤกษ์คร่ำเงิน ๑ บอก ปืนมหาไชยคร่ำทอง ๑ บอก” (รับจากกระทรวงกลาโหม)
“รูปพระนารายณ์ ๑ องค์ รูปนางอุมา ๑ องค์” (รับจากโบสถ์พราหมณ์)
“รูปพระโพธิสัตว์อวโลเกศวร ๑ องค์ ระฆังใหญ่ ๑ ระฆัง” (รับจากกระทรวงวัง)
“พระเศียรพระพุทธรูปแสนแส้วซึ่งได้มาแต่เมืองเชียงใหม่ ๑” (รับจากวัดเบญจมบพิตร)
“รูปพระฤๅษีฝีมือขอม ๑ องค์ รูปโคอุศภราช (จากพระพุทธบาท) ๑” (รับจากอยุธยาพิพิธภัณฑ์)
“พระเศียรพระพุทธรูปสมัยอู่ทอง ๑ เศียร” (รับจากพิพิธภัณฑ์ลพบุรี)
“ระฆังเหล็กจากวัดเพ็ชรพรี ๑ ระฆัง” (รับจากเมืองเพชรบุรี)
“รูปพระนารายณ์ทรงปืน ๑ องค์” (รับจากกรมศิลปากร)
“รูปกระโจมไฟเงินของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริวงศ์ ๑” (รับจากกระทรวงมหาดไทย)
“รูปพระคเณศใหญ่ (จากชวา) ๑ องค์” (รับจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม) ฯลฯ
ถัดจากนั้นยังมีรายพระนามพระบรมวงศานุวงศ์ รายชื่อขุนนางข้าราชการ ชาวต่างชาติ พระภิกษุสามเณร และประชาชน ที่มอบของสะสมส่วนตัวให้แก่พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร เช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดำรงราชานุภาพ, พระองค์เจ้าฉายรัสมี, ม.จ. อนุชาติ ศุขสวัสดิ์, หม่อมแผ้ว ในสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครราชสีมา, นายโมบุสและนายแฮนสไกเยอร์, พระยาศรีธรรมศกราช, พระยาพินิจสารา, พระยาบรรณสิทธิ์ทัณฑการ, พระยาจ่าแสนยบดี, พระยาภิรมยภักดี, พระยาโบราณราชธานินทร, รองอำมาตย์โท จิตร บุญนาค, ขุนวิศิษฎ์ทะเบียนการ, ขุนสกลคณารักษ์, พระอริยกวี และพระครูปลัดต้น วัดจักรวรรดิ, พระครูธรรมธร วัดราชาธิวาศ, พระครูสารธรรมาจารย์ วัดชิโนรส, พระครูโวธารธรรมาจารย์ วัดดาวดึงส์, พระอาจารย์เภา จังหวัดลพบุรี, สามเณรฮง และสามเณรกิมเหลียง วัดชนะสงคราม, นายโป๊ะ ดวงทับทิม, นายอิ๊ด นายช่วง ธูปนาค, นายก่อง สุรโชติ, นายพลอย ซื่อต่อชาติ และนางเลียด อัมพกสิกร
เปนสง่าแก่พระนคร
วันพุธที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๖๙ เวลาบ่าย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดหอพระสมุดวชิรญาณและพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครที่จัดใหม่ ในการนี้ทรงมีพระราชดำรัสความตอนหนึ่ง ย้ำเรื่องการบริจาคสิ่งของให้แก่พิพิธภัณฑ์อีกว่า
“ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านทั้งหลายคงจะยินดีด้วยกับข้าพเจ้าที่ได้เห็นพิพิธภัณฑ์สถานอันใหญ่โตและพอสมควรกับเกียรติยศของพระนคร ข้าพเจ้าหวังใจว่าพิพิธภัณฑ์ใหม่นี้คงจะเปนที่พอใจของท่านทั้งหลายตลอดจนมหาชนที่จะได้มาชมในวันต่อไป
“ถ้าหากว่าพิพิธภัณฑ์สถานนี้เปนที่พอใจของท่านทั้งหลายแล้ว ก็หวังว่าจะได้รับความอุดหนุนบ้างตามโอกาศ เช่นผู้ที่ชอบในทางค้นคว้าหาของโบราณวัดถุและศิลปวัดถุ ข้าพเจ้าหวังว่าคงจะยินยอมให้ราชบัณฑิตยสภายืมสิ่งของที่หาได้นั้นมาแสดงให้มหาชนได้ชมในพิพิธภัณฑ์สถานตามโอกาศอันควร หรือจะยกสิ่งของเหล่านั้นให้แก่พิพิธภัณฑ์หรือทำพินัยกรรมให้ก็ดี ย่อมจะช่วยให้พิพิธภัณฑ์นี้มีของที่มีค่าควรดูควรชมมากขึ้นเปนลำดับ เปนทางบำรุงปัญญาความรู้ของมหาชน และจะได้เปนสง่าแก่พระนครและเปนสาธารณประโยชน์ ตลอดจนชนต่างชาติก็จะได้ชมศิลปวัดถุของชาติไทย เปนหนทางประกาศเกียรติยศและอารยธรรมของประเทศสยามด้วยประการฉนี้”
สืบเนื่องจากพระราชดำรัสนี้ ในเวลาต่อมาปรากฏว่ามีผู้มีจิตศรัทธาช่วยสนับสนุนพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครอีกหลายราย เช่น บริษัทไฟฟ้าสยาม จำกัด ซึ่งได้รับการว่าจ้างให้ติดตั้งโคมไฟฟ้าในพิพิธภัณฑ์ เป็นจำนวนเงิน ๑,๒๐๐ บาท ทางบริษัทก็มีจดหมายแจ้งมาภายหลังว่า “บริษัทอนุโมทนาในการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริห์ให้จัดหอพระสมุดวชิรญาณแลพิพิธภัณฑสถาน เพื่อประโยชน์ดังมีกระแสพระราชดำรัส เมื่อเปิดพิพิธภัณฑสถาน บริษัทมีความยินดีขอช่วยการที่ติดไฟฟ้านั้นไม่คิดราคาทั้งสิ้น” เช่นเดียวกับโรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากรซึ่งได้รับการว่าจ้างให้จัดพิมพ์หนังสือ อธิบายว่าด้วยหอพระสมุดวชิรญาณแลพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร จำนวน ๓,๐๐๐ เล่ม เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายและจ่ายแจกในวันเสด็จพระราชดำเนิน ก็ “มีความยินดีขอช่วยในการพิมพ์หนังสือนั้นไม่คิดราคาทั้งสิ้น”
ยิ่งไปกว่านั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงกระทำให้เห็นเป็นแบบอย่างตามพระราชดำรัสด้วยพระองค์เอง เดือนต่อมา ธันวาคม ๒๔๖๙ ได้พระราชทานโบราณวัตถุส่วนพระองค์ให้เป็นสมบัติของพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครอีกหลายรายการ เช่น พระพุทธรูปและเทวรูปสมัยต่าง ๆ ทั้งยังทรงพระราชทานเพิ่มเติมอีกหลายครั้งในปีต่อ ๆ มา
สิ่งของจากท่าน
ผู้มีแก่ใจ
หลังจากการเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร ในเดือนพฤศจิกายน ๒๔๖๙ แล้ว ราชกิจจานุเบกษา คงตีพิมพ์ “แจ้งความราชบัณฑิตยสภา” ว่าด้วย “สิ่งของจากท่านผู้มีแก่ใจให้มาตั้งประดับในพิพิธภัณฑ์สถาน” พร้อมกับประเภทและสิ่งของ พร้อมทั้งพระนามและนามของผู้ให้ ต่อเนื่องมาอีกหลายปี
จากในช่วงแรกที่ผู้บริจาคกระจุกตัวอยู่เพียงภายในพระนคร นับวันเครือข่ายการได้มาซึ่งสิ่งของยิ่งแผ่กว้างออกไปสู่หัวเมืองในพระราชอาณาจักร เช่น “แจ้งความราชบัณฑิตยสภา” ลงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๔๗๐ ปรากฏนามของผู้ส่งสิ่งของในช่วงเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม สองเดือนสุดท้ายของปี ๒๔๖๙ ตามระบบปฏิทินของสยามยุคนั้น ได้แก่ พระยากัลยาณวัฒนวิศิษฎ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก, หม่องโง่ยซินและนางบุญเป็ง สุวรรณอัตถ์, ส่างจันทร์และนางเรือนคำ นันตาน้อย จังหวัดลำปาง, ขุนพฤฒิเภทพัฒนา กรมการพิเศษจังหวัดเชียงราย, นายจัน มุสิกโปดก จังหวัดเชียงใหม่, นาง (ผึ่ง) เหมสมาหาร เมืองนครราชสีมา, เจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครลำพูน, พระพิทักษเทพธานี ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ฯลฯ
น่าสังเกตด้วยว่า สิ่งของที่ราชบัณฑิตยสภารับเข้ามาเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร มิได้จำกัดอยู่เฉพาะแต่พระพุทธรูป เทวรูป เครื่องใช้ของพระสงฆ์ สิ่งของอันเนื่องด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และสิ่งสำคัญในทางประวัติศาสตร์ เช่น เครื่องปั้นดินเผาของเก่า หรืออาวุธโบราณเท่านั้น หากแต่ใน “แจ้งความราชบัณฑิตยสภา” ยังปรากฏรายการข้าวของอื่น ๆ ที่อาจเรียกในบัดนี้ว่า “วัตถุชาติพันธุ์” อีกไม่น้อย เช่น เต้ง เครื่องดนตรีชาติแม้ว และนอ เครื่องดนตรีชาติมูเซอ (รับจากพระพิทักษเทพธานี ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน), ลูกน้ำเต้ากับผ้ามีภาพสัตว์สำหรับเล่นน้ำเต้า อันเป็นอุปกรณ์เล่นการพนันที่เรียกว่า “น้ำเต้าปูปลา” (รับจากพระองค์เจ้าคำรพ), พวงปลาตะเพียนใบลาน สำหรับแขวนเปลเด็ก (รับจากนางปรุง ชมะทัต) หรือแม้แต่เครื่องมือสื่อสาร เช่น เครื่องโทรเลขและเครื่องโทรศัพท์ (รับจากกรมไปรษณีย์โทรเลข)
พระพุทธรูปปางถวายเนตรปูนปลาสเตอร์ระบายสี ฝีมือนายโตนาเรลลี ช่างปั้นชาวอิตาลี สร้างขึ้นเมื่อปี ๒๔๕๒
ปางถวายเนตร
“แจ้งความราชบัณฑิตยสภา” ในช่วงต่อมามักเป็นการสรุปยอดรายเดือนว่ามีสิ่งของใดบ้างที่มีผู้นำมาให้พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครเก็บรักษาไว้
เดือนมิถุนายน ๒๔๗๑ ในประเภทเครื่องศิลาและปูนปั้น มีรายการของที่ได้รับจากกองลหุโทษคือ “พระพุทธรูปยืนปางถวายเนตร หล่อปูนปลาสเตอร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริแบบอย่างให้ช่างฝรั่งหล่อขึ้น เพื่อจะทรงสร้างด้วยศิลาขาว ๑ องค์”
เรื่องราวของพระพุทธรูปองค์นี้น่าสนใจและอาจเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นขั้นตอนหรือวิธีการได้มาซึ่ง “สิ่งของ” ในพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร ยุคทศวรรษ ๒๔๗๐
พระพุทธรูปปางถวายเนตรสมัยนี้ถือกันว่าเป็นพระพุทธรูปประจำวันสำหรับผู้เกิดวันอาทิตย์ มีพุทธลักษณะคือ เป็นพระพุทธรูปยืน ทอดพระหัตถ์ทั้งสองประสานกันที่พระเพลา (หน้าตัก ในที่นี้หมายถึงหน้าขา) พระพุทธรูปองค์ดังกล่าวมีความสูงถึง ๒ เมตร หล่อด้วยปูนปลาสเตอร์ เป็นฝีมือการปั้นของนายอัลฟอนโซ โตนาเรลลี (Alfonso Tonarelli) ช่างปั้นชาวอิตาลี ซึ่งรัฐบาลจ้างเข้ามาทำงาน ตามโครงการก่อสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคมตั้งแต่ช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ เมื่อการก่อสร้างพระที่นั่งสำเร็จลุล่วงแล้ว นายโตนาเรลลีได้ย้ายมารับราชการเป็นช่างปั้นในกรมศิลปากรซึ่งตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ อีกระยะหนึ่ง
พระพุทธรูปยืนปางถวายเนตรองค์นี้ปั้นหล่อขึ้นราวปี ๒๔๕๒ ช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ ตามแบบศิลปะคันธาระ (Gandhara Art) อันเป็นพุทธศิลปะยุคโบราณที่เคยเฟื่องฟูในดินแดนปากีสถานและอัฟกานิสถาน ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริให้นายโตนาเรลลีปั้นขึ้นเพื่อเป็นต้นแบบสำหรับสลักด้วยศิลาขาว ประดิษฐานเป็นอนิมิสเจดีย์ ณ วัดเบญจมบพิตร อุทิศพระราชกุศลแด่พระองค์เจ้าอุรุพงษ์รัชสมโภช พระราชโอรส ดังความตอนหนึ่งในพระราชหัตถเลขาที่ทรงมีไปยังสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ช่วงเดือนตุลาคม ๒๔๕๒ เนื่องด้วยพระพุทธรูปองค์นี้และนายโตนาเรลลีว่า
“อยากเห็นพระเปนคน อยากให้เห็นหน้าเปนคนฉลาด อดทน มีความคิดมาก...หน้าตาพระพุทธเจ้าของหม่อมฉันเปนเช่นนี้ เห็นรู้จักปรากฏแก่ใจ แต่หากมือทำไม่เปน ไม่สามารถที่จะทำได้ด้วยมือตนเอง ไม่สามารถที่จะแนะนำให้ช่างแก้ไขให้ถึงใจได้ จึงหมดฝีมือกันเพียงเท่านี้เอง แต่ตาคนนี้ เปนผู้ที่เข้าใจดีกว่าช่างทั้งปวง ที่เคยเข้าใจถ้อยคำหม่อมฉัน”
โครงการแกะสลักพระพุทธรูปปางถวายเนตรด้วยศิลาขาวยังคงค้างคามากระทั่งรัชกาลที่ ๕ สวรรคตในเดือนตุลาคม ๒๔๕๓ อาจด้วยเหตุที่เห็นกันว่าเป็นแต่เพียงพระพุทธรูปปูนปลาสเตอร์ระบายสี ต่อมาจึงมีผู้ขอไปประดิษฐานที่กองลหุโทษ (คือในเรือนจำ) สำหรับให้นักโทษกราบไหว้
องค์สภานายกฯ กรมพระดำรงราชานุภาพทรงมีดำริว่า แม้มิได้เป็นโบราณวัตถุเก่าแก่ คือนับจากเมื่อปั้นหล่อมาจนถึงปี ๒๔๗๑ เพียงไม่ถึง ๒๐ ปี หากแต่ต้องถือเป็นพระพุทธรูปสำคัญโดยนัยประหวัด เพราะสร้างขึ้นตามพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงให้สืบเสาะค้นหา เมื่อพบว่าประดิษฐานอยู่ที่กองลหุโทษ จึงทรงมอบหมายให้ขุนบริบาลบุรีภัณฑ์ (ภายหลังเป็นหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ ป่วน อินทุวงศ์/บริบาล บริบาลบุรีภัณฑ์ ปี ๒๔๔๐-๒๕๒๙) ภัณฑารักษ์ ติดต่อขอมาเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์
ในการนี้กรมพระดำรงราชานุภาพทรงให้สอบถามกลับไปทางกองลหุโทษด้วยว่า ยังต้องการพระพุทธรูปไว้ให้นักโทษสักการะอีกหรือไม่ หากต้องการก็จะให้ขุนบริบาลบุรีภัณฑ์คัดเลือกพระพุทธรูปที่มีในคลังของพิพิธภัณฑ์ส่งไปแทน แต่ทั้งนี้ต้องให้องค์สภานายกฯ ทรงพิจารณาเห็นชอบด้วยเสียก่อน สุดท้ายทางกองลหุโทษมีหนังสือตอบกลับมาว่า ได้พระพุทธรูปองค์อื่นไว้ให้นักโทษสักการะแล้ว จึงไม่ขอรับ
ศิษย์ของหม่อมฉัน
วิธีหนึ่งเพื่อให้ได้สิ่งของสำหรับตั้งแต่งในพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครยุคทศวรรษ ๒๔๗๐ คือการติดต่อขอความร่วมมือจากผู้ว่าราชการเมืองต่าง ๆ
ดังกล่าวมาแล้วว่าเมื่อ ๑๐ กว่าปีก่อนหน้าทรงเป็นสภานายกแห่งราชบัณฑิตยสภา กรมพระดำรงราชานุภาพคือเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย อันถือได้ว่ามีอำนาจเป็นรองแต่เพียงพระเจ้าอยู่หัว ทั้งยังทรงเป็นผู้คัดเลือกข้าราชการในกระทรวงด้วยพระองค์เองตลอดมา ดังนั้นเมื่อถึงต้นทศวรรษ ๒๔๗๐ จึงอาจกล่าวได้ว่า สมุหเทศาภิบาล (ผู้ปกครองมณฑล) และผู้ว่าราชการเมืองต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักรเกือบทั้งหมดล้วนเป็น “ลูกศิษย์” ของพระองค์เช่นที่เคยทรงกล่าวถึงพระยานครพระราม (สวัสดิ์ มหากายี ปี ๒๔๒๗-๒๔๘๐) สมุหเทศาภิบาลสําเร็จราชการมณฑลพิษณุโลก ยุคต้นทศวรรษ ๒๔๗๐ ว่า
“เขาเคยเป็นศิษย์ของหม่อมฉันมาแต่ครั้งยังอยู่ในโรงเรียนมหาดเล็ก และเมื่อแรกเข้ารับราชการในกระทรวงมหาดไทย เมื่อเขาจะขึ้นไปเปนเทศามณฑลพิษณุโลก หม่อมฉันได้เตือนว่าควรจะเอาใจใส่ศึกษาโบราณคดี ด้วยมณฑลนั้นมีเรื่องมาก และมักมีชาวต่างประเทศไปเที่ยวดูโบราณสถาน ถ้าเทศาไม่รู้เรื่องอะไรของมณฑลเสียเลยจะถูกเขาดูหมิ่น เพราะเหตุนั้นเมื่อพระยานครพระรามขึ้นไปเป็นเทศา ก็ไปตั้งต้นศึกษาโบราณคดี…”
ลวดลายพระอุณาโลมบนพระนลาฏ (หน้าผาก) พระพุทธรูปทวารวดีองค์ใหญ่ที่ทำให้ชาวบ้านชาวเมืองพากันมาขอทาบพิมพ์ไว้บนผ้า เพื่อเป็นเครื่องรางของขลัง
ล่องแพ-พิมพ์พระ
ตัวอย่างหนึ่งที่ปรากฏหลักฐานว่ากรมพระดำรงราชานุภาพทรงติดต่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจัดส่งสิ่งของลงมายังพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร ได้แก่พระพุทธรูปยืน สูง ๓.๓๐ เมตร อันเป็นพระพุทธรูปทวารวดีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยค้นพบในเมืองไทย
พระพุทธรูปองค์นี้เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดธานีในเมืองสุโขทัย กรมพระดำรงราชานุภาพในฐานะนายกราชบัณฑิตยสภา ทรงขอมาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัด คือพระยาสุรินทรภักดี ศรีผไทสมัน (จิตร ไกรฤกษ์) ช่วยจัดการฝากเรือในฤดูที่มีเรือค้าขายล่องลงมาเพื่อประหยัดค่าขนส่ง จนสุดท้ายติดต่อฝากอัญเชิญลงมาในแพไม้ซุงของบริษัทบอมเบย์เบอร์มา
แต่เมื่อแพพระล่องลงมาตามแม่น้ำยมกลับถูกสกัดจับไว้ที่อำเภอบางคลาน จังหวัดพิจิตร ทางคนเรือฟ้องว่าปลัดอำเภอจับกุมคุมขังไว้โดยไม่มีความผิด มิหนำซ้ำในระหว่างนั้น เมื่อองค์พระถูกปล่อยทิ้งไว้ในแพโดยไม่มีคนเฝ้าจึงมีผู้มากะเทาะทำลายเสียอีก ตามหลักฐานระบุคำกล่าวอ้างว่าถูกลักเจาะที่พระนาภี (หน้าท้อง)
ขณะที่ทางปลัดอำเภอบางคลานกล่าวหาว่าคนเรือหลอกลวงชาวบ้านให้มาพิมพ์พระ (คือเอาหมึกทาที่ลายสลักพระอุณาโลมตรงพระนลาฏ คือหน้าผาก จากนั้นนำผ้ามากดทาบพิมพ์ คงถือเป็นวัตถุมงคลอย่างหนึ่ง) แล้วเรียกเก็บเงินเป็นผลประโยชน์ส่วนตัว เมื่อเกิดเหตุขึ้นเช่นนี้ทางราชบัณฑิตยสภาต้องมีหนังสือเจรจาโต้ตอบกันไปมากับกระทรวงมหาดไทยอีกพักใหญ่ กว่าที่จะอัญเชิญพระพุทธรูปองค์นี้ล่องแพต่อมาจนถึงกรุงเทพฯ
ท้ายที่สุดเมื่อประมวลหลักฐานทุกฝ่ายเข้าด้วยกันแล้ว กรมพระดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า ระหว่างทางที่ล่องลงมา เนื่องจากเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ชาวบ้านสองฝั่งน้ำคงพากันแตกตื่นมาดู แล้วเกิดมีผู้ขอเอาผ้ามาพิมพ์ลายพระอุณาโลมของพระพุทธรูปไว้เป็นเครื่องรางของขลัง ทางคนเรือเห็นสบช่องทางหาลำไพ่จึงจัดการพิมพ์ผ้าออกจำหน่ายเสียเอง และให้ผู้ที่ต้องการมานมัสการอย่างใกล้ชิดจ่ายเงินเพิ่มเป็นพิเศษ รวมทั้งคงมีการปล่อยข่าวเพื่อโหมกระพือความศรัทธาว่าผ้าที่พิมพ์ลายอุณาโลมมีพุทธคุณเข้มขลัง อยู่ยงคงกระพัน ยิงฟันไม่เข้า
เมื่อมาถึงอำเภอบางคลาน แขวงเมืองพิจิตร ปลัดอำเภอเห็นท่าทางดูไม่ชอบมาพากล จึงให้จับกุมตัวคนเรือไว้ ขณะเดียวกันคนเรือก็ไม่มีเอกสารอะไรยืนยันตัว สอบปากคำได้ความเพียงว่าเป็นพระพุทธรูปของผู้ว่าราชการจังหวัดส่งลงไปถวายเจ้านายในกรุงเทพฯ แต่มิได้กล่าวอ้างถึงข้อราชการของราชบัณฑิตยสภาว่าต้องการนำพระพุทธรูปลงมาไว้ในพิพิธภัณฑ์
นอกจากนั้นแล้วกรมพระดำรงราชานุภาพยังทรงสงสัยว่า การที่คนเรือทิ้งแพที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไว้อาจเพื่อเป็นช่องทางให้ผู้ที่นัดแนะมาต่อยชิ้นส่วนพระไปเป็นของขลังมีโอกาสกระทำได้ตามใจชอบ ซึ่งเมื่อพระองค์ตรวจดูแล้วทรงสันนิษฐานว่าส่วนที่ถูกต่อยสกัดหินไปน่าจะได้แก่พระนาสิก (จมูก) แต่ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายร้ายแรง
กรณีนี้ยังมีรายละเอียดต่อมาอีกว่า แม้กระทั่งเมื่อพระพุทธรูปลงมาถึงที่สำนักงานบริษัทบอมเบย์เบอร์มาแล้วชาวพระนครก็ยังแตกตื่นไปดูกันจนแพเกือบล่ม และยังมีผู้มาขอพิมพ์ลายพระอุณาโลมอยู่เรื่อย ๆ จนกระทั่งเมื่อยกขึ้นประดิษฐาน ณ พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครแล้ว เนื่องจากองค์พระมีขนาดสูงใหญ่เกินกว่าที่ใครจะปีนป่ายขึ้นไปพิมพ์ลายอุณาโลมได้อีก เรื่องจึงเงียบไปเอง
พระธรรมจักร
กับนายเฟโรจี
มีธรรมจักรสมัยทวารวดีวงหนึ่งทำด้วยศิลาสีเทาดำ ตามประวัติระบุว่าเดิมพบที่วัดพระปฐมเจดีย์ กรมพระดำรงราชานุภาพ สภานายกราชบัณฑิตยสภา คงเคยทอดพระเนตรและทรงเล็งเห็นว่าเป็นของสำคัญในทางโบราณคดี เมื่อก่อตั้งพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครขึ้นแล้วจึงทรงขอให้พระยาจินดารักษ์ (จำลอง สวัสดิ์-ชูโต ปี ๒๔๓๔-๒๕๐๙) ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ส่งเข้ามาเก็บรักษา ณ พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๗๑
เรื่องนี้ปรากฏใน ราชกิจจานุเบกษา เดือนมีนาคม ๒๔๗๑ หัวข้อ “เรื่องได้รับของหลวงเพิ่มเติม” ว่าทางพิพิธภัณฑ์ฯ ได้รับเครื่องศิลาสองรายการจากจังหวัดนครปฐม ได้แก่ “พระธรรมจักร ศิลา สมัยทวาราวดี พบที่ริมองค์พระปฐมเจดีย์ ๑ กง” และ “รูปกวางศิลา สมัยทวาราวดี พบที่ริมองค์พระปฐมเจดีย์ ๑ รูป”
สภาพเมื่อแรกค้นพบธรรมจักรแตกหักเป็นชิ้นใหญ่สองชิ้น ชิ้นเล็กอีกสี่ชิ้น กรมพระดำรงราชานุภาพทรงมีพระดำริว่าสมควรจะบูรณะให้เต็มครบวงได้เดือนสิงหาคม ๒๔๗๒ ขุนบริบาลบุรีภัณฑ์ ภัณฑารักษ์ จึงมีหนังสือราชการไปยังศิลปากรสถานซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งในราชบัณฑิตยสภา กล่าวเท้าความไปถึงพระพุทธรูปทวารวดีองค์ใหญ่ดังกล่าวมาแล้วด้วยว่า
“ด้วยที่ในพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครมีศิลาเสมาธรรมจักรขนาดใหญ่อยู่อัน ๑ ตั้งไว้ที่ห้องหินเข้าคู่กับพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่ที่ได้มาจากเมืองสุโขทัยเก่า แต่ธรรมจักรชำรุดแตกหายไปเสียครึ่งซีกเหลืออยู่เพียงครึ่งซีก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดำรงราชานุภาพ นายกราชบัณฑิตยสภา มีพระประสงค์จะให้นายฟิโรจีไปช่วยจัดการทำซีกที่แตกหายไปนั้นด้วยปูนปลาสเตอร์ การที่จะทำ นายฟิโรจีไม่ต้องลงมือทำเองก็ได้ เปนแต่บอกวิธีที่จะทำให้ลูกศิษย์ของนายฟิโรจี แล้วให้ลูกศิษย์เปนผู้ทำต่อไปของที่จะใช้มีปูนปลาสเตอร์ ทราย แลปูนขาว เปนต้น พิพิธภัณฑสถานฯ จะเปนผู้ออกเงินให้...”
“นายฟิโรจี” ที่กล่าวถึงคือ ซี. เฟโรจี (Corrado Feroci ปี ๒๔๓๕-๒๕๐๕) หรือที่รู้จักกันดีในเวลาต่อมาในนาม “ศิลป์ พีระศรี” ชาวอิตาลี ซึ่งขณะนั้นเป็นครูช่างปั้น สังกัดศิลปากรสถาน
วิธีการบูรณะของนายฟิโรจี (หรือเฟโรจี) คือจัดการซ่อมแซมให้สมบูรณ์ ด้วยการถอดพิมพ์จากส่วนที่ยังเหลือ แล้วหล่อขึ้นรูปด้วยปูนปลาสเตอร์ ตกแต่งประกอบเข้าไปให้ครบเต็มวงโดยเจตนาปล่อยผิวส่วนซึ่งเสริมเข้าไปใหม่ให้เห็นสีขาวของปูนปลาสเตอร์ เพื่อให้แตกต่างจากเนื้อหินสีเทาดำของเดิมตามหลักวิชาการบูรณะโบราณวัตถุสถาน
ธรรมจักรพร้อมด้วยกวางหมอบ สมัยทวารวดี จากวัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม นายเฟโรจี (ศิลป์ พีระศรี) บูรณะเมื่อปี ๒๔๗๒
สมเด็จฯ
กรมพระยา
ในปี ๒๔๗๒ มีพระบรมราชโองการให้เลื่อนกรม พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดำรงราชานุภาพ เป็น “สมเด็จกรมพระยา” มีพระนามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดำรงราชานุภาพ อันเป็นพระอิสริยยศสูงสุดของเจ้านายตามธรรมเนียมราชสกุลสยาม โดยพระเกียรติคุณหนึ่งอันถูกหยิบยกขึ้นมาแถลงในประกาศตั้งกรม คือพระกรณียกิจอันเนื่องด้วยราชบัณฑิตยสภาดังปรากฏสร้อยพระนามตอนหนึ่งคือ “ราชบัณฑิตวิธานนิติธรรมสมรรถ” พร้อมกับมีคำพรรณนาในประกาศเลื่อนกรมว่า
“อนึ่ง หอพระสมุดสำหรับพระนครนั้น เมื่อถึงรัชชกาลปัจจุบันนี้ทรงพระราชดำริว่าเจริญเป็นหลักฐานมั่นคงแล้ว สมควรจะขยายการให้เกิดประโยชน์ออกไปถึงแผนกอื่น ๆ อันเป็นเครื่องอนุกูลวิชชา จึงโปรดฯ ให้ตั้งราชบัณฑิตยสภา มีแผนกวรรณคดี โบราณคดีและศิลปากร บำรุงวิชชานั้น ๆ ให้รุ่งเรืองยิ่งขึ้น และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระดำรงราชานุภาพ เป็นตำแหน่งนายกในสภานั้น ก็สามารถยังประโยชน์ให้เกิดแก่วิชชาในแผนกต่าง ๆ เป็นอันดับมาดั่งพระราชประสงค์ และเป็นการเพิ่มพูนเกียรติยศของบ้านเมืองด้วยอีกสถานหนึ่ง”
เมื่อคณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเป็นพระบรมวงศ์ระดับสูงพระองค์หนึ่งที่ถูกควบคุมไว้เป็นตัวประกัน ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม และอีกราว ๑ เดือนให้หลังในวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๔๗๕ พระองค์ก็ถูกคณะกรรมการราษฎรสั่งปลดจากตำแหน่งนายกราชบัณฑิตยสภา หลังทรงรับหน้าที่นี้มาตั้งแต่ปี ๒๔๖๙ อันถือเป็นจุดสิ้นสุดของราชการเนื่องด้วยพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครของพระองค์
ส่วนพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่ที่ล่องแพลงมาจากสุโขทัย ธรรมจักรศิลาที่นายเฟโรจีเคยซ่อม พร้อมด้วยกวางหมอบซึ่งส่งเข้ามาจากวัดพระปฐมเจดีย์ด้วยกันตั้งแต่ปี ๒๔๗๑ รวมทั้งพระพุทธรูปปางถวายเนตร ฝีมือนายโตนาเรลลี ยังคงประดิษฐานเป็นศรีสง่า ณ ห้องทวารวดีและห้องรัตนโกสินทร์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครจวบจนปัจจุบัน