Image

“ไม่ได้นั่งเพียงให้ถ่ายรูปอย่างเดียวนะ แต่เราภาวนาจริงๆ” พระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน กล่าวกับผู้ที่มาขอถ่ายภาพนี้ เป็นแบบอย่างของการอยู่กับการปฏิบัติภาวนาวิปัสสนาตลอดเวลา 

ปฏิปทา

เรื่อง : วีระศักร จันทร์ส่งแสง
ภาพ : ประเวช ตันตราภิรมย์ 

วัตรปฏิบัติพระป่า

“ท่านจะสอนพวกเราให้ประกอบความเพียรตั้งแต่หัวค่ำ จนกระทั่งเวลา ๔ ทุ่ม ก็จำวัดพักผ่อนตามอัธยาศัย พอถึงตี ๓ ท่านก็เตือนให้ลุกขึ้นมาบำเพ็ญเพียร เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา หรือทำวัตรสวดมนต์ตามที่เราถนัด”

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย บันทึกถึงพระอาจารย์เสาร์ผู้เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ ไว้ในหนังสือ ฐานิยตฺเถรวตฺถุ

“อันนี้เป็นการฝึกหัดดัดนิสัยให้มีระเบียบ นอนก็มีระเบียบตื่นก็มีระเบียบ การฉันก็ต้องมีระเบียบ คือฉันหนเดียวเป็นวัตร ฉันบาตรเป็นวัตร บิณฑบาตฉันเป็นวัตร อันนี้เป็นข้อวัตรที่ท่านถือเคร่งครัดนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อฉันในบาตร ฉันหนเดียว อันนี้ท่านยึดเป็นหัวใจหลักของการปฏิบัติกัมมัฏฐานเลยทีเดียว”

ข้อวัตรปฏิบัติที่เป็นหัวใจของพระป่า อยู่ที่ถือธุดงควัตรเคร่งครัด โดยเฉพาะสองข้อดังกล่าว ฉันมื้อเดียว ฉันในบาตร

พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) ยังเล่าถึงหลักการสอนสมถวิปัสสนาของพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ไว้ด้วยว่า

“สอนให้พิจารณากายคตาสติ พิจารณาอสุภกัมมัฏฐาน จนคล่องตัวจนชำนิชำนาญแล้ว ก็สอนให้พิจารณาธาตุกัมมัฏฐาน ให้พิจารณากายแยกออกเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วก็พยายามพิจารณาว่าในร่างกายของเรานี้ไม่มีอะไร มีแค่ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมกันอยู่เท่านั้น หาสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ไม่มี ในเมื่อฝึกฝนอบรมให้พิจารณาจนคล่องตัว จิตก็จะมองเห็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน คือเห็นว่าร่างกายนี้ ไม่ใช่ตัว เป็นอนัตตาทั้งนั้น จะมีตัวมีตนเมื่อแยกออกไปแล้ว มันก็มีแค่ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ มีปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณมายึดครองอยู่ในร่างกาย อันนี้ เราจึงสมมติบัญญัติว่า สัตว์ บุคคล ตัวตนเรา เขา”

ท่านยังเล่าถึงวิถีกัมมัฏฐานที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่องค์แรกของสายพระป่าธรรมยุตนำดำเนินมาเป็นต้นแบบ

“พระบูรพาจารย์ของเรา เราถือว่าพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล เป็นพระอาจารย์องค์แรก และเป็นผู้นำหมู่คณะลูกศิษย์ลูกหาออกเดินธุดงค์กัมมัฏฐาน ชอบพักพิงอยู่ตามป่าตามที่วิเวก อาศัยอยู่ตามถ้ำบ้าง ตามโคนต้นไม้บ้าง และท่านอาจารย์มั่นก็เป็นอีกท่านหนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์เสาร์ หลวงพ่อสิงห์ ขนฺตยาคโม ก็เป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอาจารย์สิงห์เปรียบเสมือนหนึ่งว่าเป็นเสนาธิการใหญ่ของกองทัพธรรม ได้นำหมู่คณะออกเดินธุดงค์ไปตามราวป่าตามเขา อยู่อัพโภกาส อยู่ตามโคนต้นไม้ อาศัยอยู่ตามถ้ำ พักพิงอยู่ในราวป่าห่างจากหมู่บ้านประมาณ ๕๐๐ เมตร การธุดงค์ของพระอาจารย์เสาร์ พระอาจารย์มั่น พระอาจารย์สิงห์จะไม่นิยมที่จะไปปักกลดอยู่ตามละแวกบ้าน ตามสนามหญ้า หรือตามบริเวณโรงเรียน หรือใกล้ ๆ กับถนนหนทางในที่ซึ่งเป็นที่ชุมนุมชน ท่านจะออกแสวงหาวิเวกในราวป่าห่างไกลกันจริง ๆ”

ต่อมาพระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม) ได้เขียน “ข้อกติกาสงฆ์สัมมาปฏิบัติ ว่าด้วยข้อปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของสำนักพระคณะกัมมัฏฐาน” ไว้เป็นหลักปฏิบัติร่วมกันของหมู่คณะ พระป่าผู้สมาทานวิถีกัมมัฏฐาน

เน้นแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้บำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยวิธีเจริญสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน “จนกว่าจะเอาตนพ้นจากทุกข์ในวัฏสงสารได้จริง ๆ เมื่อยังไม่พ้นทุกข์ก็ให้อุตสาหะพยายามทำความเพียรอยู่อย่างนั้นตราบเท่าสิ้นชีวิต”

ในเรื่องนี้พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เมื่ออยู่ในช่วงปัจฉิม จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านหนองผือ จังหวัดสกลนคร มีคุณยายอุบาสิกาที่เป็นนักภาวนามากล่าวกับท่านว่า จิตหลวงพ่อพ้นไปนานแล้ว หลวงพ่อจะภาวนาไปเพื่ออะไร

พระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเล่าว่า พระอาจารย์มั่นตอบเป็นอุบายสอนธรรมคุณยายไปด้วยว่า “ภาวนาไปจนวันตายไม่มีถอย ใครถอยผู้นั้นไม่ใช่ศิษย์ตถาคต”

ทรมานกิเลส บริโภคน้อย ภาวนาดี

“อยู่ที่ไหนก็ตามเรื่องธุดงควัตรนี้ เราจะต้องเอาหัวชนอย่างไม่ถอยเลย...” พระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน พระกัมมัฏฐานยุคต่อมาจากพระอาจารย์มั่น

“การฉันไม่เคยฉันให้อิ่ม ในพรรษาไม่เคยให้อิ่มเลย โดยกำหนดให้ตัวเองว่าเอาเพียงเท่านั้น ๆ สัก ๖๐ เปอร์เซ็นต์ หรือ ๗๐ เปอร์เซ็นต์”

เป็นพระป่าวิปัสสนาจารย์ที่อยู่กับการภาวนาในทุกขณะอิริยาบถ เมื่อมีผู้ขอถ่ายรูปนั่งสมาธิ ท่านกล่าวว่า “ไม่ได้นั่งเพียงให้ถ่ายรูปอย่างเดียวนะ แต่เราภาวนาจริง ๆ”

ท่านสอนถึงหลักการบริโภคอาหารกับการภาวนา

“ฉันข้าวเปล่า ๆ มันฉันได้มากแค่ไหน ๒-๓ คำมันก็อิ่มแล้ว ทีนี้เดินจงกรมตัวปลิวไปเลย นั่งภาวนานี่นั่งเป็นหัวตอ ไม่มีโงก ไม่มีง่วง ถ้ามีกับดี ๆ ก็ฉันได้มาก ฉันได้มากก็นอนมาก ขี้เกียจมากน่ะซี”

“ระหว่างนั้นการบิณฑบาตแต่ละครั้งได้เพียงข้าวปั้นเดียว กับพริกและเกลือเท่านั้นเอง เพราะชาวบ้านที่ใกล้ที่สุดมีแต่เพียงสองตายาย ซึ่งปลูกบ้านอยู่ห่างถ้ำแกไปประมาณ ๑๐๐ เส้น แต่ท่านก็มิได้ถือเป็นอุปสรรคสำคัญ” ความบางตอนใน “ชีวประวัติพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร” เล่าถึงประสบการณ์ยากลำบากบนเส้นทางธุดงค์ของพระป่า “ตกเย็นท่านก็ฉันยาดองน้ำมูต กล่าวคือเอาลูกสมอมาดองกับน้ำมูตของท่านเองในกระบอกไม้ไผ่ แล้วเผาไฟจนสุก”

“นี่แหละชีวิตพระป่ากัมมัฏฐาน ยากแค้นลำเค็ญสักปานใด บางครั้งบางสมัยเมื่อเดินป่าเดินดง หลงหนทางกลางป่ากลางดงก็นอนกลางป่ากลางดงเหมือนหมู่สัตว์ป่า มีบางครั้งบางคราวบางองค์ถึงกับตายกลางป่าก็มี กระดูกของพระกัมมัฏฐานและบริขารกัมมัฏฐานตายกองอยู่บนหลังเขาก็มี” เรื่องเล่าจากประสบการณ์ของพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ วัดเจติยาคีรีวิหาร จังหวัดบึงกาฬ

ทางธุดงค์กลางป่าเขายังเต็มไปด้วยสรรพสัตว์ ที่ต้องมีสติในทุกขณะระหว่างทางดำเนิน ดังเรื่องเล่าของพระครูวรภัตติคุณ (ภักดิ์ ปณฺฑิโต) เจ้าอาวาสรูปที่ ๔ วัดอินทรวิหาร ที่เล่าถึงประสบการณ์ธุดงค์ของหลวงปู่ภู จนฺทสโร (ปี ๒๓๗๓-๒๔๗๖) ผู้เป็นบูรพาจารย์ บันทึกอยู่ในหนังสือ พุทธในไพร ว่า การธุดงค์คราวหนึ่งหลวงปู่เดินไปในป่าตั้งแต่เช้าโดยไม่หยุดพัก จนบ่ายจึงนั่งลงพักใต้โคนไม้ใหญ่ แล้วผล็อยหลับด้วยความเหน็ดเหนื่อย “ก่อนพลบค่ำหลวงปู่รู้สึกว่ามีใครกำลังแตะศีรษะจึงลืมตาขึ้น ท่านมองเห็นว่าเสือตัวหนึ่งกำลังเลียศีรษะโล้นของท่าน ท่านยังมีสติอยู่จึงนอนนิ่ง เมื่อหลวงปู่ภูตื่นเต็มตาแล้ว เสือก็เดินจากไป มันเป็นเสือลายพาดกลอนตัวยาวราว ๓ เมตรครึ่ง เมื่อเสือไปแล้วหลวงปู่ภูยังได้ยินเสียงเสือสะบัดข้อเท้า หลวงปู่ไม่รู้ว่าเสือเฝ้าท่านตั้งแต่เมื่อใด”

เป็นประสบการณ์พระป่าข้อหนึ่งว่า นอนนอกกลดกลางป่าไม่ปลอดภัย

“การอดอาหารนี่อาตมาอดไม่ใช่เพื่อฆ่าตัวเองนะ อดเพื่อฆ่ากิเลส” พระอาจารย์มหาบัวอรรถาธิบายธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติตามแนวทางทรมานกิเลสของพระป่า

“จงเอาให้กิเลสเสียน้ำตาบ้างสิ ที่เป็นมามีแต่เราเสียน้ำตาเพราะแพ้กิเลส เพราะความบอบช้ำ ความทุกข์ทรมานจากกิเลสดัดสันดาน คราวนี้ชาตินี้เอาให้กิเลสม้วนเสื่อกลับบ้านลองดู จะมีความสุข ความสง่าผ่าเผยเพียงไร เมื่อปลดแอกจากคอแล้ว”

หอไตรกลางน้ำที่บ้านสามผง สถานที่อันเป็นอนุสรณ์การแพร่ธรรมครั้งสำคัญของกองทัพธรรมหลวงปู่มั่นเมื่อปี ๒๔๖๙
ภาพ : สกล เกษมพันธุ์

มรรค-ผล

“ตอนที่เห็นความอัศจรรย์ ก็เห็นตอนนั่งภาวนาตลอดรุ่ง...” พระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เล่าประสบการณ์ปฏิบัติกัมมัฏฐานโดยอุบายพิจารณาทุกขเวทนาไว้ในหนังสือ หยดน้ำบนใบบัว

“เอ้า วันนี้ตายก็ตาย เลยตั้งสัจอธิษฐานในขณะนั้น เริ่มนั่งตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงสว่างถึงจะลุก เอ้า เป็นก็เป็น ตายก็ตาย”

ผลคือจีวรเปียกหมด ท่านว่าเปียกเหมือนซักผ้า “เปียกหมดตัวเลยเพราะมันจะตาย มันไม่ใช่เหงื่อละ ภาษาภาคอีสานเขาเรียกยางตาย”

นอกจากนั่งสมาธิก็เดินจงกรมขั้นอุกฤษฏ์

เดินจนทางจงกรมลึกเป็นร่อง

“ไม่ให้ใครเห็นการประกอบความเพียรของเราว่ามากน้อยขนาดไหน แต่ธรรมดาใครก็รู้ ทางจงกรมจนเป็นขุมเป็นเหวไป ใครจะไม่รู้”

จนเห็นมรรคผลของการปฏิบัติ

“มองคนมีแต่หนังห่อกระดูก มีแต่เนื้อแต่หนังแดงโร่ไปหมด มันเห็นความสวยความงามที่ไหน เพราะอำนาจของอสุภะมันแรง มองดูรูปไหนมันก็เป็นแบบนั้นหมด แล้วมันจะเอาความสวยงามมาจากไหนพอให้กำหนัดยินดี”

กับอีกคำสอนสำคัญที่ท่านฝากไว้

คำว่าตายแล้วสูญ “เป็นกลมายาของกิเลสโดยตรง ที่หลอกสัตว์โลกให้ทำชั่ว เพราะถ้าว่าตายแล้วสูญ แล้วไม่มีเงื่อนไขสืบต่อ อยากทำอะไรก็ทำ ความอยากทำคือทางเดินของกิเลสอยู่แล้ว ก็ทำตามความอยาก”

...
พระธุดงคกัมมัฏฐานเน้นการปฏิบัติวิปัสสนา เคร่งครัดในหลักธุดงควัตร จึงเป็นที่เคารพเลื่อมใสของสาธุชน

แถบลุ่มน้ำสงครามตอนปลายก่อนไปลงบรรจบแม่น้ำโขงเป็นภูมิประเทศมหัศจรรย์ บนพื้นที่เดียวกันนั้น หน้าแล้งเป็นท้องทุ่ง ถึงหน้าฝนกลายเป็นทะเลสาบกว้างใหญ่ปีละเป็นหลายเดือน ชุมชนตั้งอยู่เป็นหย่อมตามที่ดอน ปลูกสร้างที่อาศัยหรือไม่ก็ปรับตัวที่จะอยู่กับน้ำ

นอกหมู่บ้านสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ทางฝั่งด้านเหนือของแม่น้ำสงคราม เป็นที่ตั้งวัดโพธิ์ชัย ฟากถนนด้านตรงกันข้ามเป็นหอพระไตรปิฎกกลางน้ำ อนุสรณ์สถานบูรพาจารย์ พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต

ท่านกับคณะพระธรรมยุตจำนวนหนึ่งเคยพำนักจำพรรษาที่เสนาสนะป่าแห่งนี้เมื่อปี ๒๔๖๙ ตามคำอาราธนาของพระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก เถราจารย์ผู้มีชื่อเสียง เจ้าอาวาสโพธิ์ชัย ซึ่งอัศจรรย์ใจในการโต้ตอบชี้แจงอรรถปัญหาธรรมที่ค้างคาใจ จนยอมรับศรัทธาต่อข้อวัตรของท่าน กระทั่งต่อมายอมสละตำแหน่งทั้งหลายที่มีอยู่เดิม ขอญัตติใหม่ในคณะธรรมยุติกนิกายพร้อมกันทั้งวัด

เป็นพระธรรมยุตฝ่ายวิปัสสนาที่เรียกกันทั่วไปว่าพระป่า เพื่อแยกจากภิกษุส่วนใหญ่ที่เป็นมหานิกาย โดยไม่ได้นิยามความหมายแบ่งแยกแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดว่าพระป่าต้องเป็นพระธรรมยุตเท่านั้น

เพราะตามความเป็นจริงก็มีพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกายจำนวนหนึ่งที่เป็นพระป่า ปฏิบัติกัมมัฏฐานตามสายพระอาจารย์มั่น อย่างพระอาจารย์ทองรัตน์ กนฺตสีโล พระอาจารย์กินรี จนฺทิโย พระอาจารย์ชา สุภทฺโท เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นวัดป่าในฝ่ายมหานิกาย

ศิษย์ส่วนหนึ่งขอญัตติแล้วท่านไม่อนุญาตให้เปลี่ยน พระอาจารย์มหาบัวเล่าถึงเรื่องนี้ว่า “ถ้าญัตติแล้วก็เป็นฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ นี่คณะของท่านมีเป็นจำนวนมาก ควรจะได้รับประโยชน์จากท่านทางด้านอรรถธรรมบ้าง จึงไม่ให้ญัตติ”

ข่าวการประกาศธรรมครั้งใหญ่ที่บ้านสามผงทำให้ชื่อเสียงของกองทัพธรรมพระกัมมัฏฐานลือเลื่องไปไกล พระอาจารย์ดี ฉนฺโน เจ้าอาวาสวัดบ้านกุดแห่ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ผู้มีชื่อเสียงอิทธิฤทธิ์เป็นที่เกรงกลัวของภูตผีดังฉายา “อาจารย์ดีผีย่าน” ผ่านมาเสาะหาของขลังแถวบ้านสามผง จังหวัดนครพนม ได้ล่วงรู้กิตติศัพท์แล้วมากราบฟังธรรม เกิดความเลื่อมใสศรัทธา สละตำแหน่งขอญัตติใหม่เช่นกัน อยู่ศึกษาปฏิบัติกัมมัฏฐานกับพระอาจารย์มั่น กระทั่งกลายเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่การหลักธรรมปฏิบัติของกองทัพธรรมกัมมัฏฐาน

ถูกต่อต้านขับไล่

นอกจากความยากลำบากนานาที่พระป่าต้องผ่านพบระหว่างทางธุดงค์ บางครั้งยังถูกต่อต้านจากฝ่ายบ้านเมืองและพระผู้ใหญ่ด้วย

คราวหนึ่งเมื่อช่วงปี ๒๔๔๔-๒๔๔๕ เกิดขบวนการต่อต้านอำนาจรัฐสยามขึ้นทั่วอีสาน ที่เรียกกันในท้องถิ่นว่าผู้มีบุญ ใช้ศรัทธาความเชื่อ คำพยากรณ์ อิทธิฤทธิ์อภินิหารในการปลุกระดมมวลชน รวมทั้งการโฆษณาผ่านการแสดงหมอลำที่เป็นมหรสพพื้นบ้านยอดนิยมของอีสานมาแต่โบราณกาล

ขบวนการผู้มีบุญ ที่ต่อมาทางการสยามเรียกว่ากบฏผีบุญ กลุ่มอุบลราชธานีมีแกนนำคนสำคัญชื่อมั่น พ้องกับชื่อพระมั่นที่กำลังจาริกอยู่ในแถบพื้นที่เดียวกัน และเคยมีประวัติเป็นหมอลำมาก่อนด้วย ช่วงนั้นท่านจึงเป็นที่เพ่งเล็งจากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองด้วย

Image

ส่วนหนึ่งของศิษย์พระอาจารย์มั่นยุคกองทัพธรรม แถวนั่งจากซ้าย พระอาจารย์ขาว อนาลโย พระมหาจันทร์ เขมิโย  พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร  พระอาจารย์กว่า สุมโน พระมหาจูม พนฺธุโล พระมหาทองสุก สุจิตฺโต  พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ  พระมหาเส็ง ปุสฺโส แถวยืนจากซ้าย พระอาจารย์วิริยังค์ สิรินฺธโร  พระอาจารย์บัว สิริปุณฺโณ  พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน

ในช่วงหลังออกพรรษาปี ๒๔๖๙ เมื่อพระสงฆ์ธรรมยุต ฝ่ายวิปัสสนากัมมัฏฐานที่นำโดยพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เดินธุดงค์อยู่ในพื้นที่อำนาจเจริญ ได้เกิดวิกฤตการณ์ตามที่มีบันทึกอยู่ในหนังสือ อนุสรณ์งานศพพระอาจารย์ฝั้น อาจารเถระ ว่า 

พระโพธิวงศาจารย์ (อ้วน ติสฺโส) ซึ่งเวลานั้นเป็นท่านเจ้าคณะมณฑลอุบลราชธานีและเจ้าคณะภาคธรรมยุต “เมื่อทราบว่าคณะของท่านพระอาจารย์มั่นเข้าไปในเขตอุบลฯ ก็ได้สั่งให้เจ้าคณะแขวงอำเภอ และนายอำเภอไปทำการขับไล่ และประกาศห้ามไม่ให้ประชาชนใส่บาตร”

เนื่องจาก

“มีความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับพระธุดงค์กรรมฐาน โดยเห็นว่าไม่ได้ร่ำเรียนปริยัติ และไม่ปฏิบัติตามพระวินัย”

ผลจากคำสั่งนั้น

“นายอำเภอไปทำการจดชื่อและตรวจสอบหลักฐานของพระทุกองค์เป็นขู่จะให้หนีไป แต่พระทั้งหลายก็ไม่ตกใจ”

นอกจากนั้นเจ้าคณะมณฑลยังออกประกาศไปทั่วอีสาน ไม่ให้พระกัมมัฏฐานตั้งวัดป่า เว้นไว้แต่เจ้าหน้าที่และเจ้าคณะท้องถิ่นเห็นชอบด้วย

การถูกขับไล่ไสส่งจากที่ต่าง ๆ โดยฝ่ายปกครอง จึงมักเกิดกับพระป่าอยู่เสมอ

นับแต่มีระเบียบการปกครองสงฆ์ ทุกวัดต้องขึ้นต่อเจ้าสังกัด พระป่าธรรมยุตบางทีถูกเข้าใจผิดว่าไม่มีสังกัด ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นพระเถื่อน อย่างกรณีที่เกิดขึ้นกับท่านธมฺมธีโร (แสง) ทั้ง ๆ ที่ออกจากวัดศรีทอง ซึ่งท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ได้ช่วยรับรองไว้

ไม่เฉพาะแต่ฝ่ายปกครอง แม้แต่ชาวบ้านบางส่วนก็ไม่เข้าใจพระกัมมัฏฐาน

“พวกนี้จะเกลียดกลัวจนไม่กล้าเข้าวัด เพราะไม่เคยพบเห็นพระกัมมัฏฐานมาก่อน” ตามบันทึกของพระมหาโชติ อาภคฺโค 

“ในสมัยนั้นกลุ่มพวกมิจฉาทิฐิ ที่คอยนินทาว่าร้ายครูบาอาจารย์ต่าง ๆ นานานั้น กลุ่มแรกก็คงจะหนีไม่พ้นพวกข้าวจ้ำ หมอผี ที่เขาเหล่านั้นเสื่อมลาภสักการะ เพราะหูตาประชาชนสว่างขึ้นด้วยเมตตาธรรมที่ท่านอาจารย์นำไปเผยแผ่ จึงได้ตอบโต้กลั่นแกล้งทุกวิถีทาง มีผู้ออกข่าวให้เสื่อมเสียว่า พระกัมมัฏฐานมีเมียได้ ไปไหนก็พากันติดสอยห้อยตาม คือแม่ขาว แม่ชีนั่นเอง”

เช่นเดียวกับที่หลวงพ่อพุธ ฐานิโย บันทึกไว้ในหนังสือ ฐานิยตฺเถรวตฺถุ ว่า “หลวงพ่ออดที่จะนึกถึงสมัยที่เป็นสามเณรเดินตามหลังครูบาอาจารย์ไม่ได้ ใส่ผ้าจีวรดำ ๆ เดินผ่านหน้าชาวบ้านหรือพระสงฆ์ทั่ว ๆ ไปนี้ เขาจะถุยน้ำลายขากใส่ บางทีถ้ามีแม่ชีเดินตามหลังไปด้วย เราจะได้ยินเสียงตะโกนมาเข้าหู ‘ญาคูเอ๊ย ! พาลูกพาเมียไปสร้างบ้านสร้างเมืองที่ไหนหนอ’”

แม้พระป่าในแถบอีสานจะไม่ได้เริ่มต้นที่ธรรมยุติกนิกายตามที่ วลัยลักษณ์ ทรงศิริ เสนอไว้ในบทความ “ภูผาศักดิ์สิทธิ์และอรัญวาสีสองฝั่งโขง (ไทย-ลาว)” แต่ “อรัญวาสี- -ผู้อยู่ในป่า” มีปรากฏให้เห็นนับแต่พุทธศาสนาเข้าสู่ดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบันเมื่อราวพุทธ-ศตวรรษที่ ๑๒ ตามที่มีหลักฐานร่องรอยอยู่ตามภูผา ลานหิน ที่ถูกใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติแทนที่จะเป็นศาสนสถานในชุมชน โดยเฉพาะในแถบเทือกเขาภูพาน

แต่อาจมีขาดช่วง หรือไม่ได้แพร่หลายทั่วไป

เมื่อคณะธรรมยุตเผยแพร่มาถึงอีสานใหม่ ๆ ยังเน้นเรื่องการศึกษาพระปริยัติธรรม เพื่อปฏิบัติได้ถูกตรงตามพระธรรมวินัย พระป่าที่เน้นการปฏิบัติกัมมัฏฐาน เป็นเรื่องใหม่ชาวบ้านทั่วไปอาจไม่เคยเห็น ไม่คุ้นเคย ขณะที่พระสงฆ์ธรรมยุตฝ่ายปริยัติมองฝ่ายวิปัสสนาว่า ไม่สนใจศึกษาพระปริยัติธรรม มีวัตรปฏิบัติงมงาย อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง

ต่อเมื่อมรรคผลแห่งการปฏิบัติเป็นที่ปรากฏ ก็กลายเป็นที่ยอมรับของพระเถระธรรมยุตฝ่ายปริยัติ และในหมู่พุทธบริษัทท้องถิ่นอย่างแนบแน่นในที่สุด