Image
Image

“ภิกษุทั้งหลาย นั่นโคนไม้ 
นั่นเรือนว่าง เธอทั้งหลาย
จงเพ่งพินิจ อย่าประมาท 
อย่าได้เป็นผู้มีความเดือดร้อน
ในภายหลัง นี้เป็นคําพรํ่าสอน
ของเราแก่เธอทั้งหลาย”

   พุทธพจน์

Image
Image
Image

วัตรปฏิบัติพระป่า แม้ในวันงานบุญใหญ่ที่ญาติโยมนำภัตตาหารมาถวายที่วัดมากมาย แต่พระวัดป่ายังออกบิณฑบาตเป็นวัตร เวลาฉันจะรวมทุกอย่างลงในบาตรและฉันในบาตรเดียว

“การอดอาหารนี่อาตมาอดไม่ใช่เพื่อฆ่าตัวเองนะ อดเพื่อฆ่ากิเลส” พระอาจารย์มหาบัวอรรถาธิบายธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติตามแนวทางทรมานกิเลสของพระป่า “จงเอาให้กิเลสเสียนํ้าตาบ้างสิ ที่เป็นมามีแต่เราเสียนํ้าตา...”

Image

ข้อกติกาสงฆ์ในสำนักพระกัมมัฏฐาน ข้อหนึ่งว่า เมื่อพระอุปัชฌาย์หรือพระอาจารย์กลับจากบิณฑบาต สัทธิวิหาริก (ลูกศิษย์ ผู้อยู่ด้วย ผู้ได้รับอุปสมบทจากพระอุปัชฌาย์รูปใด ก็เป็นสัทธิวิหาริกของรูปนั้น) ต้องคอยรับผ้าสังฆาฏิ และล้างเท้า เช็ดเท้า ก่อนขึ้นศาลาฉัน ซึ่งพระวัดป่ายังถือปฏิบัติ

คามวาสี อรัญวาสี
ล้วนคือเถรวาท

พระป่าในมโนนึกของสาธุชนทั่วไป มักเกี่ยวโยงอยู่กับความเคร่ง ขลัง น่าเลื่อมใส รวมถึงนัยของความคาดหวัง ศรัทธา และพึ่งพามรรคผลในทางธรรม

ส่วนคนที่ยังไม่แจ่มชัดก็มักถามไถ่กันไปมาว่า พระป่าคือใคร อย่างไรคือพระป่า

พระป่าเกี่ยวพันอยู่กับวัดป่า วิปัสสนา กัมมัฏฐาน ธุดงค์ ธรรมยุต อรัญวาสี

ทั้งกล่าวกันอย่างถึงที่สุดว่า พระป่าคือพระยุคแรกสุดนับแต่มีพระสงฆ์กำเนิดขึ้นในพระพุทธศาสนา พระสงฆ์สมัยพุทธกาลนับเป็นพระป่าทั้งสิ้น เป็นผู้ละจากบ้านหักคานเรือน แสวงความวิเวกอยู่ในเถื่อนถ้ำลำเนาไพร

ทางดำเนินของพุทธสาวกยุคต้นล้วนอยู่บนเส้นทางกลางไพรตามพุทธโอวาทว่า “ภิกษุทั้งหลาย นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง เธอทั้งหลายจงเพ่งพินิจ อย่าประมาท อย่าได้เป็นผู้มีความเดือดร้อนในภายหลัง นี้เป็นคำพร่ำสอนของเราแก่เธอทั้งหลาย”

กระทั่งเสนาสนะอารามเมื่อครั้งพุทธกาลก็ล้วนเป็นวัดป่าที่ตั้งอยู่ห่างออกจากบ้านเมืองชุมชน

ครั้นล่วงกาลผ่านยุคสมัย มีวัดตั้งขึ้นในละแวก “บ้าน” ด้วย จึงเกิดคำว่าคามวาสีคู่กับอรัญวาสี ที่กลายเป็นสายสงฆ์ในสองลักษณะสืบต่อมา

Image

ประติมากรรมเหนือสันหลังคาหอฉัน วัดเลียบ อุบลราชธานี  วัดแห่งแรกที่พระอาจารย์เสาร์ เป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี ๒๔๓๕

พระอรัญวาสีที่พำนักอยู่ในเสนาสนะป่า วัดป่า หรืออรัญญิกาวาส สมาทานการปฏิบัติสมาธิกัมมัฏฐาน หรือการภาวนา ซึ่งเป็นคำสอนภาคปฏิบัติในพุทธศาสนา เพื่อตัดกิเลสดับทุกข์ ตามลักษณะของภิกษุในพุทธศาสนามาแต่ดั้งเดิมเรียกฝ่ายวิปัสสนาธุระ หรือต่อมามักเรียกว่าพระป่า หรือพระกัมมัฏฐาน

พระคามวาสีพำนักอยู่ในวัดละแวกบ้าน สมาทาน การเล่าเรียนพระคัมภีร์ เพื่อให้การอบรมสั่งสอนธรรมแก่สาธุชนเรียกว่าฝ่ายคันถธุระ หรือพระบ้าน

นับแต่พุทธศาสนาแผ่เข้ามาในสยาม การปกครองคณะสงฆ์ก็แยกเป็นสองสาย คณะคามวาสีและคณะอรัญวาสีมาตั้งแต่ต้น มีพระสังฆราชองค์เดียว มีสังฆนายกสองฝ่าย ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเรียกฝ่ายซ้าย-ฝ่ายขวา ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เปลี่ยนเป็นคณะเหนือ คณะใต้

ทั้งสองคณะอยู่ในนิกายเถรวาทด้วยกัน เพิ่งแยกเป็นมหานิกายกับธรรมยุตในสมัยรัชกาลที่ ๓

หลังการตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ (ปี ๒๔๔๕) ในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีการปฏิรูปการศึกษาคณะสงฆ์โดยให้ถือปฏิบัติเป็นแบบแผนเดียวกันทั่วประเทศ เรียนนักธรรมและบาลีหลักสูตรเดียวกัน เป็นพุทธศาสนาแบบรวมศูนย์และให้ความสำคัญกับตำราปริยัติธรรมมากกว่าประสบการณ์จากการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ให้อำนาจเจ้าคณะผู้บริหารการคณะในท้องถิ่นทำหน้าที่บริหารทั้งทางคันถธุระและทางวิปัสสนาซึ่งพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส) เขียนไว้ใน “กองทัพธรรม ฝ่ายวิปัสสนาธุระ” ว่า “ธุระทั้งสองจึงได้รับความเอาใจใส่ไม่เท่ากัน งานฝ่ายคันถธุระเจริญก้าวหน้าไปมาก แต่งานฝ่ายวิปัสสนาธุระได้ซบเซาลง”

Image

รูปปั้นพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ที่วัดเลียบ อร่ามเรืองด้วยแผ่นทองคำเปลวจากความศรัทธาของสาธุชน ท่านเป็นบูรพาจารย์ที่ลูกศิษย์รุ่นหลังขนานนามว่าเป็นพระปรมาจารย์ใหญ่ ฝ่ายวิปัสสนากัมมัฏฐาน
ภาพ : สกล เกษมพันธุ์

Image

วิถีพระป่าในฤดูกาลพรรษา เอาธุระศึกษาเล่าเรียนคัมภีร์ อยู่กับหมู่คณะ ถึงหน้าแล้งแยกย้ายกันออกแสวงหาที่วิเวกบำเพ็ญสมณธรรม

พระสงฆ์อรัญวาสีที่ถือได้ว่าเป็นสงฆ์สายหลักมาแต่ครั้งพุทธกาลมีจำนวนลดลงจนไม่พอจัดการปกครองเป็นคณะหนึ่ง เมื่อมีการตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายอรัญวาสีจึงถูกยกเลิกไป

แต่วิถีวิปัสสนาธุระก็ยังมีอยู่โดยอุปนิสัยของพระเถรานุเถระผู้เห็นความสำคัญ ที่ได้เอาใจใส่แนะนำศิษยานุศิษย์ในทางนี้สืบกันมา

ตามประวัติว่าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) อริยสงฆ์เรืองนามที่สุดในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ก็มักออกจากวัดกลางพระนครไปธุดงค์อยู่เสมอ ดังที่ เสถียร โพธินันทะ อาจารย์ประจำสภาการศึกษามหามกุฏราช-วิทยาลัย ยกย่องว่าเป็นพระเถระที่ทรงกิตติคุณทางวิปัสสนาธุระ “รัชกาลที่ ๓ จัดพระราชทานสมณศักดิ์ให้หลายครั้งหลายหน ท่านก็หลบหนีไปด้วยการธุดงค์”

นับแต่ประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ เมื่อปี ๒๔๔๕ เช่นกันที่เริ่มเรียกพระสงฆ์เถรวาทลังกาวงศ์พื้นเมืองที่มีอยู่แต่เดิมว่ามหานิกาย และเรียกคณะสงฆ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ว่าธรรมยุติกนิกาย

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งทรงพระผนวชเป็นพระวชิรญาณภิกขุ ทรงสร้างคณะธรรมยุตขึ้นมาเพื่อปฏิรูปและฟื้นฟูพระพุทธศาสนา เนื่องจากทรงเห็นวัตรปฏิบัติที่หย่อนยานบกพร่องของพระสงฆ์ทั่วไปในยุคนั้น คณะสงฆ์ใหม่นี้มุ่งศึกษาพระปริยัติธรรมให้แจ่มแจ้ง ปฏิบัติให้ถูกต้องเข้มงวดตามพุทธบัญญัติ

หน้าฝนซึ่งเป็นฤดูกาลพรรษา เอาธุระศึกษาเล่าเรียนคัมภีร์ หน้าแล้งเอาธุระทางวิปัสสนา ออกแสวงหาที่วิเวกบำเพ็ญสมณธรรม

ตามวิถีของพระอรัญวาสี ถือธุดงควัตรเคร่งครัดอย่างภิกษุครั้งพุทธกาล

แต่พระวัดป่า พระกัมมัฏฐานที่คนทั่วไปรู้จักชัดเจน ได้เห็นตัวตน ปรากฏขึ้นในยุคกองทัพธรรมหลวงปู่มั่นที่เรียกกันทั่วไปว่า พระกัมมัฏฐานสายพระอาจารย์มั่นภูริทตฺโต

นับแต่มีพระสงฆ์กําเนิดขึ้นในพระพุทธศาสนา พระสงฆ์สมัยพุทธกาล นับเป็นพระป่าทั้งสิ้น กระทั่งเสนาสนะอาราม เมื่อครั้งพุทธกาลก็ล้วนเป็นวัดป่า ครั้นล่วงกาลผ่านยุคสมัย มีวัดตั้งขึ้นในละแวก “บ้าน” ด้วย จึงเกิดคําว่าคามวาสี ขึ้นมาคู่กับอรัญวาสี เป็นสายสงฆ์ในสองลักษณะสืบต่อมา

วัดป่าแต่เดิมไม่นิยมการสร้างถาวรวัตถุ แต่ปัจจุบันก็ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย และนิยามความเป็นวัดป่าด้วยการปฏิบัติมากกว่าทางกายภาพ

พระวชิรญาณ
และกาลกําเนิดธรรมยุต

ก่อนกาลพรรษา ๒๕๖๘

วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร วัดกลางเมืองชั้นในแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ปัจจุบัน มีถนนซึ่งคลาคล่ำด้วยรถราแทบตลอดเวลาขนาบแนวกำแพงวัดอยู่เกือบรอบด้านแล้วรายล้อมด้วยทิวตึกรามบ้านเรือนรัศมีด้านละหลายสิบกิโลเมตรถึงจะพบเห็นท้องทุ่งทิวป่า คงต่างกันไกลจากเมื่อเกือบ ๒๐๐ ปีก่อน สมัยที่วชิรญาณภิกขุมาพำนักจำพรรษา เมื่อปี ๒๓๗๙ ซึ่งทำให้นับกันว่าเป็นสำนักแห่งแรกของคณะธรรมยุต อันเป็นต้นสายของพระป่าสยาม

โดยเมื่อ ๑๒ ปีก่อนนั้น ก่อนกาลพรรษา ๒๓๖๗ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมติเทวาวงศ์ฯ ทรงพระผนวช ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันพุธ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๘ ปีวอก ขณะพระชนมายุ ๒๐ พรรษา ทรงมีพระนามฉายา “วชิรญาณ”

หลังทรงพระผนวชได้ ๑๕ วัน รัชกาลที่ ๒ เสด็จสวรรคตเมื่อวันพุธ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๘ ปี ๒๓๖๗ พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ขึ้นเสวยราชย์เป็นรัชกาลที่ ๓ พระวชิรญาณจึงอยู่ในเพศบรรพชิตต่อมาตลอดรัชกาล

Image

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในฉลองพระองค์ทรงศีล ทรงฉายเมื่อปี ๒๔๑๐ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์หลังสุดก่อนเสด็จฯ ไปหว้ากอ ในเดือนสิงหาคมปีต่อมา และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๑๑

ขณะประทับเล่าเรียนพระไตรปิฎกอยู่ที่วัดมหาธาตุนั้น “ทรงไต่ถามศึกษาถึงข้อประฏิบัติต่าง ๆ ที่ได้มีมาแต่บูราณ ก็ได้ทราบว่าสาศนวงษ์นั้นอันตระธานมาแต่กรุงเก่าแล้ว” ตามความในสมุดไทยดำ หมวดจดหมายเหตุรัชกาลที่ ๔ “เรื่องต้นแรกทรงผนวช”  “กับได้ทรงเหนอาจาระวิบัติฃองสมณเหล่านั้น ไม่นำมาซึ่งความเลื่อมใส จึ่งได้ทรงพระปรารพสังเวศพระไทยด้วยการสาศนา คือวงษ์บรรพชาอุปสมบท เหนว่าเปนฃองมีรากเง่าอันเน่าผุ ไม่มีมูลที่จะเปนที่ตั้งแห่งความเลื่อมไส”

ประวัติการกำเนิดของธรรมยุติกนิกาย หรือคณะธรรมยุต ที่เล่าต่อกันมามักอ้างถึงหนังสือ ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร ตำนานวัดมหาธาตุ หนังสือชุด วชิรญาณ และหนังสือรายเดือน ไทยเขษม ซึ่งเล่าว่า

วันหนึ่งขณะเข้าไปทรงพักกลางวันในพระอุโบสถ วัดมหาธาตุ ทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่าหากพระศาสนวงศ์ ยังมีเหลืออยู่ก็ขอให้ได้ยินข่าวใน ๓ วัน ๗ วัน ไม่เช่นนั้นก็จะสึกไปเป็นฆราวาสรักษาศีล ๕ ศีล ๘ ตามควร

ผ่านไป ๓ วัน พระองค์ก็ได้พบภิกษุรามัญชื่อ ซาย พุทฺธวํโส เป็นที่พระสุเมธาจารย์ บวชมาแต่เมืองมอญ อยู่วัดบวรฯ มาแสดงพระธรรมวินัย อธิบายวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์รามัญให้ทรงทราบอย่างพิสดาร และทรงเห็นว่าสอดคล้องตามพุทธพจน์ที่ได้ทรงศึกษาจากพระไตรปิฎก จึงทรงทำทัฬหิกรรม (อุปสมบทซ้ำ) ในคณะสงฆ์รามัญ หลังทรงพระผนวชมา ๒ พรรษา

นับเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับปรุงแก้ไขวัตรปฏิบัติของคณะสงฆ์ไทย กำหนดวัตรปฏิบัติขึ้นเป็นตัวอย่างในการปฏิบัติแก่พระสงฆ์

ในช่วงแรกมีภิกษุมาถวายตัวเป็นศิษย์เรียนปริยัติธรรมและปฏิบัติตามแนวทางของพระองค์อยู่ที่วัดมหาธาตุห้าถึงหกรูป

ต่อมาทรงชักนำในทางนี้ มีผู้เห็นชอบแลตามเสด็จโดยลำดับ มีสหธรรมิกจนถึงมาตั้งเป็นสำนักที่วัดสมอราย (ปัจจุบันคือวัดราชาธิวาสวิหาร) ซึ่งเป็นวัดมหานิกาย

แต่ต่อมาพระองค์ทรงปรารภเรื่องสีมาที่เป็นหลักสำคัญในการสังฆกรรม ว่าอาจไม่ถูกต้องตามพุทธบัญญัติ ทรงให้ขุดลูกนิมิตอุโบสถวัดสมอรายขึ้นมาตรวจ พบว่าไม่ได้ขนาดตามที่พระวินัยกำหนด เป็นสีมาวิบัติ การอุปสมบทในสีมาเหล่านั้นจึงอาจไม่บริสุทธิ์บริบูรณ์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้หาแพมาสมมุติเป็นโบสถ์น้ำที่เรียกกันว่าโบสถ์แพ หน้าวัดสมอราย แล้วทรงพระผนวชซ้ำ โดยพระสงฆ์รามัญ ๑๘ รูปผลัดเปลี่ยนกันทำทัฬหิกรรมครั้งที่ ๒ นี้ถวายหกผลัด

จากนั้นทรงตั้งสำนักเล่าเรียนคันถธุระ กวดขันการศึกษาพระปริยัติธรรมแก่บรรดาลูกศิษย์ เล่าเรียนและปฏิบัติตามหลักธรรมวินัยเคร่งครัด ทรงแนะนำการปฏิบัติวิปัสสนาธุระให้ภิกษุสามเณร และทรงพระราชนิพนธ์แนวทางการศึกษาอบรมทั้งทางสมถะและวิปัสสนาไว้หลายเรื่อง

Image

วัดบวรนิเวศวิหาร ที่นับกันว่าเป็นสำนักแห่งแรกของคณะธรรมยุต อันเป็นต้นสายของพระป่าสยาม บนองค์เจดีย์มีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ซึ่งเมื่อครั้งทรงพระผนวชเป็น วชิรญาณภิกขุ พระองค์ประทับอยู่ที่พระตำหนักปั้นหย่า ซึ่งรัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างพระราชทาน

มีภิกษุสามเณรนิยมเลื่อมใสมาร่วมเรียนในสำนักของพระองค์อยู่ประมาณ ๓๐ รูป ยังไม่รวมที่อยู่ตามวัดอื่น

“มีสหธรรมิกจนถึงตั้งเป็นสำนักหนึ่ง แต่ยังคงอยู่ในวัดมหานิกายนั่นเอง คือที่วัดสมอรายแห่งหนึ่ง ที่วัดมหาธาตุแห่งหนึ่ง อุโบสถสังฆกรรมก็ยังคงทำร่วมกันห่มผ้าก็ยังเป็นแบบพระมหานิกาย” ตามที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส อธิบายไว้ในพระนิพนธ์ เรื่องนิกาย

ความเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดขึ้นนับแต่เสด็จจากวัดมหาธาตุไปประทับที่วัดสมอรายเมื่อปี ๒๓๗๒ ทรงกวดขันภิกษุสามเณรทั้งที่ตามเสด็จมาจากวัดมหาธาตุห้าถึงหกรูป และจากวัดอื่นที่มาถวายตัวเป็นศิษย์ ให้เล่าเรียนพระปริยัติธรรมให้ชำนาญพระธรรมวินัย จนสามารถเข้าสอบในสนามหลวงได้เปรียญเอกจำนวนมาก เป็นพระธรรมกถึกแสดงธรรมเทศนาได้โดยปฏิภาณไม่ต้องอ่านใบลาน เป็นที่เลื่อมใสศรัทธา คฤหัสถ์มาร่วมฟังธรรมรักษาศีลกันมาก

กระทั่งปี ๒๓๗๙ พระวชิรญาณเถระได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง และทรงได้รับอาราธนามาอยู่ครองวัดบวรนิเวศวิหารซึ่งว่างเจ้าอาวาส ซึ่ง รศ. สุเชาวน์ พลอยชุม ตีความชื่อวัดบวรนิเวศวิหารว่าเทียบได้กับพระราชวังบวรหรือบวรสถาน ดังเป็นการประกาศฐานะกรมพระราชวังบวรสถานมงคล

ขณะที่ รศ.ดร. ธีระพงษ์ มีไธสง เสนอว่า “รัชกาลที่ ๓ ในขณะนั้น ลึก ๆ แล้วอาจทรงระแวงในพฤติการณ์ของพระวชิรญาณภิกขุอยู่ ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่มีรับสั่งให้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร” เนื่องจากสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพก็เคยทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสือความทรงจำ ตีพิมพ์เมื่อปี ๒๕๐๕ ว่ามีเสียงเล่าลือ “แสดงความสงสัย ว่าคนที่พอใจไปวัดราชาธิวาสกันมากนั้น เพราะประสงค์จะยกย่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในทางการเมือง”

เมื่อมาพำนักที่วัดบวรนิเวศวิหาร พระวชิรญาณเถระตั้งสำนักขึ้นเป็นเอกเทศ กำหนดธรรมเนียมการปฏิบัติและกิจวัตรของสงฆ์ให้อยู่ในสังวร ไม่เป็นแต่ทำไปโดยความงมงาย

Image

ภาพวาดเหตุการณ์วชิรญาณภิกขุธุดงค์หัวเมืองเหนือ ซึ่งทรงพบหลักศิลาจารึกและพระแท่นมนังคศิลา ตามข้อมูลว่าวาดโดย วุฒิชัย พรมมะลา อดีตอาจารย์โรงเรียนเพาะช่าง

เรื่องหนึ่งที่สำคัญคือการห่มจีวรแบบห่มแหวก หรือครองมอญ เนื่องจากเห็นว่า “ห่มผ้าคลุมอย่างมหานิกายนั้น จะรักษาเสขิยวัตรข้อว่าอย่าเวิกผ้าเมื่อเข้าบ้าน ให้บริบูรณ์ไม่ได้ จึงให้ห่มคลุมตามแบบที่พระรามัญใช้”

กระทั่งขณะรัชกาลที่ ๓ ทรงพระประชวร ได้ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งปรากฏความใน พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) ว่า “ท่านฟ้าใหญ่ถืออย่างมอญ ถ้าเป็นเจ้าแผ่นดินขึ้น ก็จะให้พระสงฆ์ห่มผ้าอย่างมอญเสียหมดทั้งแผ่นดินดอกกระมัง”

วชิรญาณภิกขุได้ทราบพระราชกระแสดังนั้นแล้ว ก็รับสั่งให้พระสงฆ์ธรรมยุตติกาครองผ้าเสียใหม่ ให้ห่มหนีบอย่างพระสงฆ์มหานิกาย และต่อมาเมื่อพระองค์ลาสิกขาขึ้นเสวยราชย์เป็นรัชกาลที่ ๔ ก็ทรงอนุโลมให้ห่มได้ทั้งสองแบบ

คณะสงฆ์ธรรมยุตสำนักวัดบวรฯ เป็นที่เลื่อมใสสรรเสริญว่าปฏิบัติดี เคร่งครัด มีคนเข้ามาบวชมากขึ้น ในพรรษามีพระสงฆ์มากถึง ๑๕๐ รูป เป็นวัดคามวาสีของคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จึงทรงนับเหตุการณ์นี้เป็นกาลกำเนิดคณะธรรมยุต และบันทึกไว้ใน เรื่องนิกาย ว่า “พวกเราเรียกตนเองว่า ธรรมยุตติกา แปลว่า ผู้ประพฤติธรรม เรียกพระพวกมากว่า มหานิกาย แปลว่า หมู่ใหญ่”

วัดราชาธิวาส หรือวัดสมอรายในอดีต ตามประวัติว่า วชิรญาณภิกขุทรงให้ขุดลูกนิมิตอุโบสถขึ้นมาตรวจ แล้วพบว่าไม่ได้ขนาดตามที่พระวินัยกำหนด เป็นสีมาวิบัติ จึงโปรดให้หาแพมาสมมุติเป็นโบสถ์กลางน้ำ ในแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าวัด แล้วอุปสมบทใหม่ โดยพระสงฆ์รามัญ ๑๘ รูป ผลัดเปลี่ยนกันทำทัฬหิกรรมถวายหกผลัด

...

นับตั้งแต่ประทับอยู่วัดมหาธาตุและวัดสมอรายพระวชิรญาณมักเสด็จธุดงค์ไปยังหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อแสวงความวิเวกในการเจริญสมถะและวิปัสสนากัมมัฏฐาน รวมทั้งเป็นโอกาสในการบูชาปูชนียสถาน ซึ่งคราวที่ไปเมืองโบราณสุโขทัย พระองค์ได้ทรงพบศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ซึ่งทรงศึกษาจนอ่านศิลาจารึกหลักที่ ๑ ได้เป็นพระองค์แรก

พระองค์ทรงผสานความรู้กัมมัฏฐานแบบโบราณเข้ากับคำสอนทางวิปัสสนาธุระที่พบในพระไตรปิฎก กระทั่งเกิดรูปแบบกัมมัฏฐานแนวใหม่ที่เรียกกันว่ากัมมัฏฐานแบบธรรมยุต

แต่นั้นมาพระเถระในคณะธรรมยุตจึงเริ่มเป็นที่รับรู้ของสาธุชนว่าเป็นพระวิปัสสนากัมมัฏฐานที่สืบทอดต่อมาเป็นพระป่า กระทั่งแพร่หลายเฟื่องฟูเป็นที่รู้จักในชื่อพระกัมมัฏฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งมีจุดเริ่มกำเนิดมาจากภิกษุเจ้าฟ้านาม “วชิรญาณภิกขุ”

Image

Image

วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ที่พระวชิรญาณทรงทำทัฬหิกรรม หรืออุปสมบทใหม่ในคณะสงฆ์รามัญครั้งแรก  และได้ร่วมกับท่านพนฺธุโล (ดี) (บน) สหธรรมิกคนสำคัญ ในการเริ่มปรับปรุงวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์สยาม  ซึ่งต่อมามีท่านเทวธมฺมี (ม้าว) (ล่าง) เป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่ธรรมยุตสู่อีสาน

ธรรมยุต
สู่อีสาน

ล่วงถึงปี ๒๕๖๘ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหารยังคงเป็นสำนักเรียนทั้งของบรรพชิตและฆราวาสเช่นที่เคยเป็นมานับ ๒๐๐ ปี โดยเฉพาะในช่วงที่การศึกษาของสงฆ์กำลังเป็นกระแสแพร่หลาย ซึ่งคาบเกี่ยวกับการแผ่อิทธิพลของเจ้าอาณานิคมตะวันตก การขีดเส้นแผนที่ การช่วงชิงมวลชน และผนวกรวมดินแดนแถบลุ่มน้ำโขงสองฝั่ง พระเณรจากอีสานโดยเฉพาะจังหวัดอุบลราชธานีมีโอกาสได้เข้ามาศึกษาที่กรุงเทพฯ พระนครศูนย์กลางของสยาม ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นผู้นำธรรมยุตสู่อีสานและเป็นต้นทางของสายพระป่าสยามแห่งยุคสมัย

พระมหาเถระนามพนฺธุโล (ดี) เป็นสงฆ์อีสานรูปหนึ่งที่เดินทางจากอุบลราชธานีมาศึกษาที่สำนักวัดมหาธาตุ แล้วต่อมารับทัฬหิกรรมกับพระวชิรญาณเถระที่วัดสมอราย

ต่อมาได้นำพระนวกะกลุ่มหนึ่งจากอีสานมาถวายตัวเป็นพระศิษย์หลวง หนึ่งในนั้นเป็นพระหลานชายของท่านนามเทวธมฺมี (ม้าว) 

หนังสือ ที่ระลึกในงานผูกพัทธสีมาและฉลองพระอุโบสถ วัดสุปัฏนารามวรวิหาร จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. ๒๔๗๙ ของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) เล่าเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า ในราตรีหนึ่งท่านพนฺธุโลนำท่านเทวธมฺมีเข้าเฝ้าถวายตัวที่สำนักวัดบวรฯ พระวชิรญาณเถระทรงยกดวงเทียนขึ้นส่องทอดพระเนตรดูดวงหน้าของท่านเทวธมฺมีแล้วตรัสว่า 

“ขรัวดี พระอย่างนี้ทำไมไม่นำมาให้มาก” 
ท่านพนฺธุโล (ดี) กราบทูลว่า “หายาก”

ต่อมาเมื่อท่านพนฺธุโล (ดี) เริ่มสร้างคณะธรรมยุตที่อุบลฯ ก็มีท่านเทวธมฺมี (ม้าว) มาเป็นผู้ช่วยคนสำคัญ ตั้งแต่เป็นรองเจ้าอาวาสวัดสุปัฏนาราม ต่อมาเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดธรรมยุตแห่งที่ ๒ ในเมืองอุบลฯ คือวัดศรีทอง หรือวัดศรีอุบลรัตนาราม เมื่อท่านพนฺธุโล (ดี) มรณภาพ ท่านเทวธมฺมี (ม้าว) ก็รับตำแหน่งพระอุปัชฌาย์และเป็นผู้นำคณะธรรมยุตในอีสานต่อมา ความเมตตาของท่านเป็นที่เล่าขานเลื่องลือในหมู่สาธุชนและลูกศิษย์พระอริยกวี (อ่อน ธมฺมรกฺขิโต), พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท), สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส), พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ล้วนเป็นศิษย์ของท่านเทวธมฺมี (ม้าว) ที่มีบทบาทสำคัญของฝ่ายธรรมยุตอีสานต่อมา

Image

พระวชิรญาณทรงลาพระผนวช เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เมื่อปี ๒๓๙๔ หลังทรงพระผนวช ๒๗ พรรษา 

พระครองลาว พระครองไทย 
พระครองมอญ
และการเมืองในศาสนา

ต้นเดือนแปด พุทธศักราช ๒๕๖๘

กระแสน้ำยามหน้าฝนในลำน้ำมูลหน้าวัดสุปัฏนารามวรวิหารยังไหลแรง แม้มีเขื่อนหลายแห่งกั้นอยู่เป็นระยะ แถบต้นน้ำทางเหนือขึ้นไป

ริมฝั่งทางทิศใต้ของตัวเมืองอุบลราชธานีมีลานบนเนินเหนือโค้งน้ำ ซึ่งแต่เดิมเมื่อนับ ๒๐๐ ปีก่อน บริเวณนี้อยู่ห่างตัวเมืองออกมา จึงถูกเลือกเป็นที่ตั้งวัดธรรมยุตแห่งแรกในอีสาน

๑๗๒ ปีผ่านไป บ้านเมืองขยายตัวตามยุคสมัย ทุกวันนี้วัดสุปัฏนารามวรวิหารกลายเป็นวัดหนึ่งในตัวเมืองอุบลราชธานี

หลังจากรัชกาลที่ ๓ สวรรคตเมื่อปี ๒๓๙๔ พระวชิรญาณเถระลาสิกขาเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ก็ทรงอุปถัมภ์ส่งเสริมพุทธศาสนาสืบมา

ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นเจ้าคณะใหญ่ในธรรมยุตติกาแทนพระองค์ ก็เจริญแพร่หลายโดยลำดับ

ขยายคณะธรรมยุตจากในพระนครสู่อีสาน โดยพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ ๑๐ ชั่ง (ประมาณ ๘๐๐ บาท) กับเลกวัด (ผู้ปฏิบัติรับใช้วัด) ๑๐ คน ให้สร้างวัดบนลานกว้างเหนือโค้งน้ำทางทิศใต้ของตัวเมืองอุบลฯ เดิมชื่อวัดสุปัตน์ มีความหมายว่าอาศรมพระฤๅษี ภายหลังเปลี่ยนเป็นวัดสุปัฏนาราม ที่มีความหมายว่าท่าน้ำดี ตามทำเลที่ตั้งริมฝั่งมูล

ความเคลื่อนไหวด้านการศาสนานี้อาจแฝงนัยทางการเมืองอยู่ด้วย ตามที่ รศ.ดร. ธีระพงษ์เห็นว่าหลังเกิดกรณีกบฏเจ้าอนุวงศ์ สยามก็เริ่มหันมาสนใจพื้นที่อีสาน “โดยจะเห็นได้จากรัชกาลที่ ๔ ทรงดำเนินนโยบายการทำลาว (อีสาน) ให้เป็นไทย ผ่านองค์กรสงฆ์ที่พระองค์ทรงสถาปนาขึ้นในขณะที่ทรงผนวชเป็นพระวชิรญาณภิกขุ”

เมื่อพระองค์ทรงลาสิกขาขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ ๔ “ทรงส่งพระสงฆ์ธรรมยุตไปประกาศศาสนาภายใต้อุดมการณ์ของรัฐชาติ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนเพื่อปฏิรูปสังคมอีสานให้เป็นชาติไทย ผ่านภิกษุชาวอีสานที่เข้ามาศึกษาและศรัทธาในคณะธรรมยุตที่วัดบวรนิเวศวิหาร”

Image

พระอริยวงศาจารย์ญาณวิมล (สุ้ย) เจ้าอาวาสวัดมณีวนารามรูปแรก ซึ่งรับการศึกษาพระปริยัติธรรมจากสำนักวัดสระเกศ กรุงเทพฯ และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะเมือง ให้นำขนบธรรมเนียมพุทธศาสนาแบบมหานิกายจากกรุงเทพฯ ไปเผยแพร่ที่อุบลราชธานี

ท่านพนฺธุโล (ดี) เจ้าอาวาสวัดสุปัฏนารามรูปแรก เป็นกัลยาณมิตรและมีส่วนร่วมในการตั้งธรรมยุติกนิกายกับวชิรญาณภิกขุ และอาจนับว่าเป็นพระสงฆ์อีสานรูปแรกที่เป็นธรรมยุต ซึ่งต่อมาท่านได้นำพระสงฆ์จำนวนหนึ่งจากอุบลราชธานีเข้ามาญัตติเป็นธรรมยุตด้วย

เมื่อสร้างสำนักตั้งหลักคณะสงฆ์ธรรมยุตที่อุบลราชธานีได้มั่นคงแล้ว เปิดให้การศึกษาอบรมแก่บรรดากุลบุตร ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่ในอุบลฯ เท่านั้น แต่ยังมีพระเณรจากมณฑลอุดรมาเรียนด้วย

ตามที่มีบันทึกอยู่ใน ธรรมยุติกะวงศ สายมณฑลอุดร พิมพ์เมื่อปี ๒๔๗๖ ตอนหนึ่งว่า “พระธรรมยุติก์ในภาคอิสาณ ก็นับวันเจริญขึ้นโดยลำดับกาลฯ จึงมีพระภิกษุหมู่หนึ่ง จะกี่รูปไม่ปรากฏ ไปจากมณฑลอุดร ไปศึกษาธรรม-วินัยที่จังหวัดอุบล ครั้นทราบว่ามีพระธรรมยุตติที่อุบลก็พากันไปศึกษา”

จากนั้นจะไปอุปสมบทในคณะธรรมยุตที่กรุงเทพฯ

แล้วคราวหนึ่งประจวบกับอหิวาตกโรคกำลังระบาด

“พระภิกษุคณะนี้ได้รับเคราะห์ร้ายถึงมรณะภาพกันหมดเพราะโรคอหิวาต์ที่กรุงเทพฯ คงเหลือแต่เด็กชายแสง ผู้เป็นศิษย์อยู่แต่ผู้เดียว”

วัดสุปัฏนารามตั้งอยู่ริมแม่น้ำมูล ทางทิศใต้ของตัวเมืองอุบลราชธานี ตั้งแต่ปี ๒๓๙๖ เป็นวัดธรรมยุตแห่งแรกในอีสาน

แต่นั้นมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้ท่านพนฺธุโล (ดี) เป็นพระอุปัชฌาย์ สร้างโบสถ์แพไว้กลางแม่น้ำมูลหน้าวัดสุปัฏนาราม ประกอบพิธีอุปสมบทในท้องถิ่นได้ไม่ต้องเดินทางเข้าพระนคร

เมืองอุบลราชธานียุคนั้นจึงเกิดคณะสงฆ์ใหม่ ซึ่งสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) สันนิษฐานว่ายุคนั้นคำเรียกธรรมยุต มหานิกาย ยังไม่ปรากฏ จึงเรียกคณะสงฆ์ของท่านพนฺธุโล (ดี) ว่า “พระครองมอญ” จากลักษณะการห่มแหวกและจีวรสีแก่นขนุนตามแบบพระสงฆ์มอญ

ส่วนพระสงฆ์ท้องถิ่นที่สืบเนื่องมาจากพระกัมมัฏฐานแถบลุ่มน้ำโขงเรียก “พระครองลาว” ครองจีวรสีเข้มจนดูเป็นสีดำ มักปลีกวิเวกบำเพ็ญตนอยู่ตามป่าเขาห่างไกลผู้คน มุ่งฝึกจิตให้ได้อิทธิฤทธิ์ ในเมืองอุบลฯ มีวัดป่ามหา-วนารามของท่านธรรมบาล (ผุย ธมฺมปาโล) เป็นสำนักสำคัญ ท่านเป็นอาจารย์ของสำเร็จลุน พระเกจิชื่อดังทางฝั่งซ้าย ซึ่งสำเร็จลุนมีพระอาจารย์อีกคนทางฝั่งซ้าย คือพระครูโพนสะเม็ก หรือญาคูขี้หอม อันเป็นที่เคารพสักการะของสาธุชนทางฝั่งขวาด้วย และเป็นผู้บูรณะพระธาตุพนม เมื่อราวปี ๒๓๐๐

กับอีกคณะเป็นพระมหานิกาย ที่รับแนวทางจากกรุงเทพฯ ห่มจีวรสีเหลืองสดใส นำโดยพระอริยวงศาจารย์ (สุ้ย) ซึ่งเล่าเรียนพระปริยัติธรรมจากสำนักวัดสระเกศที่กรุงเทพฯ และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะเมือง ให้นำขนบธรรมเนียมและศิลปหัตถกรรมแบบไทยออกไปเผยแพร่ เรียกว่า “พระครองไทย”

ในข้อเขียนของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เล่าเหตุการณ์ในช่วงนั้นด้วยว่า พระราชาคณะอริยวงศ์ (สุ้ย) ซึ่งตั้งหลักสอนพระปริยัติและหนังสือไทยอยู่ก่อนหลายปี กับท่านพนฺธุโล (ดี) ที่เพิ่งมาใหม่ เหมือนมีการแข่งขันกันอยู่ในที แต่ก็ยังแสดงอาการปรกติต่อกัน ไปมาหาสู่กันดีอยู่

เป็นแต่พระหนุ่มเณรน้อยที่แสดงอาการไม่สุภาพต่อกัน จนเช้าวันหนึ่งเมื่อออกบิณฑบาตสวนทางกัน พอพระเถระผู้ใหญ่เดินหลีกกันพ้นไปแล้ว พระหนุ่มเณรน้อยก็มีเรื่องชกต่อยกันจนหัวร้างข้างแตก โกลาหลกันทั้งบ้านเมือง พระเถรานุเถระพร้อมด้วยเจ้าเมืองกรมการต้องให้หาดอกไม้ธูปเทียนขอขมาลาโทษต่อกัน แล้วตั้งอาณัติให้แบ่งสายบิณฑบาตไม่ให้กระทบกระทั่งกัน

เล่ากันว่าด้วยอุเบกขาธรรมท่านเทวธมฺมี (ม้าว) พระเถระคณะธรรมยุตผู้มีพระคุณมากกว่าพระเดช มีส่วนสำคัญที่ช่วยประสานรอยร้าวครั้งนั้นให้สมานกันได้

ภายในเจดีย์วิหารอนุสรณ์สถานพระครูวิเวกพุทธกิจ (หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล) ที่วัดเลียบ เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ ขนาดย่อมที่จัดแสดงอัฐบริขารและสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับพระอาจารย์เสาร์ ให้สาธุชนรุ่นหลังได้เห็นเค้ามูลเกี่ยวกับประวัติของท่านและเส้นทางความเป็นมาของพระป่า ซึ่งมีบันทึกเป็นข้อเขียนอยู่ไม่มากนัก

“ท่านพระอาจารย์ใหญ่” 
พระป่ากัมมัฏฐาน

ต้นวสันต์ ร.ศ. ๒๔๔

วัดศรีทอง หรือวัดศรีอุบลรัตนาราม ผ่านร้อนหนาวมาได้ ๑๗๐ ฤดูแล้ว วัดนี้สร้างเมื่อปี ๒๓๙๘ (ร.ศ. ๗๔) โดยกรมการเมืองอุบลราชธานีในสมัยนั้น แล้วอาราธนาพระเทวธมฺมี (ม้าว) เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก

ต่อมาพระหนุ่มนาม เสาร์ กนฺตสีโล ซึ่งอุปสมบทในคณะมหานิกาย ที่วัดใต้ ในตัวเมืองอุบลราชธานี เมื่อปี ๒๔๒๒ ขณะมีอายุ ๒๐ ปี มักมารับการอบรมสั่งสอนธรรมที่วัดศรีทอง เนื่องจากทราบว่าเจ้าอาวาสเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย มุ่งตรงต่อมรรคผลนิพพาน ต่อมาพระเสาร์ยังชักชวนพระหนู ฐิตปญฺโญ สหธรรมิก พร้อมหมู่คณะที่วัดใต้ ไปฟังธรรมและฝึกปฏิบัติด้วยกันที่วัดศรีทอง

เมื่อกลับมาวัดใต้ก็อาศัยป่าละเมาะด้านหน้าวัดซึ่งสงบสงัดเหมาะแก่การบำเพ็ญความเพียร ซึ่งต่อมาพื้นที่ตรงนั้นได้ตั้งเป็นวัดเลียบ

ในที่สุดหลังบวชมา ๑๐ พรรษา พระอาจารย์เสาร์ได้ขอญัตติกรรมบวชใหม่ในคณะธรรมยุต พร้อมด้วยพระลูกวัดใต้ทั้งหมด ทำให้ทั้งวัดใต้และวัดเลียบกลายเป็นวัดธรรมยุตในอุบลราชธานีไปด้วย และต่อมาพระอาจารย์เสาร์ก็ได้รับยกย่องว่าเป็นท่านพระอาจารย์ใหญ่ของสายพระป่ากัมมัฏฐาน

จากที่ก่อนนั้นท่านตั้งใจจะบวชพรรษาเดียวแล้วสึกออกไปเป็นพ่อค้าทางเรือ ซึ่งได้เริ่มหาไม้มาเตรียมไว้แล้ว

แต่โยมมารดามาตายจาก ท่านสลดสังเวชใจ ปล่อยเรือที่เพิ่งต่อเสร็จใหม่ไปกับสายน้ำ แล้วครองสมณเพศใต้ร่มกาสาวพัสตร์สืบมา

เมื่อญัตติกรรมในคณะธรรมยุตแล้วท่านมุ่งในหลักธุดงควัตร เท่าทันอยู่กับการทำความเพียรในทุกอิริยาบถการเคลื่อนไหว นิยมความสงบ สันโดษ ซึ่งต่อมาท่านได้รับนาม “พระครูวิเวกพุทธกิจ” และได้เป็นเจ้าอาวาสวัดเลียบ ที่ตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับวัดใต้ เมื่อปี ๒๔๓๕

ปัจจุบันมีถนนคั่นแบ่งระหว่างแนวกำแพงของวัดทั้งสอง ภายในวัดเลียบมีเจดีย์วิหารอนุสรณ์สถานบูรพาจารย์ และมีพื้นที่ส่วนที่ได้รับการรักษาไว้เป็นป่า ขณะที่พื้นที่ส่วนใหญ่ของวัดใต้เต็มด้วยประติมากรรม รูปเคารพหลากรูปแบบเบียดเสียดระเกะระกะกันอยู่แน่นขนัด

ด้วยอุปนิสัยนิยมความวิเวกพระอาจารย์เสาร์จึงมักออกธุดงค์ไปตามป่าเขา คราวหนึ่งในช่วงปี ๒๔๓๔-๒๔๓๕ ท่านจาริกไปยังกุดเม็ก ใกล้หมู่บ้านคำบง เขตอำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบัน และได้พบกับชายหนุ่มชาวหมู่บ้านคำบงชื่อมั่น ที่มามอบตัวเป็นศิษย์ปฏิบัติอุปัฏฐากท่านอาจารย์ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นศิษย์เอกผู้เป็นกำลังของกองทัพธรรมพระกัมมัฏฐาน ที่ศาสนิกชนต่างรู้จักในนามพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต

เด็กชายมั่นเกิดในตระกูลแก่นแก้ว เมื่อปี ๒๔๑๓ บรรพชาตอนอายุ ๑๕ ปี อยู่ ๒ พรรษา ลาสิกขาออกมาช่วยบิดามารดาทำงานที่บ้านเกิดในหมู่บ้านคำบง อำเภอศรีเมืองใหม่

กระทั่งได้พบกับพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ที่กุดเม็ก และท่านได้นำปฏิบัติวิปัสสนา

เล่ากันว่ามั่นในวัยหนุ่มนั้นเก่งกาจในทางหมอลำกลอน เมื่อท่านอาจารย์กลับไปยังวัดเลียบในเมืองอุบลราชธานีแล้วก็สั่งฝากมาว่า “ให้นำผู้ลำม่วน ๆ นั้นเด้อ ขึ้นมาบวช” ในคืนก่อนอุปสมบทหมอลำที่นัดไว้ไม่มาแสดง หมู่ญาติที่มาร่วมงานรบเร้าให้เขาขึ้นลำแทน ซึ่งลำนิทานพื้นบ้านอีสานได้ไพเราะจับใจจนคนเฒ่าน้ำตาไหล แต่โดนพระอุปัชฌาย์ดุและจะไม่ยอมอุปสมบทให้ พระอาจารย์ต้องช่วยขอขมาโทษ

หลังอุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๔๓๖ ที่วัดศรีทอง ในเมืองอุบลราชธานี พระมั่นศึกษาวิปัสสนาธุระอยู่ในสำนักพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ที่วัดเลียบ

ฝึกปฏิบัติทำความเพียรจนมีกำลังกล้าแข็งแล้ว ช่วงหนึ่งพระอาจารย์ก็พาศิษย์ออกธุดงค์กลับมาที่บ้านคำบงด้วยกัน ทำเตาหลอมพระพุทธรูปที่กุดเม็กนอกหมู่บ้าน ซึ่งท่านทั้งสองเททองหล่อด้วยตัวเอง เป็นพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ที่อยู่คู่วัดศรีบุญเรือง บ้านคำบง สืบต่อมา

จากนั้นทางดำเนินบนเส้นทางธุดงคกัมมัฏฐานของสองศิษย์อาจารย์และสหธรรมิกในคณะธรรมยุตอีกหลากหลายก็เริ่มต้นขึ้นอย่างแข็งขันจริงจัง

ต้นยางใหญ่มุมศาลาวัดดอนธาตุ เล่ากันว่าเป็นที่อยู่ของผึ้งรังใหญ่ที่ต่อยพระอาจารย์เสาร์ เป็นเหตุให้เจ็บป่วยเรื้อรังกระทั่งมรณภาพ

ภาวนาแก้อาพาธ

ต้นปี ๒๕๖๘ 

ภายในแนวรั้ววัดป่าสุทธาวาสราว ๓๗ ไร่ ยังร่มรื่นด้วยเงาไม้ใหญ่อย่างที่เป็นมานับร้อยปี แม้ว่ารอบนอกออกไปความเจริญของตัวเมืองจะขยายขึ้นมาจากแถบริมหนองหาร ถนนหน้าวัดขยายใหญ่เป็นหลายช่องจราจร มีศูนย์ราชการจังหวัดสกลนครมาตั้งอยู่ฟากตรงกันข้าม

วัดนี้เป็นวัดสำคัญของจังหวัดสกลนครและเป็นวัดป่าที่สำคัญบนเส้นทางประวัติศาสตร์ของพระป่าอีสานของคณะธรรมยุต

พระอาจารย์เสาร์ พระอาจารย์มั่น เคยมาปักกลดบำเพ็ญเพียรอยู่ใต้ต้นกระบกใหญ่ ก่อนสตรีสามพี่น้องจะสร้างวัดบนที่ตรงนั้นถวายพระอาจารย์ทั้งสองเมื่อปี ๒๔๗๕ และท่านพระอาจารย์ใหญ่ได้กลับมาจำพรรษาอีกครั้งเมื่อปี ๒๔๗๘-๒๔๗๙

เมื่อลูกศิษย์ทราบว่าพระอาจารย์เสาร์อยู่ที่วัดป่าสุทธาวาส รีบเข้าไปกราบและขอโอกาสรับใช้ครูอาจารย์อีกวาระหนึ่ง รวมทั้งพระอาจารย์หลุย จนฺทสาโร ซึ่งต่อมาได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพระอาจารย์เสาร์ไว้ในหลายแห่งหลายวาระ

นิสัย “ชอบก่อสร้าง ชอบปลูกพริก หมากไม้ ลักษณะจิตเยือกเย็น...เป็นคนพูดน้อย”

อาหาร “ชอบเห็ด ผลไม้ต่าง ๆ ชอบน้ำผึ้ง”

การปฏิบัติ “ทำความเพียรเป็นกลาง ไม่ยิ่งไม่หย่อนพิจารณาถึงขั้นภูมิธรรมละเอียดมาก ท่านบอกให้เราภาวนาเปลี่ยนอารมณ์แก้อาพาธได้”

การภาวนาแก้อาพาธเป็นธรรมโอสถที่ปฏิบัติและสอนต่อกันในสายพระป่า

ใน ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ ฉบับสมบูรณ์ ที่เขียนโดยพระญาณวิริยาจารย์ (พระอาจารย์วิริยังค์) ก็เล่าว่าท่านเคยใช้การนั่งสมาธิกำหนดจิตรักษาการป่วยมาลาเรีย ขณะอยู่ที่ห่างไกลในลาว ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือ กับอีกครั้งก็ธรรมโอสถรักษาโรคริดสีดวงจมูกที่เกิดขึ้นจากกรรมในปัจจุบัน จนหายเป็นปรกติแต่นั้นมา

Image

วัดป่าสุทธาวาส สกลนคร พระอาจารย์เสาร์เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก เมื่อปี ๒๔๗๐  ส่วนพระอุโบสถที่เห็นในภาพนี้สร้างเมื่อปี ๒๔๙๓ บนจุดที่ตั้งเชิงตะกอนถวายเพลิงสรีระพระอาจารย์มั่น

ในชีวประวัติพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ก็มีกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ก่อนเข้าพรรษาปี ๒๔๖๙ พระอาจารย์ฝั้นได้พยายามติดตามไปจนพบพระอาจารย์มั่นที่บ้านสามผง อาการอาพาธที่เกิดระหว่างเดินทางยังไม่หายดี พระอาจารย์มั่นจึงให้ท่านนั่งพิจารณาภายในร่างกายตลอดคืน “ก็น่าอัศจรรย์อยู่ไม่น้อย พอรุ่งเช้าอาการอาพาธของท่านก็หายไปราวปลิดทิ้ง”

ระหว่างจำพรรษาที่ ๔ ในปี ๒๔๗๑ พระอาจารย์ฝั้นได้อาพาธเป็นโรคกระเพาะ “ปรากฏว่ามีอาการหนักมาก แต่ด้วยกำลังใจอันเข้มแข็ง ท่านเอาชนะโรคร้ายได้ตามเคย พอออกพรรษาก็ค่อยหายเป็นปกติไปได้”

แต่การใช้วิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นธรรมโอสถบำบัดโรคครั้งสำคัญก็ในคราวการอาพาธของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์เมื่อปี ๒๔๘๗

ช่วงใกล้เข้าพรรษา สมเด็จพระมหาวีรวงศ์อาพาธหนักถึงกับฉันอาหารไม่ได้ แพทย์ต้องถวายอาหารทางเส้นโลหิต ท่านจึงเรียกพระเถระฝ่ายกัมมัฏฐานเข้าไปปรึกษาหารือเพื่อหาทางบำบัดโรคด้วยทางธรรมปฏิบัติ นิมนต์พระอาจารย์สิงห์ให้อธิบายธรรมเป็นองค์แรก พระอาจารย์ทอง อโสโก เจ้าอาวาสวัดบูรพา เป็นองค์ต่อมา จากนั้นจึงให้พระอาจารย์ฝั้นอธิบายธรรมเป็นองค์สุดท้าย

พระอาจารย์ฝั้นถวายคำแนะนำ “ให้ท่านทำจิตเป็นสมาธิ ยกไวยากรณ์ธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ยกอันนี้ไว้เสียก่อน ทำจิตให้เป็นสมาธิ...ไม่ต้องส่งไปข้างหน้าข้างหลัง ไม่ต้องคิดถึงอดีตอนาคต กำหนดจิตให้สงบอันเดียวเท่านั้น”

เมื่อจิตสงบแล้วก็ให้ทำวิปัสสนาต่อ โดยแยกธาตุขันธ์ อายตนะ ว่าร่างกายนี้ประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ มารวมกัน

“เมื่อพิจารณาตามความเป็นจริงแล้ว จะเห็นได้ว่าธาตุทั้ง ๔ ต่างเจ็บไม่เป็นป่วยไม่เป็น...การที่มีความเจ็บป่วยไข้อยู่นั้น เนื่องมาจากตัวผู้รู้คือจิต เข้ายึดถือด้วยอุปาทานว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นของเขาของเรา...ไปยึดเอามาว่าเจ็บว่าปวด ว่าร้อนว่าเย็นหรือหนาว ฯลฯ...เมื่อทำจิตให้สงบและพิจารณาเห็นสภาพความเป็นจริงแล้ว จิตย่อมเบื่อหน่าย และวางจากอุปาทาน คือเว้นการยึดถือมั่นในสิ่งเหล่านี้ เมื่อละได้เช่นนี้ความเจ็บปวดต่าง ๆ ตลอดจนความตายย่อมไม่มีตัวตน เพราะฉะนั้นหากทำจิตให้สงบเป็นสมาธิแน่วแน่แล้ว โรคต่าง ๆ ก็จะทุเลาหายไปเอง”

Image

รูปหล่อพระอาจารย์มั่นในอิริยาบถเดินธุดงค์ในอาคารนิทรรศการ “ภูริทัตโต” วัดป่าสุทธาวาสที่เพิ่งสร้างใหม่เมื่อปี ๒๕๖๗

เมื่อพระอาจารย์ฝั้นอธิบายธรรมถวายจบแล้ว สมเด็จฯ ได้พูดขึ้นว่า “เออ เข้าทีดี” 

แล้วถามว่า “ในพรรษานี้ ฉันจะอยู่ได้รอดตลอดพรรษาหรือไม่”

พระอาจารย์ฝั้นเรียนตอบว่า “ถ้าพระเดชพระคุณทำจิตให้สงบได้ดังที่อธิบายถวายมาแล้ว ก็รับรองว่าอยู่ได้ตลอดพรรษาแน่นอน”

สมเด็จฯ จึงมีบัญชาให้ไปจำพรรษาอยู่กับท่านที่จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อจะได้ศึกษาธรรมให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น พระอาจารย์ฝั้นเลือกวัดบูรพาเป็นที่จำพรรษา เพราะอยู่ฝั่งน้ำเดียวกับวัดสุปัฏนาราม อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ที่สมเด็จฯ พำนักอยู่

ท่านเข้าเฝ้าถวายธรรมแก่สมเด็จฯ ที่วัดสุปัฏนารามเกือบทุกวัน สี่ทุ่มถึงหกทุ่มจึงได้กลับวัดบูรพา

ด้วยโอสถแห่งธรรม สมเด็จฯ หายวันหายคืน ไม่เพียงอยู่ได้ตลอดพรรษา หากยังดำรงธาตุขันธ์ต่อมาอีกกว่า ๑๐ ปี

จากเหตุการณ์ครั้งนี้สมเด็จฯ ได้ออกปากยอมรับในความจริงและชมพระคณะกัมมัฏฐานสายพระอาจารย์มั่นว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีจริง ทั้งยังทำได้ดังพูดจริง ๆ อีกด้วย สมควรที่พระมหาเปรียญทั้งหลายจะถือเอาเป็นตัวอย่างปฏิบัติต่อไป

ทั้งยังกล่าวต่อพระอาจารย์ฝั้นด้วยว่า “ฉันเป็นพระอุปัชฌาย์ บวชพระบวชเณรมาจนนับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยนึกสนใจในตจปัญจกกัมมัฏฐานเหล่านี้เลย เพิ่งจะมารู้ซึ้งในพรรษานี้เอง”

ท่านสารภาพว่า ตัวท่านเองเปรียบเหมือนผู้บวชใหม่ เพิ่งมาเรียนรู้เรื่องผม ขน หนัง ฟัน เล็บ ความรู้ด้านมหาเปรียญที่เล่าเรียนมามากนั้นไม่ก่อประโยชน์และความหมายต่อชีวิตท่านเลย ยศถาสมณศักดิ์ก็แก้ทุกข์ของท่านไม่ได้ แล้วกล่าวยกย่องพระอาจารย์ฝั้นว่าให้ธรรมปฏิบัติในพรรษานี้ได้ผลคุ้มค่า ทำให้ท่านรู้จักกัมมัฏฐานดีขึ้น

นับแต่นั้นมาท่านไม่เพียงหันมาปฏิบัติกัมมัฏฐานโดยเฉพาะการพิจารณากายตามแนวสติปัฏฐาน ๔ หากยังสนับสนุนพระป่าอย่างจริงจังและมีศรัทธาปสาทะในพระกัมมัฏฐานสายพระอาจารย์มั่นยิ่งขึ้น

“ชีวิตพระป่ากัมมัฏฐาน ยากแค้นลําเค็ญสักปานใด บางครั้งบางสมัยเมื่อเดินป่าเดินดง หลงหนทางกลางป่ากลางดงก็นอนกลางป่ากลางดงเหมือนหมู่สัตว์ป่า มีบางครั้งบางคราวบางองค์ถึงกับตายกลางป่าก็มี”

พระอ าจ ารย์จวน กุลเชฏโฐ

Image

กองทัพธรรม

แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ปี ๒๕๖๘

เมื่อผ่านซุ้มประตูวัดบูรพาเข้ามาจะสะดุดตากับอนุสรณ์สถานสีขาวรูปทรงทันสมัยแปลกตาอยู่ทางฟากซ้ายมือของทางเดิน สร้างขึ้นเป็นที่ระลึกแด่พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล เมื่อไม่นานมานี้ บนบริเวณที่ถวายเพลิงสรีระของท่านตั้งแต่ปี ๒๔๘๖

ย้อนไปนับ ๕๐ ปีก่อนนั้น แต่ครั้งท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดเลียบ ที่อยู่ห่างกันราว ๑ กิโลเมตร ตามฝั่งน้ำมูลไปทางตะวันตก ท่านมักเดินทวนตามฝั่งน้ำมูลมาหาที่วิเวกบริเวณนี้ ซึ่งเป็นที่วัดร้าง มีเพียงโบสถ์เก่าคร่ำคร่า รกเรื้อด้วยพงหนาม

ครั้นท่านออกธุดงค์สู่ป่าไพร พระครูสีทา ชยเสโน แห่งวัดศรีทอง พระกรรมวาจาจารย์ของท่าน มาทำความเพียรแล้วเกิดศรัทธา ให้ศิษย์วัดติดตามออกไปถางพงไม้ที่ขึ้นรกทึบ

พระครูพิบูลธรรมภาณ (โชติ อาภคฺโค) เล่าเรื่องราวต่อไปนี้ไว้ในหนังสือ ตามรอยธุดงควัตร ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ว่า “อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ตะวันกำลังจะบ่ายคล้อยแล้ว พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เจ้าเมืองอุบลราชธานีในสมัยนั้น ได้ขี่ช้างออกตรวจคน เมือง พร้อมด้วยทหาร พอมาถึงบริเวณนั้นท่านข้าหลวงได้ยินเสียงคนตัดไม้ ด้วยความสงสัยว่าใครมาหักร้างถางพงที่นั่น จึงให้ทหารวิ่งไปดู แล้วย้อนกลับมารายงานว่า ญาคูสีทาท่านได้ให้เด็กวัดถางป่ารอบโบสถ์ร้าง”

เมื่อสอบถามได้ความว่าท่านญาคูอยากมาอยู่ หากมีคนสร้างวัดให้

“พอถึงเช้าวันรุ่งขึ้นพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์ในสมัยนั้น ได้สั่งเบิกนักโทษจากเรือนจำทั้งหมดให้ออกไปถากถางพงหญ้าป่ารกแถบนั้นเป็นการใหญ่ จนบริเวณโบสถ์เตียนโล่ง เหลือเฉพาะต้นไม้ใหญ่ แล้วสร้างวัดขึ้นมาใหม่ถวายพระครูสีทา เรียกว่าวัดบูรพา”

ไม่ได้เป็นการเจาะจงเฉพาะกรณีนี้ แต่มีข้อสังเกตจาก รศ.ดร. ธีระพงษ์ มีไธสง ในบทความ “พระสงฆ์กับอำนาจรัฐไทย : บทเรียนจากอดีตพระธรรมยุตสายอีสาน” ว่า การทำงานของคณะสงฆ์ธรรมยุตอีสานมีความก้าวหน้าเพราะได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายบ้านเมือง

ไม่ทางตรงก็ทางอ้อมยากที่จะปฏิเสธได้ว่า ฝ่ายปกครองจากกรุงเทพฯ นั้นใช้ทั้งองค์ความรู้ การศึกษา วัฒนธรรม ศาสนา เป็นเครื่องมือเชิงซอฟต์พาวเวอร์ในการสร้างความกลมกลืนคนทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับสยามมาตั้งแต่ยุคเริ่มสร้างรัฐสมบูรณาญาสิทธิราช

Image

อดีตกุฏิของพระครูสีทา ชยเสโน พระอาจารย์ของพระอาจารย์เสาร์ พระอาจารย์มั่น ที่วัดบูรพา ซึ่งกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์บูรณะขึ้นจากวัดร้างถวายท่าน  ต่อมาเปลี่ยนเป็นหอไตร ซึ่งยังได้รับการดูแลรักษาอยู่ในสภาพเดิมมาจนปัจจุบัน

Image

ภาพประวัติศาสตร์ การรวมตัวครั้งสำคัญของพระป่าศิษยานุศิษย์ของพระอาจารย์มั่น ในงานถวายเพลิงสรีระท่าน ที่วัดป่าสุทธาวาส เมื่อ ๓๑ มกราคม ๒๔๙๓

ภายหลังปักปันเขตแดนกับเจ้าอาณานิคมจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสชัดเจนแล้ว โดยอาศัยแม่น้ำโขงเป็นเส้นพรมแดน การสร้างอุดมการณ์ชาติในอีสานก็คลี่คลายลง แต่กระบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองในท้องถิ่นเกิดขึ้นแทนที่ โดยใช้ความเชื่อทางผีสาง เทวดา ผู้มีอิทธิฤทธิ์ เป็นเครื่องมือในการปลุกพลังมวลชนท้องถิ่นให้เข้าเป็นพวก ครั้งสำคัญที่สุดก็ในเหตุการณ์กบฏผีบุญ เมื่อปี ๒๔๔๔-๒๔๔๕ ซึ่ง รศ.ดร. ธีระพงษ์เห็นว่า “พระวัดป่าสายธรรมยุตปฏิบัติหน้าที่ภายใต้กลไกของรัฐได้เป็นอย่างดี” ในการ“ให้ความสำคัญในการปฏิวัติความเชื่อเป็นหลัก แต่ก็ทำงานภายใต้บริบทของอุดมการณ์รัฐไทย”

ข้อสังเกตของ รศ.ดร. ธีระพงษ์มีน้ำหนักสอดคล้องกับประวัติศาสตร์การปกครองสงฆ์ในยุคนั้น ซึ่งบันทึกไว้ว่าพระอริยกวี (อ่อน ธมฺมรกฺขิโต) เจ้าอาวาสวัดศรีทอง เจ้าคณะใหญ่เมืองอุบลราชธานีคนแรก เป็นผู้จัดวางระเบียบการปกครองสงฆ์ให้เป็นหมวดหมู่และทำบัญชีส่งกระทรวง และห้ามลัทธิธรรมเนียมประเพณีที่ขัดต่อพระธรรมวินัย ห้ามพระเกี่ยวข้องในการทำบั้งไฟ เส็งกลอง แข่งเรือ เลี้ยงม้า เมื่อกรมหลวงพิชิตปรีชากรเป็นข้าหลวงต่างพระองค์มณฑลอีสาน ทรงให้ท่านควบคุมดูแลพระสงฆ์ในมณฑลในสมัยที่ยังไม่มีเจ้าคณะมณฑล และได้จ่ายเงินเป็นค่าภัตตาหารให้แก่พระธรรมยุตในเมืองอุบลฯ รูปละ ๑ บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นอยู่ต่อมาจนถึงสมัยกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์มาเป็นข้าหลวงต่างพระองค์

รศ.ดร. ธีระพงษ์กล่าวด้วยว่า พระสายวัดป่า “โดยเฉพาะพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งอุปสมบทกับพระอริยกวี (อ่อน ธมฺมรกฺขิโต) สายวัดศรีทอง และได้รับการศึกษาอุดมการณ์พุทธศาสนาแบบรัฐไทยจากพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ที่วัดบรมนิวาส และวัดปทุมวนาราม” นับเป็น “พระสงฆ์รุ่นใหม่ที่ทำงานภายใต้อุดมการณ์ของรัฐสยาม ที่เป็นที่รู้จักดีในอีสาน”

พระอาจารย์มั่นจำพรรษาที่ ๒๓ เมื่อปี ๒๔๕๘ ที่วัดบูรพา และเริ่มให้การศึกษาแก่พระเณรที่มารับการอบรมสั่งสอนอยู่ด้วยจำนวนมาก นอกพรรษาออกธุดงค์ไปตามป่าเขาแถบริมน้ำโขง จนพรรษาที่ ๓๖ ท่านจากหมู่สหธรรมิกไปจำพรรษาที่วัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ อีกครั้ง

ต่อมาในปี ๒๔๗๒ จาริกไปวางรากฐานคณะธรรมยุตที่เชียงใหม่ ตามคำอาราธนาของพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) พำนักจำพรรษาปี ๒๔๗๕ ที่วัดเจดีย์หลวงและเป็นเจ้าอาวาสในปีนั้น ออกพรรษาแล้วหลีกเร้นจากวัดในเมืองเชียงใหม่ไปทำความเพียรแสวงหาโมกขธรรมตามป่าเขาในภาคเหนือ จนถึงปี ๒๔๘๓ ถึงได้คืนกลับอีสานอีกครั้ง

ตลอดเวลาที่จาริกไปบำเพ็ญสมณธรรมทั้งตามป่าเขาและตามอรัญญิกาวาสที่ต่าง ๆ มีภิกษุสามเณรถวายตัวเป็นศิษย์ ศึกษาธรรมปฏิบัติและฝึกกัมมัฏฐานเป็นจำนวนมาก เป็นเหตุให้การศึกษาอบรมกัมมัฏฐานและการสร้างวัดป่าแพร่ไปทั่วอีสานอย่างรวดเร็ว

พระป่ากัมมัฏฐานเป็นรากเหง้าของพุทธศาสนาในอีสานมาก่อนนานแล้ว จึงเชื่อมกับคนท้องถิ่นได้ง่าย

ดังที่พระครูวินัยธร (ธรรมรินทร์ วรธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดป่าชมภูพาน ซึ่งเป็นวัดป่าแห่งหนึ่งบนเทือกเขาภูพาน จังหวัดสกลนคร ให้ข้อสังเกตว่า “ทางอีสานมีแบบแผนการประพฤติปฏิบัติมาแต่เดิมแล้ว พอพระป่าสายหลวงปู่มั่นมาพาทำ ก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธา พากันปฏิบัติ จึงแผ่ขยายได้มากกว่าภูมิภาคอื่น”

Image

อนุสรณ์ “สถานที่ประชุมเพลิงหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ๑๖ เมษายน ๒๔๘๖” ที่วัดบูรพา ซึ่งภายในเป็นอนุสรณ์สถานเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับท่าน

สมัยนั้นมี “กองทัพธรรม” ของกลุ่มพระป่าซึ่งเป็นศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่มั่นออกเผยแผ่ไตรสรณคมน์ตามแนวทางธรรมยุตฝ่ายวิปัสสนา ได้ผลดีเป็นลำดับสืบมา “ในยุคหลวงปู่มั่นอาจเรียกรวม ๆ ว่า พระป่า พอมายุคศิษย์ของท่าน เช่น พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม พระอาจารย์วัน อุตฺตโม พระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ พระอาจารย์เทสก์ เทสรํสี ได้สืบทอดพร้อมกับเผยแผ่หลักธรรมและข้อวัตรปฏิบัติของหลวงปู่มั่น ทำให้ญาติโยมรู้จักชื่อของท่าน ก่อนนั้นคนทั่วไปยังไม่รู้จักหลวงปู่มั่น แต่เมื่อถามพระสายปฏิบัติ ทุกรูปบอกเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นหมด คนเลยสนใจหลวงปู่มั่นขึ้นมา ยุคนั้นเรียกว่ากองทัพธรรมต่อมาจากยุคกองทัพธรรม ตอนนี้เป็นรุ่นหลานศิษย์แล้ว คือไม่ได้เจอหลวงปู่มั่นโดยตรง”

ตั้งแต่ราวปี ๒๔๗๒ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ผู้เป็นศิษย์รุ่นแรก ๆ ของพระอาจารย์มั่น จัดพระอาจารย์ฝ่ายกัมมัฏฐานหลายรูปกับพระเณรอีกราว ๓๐ รูป แยกย้ายไปจำพรรษาสั่งสอนพุทธบริษัทให้ละมิจฉาทิฏฐิ เลิกนับถือผี หันมาตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ ซึ่งต่อมาได้นิยมปฏิบัติกัมมัฏฐานกันอย่างแพร่หลายกว้างขวาง

หลังออกพรรษาปี ๒๔๗๔ พระเณรหลายรูปต่างก็เดินธุดงค์มาจากสถานที่จำพรรษา ซึ่งได้แยกย้ายกันอยู่ตามที่ได้ตกลงกัน กลับมารวมกันที่อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น

ก่อนถึงกาลพรรษาปีถัดมา สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) เจ้าคณะมณฑลนครราชสีมา มีบัญชาให้พระกัมมัฏฐานในจังหวัดขอนแก่นไปเผยแผ่ธรรมสั่งสอนประชาชนที่โคราช พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม สร้างวัดป่าสาลวันขึ้นเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่กัมมัฏฐานแบบธรรมยุตในจังหวัดนครราชสีมา

เพื่อเผยแผ่พุทธศาสนาตามแนวทางธรรมยุตให้ประชาชนมาฟังเทศน์ธรรมพระกัมมัฏฐาน เลิกนับถือผี และตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์

แต่ลัทธิศาสนาผีในอีสานก็ไม่ได้หายไปสิ้นเชิง ดังที่ ผศ.ดร. สถิตย์ ภาคมฤค สะท้อนภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันว่า “แม้อีสานเหนือถือเป็นจุด hub ในการขยายกองทัพธรรมของหลวงปู่มั่น เป็นจุดกระจายพระเกจิไปยังที่ต่าง ๆ แต่กองทัพธรรมของหลวงปู่มั่นก็ไม่สามารถทำลายผีของที่นี่ลงได้ การนับถือผียังคงอยู่”

ในสังคมวัฒนธรรมชาวบ้านอีสานทุกวันนี้ คนที่นับถือผีจึงเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่นับถือพุทธศาสนา “ซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัด ถึงวันพระจะสวดมนต์ไหว้พระ ทำบุญ ตักบาตร”

ไตร แปลว่าสาม  สรณะ แปลว่า ที่พึ่ง ที่ระลึก  คมน์
แปลว่า การไป การถึง  “ไตรสรณคมน์” แปลว่า
การเข้าถึงหรือการรับพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า
พระธรรม และพระสงฆ์ มาเป็นที่พึ่งที่ระลึกถึง

อภินิหาร

แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๗ ปี ๒๕๖๘

วัดป่าหนองอ้อ นอกหมู่บ้านข่าโคม อำเภอเมืองอุบลราชธานี บ้านเกิดพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล กำลังมีการก่อสร้างรูปเหมือนพระอาจารย์เสาร์องค์ใหญ่ที่สุดในโลก หน้าตัก ๙ เมตร สูง ๑๔ เมตร ซึ่งเพิ่งเริ่มขึ้นเค้าโครง ส่วนสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่ที่สุดซึ่งมีหลักฐานอยู่ในภาพถ่ายคือสิมน้ำหรือโบสถ์กลางน้ำ ซึ่งพ่อใหญ่คำดี ชารีนะ เล่าให้ วาสนา ไชยเดช ฟังเมื่อ ๒๑ กันยายน ๒๕๓๓ บันทึกอยู่ในหนังสือ ชีวประวัติพระครูวิเวกพุทธกิจกันตสีโลเสาร์ (พระอาจารย์เสาร์) ว่าเคยมีกองกฐินของเจ้าจอมมารดาทับทิม พระสนมเอกในรัชกาลที่ ๕ มาทอดถวาย

ตามเรื่องเล่าว่า เจ้าจอมมารดาทับทิมเดินทางจากกรุงเทพฯ พร้อมเครื่องไทยทานมากมาย เมื่อลงจากรถไฟที่วารินชำราบแล้วใช้เรือกลไฟเดินทางทวนแม่น้ำมูลเข้าไปในลำเซบาย ขึ้นบกที่ท่ากกโดน จากนั้นใช้เกวียนขนสัมภาระไปยังบ้านข่าโคม

สร้างวัดป่าหนองอ้อเป็นที่พักสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต และสร้างโบสถ์กลางน้ำ (สิมน้ำ) ในปีต่อมา มีพระมาร่วมจำพรรษาถึง ๑๕๐ รูป

แต่ในหนังสือ สามเณรบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน เล่าว่า คราวพระอาจารย์เสาร์กลับบ้านเกิดเมื่อปี ๒๔๗๙ สามเณร บุญนาคได้ติดตามไปกราบท่านและนิมนต์ให้ไปแสดงธรรมโปรดเจ้าจอมมารดาทับทิมที่กรุงเทพฯ

โดยเหตุที่เจ้าจอมมารดาทับทิมมีศรัทธาเลื่อมใสในพระอาจารย์เสาร์ เพราะมีสามเณรที่เพิ่งมาจากอุบลราชธานีบิณฑบาตเข้าไปในเขตพระราชฐานโดยไม่ทราบธรรมเนียมจึงถูกกักตัวไว้ สอบถามแล้วได้ความว่าชื่อสามเณรบุญนาค มีพระอาจารย์ใหญ่ชื่อเสาร์ กนฺตสีโล อยู่ที่เมืองอุบลฯ

ต่อมาภายหลังออกพรรษาเจ้าจอมมารดาทับทิมจึงส่งคณะมาทอดถวายผ้ากฐิน พร้อมกองบวชอีกกองหนึ่งด้วย ในวันสุดท้ายของกาลกฐินปี ๒๔๘๐

พระป่าและวัดป่ามักแวดล้อมด้วยเรื่องเล่า มุขปาฐะในเชิงตำนานที่เล่าต่อกันมาไม่ขาดหาย บางครั้งอาจฟังดูเหนือจริงที่ไปพ้นการหาข้อพิสูจน์ เช่นเดียวกับเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับศรัทธาความเชื่อของผู้คนทุกสังคมวัฒนธรรมที่มักเหลือเชื่อ ไปจนถึงอิทธิฤทธิ์อภินิหาร

ดังเรื่องเล่าว่า วันที่พระอาจารย์เสาร์เดินทางกลับหมู่บ้านข่าโคม สร้างวัดป่าหนองอ้อที่บ้านเกิด เมื่อปี ๒๔๗๙ นั้นเกิดแผ่นดินไหวสั่นสะเทือนถึง ๒๐ วินาที “แสดงถึงอภินิหารแห่งธรรมของท่าน” ตามคำเล่าของพ่อใหญ่คำดี ชารีนะ

อีกเรื่องที่คุณตาบุญเพ็ง คำพิพาก เล่าให้ พิศิษฐ์ ไสยสมบัติ ฟังเมื่อ ๘ ตุลาคม ๒๕๔๐ บันทึกอยู่ใน ตามรอยธุดงควัตร พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ว่าปีนั้นบ้านข่าโคมฝนแล้ง ท่านให้ชาวบ้านมาชุมนุมกันที่วัดป่าหนองอ้อ แล้วท่านนำไหว้พระรับศีลเจริญพระพุทธมนต์ “แล้วเหตุอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น ปรากฏว่าในเวลาไม่นานนัก ฝนได้ตกลงมาห่าใหญ่ในท่ามกลางพิธี จนทุกคนเปียกชุ่มโชก ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้มีแต่แสงแดดแผดจ้า บนท้องฟ้าแจ่มแจ้งไร้เมฆหมอกและเค้าฝน”

เรื่องอภินิหารของพระสายวัดป่ายังมีบันทึกอยู่ในที่ต่าง ๆ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเล่าจากศิษย์ใกล้ชิด ที่เล่าว่าอาจารย์เล่าให้ฟัง 

ดังในชีวประวัติอาจารย์ฝั้น อาจาโร เล่าว่า ในปี ๒๔๗๙ คราวท่านจาริกไปนมัสการพระอาจารย์มั่นที่เชียงใหม่ พระอาจารย์ให้มุ่งทำความเพียรทั้งกลางวันกลางคืน “ปรากฏว่าท่านทั้งสองต่างสามารถมองเห็นกันทางสมาธิโดยตลอด ทั้ง ๆ ที่กุฏิห่างกันเป็นระยะทางเกือบ ๕๐๐ เมตร”

ขณะที่พระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เล่าว่า พระอาจารย์มั่นเล่าให้ฟัง “ในเวลาเฉพาะ...ไม่ได้พูดสุ่มสี่สุ่มห้า” ว่าเทวดามาเยี่ยมท่าน มาฟังเทศน์ท่าน

Image

อุโบสถกลางน้ำ วัดป่าหนองอ้อ ตามประวัติว่าสร้างโดยเจ้าจอมมารดาทับทิม พระสนมเอกในรัชกาลที่ ๕ 

“ยิ่งท่านเทศน์เรื่องเทวบุตร เทวดาแล้ว โอ๊ย...ฟังแล้วน้ำตาร่วงเลยนะ...นี่ท่านพูดถึงเรื่องเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมที่มาเยี่ยมท่าน ท่านบอกว่าท่านมาอยู่ที่สกลนครนี้ พวกเทวดามาเกี่ยวข้องน้อยมาก...จะมาเป็นเวลา” คือมาในวันพระวันสำคัญทางพุทธศาสนา “ส่วนไปอยู่เชียงใหม่ โห ต้อนรับแทบทุกวัน...นั่นละ เห็นไหม ญาณหยั่งทราบ พวกตาดีท่านอย่างนั้น พวกตาบอดปฏิเสธวันยังค่ำว่าไม่มี โห เวลานี้กำลังเริ่มลบล้างพวกเทวบุตรเทวดาว่าไม่มีแล้วนะ ก็ชาวพุทธเราเองนี่แหละ มันเป็นข้าศึกต่อพระพุทธเจ้าเสียเอง”

เมื่อเรื่องนี้เผยแพร่ใน ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ เมื่อปี ๒๕๑๕ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนตั้งปัญหาเรื่องนี้ในหนังสือพิมพ์ สยามรัฐ บางตอนว่า

“เรื่องที่แปลกประหลาดอย่างยิ่งนั้นก็คือในหนังสือเล่มนี้บอกว่า เมื่อพระอาจารย์มั่นอยู่ในถ้ำ มีพระอรหันต์หลายองค์มาสนทนาธรรมกับท่าน นอกจากสนทนาธรรมแล้ว พระอรหันต์ยังแสดงท่านิพพานของแต่ละองค์ให้พระอาจารย์มั่นดูอีกด้วย...พระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้ว มาสนทนากับคนที่ยังไม่นิพพาน แล้วแสดงท่านิพพานให้ดูนั้น ไม่มีในพระบาลีเป็นแน่นอนครับ...อ่านประวัติของพระอาจารย์มั่นจบแล้วก็ได้แต่ถามตนเองว่า ที่หลวงพ่อมั่นท่านต่อสู้กับความโง่หลงงมงายมนุษย์นั้น ท่านได้ชัยชนะทำให้ใครได้ฉลาดขึ้นหรือไม่ หรือว่าท่านตายเปล่า ?”

พระอาจารย์มหาบัวเขียนตอบ สรุปตอนท้ายว่า “การที่ความรู้ความเห็นของท่านพระอาจารย์มั่น จะมีในพระบาลีหรือไม่นั้น ถ้าพระไตรปิฎกมิได้ตั้งตัวเป็นกองปราบผูกขาด ผู้ปฏิบัติก็มีสิทธิ์จะรู้ได้ในธรรมทั้งหลายตามวิสัยของตน ดังพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายทรงรู้เห็นมาก่อน พระไตรปิฎกยังไม่อุบัติ ถ้าธรรมเหล่านี้และท่านเหล่านี้จะพอเป็นความจริง เป็นความถูกต้องได้และเป็นสรณะของโลกได้ ก็เป็นมาก่อนพระบาลีแล้ว ถ้าปลอมก็ปลอมมาแล้วอย่างไม่มีปัญหา จึงขอให้ท่านวินิจฉัยเลือกเอาตามชอบใจว่าจะเอา พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ หรืออะไร ๆ ผ่านสายตาสัมผัสใจก็ สรณัง คัจฉามิ ร่ำไปแบบกินไม่เลือก แต่เวลาเจอก้าง...”

อภินิหารยังเป็นเรื่องที่เล่า ลือ เชื่อ ถือ กันต่อไปไม่หายไป มากกว่าความเชื่อ สาระอาจไม่ได้อยู่ที่ข้อเท็จจริง แต่อยู่ที่การสอนใจ หล่อเลี้ยง ประคองศรัทธา คุณธรรมที่หลอมรวมไหลวนอยู่ในตัวตนและมโนธรรมสำหรับของสาธุชนแต่ละปัจเจก

"วิปัสสนานี้ มีผลอานิสงส์ยิ่งใหญ่กว่าทาน ศีล พรหมวิหารภาวนาย่อมทําให้ผู้เจริญนั้นมีสติไม่หลงเมื่อทํากาลกิริยา มีสุคติภพคือ มนุษย์และโลกสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า หากยังไม่บรรลุทําให้แจ้งซึ่งนิพพาน ถ้าอุปนิสัยมรรคผลมี ก็ย่อมทําให้ผู้นั้นบรรลุมรรคผล ทําให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ในชาตินี้นั้นเทียว"
พระอาจารย์เสาร์ กน ฺ ตสีโล

ภาพศิลปะบนผนังภายในอนุสรณ์สถานที่ประชุมเพลิงหลวงปู่เสาร์ เล่าเรื่องการมรณภาพของท่านในอิริยาบถกราบพระพุทธรูปในพระอุโบสถ

สิ้นสุดรอยเท้า
ท่านพระอาจารย์ใหญ่

ถึงกาลพรรษาปี ๒๕๖๘ ก็นับเป็นปีที่ ๘๖ ของวัดดอนธาตุ ที่ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำมูล ในพื้นที่อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ที่พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล สร้างขึ้นเมื่อปี ๒๔๘๒ และนับแต่นั้นท่านก็พำนักอยู่ที่วัดนี้จนพรรษาสุดท้าย โดยก่อนหน้านั้นตอนอยู่ที่วัดบูรพา ท่านได้เตรียมโลงศพไว้ให้ตัวเองแล้วเมื่อ ๒ ปีก่อนจะมาวัดดอนธาตุ

ช่วงก่อนเข้าพรรษาปีสุดท้าย หลวงปู่รำลึกถึงพระครูทา โชติปาโล ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งมรณภาพไปนานแล้ว อยากไปทำบุญอุทิศถวายที่วัดดอนฮีธาตุ เขตเมืองโขง แขวงนครจำปาศักดิ์ สปป.ลาว

ญาติโยมและศิษย์ใกล้ชิดต่างทัดทาน ด้วยการเดินทางโดยเรือแจวในยุคนั้นเสี่ยงกับสภาพท้องน้ำระหว่างทาง ซึ่งมีเกาะแก่ง น้ำเชี่ยวน้ำวน

แต่ท่านว่า “มันสิเป็นอิหยัง ยังบ่เถิงคราว”

ระหว่างนั้นท่านได้รับนิมนต์ไปสวดอภิธรรมศพคหบดีใหญ่ในเมืองอุบลฯ พร้อมพระลูกศิษย์อีกสามรูป เจ้าภาพปวารณาถวายปัจจัยพอที่จะใช้ทำบุญถวายแด่พระอุปัชฌาย์ และมีโยมอาสาขับรถยนต์ไปส่ง แทนการเดินทางด้วยเรือถ่อเรือพายที่เสี่ยงอันตราย จนถึงจุดหมายแรกที่วัดอมาตยาราม นครจำปาศักดิ์

จากนั้นลงเรือกลไฟล่องลงไปพักแรมที่วัดกลาง เมืองมุลปาโมกข์ หรือวรรณไวทยากร รุ่งขึ้นจึงลงเรือเล็กต่อไปวัดดอนฮีธาตุ เมืองโขง ที่ประดิษฐานสถูปบรรจุอัฐิธาตุขององค์พระอุปัชฌาย์

การบำเพ็ญกุศลลุล่วงด้วยดี พระอาจารย์เสาร์และคณะใช้เวลาหลายสิบวันเดินทางชมเกาะแก่งไปจนถึงหลี่ผี คอนพะเพ็ง และจะกลับมาร่วมพิธีมาฆบูชา บ้านนาดี

ช่วงนั้นที่พระลูกศิษย์สังเกตเห็นอาการของท่านทรุดหนักลงเนื่องจากไข้หวัด  ท่านเริ่มเจ็บป่วยมาแต่คราวโดนผึ้งต่อยที่วัดดอนธาตุ เนื่องจากเหยี่ยวตัวหนึ่งโฉบรังผึ้งบนกิ่งยางใหญ่ข้างศาลาด้านตะวันออกเฉียงเหนือร่วงลงมา ผึ้งฝูงใหญ่รุมต่อยท่านซึ่งเดินลงจากศาลามานั่งผิงแดดต้นฤดูหนาวอยู่แถวนั้น พระเณรวิ่งไปนำองค์ท่านเข้ามุ้งกลด นั่งล้อมท่านไว้ ผึ้งต่อยเฉพาะท่าน พระรูปอื่นไม่ต่อย ท่านโดนพิษเหล็กในจนจับไข้ และนับแต่นั้นก็เจ็บป่วยไม่สบายเรื่อยมา

Image

ทางจงกรมที่พระอาจารย์เสาร์ใช้บำเพ็ญเพียร ยังได้รับการรักษาไว้ที่วัดดอนธาตุ

ท่านบอกกับลูกศิษย์ว่าเป็นกรรมเก่าของท่านที่เคยฆ่าปลาแต่ครั้งยังเป็นฆราวาส และเคยกล่าวกับญาติโยมมาก่อนว่า “ข้อยสิตายจากเพราะผึ้ง” ทำให้ไม่มีใครนำน้ำผึ้งมาถวายท่านอีกเลยนับแต่นั้น แม้รู้ว่าเป็นของโปรด

“ขอนิมนต์ครูบาจารย์กลับไปรักษาตัวก่อน ข้าน้อย” พระลูกศิษย์กล่าวกับท่าน ขณะกำลังป่วยอยู่ที่บ้านหัวดอนหลี่ผี

“กลับจั่งได๋ สิพาเขาทำบุญมาฆะอยู่”

“เรื่องทำบุญนั้นพวกข้าน้อยขอรับรองทุกอย่าง ขออย่าให้ครูบาจารย์เป็นห่วง ข้าน้อย” พระอาจารย์ดี ผู้เป็นลูกศิษย์ รับรอง

“หือ อยู่มันกะสิเป็นหยัง ตายไสกะแล้วตั๊ว ฟื้นอยู่นี่สิอึดซ้ำบอ เผาช้างเป็นโตกะไหม้ตั้ว”

“ครูบาจารย์ว่าจั่งซั่นกะแหม่นอยู่ข้าน้อย แต่ว่ากระดูกครูบาจารย์นั้นมีค่ามีคุณหลาย คั่นครูบาจารย์มรณภาพอยู่นี่ พวกญาติโยมกะสิมาติเตียนพวกข้าน้อย ว่าพาครูบาจารย์มากวงมาไกล”

“เอ คั่นว่าจังซั่น กะลงอุโบสถก่อน”

วันอุโบสถเป็นสิ่งสำคัญ พระลูกศิษย์ยอมจำนนต่อพระอาจารย์ แต่ก็ขอนิมนต์กลับไปที่วัดอมาตยาราม

กระทั่งงานบุญมาฆบูชาและอุโบสถกรรมแล้วเสร็จ คณะจึงเดินทางมาพักที่วัดกลาง เมืองมุลปาโมกข์ รอเรือรับกลับนครจำปาศักดิ์ เย็นนั้นท่านลงสรงน้ำในแม่น้ำโขง

รุ่งขึ้นตอนเช้ามืด ท่านบอกพระอุปัฏฐากให้เก็บข้าวของ “ฟ้าวเก็บของสา สิเอาหยังกะเลือกเอาติ๊ ข้อยบ่เอาอิหยังอีกแล้ว”

แล้วท่านก็ไม่ฉันอะไรอีก ลูกศิษย์ตักข้าวต้มป้อนถวาย ท่านอ้าปากรับเพื่อสนองศรัทธาเจตนาแต่โดยดี พอข้าวต้มช้อนนั้นเข้าปากท่านอมไว้ แล้วคายทิ้งลงถ้วยเหมือนเดิม ท่านไม่ยอมรับเอาอะไรทั้งสิ้น ปล่อยวางหมดทุกอย่าง

ญาติโยมหามท่านลงเรือเล็กผูกโยงกับเรือกลไฟ เพื่อไม่ให้ท่านได้รับความกระทบกระเทือนจากเครื่องยนต์ท่านนอนหลับตานิ่งตลอดทางกลางแม่น้ำโขงจากเมืองมุลปาโมกข์สู่นครจำปาศักดิ์

ถึงท่าน้ำวัดอมาตยาราม ลูกศิษย์ช่วยกันยกแคร่ไม้ไผ่ที่ท่านนอนอยู่ หามมุ่งตรงไปยังพระอุโบสถ

ท่านลุกขึ้นครองผ้าสังฆาฏิ มือทั้งสองข้างยันพื้นเอนไปข้างหน้า ข้างหนึ่งอยู่กลางระหว่างเข่า อีกมือเฉไปข้างหน้าสายตามองพระประธานซึ่งอยู่เบื้องหน้า แล้วน้อมกายก้มหน้าลงสามครั้ง และนิ่งอยู่ในท่านั้น เม็ดเหงื่อผุดชโลมกายจนผ้าคลุมเปียกโชก พระลูกศิษย์เอาน้ำมาผิวพ่นเป็นฝอยเหมือนละอองหมอกใส่ตัวท่านให้คลายร้อน ท้ายสุดเหมือนมีลมหายใจเฮือกใหญ่จนไหล่กระเพื่อมแล้วสงบนิ่ง เมื่อลูกศิษย์สังเกตที่จมูกก็พบว่าท่านหมดลมปราณแล้ว

พระครูสุทธิธรรมรังษี (เจี๊ยะ จุนฺโท) ซึ่งร่วมอยู่ในเหตุการณ์ตรงนั้นด้วย เล่าถึงการจัดการศพว่า “ตำถ่านใส่โลงท่าน เราตำเองทั้งหมด ถ่านนี้ใส่รองพื้นโลงเพื่อดูดน้ำเหลืองไม่ให้เหม็น วางถ่านรองพื้นโลงเสร็จแล้ว เอาผ้าขาวปูทับอีกทีหนึ่ง ถ่านต้องเลือก อย่าเอาที่แตก ๆ เวลาปูลงที่พื้นโลงให้ถ่านสูงประมาณ ๑ คืบ ใช้ถ่านประมาณกระสอบก็เพียงพอ”

พระอาจารย์มั่นให้บรรจุศพพระอาจารย์เสาร์ไว้ที่วัดบูรพา รอความพร้อมที่จะฌาปนกิจในปีถัดไป ซึ่งในที่สุดกำหนดเป็นวันที่ ๑๐-๑๖ เมษายน ๒๔๘๖ พิธีถวายเพลิงพร้อมกับพระมหาเถระอีกสามรูป พระศาสนดิลก (เสน ชิตเสโน) พระมหารัฐ รฏฺฐปาโล และพระครูวิโรจน์รัตโนบล (บุญรอด นนฺตโร) ซึ่งจัดพิธีถวายเพลิงในวาระเดียวกันนี้

สิ้นสุดรอยเท้าแห่งการจาริกธุดงค์ของอริยสงฆ์ผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นพระอาจารย์ใหญ่องค์แรกของพระกัมมัฏฐานแห่งสยามร่วมสมัย ตามอนิจลักษณะแห่งสังขาร แต่รอยทางตามแนวปฏิปทาที่บูรพาจารย์สายพระป่าพาทำดำเนินมา ยังคงสืบสายเป็นเส้นทางสายหนึ่งของพุทธศาสนาไทยในปัจจุบัน

“ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงประกอบความเพียรในการหลีกเร้น ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้หลีกเร้น ย่อมรู้ชัดตามจริง”
พุทธพจน์

จิตรกรรมฝาผนังในอนุสรณ์สถานที่ประชุมเพลิงหลวงปู่เสาร์

ธรรมทายาท

“ตอนนี้เป็นรุ่นหลานศิษย์แล้ว คือไม่ได้เจอหลวงปู่มั่นโดยตรง ต่อมาจากยุคกองทัพธรรม” พระครูวินัยธรธรรมรินทร์ วรธมฺโม เจ้าอาวาสวัดป่าชมภูพาน กล่าวถึงพระป่าในปัจจุบัน

“พระป่าเดี๋ยวนี้เน้นปฏิบัติมากกว่ากายภาพ อรัญวาสีกับคามวาสีในสมัยก่อนแยกกันทางกายภาพ พระที่อยู่ในหมู่บ้านหรือวัดในเมืองเรียกคามวาสี มุ่งศึกษาปริยัติและการบริหารปกครองเป็นหลัก ส่วนพระที่อยู่ในป่าหรือวัดที่ห่างชุมชนเมือง เน้นการปฏิบัติธรรม เรียกอรัญวาสี คือพระป่า เดี๋ยวนี้เรานิยามตามการปฏิบัติ”

เนื่องจากพระสงฆ์มหานิกายที่ถือข้อวัตรพระป่าก็มี เช่นเดียวกับพระสงฆ์ธรรมยุตที่อยู่กับการศึกษาปริยัติ เน้นงานการปกครองซึ่งมีศูนย์กลางอยู่วัดในกรุงเทพฯ ก็มี ซึ่งพระอาจารย์ธรรมรินทร์กล่าวว่า บางทีก็ยากที่จะให้คำจำกัดความว่า พระป่าต้องอยู่วัดป่า หรือต้องเป็นธรรมยุต

“พระป่าที่อยู่ในป่าก็เป็นนิยามได้อย่างหนึ่ง แต่ในความหมายจริง ๆ พระป่าคือพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ดำเนินข้อวัตรตามรอยสายหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นนั่นแหละ ถือว่าพระเหล่านั้นเป็นสายพระป่า”

ข้อวัตรของสายพระป่านั้น “เป็นเรื่องแนวทางการปฏิบัติที่พระป่ารักษาไว้ เช่น การฉันมื้อเดียวเป็นวัตร การไม่จับปัจจัย การห่มผ้าที่ย้อมด้วยน้ำฝาด ที่เรียกว่าวิถีพระป่า คือการถือข้อวัตรเหล่านี้ และการปฏิบัติ เดินจงกรม นั่งภาวนาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการปกครองบริหารคณะสงฆ์”

Image

พระครูวินัยธรธรรมรินทร์ วรธมฺโม
เจ้าอาวาสวัดป่าชมภูพาน สกลนคร

ท่านให้บทสรุปสั้น ๆ ว่าพระป่ามีปณิธานวิถีทางเดียวคือพ้นทุกข์ การแสวงหาคือปริยัติ พบสิ่งที่แสวงหาคือปฏิบัติทำลายสิ่งที่พบนั้นคือปฏิเวธ แสวงหาตัวตนเพื่อทำลายอัตตา พูดแบบชาวบ้านคือบวชมาเพื่อบรรลุธรรม อย่างอื่นไม่ใช่สาระสำคัญ แม้จะอยู่ในเมือง แต่ถ้าบวชมาเพื่อบรรลุธรรมก็ถือว่ามีวิถีพระป่า แต่ถ้าอยู่ในป่าแล้วไม่ได้ปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมไม่ปฏิบัติข้อวัตร ก็ไม่ใช่พระป่า หลวงปู่มั่นสอนให้ละกิเลส พ้นทุกข์ อย่างอื่นไม่ใช่สาระสำคัญ

“แต่เดี๋ยวนี้พระป่าก็ปรับเปลี่ยน” พระอาจารย์ธรรมรินทร์ย้อนยุคอดีตแล้วเชื่อมโยงมาสู่ปัจจุบัน “ใหม่ก็ต้องเอา เก่าก็ไม่ทิ้ง เก่าคือวิถีดั้งเดิม ใหม่คือการสื่อสารธรรมผ่านสื่อโซเชียลมีเดียที่ทันสมัย ให้คนเข้าถึงได้ง่าย เพื่อให้อยู่กับโลกสมัยใหม่ได้ แต่พระป่าท่านมั่นคงในวิถีเดิมคือมุ่งสู่ความพ้นทุกข์แต่บนเส้นทางนั้นท่านก็อนุเคราะห์โลกด้วย”

พระป่าจึงไม่สำคัญว่าต้องเป็นวัดป่าเท่านั้น และไม่จำกัดว่าจะเป็นพระสงฆ์ธรรมยุตหรือมหานิกาย

สำคัญที่วิถีพระป่าคือการมุ่งสู่ความพ้นทุกข์ ซึ่งระหว่างทางที่เดินนั้นก็สงเคราะห์ช่วยเหลือโลกไปด้วย

บทสรุปจากแง่มุมหนึ่งของเส้นทางสายพระป่าสยามแห่งยุคสมัย  

“เมื่อฝึกฝนอบรมให้พิจารณาจนคล่องตัว จิตก็จะมองเห็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน คือเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเป็นอนัตตาทั้งนั้น จะมีตัวมีตนเมื่อแยกออกไปแล้ว มันก็มีแค่ธาตุ ดิน นํ้า ลม ไฟ มีปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณมายึดครองอยู่ในร่างกายอันนี้ เราจึงสมมติบัญญัติว่า สัตว์ บุคคล ตัวตนเรา เขา”
พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)

พระป่ากัมมัฏฐานเป็นรากเหง้าของพุทธศาสนาในอีสานอยู่ก่อนแล้ว เมื่อ “กองทัพธรรม” ของกลุ่มพระป่าซึ่งเป็นศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่มั่น ออกเผยแผ่ไตรสรณคมน์ จึงเข้ากับคนท้องถิ่นได้ง่าย การปฏิบัติกัมมัฏฐานยังแพร่หลายกว้างขวางในหมู่ศาสนิกชนท้องถิ่นมาจนปัจจุบัน

Image