สิ่งที่ไทยต้องทำคือ
กลับมาเป็น ‘มิตรประเทศ’
กับจีน (ไม่ใช่พี่น้อง)
ตามปรกติให้ได้
สัมภาษณ์
ผศ.ดร. พงศ์พิสุทธิ์ บุษบารัตน์
ผู้อำนวยการสถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ (ISIS Thailand)
อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สัมภาษณ์และถ่ายภาพ : สุเจน กรรพฤทธิ์
กรกฎาคม ค.ศ. ๒๐๒๕
ท่ามกลางข่าวคราวว่าด้วยเรื่อง “จีน” ในไทย ไม่ว่าจะบวกหรือลบ เรื่องที่คนจำนวนมากอาจลืมคือ ย้อนกลับไป ๕๐ ปีที่แล้วในเดือนเดียวกัน (๑ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๗๕) รัฐบาลไทยที่มี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี ตัดสินใจสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับสาธารณรัฐประชาชนจีน
นี่ไม่ใช่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในภาวะปรกติ ด้วยตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ ๑๙๕๐ ไทยมองจีนเป็น “ภัยคุกคาม” มาตลอด ระแวงภัยคอมมิวนิสต์ กังขาความช่วยเหลือที่รัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ (จีนแดง) มอบให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลที่สำคัญคือจีนเป็น “แนวหลัง” สนับสนุนรัฐบาลเวียดนามเหนือต่อสู้กับรัฐบาลเวียดนามใต้ซึ่งไทยและสหรัฐอเมริกาสนับสนุน
ค.ศ. ๑๙๗๕ เป็นปีที่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว อเมริกาถอนตัวจากอินโดจีน เวียดนามใต้พ่ายแพ้ถูกรวมกับเวียดนามเหนือ ลาวและกัมพูชากลายเป็นคอมมิวนิสต์ สหภาพโซเวียตและจีนขัดแย้งกัน ค่ายคอมมิวนิสต์แตกเป็นสองขั้ว เวียดนามและ สปป.ลาวเข้าข้างสหภาพโซเวียต ขณะที่กัมพูชาสนับสนุนจีน
ไทยตัดสินใจเปิดความสัมพันธ์กับจีนแดงท่ามกลางบริบทเหล่านี้ จนมีทฤษฎีสมคบคิดว่าการเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตครั้งนั้นทำให้ไทยแก้ปัญหาการคุกคามจากเวียดนามได้ และความสัมพันธ์นั้นก็เติบโตต่อมาจนถึงยุคที่จีนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและการทหารเคียงคู่สหรัฐอเมริกา
เรามักเห็นในสื่อว่า “จีนไทยใช่อื่นไกลพี่น้องกัน” แต่เมื่อ สารคดี ได้สนทนากับ ผศ.ดร.พงศ์พิสุทธิ์ บุษบารัตน์ อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งจบปริญญาเอกจากคณะรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (Australian National University - ANU) ด้วยวิทยานิพนธ์ “Embracing proaction : the role of self-perception in Thailand’s post-Cold War foreign policy” ทั้งยังคลุกคลีกับการทำวิจัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสองมหาอำนาจคือสหรัฐอเมริกาและจีนมาตลอด อาจารย์กลับชี้ประเด็นว่าความเชื่อนั้นต้องถูกทบทวนอย่างจริงจัง
บทสนทนานี้ว่าด้วยสายสัมพันธ์ไทย-จีนที่เดินหน้ามาครึ่งศตวรรษ ไทยควรวางตัวอย่างไรกับมหาอำนาจใหม่ และควรวางการทูตของเราไปในทางไหน
เพื่อที่ “ผลประโยชน์แห่งชาติ” ของไทยจะไม่กระทบกระเทือน
ในวาระครบรอบ ๕๐ ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ประโยค “จีนไทยใช่อื่นไกลพี่น้องกัน/
จงไท่อี้เจียชิน” (中泰一家亲) ถูกใช้อย่างกว้างขวาง อาจารย์เชื่อว่าประโยคนี้เป็นจริงหรือไม่ และมีมุมมองอย่างไรต่อคำกล่าวนี้
ไม่เชื่อครับ (หัวเราะ) ถ้าใช้ศัพท์ทางสังคมศาสตร์ นี่คือการใช้วาทกรรม (ชุดความคิด) เพื่อสร้างความใกล้ชิดเพื่อได้ผลประโยชน์บางอย่างจากการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างกัน
ตอนนี้ผมกำลังเขียนบทความวิชาการที่พยายามอธิบายว่าอัตลักษณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากสถานการณ์การเมืองภายในของไทยช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ที่เกี่ยวกับความมั่นคงภายในและการเข้ามามีอิทธิพลของชาติตะวันตก โดยสยามไม่สามารถควบคุมคนจีนที่อพยพเข้ามาจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังมีปรากฏการณ์อั้งยี่ มีเหตุการณ์ที่คนจีนลุกฮือในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่หลายครั้งจากความไม่พอใจรัฐบาล ส่วนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเจ้าอาณานิคมคือสยามเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ไม่สามารถใช้กฎหมาย
ควบคุมคนต่างชาติได้ คนจีนในสยามจำนวนมากก็เข้าไปเป็นคนในคุ้มครองของชาติตะวันตก ถ้าใช้กฎหมายสยามก็จะเกิดการกระทบกระทั่งกับชาติตะวันตก มีเหตุการณ์ตัวอย่างคือมีคนจีนก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์แล้วหนีขึ้นไปบนรถรางที่บริษัทอังกฤษเป็นผู้ดำเนินการ คนร้ายอ้างว่าตนเป็นคนในคุ้มครองอังกฤษ ตำรวจสยามก็ไม่กล้าจับ
นอกจากนั้นยังมีประเด็นเรื่องความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
เพราะสยามไม่สามารถบังคับคนเหล่านี้ให้เสียภาษีได้ ปัญหาคือคนจีนกุมกลไกสำคัญทางเศรษฐกิจของสยามตั้งแต่แรกเริ่ม โดยเฉพาะหลังจากทำสนธิสัญญาเบาว์ริงในสมัยรัชกาลที่ ๔ สยามโดนกำหนดภาษี ๑๐๐ ชัก ๓ ทำให้เสียรายได้เข้าท้องพระคลังมาก คนจีนจำนวนมากก็ยังส่งโพยก๊วนกลับจีนแผ่นดินใหญ่ ปัญหานี้ใหญ่มาก สยามจึงต้องพยายามทำให้คนเหล่านี้เข้ามาอยู่ในสังคมและอยู่ใต้กฎหมายสยามให้ได้ ถ้าจำได้เราจะเห็นความพยายามปรับปรุงกฎหมาย จนถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ สมัยรัชกาลที่ ๖ จึงเริ่มเห็นผล
เกริ่นมายืดยาวก็เพื่อชี้ให้เห็นที่มาว่า สยามต้องพยายามบอกคนจีนกลุ่มใหญ่ที่กุมอำนาจทางเศรษฐกิจว่า คุณก็อยู่ในสังคมสยาม เราเหมือนพี่น้องกัน ควรช่วยเหลือเกื้อกูลกันในยามยาก เห็นได้จากพระราชดำรัสรัชกาลที่ ๗ ขณะเสด็จฯ ไปเปิดโรงเรียนที่สำเพ็ง ตรัสทำนองว่าขุนนางและพระราชวงศ์หลายคนเองก็มีเชื้อสายจีน เราก็เหมือนพี่น้องกัน เป็นการสื่อสารเพื่อให้คนจีนเห็นว่าควรมีส่วนทำนุบำรุงบ้านเมืองที่อาศัยอยู่ ควรมีความจงรักภักดี ยอมเสียภาษีให้รัฐในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ต่อมาเราก็จะเห็นว่ารัชกาลที่ ๘ ก็เสด็จฯ ไปสำเพ็งช่วงหลังสงครามโลก ครั้งที่ ๒ เพื่อพยายามบอกคนจีนว่าไม่ควรทำตัวเป็นอื่น ต้องเอื้อต่อกัน นี่คือประเด็นทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เกี่ยวกับการสร้างวาทกรรม “จีนไทยใช่อื่นไกลพี่น้องกัน”
อาจารย์คิดว่ารัฐบาลจีนเชื่อวาทกรรมนี้หรือไม่
ผมคิดว่าผู้นำจีนไม่เชื่อวาทกรรมนี้ (หัวเราะ) โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ไทยใช้ดำเนินการทางการทูตอย่างจริงจัง เท่าที่ผมอ่านเอกสารชั้นต้น ช่วงปลายสงครามเย็น ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ ๑๙๘๐ จีนเข้ามามีบทบาทด้านความมั่นคงในภาคพื้นทวีปเอเชียอาคเนย์ ในบริบทสงครามในกัมพูชา เริ่มเข้าสู่ระบบตลาดโลก ไทยเห็นประโยชน์ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจจากจีน โดยเฉพาะเศรษฐกิจ การอ้างอัตลักษณ์นี้ในหมู่ชนชั้นกลางไทยเชื้อสายจีนที่เติบโตมากับกระแสโลกาภิวัตน์จะทำให้ได้ประโยชน์จากตลาดจีน ดังนั้นภาวะที่สงครามเย็นคลายตัวและสิ้นสุดช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ ๑๙๙๐ การทำเช่นนี้จึงไม่มีปัญหา เพราะจีนเหมือนเป็นที่พึ่งใหม่
ผู้นำไทยที่ใช้วลีนี้มากขึ้นก็เช่น ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช
เริ่มกล่าวถึงไทยและจีนว่าเสมือนพี่น้องกันแม้จะปกครองด้วยระบบที่ต่างกัน พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ไปเยือนจีนหลังลงจากตำแหน่งไม่นาน ก็ใช้วลีนี้กล่าวกับ หลี่เผิง นายกฯ จีน ซึ่ง หลี่เผิง ตอบกลับด้วยคำว่า “เพื่อนบ้าน” ไม่ใช่พี่น้อง ดูเหมือนว่าจีนพยายามไม่ใช้แนวคิดพี่น้องในช่วงต้นนี้ เพราะไม่ใช่การดำเนินความสัมพันธ์แบบรัฐสมัยใหม่ การใช้ยังก่อให้เกิดลำดับชั้นความสัมพันธ์ ถ้าสมาทานก็จะเกิดข้อผูกมัดบางอย่างขึ้น
การอ้างถึงการมี “เชื้อสายจีน” ในการติดต่อสัมพันธ์ เช่น เรื่อง “แซ่” ในกรณีพระราชวงศ์ เรื่อง “เสื่อผืนหมอนใบ” ที่นักธุรกิจไทยเชื้อสายจีนชอบนำมาเล่า อาจารย์มองว่าส่งผลอย่างไรกับความสัมพันธ์ไทยจีน
ผมมองว่าเป็นเรื่องเดียวกัน บริบทระดับพระราชวงศ์คือการบอกว่ามีต้นวงศ์เชื้อสายจีน ทำให้วาทกรรมไทยจีนเป็นพี่น้องกันแข็งแรงขึ้น แต่เรื่องนี้ก็สอดคล้องกับข้อมูลว่าขุนนางที่รับราชการช่วงต้นกรุงเทพฯ ก็มีคนเชื้อสายจีนจำนวนมาก เอาละ ถ้าคิดว่าวาทกรรมนี้มีพื้นฐานความเป็นจริงส่วนหนึ่ง ถ้ามองตั้งแต่ช่วงสงครามเย็นเป็นต้นมาจะพบว่ามันเคยหายไปช่วงหนึ่ง คือต้นคริสต์ทศวรรษ ๑๙๕๐ สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีความพยายามเปิดหน้าต่างเล็ก ๆ ทางการทูตเพื่อติดต่อกับจีน แต่ก็ต้องหยุดหลังจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีอำนาจ เพราะไทยเลือกอยู่ค่ายโลกเสรี จนกลางคริสต์ทศวรรษ ๑๙๗๐ เมื่อเวียดนามใต้แพ้ เวียดนามเหนือบุกเข้ามาในกัมพูชาเพื่อโค่นเขมรแดง ไทยที่กังวลเรื่องชายแดนก็เริ่มติดต่อกับจีน มองจีนเป็นที่พึ่งด้านความมั่นคง ขณะที่อเมริกาถอนตัวจากเวียดนามเป็นสิบปีแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับมา
ในทางรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศมีการวิเคราะห์ว่า ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่สามารถพึ่งสหรัฐฯ ด้านความมั่นคงได้อีกต่อไป ศูนย์กลางใหม่ที่มีศักยภาพคือจีน ดังนั้นวาทกรรมพี่น้องก็ถูกหยิบมาใช้อีกในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ ๑๙๗๐ ในทางปฏิบัติจีนเวลานั้นก็มีส่วนช่วยไทยเรื่องหนุนหลังเขมรแดงที่โดนตีถอยมาอยู่บริเวณชายแดน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่วาทกรรมนี้จะช่วยให้ไทยดำเนินความสัมพันธ์กับจีนได้ดีขึ้น แต่การไม่ได้ถูกอ้างถึงในห้วงเวลาหนึ่งอาจบ่งบอกถึงการที่มันยังไม่ได้มีส่วนสำคัญต่อจิตสำนึกของชนชั้นนำไทยอย่างจริงจัง
เรื่องกล่าวอ้าง “เสื่อผืนหมอนใบ” ก็เป็นเรื่องต่อเนื่องกัน ต้องไม่ลืมว่าผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจในสยามส่วนมากกระจุกตัวอยู่ในชุมชนคนไทยเชื้อสายจีนขนาดใหญ่ วาทกรรมเรื่องไทยจีนพี่น้องกันก็ย่อมจุดติด ซึ่งแน่ละมันปรากฏในกรุงเทพฯ ศูนย์กลางการเมืองและเศรษฐกิจ ตามหัวเมืองใหญ่ที่มีชุมชนจีนหนาแน่น แต่ถ้าพูดเรื่องนี้ในเชียงใหม่ หัวเมืองอีสาน อาจไม่มีพลังเท่า เรื่องนี้แสดงถึงความพยายามของผู้ใช้ที่บอกว่าเขาฝ่าฟันอุปสรรคในสังคมไทยเติบโตขึ้นมาได้ แต่ต้องไม่ลืมว่าบางครั้งไม่ใช่เรื่องจริงเสียทั้งหมด ไม่ได้เป็นภาพตัวแทนคนจีนในไทยทุกกลุ่ม เจ้าสัวบางคนก็มีเชื้อสายฮกเกี้ยนสืบมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา มีฐานะดีทางการเมืองและเศรษฐกิจอยู่แล้ว ไม่ได้สร้างตัวเองแบบเสื่อผืนหมอนใบ คนที่สร้างตัวเองแบบนั้นก็มีจริงคือมาเป็นกุลี (กรรมกร) ในช่วงยุคต้นกรุงเทพฯ แต่สักกี่คนในจำนวนนับล้านที่อพยพมาเมืองไทยแล้วประสบความสำเร็จ อีกอย่างการมีเรื่องเล่าแบบนี้จะทำให้เขาได้รับการยกย่องในวงการธุรกิจในเรื่องการมีความเพียรพยายาม อุตสาหะ อดทน
ทั้งหมดนี้ผมคิดว่าอยู่ในกระบวนการสร้างวาทกรรมเพื่อใช้ในการดำเนินความสัมพันธ์ไทย-จีน ไล่ตั้งแต่ระดับพระราชวงศ์ นักการเมือง นักธุรกิจ ที่ไทยพยายามจะเข้าถึงผลประโยชน์หลังจากจีนเปิดประเทศและผงาดในเศรษฐกิจโลก ในการเยือนของผู้นำระดับสูงเราจะเห็นบ่อยครั้งว่ามีขึ้นเพื่อตอกย้ำความสัมพันธ์พิเศษกับจีนที่เป็นมหาอำนาจใหม่ในเอเชีย
ถ้าจะดำเนินความสัมพันธ์แบบนี้ ใครคือพี่ ใครคือน้อง
ไทยคงสมมุติตัวเองว่าเป็นน้อง เพราะอยากได้ผลประโยชน์จาก “พี่จีน” แต่ก็น่าคิดว่าช่วงปลายสงครามเย็นที่กลับมาเปิดความสัมพันธ์กันใหม่ ผู้นำจีนก็ไม่ได้ตอบสนองวลีนี้ มีการเจรจาโดยใช้ประโยคทำนองว่า ไทยเป็น “มิตรประเทศ” ที่มีความสัมพันธ์อันดี มีประวัติศาสตร์บางอย่างร่วมกัน จะเห็นว่าผู้นำจีนนิยามความสัมพันธ์ลักษณะรัฐสมัยใหม่ ไม่มีความเป็นพี่น้อง
เราเริ่มเห็นจีนเอาแนวคิด “พี่น้อง” มาใช้ติดต่อกับไทยตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ ๒๐๐๐ เป็นต้นมา เห็นได้จากที่นายกฯ จูหรงจี ใช้สนทนากับนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร กราบบังคมทูลฯ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่นเป็นตอนที่จีนเริ่มมีอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมือง อาจมองว่าเมื่อไทยพยายามใช้วาทกรรมนี้มาตลอดเขาก็จะใช้บ้าง จะได้เป็น “พี่” จริง ๆ เสียเลย (หัวเราะ) เขาก็ได้ประโยชน์จากการสร้างเครือข่ายและอิทธิพลในภูมิภาคด้วย ดังนั้นในปัจจุบันเราจึงเห็นจีนใช้วาทกรรมนี้อย่างเต็มที่
มีผลดีผลเสียอย่างไร ถ้าทั้งสองฝ่ายสมาทานวาทกรรมนี้แล้ว
การอ้างความเป็นพี่น้องใน “สังคมเอเชีย” มีผลต่อจิตสำนึก ใครคือพี่ ใครคือน้อง ตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ประเทศไทยกับจีนมีขนาดแตกต่างกัน เลี่ยงไม่ได้ที่จะส่งผลให้ไทยมีจิตใต้สำนึกลึก ๆ ว่าเป็นน้องเพราะเล็กกว่ามาก
ที่ผ่านมานโยบายหลายอย่างของไทยเอื้อต่อจีน เกรงใจจีน ไม่ยอมปฏิเสธสิ่งที่เราไม่อยากทำ มองว่าบางเรื่องแม้มีผลเสียต่อเราแต่ก็อาจเล็กน้อย ไทยก็ยอมทำเพราะเป็นน้อง การคิดแบบนี้ยังทำให้ไทยมองจีนเป็นที่พึ่งพิงในหลายบริบท เช่น ช่วงที่ไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจปลายคริสต์ทศวรรษ ๑๙๙๐ ต้องการฟื้นฟูเศรษฐกิจ การพึ่งพิงยิ่งเห็นได้ชัดตั้งแต่ช่วงเกิดรัฐประหาร ๒๕๔๙ เป็นต้นมา จะเหมือนมีพี่จีนมาช่วยและป้องกันจากพวกชาติตะวันตกที่วิจารณ์รัฐบาลทหาร จีนเองก็สวมบทบาทดูแลน้องไปด้วย
เวลาอ่านประวัติศาสตร์จะพบว่าช่วงสงครามเย็นไทยเคยรับรอง “สาธารณรัฐจีน” (ไต้หวัน)
ไม่มีความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ ซ้ำร้ายยังมองเป็นภัยคุกคาม เรื่องนี้ชนชั้นนำแกล้งลืมหรือไม่
ชนชั้นนำไทยน่าจะไม่ลืม แต่ประชาชนทั่วไปมักไม่ค่อยทราบว่าประมาณ ๒๐ ปีหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติลง คือระหว่าง ค.ศ. ๑๙๔๕-๑๙๗๑ ไต้หวันโดนขับออกจากองค์การสหประชาชาติ ไทยเคยรับรองสาธารณรัฐจีนที่เกาะไต้หวัน ก็เป็นไปตามบริบทโลกในเวลานั้น เพราะไทยอยู่ค่ายโลกเสรี กังวลภัยคอมมิวนิสต์ ก็ทำตามความต้องการมหาอำนาจคือสหรัฐอเมริกา แม้สมัยจอมพล ป. จะพยายามติดต่อกับจีนแผ่นดินใหญ่ก็ตาม แต่การเมืองระหว่างประเทศมีพลังครอบงำมากกว่า สุดท้ายไทยก็ไม่ติดต่อจีนแผ่นดินใหญ่
ยิ่งในช่วงที่จีนปฏิวัติวัฒนธรรม ส่งออกการปฏิวัติ สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยก็ยิ่งระแวงจีน บริบทเช่นนี้ชนชั้นนำไทยให้ความสำคัญกับไต้หวันในฐานะสมาชิกโลกเสรี แม้แต่ระดับพระราชวงศ์ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ก็เสด็จฯ เยือนไต้หวันใน ค.ศ. ๑๙๖๓ แต่ไม่น่ามีการใช้วาทกรรมว่าจีน (ไต้หวัน) กับไทยเป็นพี่น้องกันเหมือนช่วงเปิดความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ระยะหลัง
มีคำกล่าวว่าไทยใช้นโยบาย “ไผ่ลู่ลม” มาตลอด ในกรณีกับจีนแผ่นดินใหญ่ ถือว่าทำได้ดีหรือไม่
คำว่า “ไผ่ลู่ลม” เสมือนมีการประเมินสถานการณ์โลกและสิ่งแวดล้อมภายนอกว่าทำอย่างไรจะไม่เสียประโยชน์เกินไปในการตัดสินใจเชิงนโยบาย การดำเนินการทางการเมืองระหว่างประเทศ ดังนั้นเรื่อง “ผลประโยชน์แห่งชาติ” ต้องคำนวณให้ดี
ในยุคสงครามเย็นก็อาจถือว่าไทยใช้นโยบาย “ไผ่ลู่ลม” ได้ดี เพราะในคริสต์ทศวรรษ ๑๙๕๐ ไทยเล็กมาก ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศน้อยกว่าฟิลิปปินส์ด้วยซ้ำ ไม่มีทางเลือกมากนักท่ามกลางการแข่งขันของมหาอำนาจ ในบริบทนั้นไทยก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจีนจะเอาอย่างไรกับประเทศแถบนี้ ถ้าเกิดรบกับไต้หวันจีนชนะมีอำนาจขึ้นมาจะทำอย่างไร ดังนั้นแอบเปิดช่องทางติดต่อเล็ก ๆ ไว้ก็อาจเป็นทางเลือก แต่ก็ไม่กระโจนหาจีนมากไป อีกด้านหนึ่งก็ตามสหรัฐฯ
ถ้าดูความขัดแย้งในภูมิภาคและการเมืองภายในการตามสหรัฐฯ ในช่วงสงครามเย็นอาจเป็นประโยชน์ อย่างน้อยก็สำหรับชนชั้นนำ แต่ถ้าคิดว่าในที่สุดนำมาสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ สงครามของสหรัฐฯ ในเวียดนามทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว ในท้ายสงครามเย็นที่ได้พูดมาก่อนหน้าก็ลู่กลับมาหาจีน อาจมองว่าเป็นการลู่ลมที่ได้ประโยชน์โดยรวมได้เหมือนกัน
อาจารย์มองสถานะความสัมพันธ์ไทยกับจีนในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร
ยุคนี้ไทยมีอำนาจต่อรองกับจีนน้อย ถ้าเทียบกับยุคสงครามเย็นที่ไทยเป็นตัวกลางส่งต่ออาวุธจากจีนให้กองทัพเขมรแดงเพื่อต่อต้านรัฐบาล เฮงสัมริน เป็นตัว เชื่อมโยงให้จีนเจรจากับชาติต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ขณะนั้นหลายประเทศไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนอย่างแน่นแฟ้น แม้ตอนนั้นไทยไม่ใช่มหาอำนาจ แต่มีความสามารถเจรจาต่อรอง จีนก็ไม่ได้เข้มแข็งทางเศรษฐกิจมาก ทำให้เวลานั้นจีนให้เครดิตไทย ไทยมีน้ำหนักพอที่จีนจะฟัง
พอเข้าสู่คริสต์ทศวรรษ ๑๙๙๐ สงครามเย็นยุติ เศรษฐกิจไทยยังพอไปได้ ถึงแม้จะเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง จีนก็ยังมองไทยว่าเป็นตัวแสดงสำคัญในภูมิภาค
แต่หลังไทยเกิดรัฐประหารหลายครั้ง การเมืองไม่แน่นอน เศรษฐกิจอ่อนแอ ประเทศอื่นมีศักยภาพมากขึ้น จีนเองก็มีอำนาจทางเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศมากขึ้น บริบทใหม่แบบนี้จีนมองว่าไทยเป็นที่พึ่งอะไรไม่ได้มาก ถึงตอนนี้เราก็แทบจะไม่มีอำนาจต่อรองทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองกับจีนแล้ว
ผมกังวลว่าเราไม่มีหลักยึดในการดำเนินความสัมพันธ์กับจีน เราอาจปล่อยไปแบบบินอัตโนมัติ (auto pilot) แถมมีวาทกรรมกำกับว่าตัวเองเป็นน้อง นำมาซึ่งการเอื้อประโยชน์ ปฏิเสธเขาไม่ได้หลายเรื่องเพราะกลัวพี่ว่าแบบนี้อาจทำให้การลู่ลมกับจีนเป็นการลู่แบบ “ไม้ไผ่ขาดสารอาหาร” ไทยกลายเป็นไผ่อ่อนปวกเปียก รากไม่แข็งแรง ลมพัดไปมา พอจะกลับไปตั้งสง่าท่ามกลางกระแสลมแปรปรวนก็ทำได้ยาก
ในภาพใหญ่ การก้าวสู่สถานะมหาอำนาจของจีนถือเป็นความสำเร็จในแง่ของการทดลองของระบอบคอมมิวนิสต์ที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดหรือไม่
ถ้าประเมินจากข้อมูลในระยะ ๓๐ ปี คือจาก ค.ศ. ๑๙๔๙ จีนประสบความสำเร็จมาก จีนออกจากภาวะสงครามกลางเมือง ต้องฟื้นฟูประเทศ ต่อมาต้องรับความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตตลอดคริสต์ทศวรรษ ๑๙๕๐ แล้วก็ไม่ลงรอยกับโซเวียตในคริสต์ทศวรรษ ๑๙๖๐ ช่วงนั้นจีนค่อนข้างย่ำแย่ จนเริ่มใช้ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด มีปฏิสัมพันธ์กับประเทศอื่น จีนก็ได้ประโยชน์ กลายเป็นผู้นำในระดับภูมิภาค ประเมินแบบนี้ก็ถือว่าจีนประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจสูง สิ่งนี้ปฏิเสธไม่ได้
ค่านิยมเกี่ยวกับระบบการเมืองการปกครองของโลกเดิมคือ ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ภายใต้การนำของอเมริกา เมื่อจีนก้าวขึ้นมาภายใต้ระบบอำนาจนิยมจะส่งผลร้ายหรือไม่ เคยมีบทวิเคราะห์ว่าอเมริกาพลาดตั้งแต่ปล่อยให้คอมมิวนิสต์ยึดจีนแผ่นดินใหญ่ได้ใน ค.ศ. ๑๙๔๙ และทำให้จีนมาได้จนถึงจุดนี้
วิธีมองแบบนั้นน่าจะเป็นมุมมองจากผู้กำหนดนโยบายอเมริกาในคริสต์ทศวรรษ ๑๙๗๐ คือเชื่อว่าการทำให้เกิดความเป็นสมัยใหม่ (modernization) การพัฒนาเศรษฐกิจ
จะทำให้ชนชั้นกลางมีมากขึ้น เมื่อไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง ความต้องการเสรีภาพทางการเมืองก็จะตามมา ปรากฏการณ์นี้เกิดในเกาหลีใต้ใน ค.ศ. ๑๙๘๘ เกิดในไต้หวัน ค.ศ. ๑๙๘๗ ส่วนในมาเลเซีย สิงคโปร์ ก็ผ่อนคลายเสรีภาพทางการเมืองมากขึ้น แต่กรณีจีนปรากฏการณ์นี้ไม่เกิดขึ้นจริงจัง จริง ๆ เพียงแต่เกือบจะเกิด เห็นได้จากเหตุการณ์ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินใน ค.ศ. ๑๙๘๙ ยังมีอีกครั้งในยุคประธานาธิบดี หูจิ่นเทา ที่คลายกฎต่าง ๆ ดึงภาคประชาสังคมมาสนับสนุน เพราะหูไม่มีอำนาจในพรรคเท่ากับผู้นำรุ่นก่อน ๆ แต่มีผลสะท้อนกลับเกิดขึ้น คนในพรรคคอมมิวนิสต์มองว่ามันจะทำลายพรรค เกิดการแบ่งกลุ่ม แบ่งขั้วทางการเมืองและนำไปสู่ปัญหาคอร์รัปชัน พรรคคุมไม่ได้ เมื่อ สีจิ้นผิง มีอำนาจก็เริ่มกระชับอำนาจกำจัดกลุ่มการเมืองต่าง ๆ แก้รัฐธรรมนูญให้ตนเองเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ ๓ ได้
ถึงจุดนี้พูดยาก เมื่อจีนเป็นมหาอำนาจอาจจะอันตรายในแง่ว่าไม่ได้สนับสนุนคุณค่าประชาธิปไตยเสรีนิยมแบบตะวันตก เพราะจีนยึดถือเรื่องไม่แทรกแซงกิจการภายใน ต่างจากความช่วยเหลือจากตะวันตกที่มักมีเงื่อนไข
อย่างไรก็ตามเรายังไม่สามารถทำนายได้แน่ชัดว่าโลกจะเป็นอย่างไรภายใต้การนำของจีน เมื่อก่อนโลกมีตัวเทียบคือสหรัฐฯ แต่ตอนนี้ถ้าดูในยุคประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็เละและทำนายไม่ได้เหมือนกัน (หัวเราะ)
กรณีอเมริกาเราอาจมองว่าผันผวน มองในแง่ดีคืออย่างน้อยระบบแบบสหรัฐฯ เลือกตั้งทุก ๔ ปี บังคับให้ผู้นำต้องปรับตัว เราอาจเห็นสหรัฐฯ กลับมาเป็นแบบเดิมใน ๔ ปีข้างหน้า แต่ในระบบจีนเราไม่เห็นการเลือกตั้งแบบเสรี ผู้กุมอำนาจสูงสุดยังเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งคาดเดาไม่ได้ว่าผู้นำในอนาคตจะมีนโยบายแบบใด เขาอาจใช้เครื่องมือทางทหารแก้ปัญหา เช่น สร้างกระแสชาตินิยมเพื่อสนับสนุนรัฐบาล กระแสนี้อาจรุนแรงจนไปถึงระดับการใช้กำลังทหารอย่างกรณีไต้หวัน
ดูเหมือนไทยทิ้งไต้หวันแล้วหันไปหาจีน เมื่อไต้หวันถูกขับออกจากองค์การสหประชาชาติ ในวันที่ ๒๖ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๗๑
เพื่อความเป็นธรรม จะบอกว่าไทยทิ้งไต้หวันวิ่งไปหาจีนแผ่นดินใหญ่ประเทศเดียวก็ไม่ได้ ไทยเปิดความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ช้ากว่าหลายประเทศด้วยซ้ำ มีประเทศที่เปิดความสัมพันธ์กับจีนก่อนเราหลายประเทศ เช่น อังกฤษ (ค.ศ. ๑๙๗๒), ญี่ปุ่น (ค.ศ. ๑๙๗๒), มาเลเซีย (ค.ศ. ๑๙๗๔) หรือแม้แต่ฝรั่งเศส (ค.ศ. ๑๙๖๔) ซึ่งเป็นยุโรปตะวันตกชาติแรกที่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน
ไทยมีความพยายามก่อนหน้าในช่วงท้ายของสงครามเวียดนามที่เห็นบริบทโลกเปลี่ยนแปลง ต้องเริ่มปรับนโยบายต่อจีน ส่วนอเมริกากับจีนแม้ว่าจะติดต่อเจรจากันตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๗๑ แต่ก็สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตใน ค.ศ. ๑๙๗๙ ตอนที่ไทยจะเปิดความสัมพันธ์ก็ต้องคิดเยอะมาก เพราะในประเทศมีฝ่ายอนุรักษนิยมที่ยังกลัวภัยคอมมิวนิสต์ ทำให้การเปิดความสัมพันธ์นั้นล่าช้า
สรุปคือทุกคนทิ้งไต้หวัน
กรณีจีนกับไต้หวันดูเหมือนจะทำให้หลายองค์กรในไทยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แม้ไทยจะยอมรับนโยบาย “จีนเดียว” (One China Policy) แต่ก็มีความสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการกับไต้หวันในแง่เศรษฐกิจ หลายครั้งทั้งจีนและไต้หวันก็เคลื่อนไหวผ่านการสร้างสายสัมพันธ์กับองค์กรในไทย
จากประสบการณ์ส่วนตัวของผม ทางไต้หวันอยากร่วมมือในกิจกรรมด้านการศึกษามากขึ้น แม้ว่าเราไม่มีข้อขัดข้อง แต่บริบทแบบในปัจจุบันทำให้ต้องคิดให้ละเอียด
ในแง่หนึ่งต้องยอมรับว่าไต้หวันใช้กิจกรรมแบบนี้เป็นเครื่องมือสร้างการรับรู้การมีอยู่ของตนเองในต่างประเทศ ซึ่งเข้าใจได้ ในแง่หลักการ วิธีการ งานด้านการศึกษาควรเปิดกว้างเรื่องการแปลกเปลี่ยน แต่ในบริบทการเมืองระหว่างประเทศที่ไต้หวันก็อยากแสดงตนว่าเป็นประเทศเอกราช มันมีนัย มุ่งหวังว่ากิจกรรมที่ไม่ใช่การเมืองแบบนี้จะนำไปสู่การยอมรับสถานะของไต้หวันมากขึ้นในสังคมนานาชาติ ดังนั้นทำให้กิจกรรมทางวิชาการขยับใกล้เรื่องการเมืองระหว่างประเทศมากขึ้น
ในแง่หลักการจีนเดียว จริง ๆ เรื่องนี้ทำได้เพราะไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากขึ้นต่อทางการจีน เคยมีตัวอย่างว่ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในอังกฤษยอมจัดกิจกรรมทางการศึกษากับหน่วยงานของรัฐบาลไต้หวันที่ต้องการตั้ง Taiwan Studies Center แต่เขาเลี่ยงเปลี่ยนไปใช้ชื่อ Indo-Pacif ic Studies Centre แทน และมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนทางวิชาการในเรื่องความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบไต้หวัน เพราะเกรงว่าจะมีแรงกดดันจากรัฐบาลจีนมาที่มหาวิทยาลัย เป็นต้น
ในส่วนขององค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนจีนที่มาติดต่อกับหน่วยงานต่าง ๆ ของไทย จีนทำมาตลอดและประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งในไทยและหลายประเทศ แต่สิ่งที่คนไทยต้องตื่นรู้คือนี่คือส่วนหนึ่งของกระบวนการทางการทูตสาธารณะที่ทำโดยรัฐบาลจีน เช่น สนับสนุนการเรียน การสอนภาษาจีนผ่านสถาบันขงจื๊อ ตรงนี้ฟังดูเหมือนจะไม่ใช่การเมือง แต่บทเรียนก็นำเรื่องเล่าและวาทกรรมรัฐบาลกลางของจีนมาด้วย เราเรียนภาษากับเขาก็เป็นเรื่องดี สร้างทักษะในการติดต่อ แต่ก็ต้องรู้ว่าเรื่องพวกนี้ มีองค์ประกอบทางการเมืองด้วย
ปัญหาคือคนไทยมักจะไม่ทันหรือไม่ค่อยคิดเรื่องนี้และอาจกลายเป็นเครื่องมือสนับสนุนรัฐบาลจีนโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นไม่ว่าจะติดต่อกับไต้หวันหรือจีน ต้องพิจารณาให้ได้ว่ากิจกรรมเหล่านั้นมีนัยอะไรแฝงอยู่
มองแรงกดดันจากจีนว่าชอบธรรมหรือไม่
จีนมีความชอบธรรมที่จะทำอย่างนั้น เขาถือว่าไทยยอมรับเรื่องจีนเดียว จีนเองก็มีอำนาจและมีขนาดใหญ่ ไต้หวันไม่มีความชอบธรรมบนเวทีการเมืองระหว่างประเทศอย่างสมบูรณ์ เรื่องนี้ยากมากในทางการเมืองระหว่างประเทศ
ลองคิดดูว่าหากรัฐบาลพลัดถิ่นทิเบตมาขอตั้งหลักสูตรทิเบตศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของไทย เราจะทำหรือไม่ ทำก็วุ่นวายแน่เพราะโดนจีนกดดัน ไทยอาจต้องเลือก ในกรณีไต้หวันเข้าใจว่าเขาอยากจะได้รับการยอมรับ แต่ไทยก็ต้องดูผลประโยชน์ของชาติ ต้องคำนวณให้ดี
ส่วนเรื่องคุณค่าด้านประชาธิปไตยเป็นอีกส่วน ในแง่หลักการเราอาจสนับสนุนการพัฒนาประชาธิปไตยในไต้หวันได้ แต่การเมืองในประเทศของเราเองจริง ๆ ก็ไม่ได้ยึดถือคุณค่านี้เป็นหลัก ไม่ต้องพูดถึงสิทธิมนุษยชนที่เรายังส่งชาวอุยกูร์กลับไปให้จีน มีการอุ้มหายคนในประเทศ ผู้นำของไทยไม่ได้คิดปกป้องประชาธิปไตยมากขนาดนั้น ถ้าเป็นสหรัฐฯ ในยุคก่อนรัฐบาลทรัมป์ สหรัฐฯ จะอ้างคุณค่านี้ได้มากกว่า แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่แล้ว ไทยเองก็แค่ประเทศเล็ก ๆ ไม่ได้มีพลังต่อรองมากมาย ดังนั้นไม่แปลกที่จะไม่มีใครออกมาสนับสนุนการพัฒนาประชาธิปไตยของไต้หวัน
ไทยควรวางตัวอย่างไรหากจีนบุกเกาะไต้หวัน
เรื่องนี้พูดยาก ดีที่สุดรัฐบาลไทยต้องยึดกฎหมายระหว่างประเทศที่ไม่ยอมรับการใช้กำลังแก้ปัญหา
ใช่ครับ จีนอาจอ้างว่ากรณีไต้หวันนั้นเป็นกิจการภายในของจีน แต่เรื่องนี้ก็ต้องยืนยันไปว่าการทำสงครามกับไต้หวันนั้นส่งผลกระทบทั้งภูมิภาค ไทยอาจทำอะไรไม่ได้มากนอกจากร่วมมือกับนานาชาติและในภูมิภาคเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาอย่างสันติ
สมัยที่เกาหลีเหนือบุกเกาหลีใต้ใน ค.ศ. ๑๙๕๐ ไทยประกาศตัวอยู่ฝ่ายโลกเสรี ส่งทหารไปช่วยเกาหลีใต้รบ เราจะได้เห็นแบบนั้นอีกหรือไม่
ในวันแรกที่ไต้หวันโดนบุก
ไม่น่าจะเกิดขึ้น ผมมองว่ารัฐบาลไทยคงไม่ทำแบบนั้น สถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศตอนนี้ต่างจาก ค.ศ. ๑๙๕๐ มาก
ยุคนั้นจีนเพิ่งผ่านสงครามกลางเมืองหมาด ๆ อเมริกาคือมหาอำนาจชาติเดียวของโลก แต่ยุคนี้ไทยรับรองสถานะจีนแผ่นดินใหญ่ ถ้าทำแบบสมัยสงครามเกาหลีก็มีแต่สร้างศัตรู เราอาจโดนจีนบุกก็ได้ (หัวเราะ) ไทยจะยกมือค้านในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติกรณีจีนบุกไหวไหม ผมมองว่าทำได้ตราบใดที่ไม่ได้เป็นการประณามจีน แต่เป็นการเรียกร้องให้เจรจา หากเป็นการประณามผมว่ามากที่สุดที่ไทยจะทำคืองดออกเสียง
เรื่องคุณค่าประชาธิปไตยก็อ้างได้ยากในเวทีระหว่างประเทศ ฝ่ายค้านในปัจจุบันอาจเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาค้านจีน แต่ผมเชื่อว่าถ้าเขาพลิกกลับมาเป็นรัฐบาล เขาก็จะเจอปัญหาเหมือนกับรัฐบาลไทยที่อยู่ในอำนาจชุดก่อนเขา
อาจมีฝ่ายที่มองว่าไทยควรสนับสนุนไต้หวันที่เป็นประชาธิปไตย ช่วงหนึ่งเรายังเห็นขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชนในไทย ฮ่องกง ไต้หวัน จับมือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเรียกว่า “พันธมิตรชานม” (Milk Tea Alliance) ด้วยซ้ำ
ในแง่ของ Realpolitik ถามว่าไต้หวันมีความสำคัญกับไทยขนาดไหน ไต้หวันเล็กกว่าจีนมาก ตลาดของจีนก็ใหญ่กว่ามาก ไต้หวันอาจสำคัญในแง่ของฐานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ แต่ถ้าเทียบกับการที่เราตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับจีน มันอาจแย่กว่ามาก
ในแง่คุณค่าประชาธิปไตย เราต้องดูว่าแต่ละกลุ่มการเมืองในไทยคิดอย่างไร กรณีผู้นำไทยผมมองว่าพวกเขาไม่ได้คิดถึงไต้หวันในแง่นี้ ชนชั้นนำไทยเองก็ไม่ได้ยึดถือประชาธิปไตยเป็นค่านิยมหลัก ไฉนเลยจะให้ค่ากับไต้หวันในเรื่องนี้ ประเด็นเรื่องไต้หวันที่น่ากลัวกว่าจีนคือประธานาธิบดีทรัมป์จะมีนโยบายแบบไหนกับไต้หวัน วิเคราะห์กันว่าทรัมป์อาจใช้ไต้หวันต่อรองกับจีนเรื่องการค้า ถ้าจีนยอมต่อรองด้วย อเมริกาก็อาจจะคลายนโยบายเรื่องไต้หวัน แต่ถ้าจีนไม่ยอมก็อาจปกป้องไต้หวัน ทางจีนก็มียุทธศาสตร์ว่าต้องรวมไต้หวัน ที่ผ่านมาก็เลี่ยงการใช้กำลังเพราะประเมินว่าจะโดนนานาชาติกดดัน คนไต้หวันก็คงลุกขึ้นสู้ แต่อย่าลืมว่าสถานการณ์ตอนนี้ถ้าไต้หวันมองว่าพึ่งอเมริกายากก็อาจจะยอมโอนอ่อนกับจีนมากขึ้น
การเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบล่าสุดของไต้หวันใน ค.ศ. ๒๐๒๔ ที่ ไล่ชิงเต๋อ ขึ้นเป็นประธานาธิบดี แม้มาจากพรรคที่มีนโยบายในทางแยกตัวเป็นเอกราช แต่ผลด้านกลับก็คือคนไต้หวันจำนวนมากไม่ได้รู้สึกว่าอยากแยกตัวจากจีนอย่างเป็นทางการ ต่างจากช่วงที่อดีตประธานาธิบดีหญิงของไต้หวันคือ ไช่อิงเหวิน ยังดำรงตำแหน่ง ในมุมคนไต้หวันอาจมองว่าต้านจีนยากถ้าอเมริกาไม่ช่วย ยังมีการทำโพลอีกชิ้นหนึ่งถามคนหนุ่มสาวไต้หวันว่าพร้อมสู้กับจีนหรือไม่ ปรากฏว่ามีไม่ถึงร้อยละ ๒๐ ที่บอกว่าจะสู้ ก็ต้องเข้าใจว่าคนไต้หวันรุ่นปัจจุบันก็เติบโตมาในสภาพที่กดดันทางเศรษฐกิจและสังคม
มองในมุมการทูต ไต้หวันสูญเสียสถานะบนเวทีโลกไปเรื่อย ๆ ประเทศที่ยังรับรองก็เหลือแต่ประเทศเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถปกป้องไต้หวันได้ หลายคนอาจคิดว่าในความเป็นจริงไต้หวันก็ไม่สามารถประกาศเอกราชได้ ทำได้มากที่สุดก็พยุงรักษาสถานะปัจจุบันต่อไป
เมื่อจีนเป็นมหาอำนาจ สร้างอิทธิพลทางเศรษฐกิจ ช่วยเหลือประเทศต่าง ๆ ด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative - BRI) ซึ่งต่อมามีปัญหาหลายอย่าง ทั้งประเทศผู้กู้ใช้หนี้ไม่ได้ คุณภาพการก่อสร้าง ฯลฯ ยังรวมถึงสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็น soft power อย่างความร่วมมือทางการศึกษา อาจารย์มองปัญหานี้อย่างไร ไทยควรรับมืออย่างไร
ในแง่ความร่วมมือและการสนับสนุนด้านการศึกษาของจีน ต้องยอมรับว่าในแง่หนึ่งมีประโยชน์ “สถาบันขงจื๊อ” เข้ามาสอนภาษาก็เพิ่มทักษะให้คนไทยในโลกที่จีนมีอำนาจทางเศรษฐกิจมากขึ้น การสร้างโครงสร้างพื้นฐานก็มีประโยชน์ ปัจจุบันความช่วยเหลือเรื่องนี้จากประเทศที่พัฒนาแล้วมายังประเทศกำลังพัฒนายังมีช่องว่างอีกเยอะที่จีนเข้ามาเติมได้
แต่กระบวนการที่ประเทศโลกที่ ๓ รับความช่วยเหลือจากจีนก็มีคำถามว่าโปร่งใสแค่ไหน ทุนจีนที่เข้าไปลงทุน สนับสนุนกลุ่มการเมืองบางกลุ่มในประเทศนั้น ๆ อาจเป็นส่วนหนึ่ง แต่จะโทษทุนจีนอย่างเดียวก็ไม่ได้ โดยส่วนตัวผมมองว่าการลงทุนของจีนหลายกรณีทางการจีนไม่ได้ถึงกับตั้งใจจะให้เกิดคอร์รัปชัน แต่เกิดจากการเมืองภายในของประเทศผู้กู้เสียเยอะ เช่น ท่าเรือในประเทศศรีลังกาที่ล้มละลาย เกิดจากตระกูลราชปักษาของอดีตประธานาธิบดีที่หาเสียงว่าจะสร้างความเจริญ พยายามหาเงินทุนจากนอกประเทศ แหล่งทุนในโลกตะวันตกปฏิเสธเพราะมองว่าทำกำไรยาก ศรีลังกาเลยกู้โดยยอมจ่ายดอกเบี้ยสูง พอไม่มีกำไรก็ต้องยืมเงินจีน จีนเองก็ให้เพราะในแง่ยุทธศาสตร์ก็จะช่วยให้ขยายอิทธิพลได้มากขึ้น อีกกรณีคือ BRI ในมาเลเซีย โครงการสร้างรถไฟความเร็วสูงบริเวณแนวชายฝั่งด้านตะวันออก แต่รัฐบาลของ นาจิบ ราซัก ก็มีการคอร์รัปชันสูง มีระบบอุปถัมภ์ใหญ่มาก การตรวจสอบไม่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการเข้ามาเกี่ยวข้องของชนชั้นนำในรัฐยะโฮร์ที่ต้องการดึงการลงทุนจากจีน ถ้าจีนจะผิดก็คือการไม่กำหนดเงื่อนไขในการลงทุน บอกว่าตนเองเป็นแหล่งทุนทางเลือก ไม่สนใจการเมืองภายใน ตราบใดที่ผู้กู้บริหารโครงการได้เขาก็ไม่ยุ่ง ต่างกับธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ที่จะวางเงื่อนไขมากมาย ประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศเลยเลือกที่จะไปกู้จากจีน มองว่าเป็นแหล่งเงินกู้เพื่อการพัฒนาทางเลือก
ตอนจีนเริ่มโครงการ BRI เป็นความพยายามแก้ปัญหาเศรษฐกิจภายในที่เริ่มถึงทางตัน รูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจจีนในระยะแรกคือพยายามกระตุ้นอุปทาน (supply) ก่อน เพื่อทำให้เกิดอุปสงค์ (demand) จีนมุ่งการผลิตของออกมาเลย รวมถึงการลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ อย่างอสังหาริมทรัพย์ ถนน ทางรถไฟ จีนทำได้รวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงหลังจีนต้องการพัฒนาด้านตะวันตกของประเทศ เพราะชายฝั่งทางตะวันออกมีการพัฒนาค่อนข้างสูงมาโดยตลอด รัฐบาลก็สนับสนุนบริษัทอสังหาฯ ทำโครงการสร้างตึก ที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่เยอะ ๆ ให้ประชาชนเห็นว่าเป็นทางเลือก ย้ายเข้าไปในเมืองใหม่เหล่านี้ได้ ไม่ต้องทนแออัดอยู่ในเมืองใหญ่เดิม ธุรกิจต่าง ๆ ก็ขยายหรือย้ายไปได้เพราะมีโครงสร้างรออยู่แล้ว แต่ปัญหาคือพอคนและธุรกิจเริ่มย้ายเข้าไปพบว่าก็ต้องติดต่อส่งสินค้าผ่านไปยังท่าเรือทางตะวันออกอยู่ดีก็เริ่มไม่อยากย้าย สิ่งก่อสร้างจึงถูกปล่อยร้าง ในคริสต์ทศวรรษ ๒๐๐๐ จะเห็น “เมืองผี” (ghost town) เกิดขึ้นหลายเมือง สำนักข่าว BBC เข้าไปทำสารคดีเมืองหรือ
หมู่บ้านที่สร้างโดยใช้สถาปัตยกรรมตะวันตกเป็นธีม เช่น เมืองที่มีสถาปัตยกรรมแบบอังกฤษ ฝรั่งเศส ฯลฯ แต่มีคนอยู่น้อยมาก ดังนั้นช่วงที่เขากระตุ้นอุปสงค์มันเกิดการล้นเกิน
ที่จีนอยากทำโครงการ BRI ส่วนหนึ่งคือหาทางออกติดต่อค้าขายไปทางตะวันตก ผ่านไปมณฑลซินเจียง เอกชนจีนก็อยากหาทางออกไปลงทุนนอกประเทศ เขามีเงิน ทักษะ แรงงาน ทรัพยากรอยู่แล้ว ก็ออกมาได้ผ่านการสนับสนุนจากรัฐ ดังนั้นรัฐบาลจีนอาจไม่ได้ตั้งใจขยาย soft power ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมตรง ๆ แต่นี่เป็นผลจากความต้องการแก้ปัญหาภายในของจีน เกี่ยวกับปัญหาการเอาคนจีนเข้ามาทำงานด้วย เพราะโครงการที่จะเกิดในประเทศกำลังพัฒนาหลายที่ไม่มีแรงงานที่มีทักษะพอ อีกแง่หนึ่งเอกชนจีนไม่ต้องการจัดการบริหารแรงงานท้องถิ่น
กรณีโครงการรถไฟความเร็วสูงในไทยก็มีปัญหามากเรื่องการปรับมาตรฐานการทำงานเข้าหากัน ไทยเองก็ไม่ยอม แถมพูดกันคนละภาษา เราจะเห็นว่าหลายโครงการ เอกชนจีนมา รัฐบาลจีนไม่ได้มาด้วย เขาได้สัมปทานก็ต้องการผลกำไร การตัดสินใจอาจจะเกิดขึ้นในระดับรองลงมาจากผู้บริหารเอกชนจีนเหล่านี้ ไม่ใช่ตัวรัฐโดยตรง
กรณีร้อน ๆ อย่างตึกของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มหลังแผ่นดินไหวในไทย พบว่ามีบริษัทจีนร่วมทุนก่อสร้าง รวมถึงกรณีอุปกรณ์ก่อสร้างจากเอกชนจีนอย่างเหล็กเส้นไม่ได้มาตรฐาน อาจารย์มองอย่างไร
ตอบเหมือนกรณีที่ทุนจีนไปลงทุนในต่างประเทศ คือถึงแม้รัฐบาลกลางจะสนับสนุนในหลักการ แต่การดำเนินการต้องแยกว่าเป็นบริษัทเอกชนหรือแม้แต่รัฐวิสาหกิจที่แสวงหากำไรจากการลงทุนเหมือนธุรกิจทั่วไป ดังนั้นจะกล่าวว่าเป็นความผิดของรัฐบาลจีนโดยตรงก็อาจไม่ให้ภาพที่ครอบคลุมนัก
สิ่งที่ต้องกลับมาดูก็คือ ระบบตรวจสอบ ถ่วงดุล การบังคับใช้กฎหมายภายในประเทศของเราเข้มแข็งหรือไม่ มีความสามารถในการต่อรองกับบริษัทจีนเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน ถ้าอ่อนแอก็ทำให้บริษัทเหล่านี้ต้องลดต้นทุนและกลายมาเป็นการสร้างปัญหาได้เหมือนในกรณีตึก สตง. นี้
ทฤษฎีที่ว่าจีนกำลังขยายอิทธิพลทางการเมืองด้วย อาจารย์คิดอย่างไร
การขยายอิทธิพลทางการเมืองก็เลี่ยงไม่ได้กับการผลักดันโครงการ BRI เพราะการค้าของจีนส่วนมากทำผ่านเส้นทางทางทะเล แต่ก็มีอุปสรรคมาก มีไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ พันธมิตรของสหรัฐฯ ล้อมอยู่ มีโจรสลัดในน่านน้ำโซมาเลีย ช่องแคบมะละกา จีนก็คิดว่าทำอย่างไรจะมีทางออกมากขึ้น ก็มองทางบก พม่า ปากีสถาน เอเชียกลาง หลัง ๆ ยังมองเส้นทางผ่านขั้วโลกเหนือด้วย
อย่างไรก็ตามเส้นทางทางทะเลยังสำคัญ น้ำมันยังคงขนส่งผ่านทางนี้ เรื่องพวกนี้มีส่วนในการวางยุทธศาสตร์ของจีนทั้งนั้น ดังนั้นจีนต้องสร้างอิทธิพลทางการเมืองเพื่อเอื้อต่อผลประโยชน์ของตน การลงทุน สร้าง soft power ในที่สุดก็จะเสริมสร้างน้ำหนักหรือเสียงของจีนในทางการเมือง
รัฐบาลไทยควรจัดการความสัมพันธ์กับจีนอย่างไร
ต้องกลับมาดูตัวเอง จากคำถามแรกที่คุณถามว่าไทยพยายามมีความสัมพันธ์กับจีนแบบพี่น้อง แต่บางทีจีนเขาไม่ได้คุยกับเราแบบนั้น เขาดีลกับเราแบบการเมืองในความเป็นจริง คนจีนจำนวนมากมาเที่ยวและทำงานในไทยทำให้จีนมีบทบาทในระบบเศรษฐกิจไทย กลับกันเราไม่มีภูมิคุ้มกัน การบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอ การคอร์รัปชันสูง ง่าย ๆ แค่ตัดไฟฟ้าพวกคอลเซนเตอร์ในเมืองฝั่งพม่าเรายังไม่กล้าทำ ผู้มีอำนาจของเราโยนเรื่องไปมา แสดงว่าระบบเราเองก็มีปัญหา
กรณีคอลเซนเตอร์โทษจีนฝ่ายเดียวก็ยาก รัฐบาลจีนก็ต้องจัดการผลกระทบที่เกิดกับคนของเขา ต้องแสดงอิทธิพลกับพม่า นี่คือบทบาทมหาอำนาจ แต่คำถามคือภายในของไทยจัดการกันอย่างไร เมื่อจัดการไม่ได้จีนก็เข้ามาทำเอง การที่รัฐมนตรีคนหนึ่งของจีนเข้าออกไทยเป็นว่าเล่น เขายังพูดว่าเขาอินเกินไป เลยล้ำเส้นนิดหนึ่ง แสดงว่าเขาหงุดหงิดพอควร แม้ว่าหลายคนมองว่ามันเกินความเหมาะสมทางการทูต แต่ปัญหาก็อยู่ที่ไทยเองด้วย ลองตัดจีนออกจากสมการ ไทยคือแหล่งค้ามนุษย์ แหล่งอาชญากรรม แหล่งยาเสพติดมาเนิ่นนาน ระบบมีช่องโหว่เต็มไปหมด มีกลุ่มผลประโยชน์มากมาย กฎหมายไม่ทำงานเทียบกับสิงคโปร์ที่เล็กกว่าแต่ก็อาจดูเป็นตัวอย่างได้ว่าสิงคโปร์บังคับใช้กฎหมายได้ ประเทศอื่นก็ไม่มีเหตุผลที่อ้างเพื่อจะเข้าไปยุ่งกับเขาได้
ช่วงเดือนเมษายน ค.ศ. ๒๐๒๕ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง เดินทางมาเยือนเวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย แต่ไม่แวะไทย มีนัยสำคัญอะไรหรือไม่
การไม่มาไทยส่งสัญญาณบางอย่างที่ไม่ดีนัก ทั้งที่ปีนี้ครบรอบ ๕๐ ปีความสัมพันธ์ไทย-จีน แสดงให้เห็นว่าไทยไม่ได้เป็นประเทศที่สำคัญมากกับจีนอีกต่อไป เศรษฐกิจก็ไม่ได้เติบโตจนน่าจับตามองจากนานาชาติเหมือนเวียดนาม
มองอีกทาง อาจเพราะเรามีนโยบายกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่ชัดเจนนัก ถ้าเทียบกับกัมพูชาที่สนับสนุนจีนอย่างเห็นได้ชัด ไทยเองยังไม่ได้มีบทบาทนำในภูมิภาคอย่างแข็งขันเหมือนสมัยก่อนถ้าเทียบกับมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนยุคปัจจุบัน มองในแง่ลบไทยก็ต้องเตือนตัวเองว่าต้องปรับบทบาท
แต่ถ้ามองแบบกลาง ๆ ก็อาจบอกได้ว่ามีอีกเจ็ดประเทศในอาเซียนที่ประธานาธิบดีจีนไม่ได้ไปเยือน ไม่ว่าจะประเทศใหญ่อย่างอินโดนีเซีย หรือมีพลังทางเศรษฐกิจแบบสิงคโปร์
อาจารย์มองอย่างไรกรณีไทยส่งชาวอุยกูร์กลับจีนช่วงต้น ค.ศ. ๒๐๒๕
ไทยยอมจีนมากเกินไป ไม่ยึดกฎหมายและมาตรฐานระหว่างประเทศ ที่มีคนบอกว่าไม่มีชาติไหนรับอุยกูร์ ผมมองว่าก็มีประเทศที่บอกว่าจะรับ แต่ต้องมีกระบวนการตรวจสอบ ขนาดกรณีชาวม้งอพยพยังใช้เวลานานหลายสิบปี เพิ่งส่งไปหมดเมื่อไม่นานนี้ ดังนั้นต้องใช้เวลา อ้างไม่ได้ว่าเราไม่มีทางเลือก มันมีหลักการระหว่างประเทศวางอยู่
ผมเปรียบเทียบเรื่องนี้กับสมัยรัฐบาล ชวน หลีกภัย ตอนนั้นไทยปฏิเสธแรงกดดันจากจีนในกรณีออกวีซ่าให้ทะไลลามะ ผู้นำจิตวิญญาณของทิเบตที่ลี้ภัยอยู่ในอินเดีย เขาจะมาไทยเพื่อพูดเรื่องพม่า นายกฯ ชวนบอกว่าเราให้วีซ่าตามกระบวนการปรกติ ไม่ได้ให้ในฐานะผู้นำทิเบต เรื่องที่ทะไลลามะมาพูดก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับจีนหรือกิจการภายในของไทย ไทยจึงอนุญาต จะเห็นว่าตอนนั้นเรายึดหลักเรื่องกฎระเบียบ เป็นตัวของตัวเอง แน่นอนระยะนั้นไทยยังมีอำนาจต่อรองกับจีนอยู่บ้าง ต่างจากตอนนี้ที่ไทยกลายเป็น “น้อง” จีน
การใช้วาทกรรมพี่น้องกลายเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมทางการทูต ทำให้ไทยไม่สามารถปฏิเสธคำขอของจีนได้
ในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชน เราได้เห็นปรากฏการณ์คนจีนที่มีความรู้สึกชาตินิยมสูงมาก อย่างกรณีของนักศึกษาจีนที่ไปเรียนต่อในโลกตะวันตก
หลายอย่างเป็นผลจากการเมืองภายในของจีน ไม่ต่างจากระบอบอำนาจนิยมในหลายประเทศ เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ต้องการกระชับอำนาจก็ต้องสร้าง “ความจงรักภักดี” ที่มีต่อพรรคและประเทศชาติ พรรคคอมมิวนิสต์จะอ้างความชอบธรรมจากกระบวนการนี้ การปลุกกระแสชาตินิยมในจีนมีมากขึ้น อย่างน้อยประชากรที่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่ช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ ๒๐๐๐ เป็นต้นมา ซึ่งเป็นระยะที่เศรษฐกิจจีนเติบโตและจีนมีอิทธิพลมากขึ้น ความรู้สึกชาตินิยมในหมู่คนจีนรุ่นนี้ก็สูงขึ้นด้วย เมื่อไปต่างประเทศแล้วพบกับเสียงวิจารณ์ คนจีนก็ปลดปล่อยความรู้สึกชาตินิยมออกมา ไม่ต่างจากกลุ่มการเมืองเสื้อสีของบ้านเราในช่วงหนึ่ง การเมืองภายในมีผลกับพฤติกรรมของคนจีนในต่างประเทศมาก
ยังมีประเด็นเรื่องการอ้างสิทธิของจีนในทะเลจีนใต้ที่กระทบกับหลายประเทศในอาเซียน ไทยควรวางตัวอย่างไร
ไทยต้องเรียกร้องให้จีนยึดกระบวนการเจรจากับอาเซียนเป็นสำคัญ ไม่ใช่ปล่อยให้จีนคุยกับประเทศนั้นทีประเทศนี้ที การทำแบบนั้นผลคือระดับของคู่เจรจาแตกต่างกัน เกิดความลักลั่นระหว่างประเทศในอาเซียน แต่ถ้าอาเซียนเด็ดเดี่ยวที่จะให้จีนเจรจาระดับกลุ่ม จะทำให้อาเซียนมีเอกภาพมากขึ้น ฟังดูเป็นเรื่องในอุดมคติ แต่เราต้องทำให้ประเทศสมาชิกอาเซียนเข้าใจว่าปัญหานี้มันกระทบกับหลายชาติ ชาติสมาชิกอาเซียนเองยังมีปัญหาระหว่างกันในบางส่วนของทะเลจีนใต้ด้วย ดังนั้นควรมีความสอดคล้องระหว่างกระบวนการระดับภูมิภาคกับทวิภาคี อย่างน้อยจะทำให้อาเซียนมีประโยชน์และยื้อเวลาในการเกิดความขัดแย้งได้มากกว่านี้
ในโลกที่อเมริกาลดบทบาท เกิดมหาอำนาจใหม่ระเบียบโลกเก่าตอนนี้ล่มสลายหรือยัง
ยังไม่ขนาดนั้น แต่อาจผุกร่อน (หัวเราะ) เพราะการนำของอเมริกาที่เป็นแกนของระเบียบโลกเดิมง่อนแง่นไปหมด
มีนักทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศบางคนเสนอว่า ห้วงเวลาที่อเมริกาลดการนำ มหาอำนาจระดับรองลงมา (middle power) เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย แคนาดา หรือแม้แต่อินเดีย ควรเข้ามามีบทบาทมากขึ้นและช่วยประคองสถานการณ์และระเบียบโลกให้พอที่จะเดินต่อไปได้ ถ้าแนวโน้มสหรัฐฯ ยังเป็นแบบนี้ ระเบียบโลกเดิมก็อาจพังได้ในอนาคต
เราไม่รู้ว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ รอบหน้าจะเป็นอย่างไร แต่คนที่สนับสนุนและโหวตให้ทรัมป์และพรรครีพับลิกันจำนวนหนึ่งก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าเลือกพลาด เขานึกว่าทรัมป์จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ แต่ตอนนี้คนที่ทำงานกับรัฐบาลกลางโดนไล่ออกและดูเหมือนเขาจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย บรรยากาศแบบนี้อาจทำให้พรรครีพับลิกันแพ้การเลือกตั้งรอบหน้า เร็วที่สุดเราอาจเห็นว่าการเลือกตั้งกลางเทอม สส. และ สว. ของพรรคเดโมแครตอาจกลับเข้ามาในสภามากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นบททดสอบการทำงานของทรัมป์ที่ผ่านมาด้วย
เกรแฮม อัลลิสัน นักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันเคยเสนอว่า เมื่อมหาอำนาจอันดับ ๒ ท้าทายมหาอำนาจอันดับ ๑ หลายครั้งในประวัติศาสตร์โลกมักจบด้วยสงครามในภาวะ “กับดักทูสิดิดีส” (Thucydides Trap) กรณีสหรัฐฯ กับจีนเข้าข่ายนี้หรือไม่ และเรากำลังเข้าสู่ยุคสงครามครั้งใหญ่
หรือไม่
พูดยาก หลายกรณีก็เกิดสงครามขึ้นจริง ทฤษฎีนี้เกิดจากการศึกษาประวัติศาสตร์ช่วงยาว แต่ก็มีกรณีที่มหาอำนาจอันดับ ๑ ไม่โดนล้ม คือการเปลี่ยนผ่านจากโลกที่อังกฤษมีอำนาจกลายเป็นสหรัฐฯ มีอำนาจในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ อาจเพราะอเมริการ่วมรบกับอังกฤษ มีศัตรูร่วมกันคือเยอรมัน แต่ก่อนหน้านี้จะจบด้วยสงคราม
กรณีสหรัฐฯ กับจีน ผมว่าทั้งสองฝ่ายเข้าใจความเสี่ยงนี้ มีความพยายามไม่ให้เกิดการเผชิญหน้าที่จะนำไปสู่สงคราม แม้มีสงครามการค้าในปัจจุบันแต่เราก็เห็นว่ามีการต่อรองผ่อนคลายกันไปมา โดยเฉพาะจีน เราเห็นความต้องการที่จะป้องกันไม่ให้เกิดสงครามหรือความขัดแย้งมากกว่านี้ ในความคิดผมอาจยังไม่เห็นสงครามใหญ่ระหว่างมหาอำนาจระดับโลก แต่เราจะเห็นสงครามร้อนระดับภูมิภาคมากขึ้นภายใน ๑๐ ปีนี้ ไม่ว่าจะในยูเครน ปาเลสไตน์ หรือที่ผ่านมาคือสงครามระหว่างอินเดียกับปากีสถาน
สงครามที่เกิดในภูมิภาคต่าง ๆ ไทยควรวางตัวอย่างไร ควรเลือกข้างหรือไม่
เรื่องนี้คงตอบได้ตรง ๆ ว่า ในฐานะประเทศขนาดเล็กแบบไทยไม่ควรเลือกข้างในสงครามที่เราไม่มีส่วนได้เสียโดยตรง
การยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศและเจรจาด้วยสันติวิธีเป็นจุดยืนที่เราควรยึดมั่นไว้ การเลือกข้างจะทำให้เราเสียประโยชน์โดยไม่จำเป็น คล้ายกับกรณีความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสที่มีการจับตัวประกัน จนคนงานไทยได้รับผลกระทบจำนวนมาก หากเราเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผลประโยชน์ของเราจะเสียไป เช่น การเข้าไปช่วยเหลือคนไทยทำได้ยาก การค้าขายของเราในตะวันออกกลางก็จะกระทบไปด้วย ดังนั้นการวางตัวเป็นกลางแต่มีบทบาทสนับสนุนการแก้ปัญหาแบบสันติจะเป็นแนวทางที่เราได้ประโยชน์ที่สุด
อาจารย์มองบทบาทของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน แอฟริกาใต้ อียิปต์ เอธิโอเปีย อิหร่าน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอินโดนีเซีย - BRICS) ที่กล่าวกันว่าจะเป็น “ขั้วอำนาจใหม่ของเศรษฐกิจโลก” อย่างไร ไทยควรวางบทบาทอย่างไรกับกลุ่มนี้ เพราะรัฐบาลไทย
เพิ่งเข้าไปเป็นหุ้นส่วนอย่างเป็นทางการกับกลุ่มประเทศนี้ใน ค.ศ. ๒๐๒๕
BRICS เกิดขึ้นมานานแล้วแต่มีบทบาทไม่ชัดเจนเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน ความขัดแย้งบนเวทีการเมืองโลกทำให้รัสเซีย จีน สนับสนุนให้กลุ่มประเทศเหล่านี้มีกิจกรรมร่วมกันมากขึ้น มีการเสนอความร่วมมือทางเศรษฐกิจ แม้ไม่ได้ชัดเจนมากนัก แต่ก็มีนัยสำคัญบนเวทีการเมืองโลก
จริงอยู่ที่ประเทศต่าง ๆ หาทางเลือกเพื่อสร้างเกราะป้องกันความไม่แน่นอนของสหรัฐฯ แต่การร่วมมือกับ BRICS ไทยอาจต้องดูให้ดีมากกว่ากระโจนเข้าไปสนับสนุนอย่างเต็มตัว กรณีแย่ที่สุดที่วิเคราะห์ได้ เช่น จีนและรัสเซียใช้กลุ่มนี้ต่อต้านสหรัฐฯ เราจะวางตัวอย่างไรในฐานะประเทศเล็ก การเข้าไปจะเป็นการหนีเสือปะจระเข้หรือไม่ แทนที่จะมีเวทีแสดงบทบาทอย่างสร้างสรรค์ก็อาจกลายเป็นไปอยู่ในความขัดแย้งแทน ควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนเข้าไปเป็นสมาชิกอย่างเต็มตัว
ไทยควรจะอยู่อย่างไรในโลกยุคสงครามเย็น ๒.๐ อันวุ่นวาย
เราประเมินหรือยังว่าใครจะชนะ (หัวเราะ) ถ้าพี่ชาย (จีน) มีแนวโน้มจะชนะเราจะเดินตามไหม แต่ถ้าจีนขึ้นเป็นมหาอำนาจอันดับ ๑ จริงก็คงส่งผลกับระเบียบโลกใหม่ ระเบียบโลกเดิมที่อเมริกานำนั้นมีคุณค่าเรื่องประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน แม้ว่าบางทีอเมริกาก็ปิดตาเรื่องพวกนี้เสียเองแต่มันก็ไม่ได้หายไป ถ้าจีน รัสเซีย ก้าวขึ้นมาเรื่องพวกนี้อาจหายไป ไทยมีรัฐประหารอีกรอบก็จะไม่มีมหาอำนาจมายุ่ง มหาอำนาจใหม่อาจชอบด้วยซ้ำที่รัฐบาลทหารสนับสนุนเขา แต่อย่าลืม สมัยอเมริกาเป็นมหาอำนาจก็สนับสนุนรัฐบาลเผด็จการในไทยช่วงสงครามเย็นมาแล้ว (หัวเราะ)
ในแง่อุดมการณ์ทางการเมืองผมยังไม่เห็นจีนโปรโมตหรือส่งออกการปฏิวัติแบบสมัยสงครามเย็น เขาอาจบอกว่าคุณไม่ต้องเป็นประชาธิปไตยก็ได้ เขาไม่สน แต่เราควรจะอยู่อย่างไร อันนี้วิเคราะห์ยากเพราะยังไม่เห็นแนวโน้มชัดเจนว่าความขัดแย้งใหม่จะมีภาวะเหมือนสงครามเย็นขนาดไหน
ไทยควรจัดวางตัวเองท่ามกลางการแข่งขันของมหาอำนาจในยุคนี้อย่างไร
ต้องนิยามผลประโยชน์ของชาติให้ชัดเจน การติดต่อกับจีนผลประโยชน์ของเราคืออะไร การติดต่อกับอเมริกาผลประโยชน์ของเราคืออะไร หลักการและคุณค่าที่เราต้องปกป้องคืออะไร เมื่อชัดเจน เราจะรู้ว่าอะไรที่จะไม่เห็นด้วย ไม่ยอมเขา การใช้นโยบาย “ไผ่ลู่ลม” จึงจะลู่ลมได้มีประสิทธิภาพ
แต่ปัจจุบันไทยยังไม่ชัดเจน เวลาโดนกดดันก็เลยไม่มีจุดยืน ลู่ลมแบบไม่มีทิศทางก็จะเอียงไปฝั่งหนึ่งมากขึ้น เวลามหาอำนาจมาติดต่อก็จะกดดันด้วยอำนาจด้านเศรษฐกิจ การเมือง เพื่อผลประโยชน์ของเขา ถ้าเราชัด เช่น เรื่องประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน คือคุณค่า เราก็จะเอามันไว้ในผลประโยชน์หลักของเรา จีนขอให้ส่งตัวชาวอุยกูร์ ไทยก็จะตัดสินใจได้ว่าการส่งกลับกระทบสิทธิมนุษยชน จะโดนโลกกดดัน ก็ต้องบอกจีนว่าขอเก็บไว้ในไทยก่อน จีนติดต่อได้แต่ต้องอยู่ในกรอบ แต่นี่เรายอมรับการกดดัน แล้วใช้ข้ออ้าง เช่น มีหนังสือรับรองจากรัฐบาลจีนว่าจะดูแลอุยกูร์อย่างดีแล้วส่งกลับเลย ผมคิดว่าการทูตเรากับจีนที่ทำไปแบบนี้ตกต่ำมาก
สิ่งที่ไทยต้องทำคือกลับมาเป็น “มิตรประเทศ” กับจีนตามปรกติให้ได้ ที่ผ่านมาผู้นำไทยชอบใช้วาทกรรมแบบ “พี่น้อง” จนเกินพอดี มีตัวอย่างคือกรณีลาว เมื่อก่อนไทยชอบบอกว่าลาวเป็น “น้อง” จนหลัง ๆ เขาไม่พอใจ จนไทยต้องมีสติว่าเขาคือ “เพื่อนบ้าน” ลองแทนสมการดูว่าจากลาวกลายเป็นไทยที่ไปเป็นน้องจีน เราต้องบอกจีนว่าเราสัมพันธ์กับคุณแบบมิตรประเทศ ตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ จากผลประโยชน์ระหว่างกันและมีเรื่องที่เห็นไม่ตรงกันได้ ต้องเป็นเพื่อนกันในลักษณะที่รู้ว่าเรามีจุดร่วมทางวัฒนธรรมทางประวัติศาสตร์บางส่วนกับคนไทยเชื้อสายจีน
คนไทยเชื้อสายจีนไม่ใช่ภาพแทนของคนไทยทั้งประเทศที่อยากมีความสัมพันธ์แบบพี่น้องที่กล่าวอ้างกับจีน เรามีคนเชื้อสายอื่นในภาคอื่นด้วย การใช้วาทกรรมพี่น้องโดยเหมารวมว่าเป็นภาพแทนความสัมพันธ์ไทยกับจีนในปัจจุบันยังผิดฝาผิดตัว เพราะคนจีนที่กรุงปักกิ่งก็เป็นคนละภูมิภาคกับคนจีนกลุ่มที่อพยพเข้ามาในไทย ทางจีนเองลึก ๆ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าคนไทยเชื้อสายจีนในไทยเป็นตัวแทนวัฒนธรรมแบบทางการของจีน เพราะคนที่อพยพมาไทยก็หลากหลาย เป็นชนกลุ่มน้อยจากทางใต้ของจีนเป็นหลัก แต่ที่ยอมให้เราอ้างก็เพราะเรื่องผลประโยชน์ทั้งนั้น และคนจีนรุ่นใหม่ก็ไม่ได้รู้สึกร่วมในประเด็นนี้แต่อย่างใด