ในพิธีกงเต๊ก ดวงวิญญาณของผู้ตายจะสถิตในรูปของสิ่งสมมุติ-โคมวิญญาณที่เขียนชื่อแซ่แขวนเสื้อตัวโปรดไว้ เพื่อพระสงฆ์จะนำโคมสถิตวิญญาณประกอบพิธีขอขมากรรมในขั้นตอนต่าง ๆ
(พิธีกงเต๊กของอากงนิ้ม แซ่ตั้ง ๑๑ กันยายน ๒๕๖๐)
功
德
กงเต๊ก
คนตายสอนคนเป็น
เรื่อง : สุชาดา ลิมป์
ภาพ : ประเวช ตันตราภิรมย์ และ บันสิทธิ์ บุณยะรัตเวช
กง (功) คือการกระทำ เต๋อ (德) คือคุณธรรมจากการประกอบกรรมดี
มหาพจนานุกรมจีน อธิบายในทางศาสนาว่า พิธีกงเต๋อ หมายถึงสวดมนต์ บำเพ็ญภาวนา และให้ทาน โดยลูกหลานทำแก่ผู้ล่วงลับเพื่อส่งวิญญาณสู่ภพภูมิที่ดีขึ้น
ส่วน พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ นิยาม “กงเต๊ก” จากคำจีนกลางเป็นสำเนียงที่คนไทยคุ้นว่า หมายถึง การทำบุญให้แก่ผู้ตายตามพิธีของนักบวชนิกายจีนและญวน มีการสวดและเผากระดาษที่ทำเป็นรูปต่าง ๆ มีบ้านเรือน คนใช้ เป็นต้น
ลูกหลานจีนในไทยศรัทธาว่าการสวดพระอภิธรรมกงเต๊กถือเป็นการทำกุศลที่ใหญ่มากพอจะส่งให้ผู้ตายได้เดินทางสู่สวรรค์ แต่ละคนอาจเคยร่วมพิธีกับครอบครัวไม่กี่ครั้ง เพราะจะจัดแก่ผู้เสียชีวิตที่อายุเกิน ๕๐ ปีและมีทายาท บทความนี้จึงรวบรวมจากที่ได้ร่วมพิธีกับครอบครัวผู้อื่นด้วย พบเห็นธรรมเนียมต่างของแต่ละบ้าน บ้างไม่ได้ทำโดยคณะสงฆ์นิกายมหายาน (พระจีน) หรือคณะสงฆ์อนัมนิกาย (พระญวน) แต่เป็นชายผู้ถือศีลในชุดขาว บางครอบครัวลูกหลานไม่ได้สวมชุดกระสอบหรือชุดขาว กลับสวมชุดสีฟ้าสื่อสัญลักษณ์ว่าผู้ตายอายุยืนเกิน ๑๐๐ ปี และหากผู้ตายเป็นแม่ก็จะเพิ่มพิธีกรรมที่ละเอียดอ่อนต่อจิตใจกว่ากงเต๊กของพ่อ
เหล่านั้นล้วนมีนัยกตัญญู-ความหมายเปรียบเปรยที่คนรุ่นก่อนฝากฝัง
เป็นกุศโลบายเชื่อมโยง “ชีวิตหลังความตาย” เข้ากับ “วิถีของคนเป็น”
ชวนแกะรอยทางจิตวิญญาณที่คนตายอยากสอน (ให้) คน (คิด) เป็น
เสื้อผ้า
คนเป็น
เช้าตรู่ของปี ๒๕๕๓ ที่อาม่าป๋อจู แซ่อึ้ง เสียชีวิต
บรรยากาศหน้าห้องเก็บศพที่โรงพยาบาลมีอาโก สิริพร แซ่ล้อ (ลูกสาวอาม่า) กำลังเขียนคำร้องขอย้ายศพและขอหนังสือรับรองการเสียชีวิตเพื่อนำไปออกใบมรณบัตร ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลช่วยอาบน้ำแต่งศพ ฉีดยาศพ และเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวให้อาม่า เช่นที่คนไทยก็มีความเชื่อว่าเพื่อให้คนตายมีเสื้อผ้าใส่เมื่อไปถึงโลกหน้า
พิธีแต่งตัวศพลูกชายจะเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดโปรดให้พ่อแม่ หากพ่อตายจะสวมเสื้อให้สี่ตัว กางเกงสองตัว ถ้าผู้ตายเป็นแม่จะสวมผ้าถุงหรือกระโปรงแล้วทับชั้นนอกรวมเจ็ดชิ้น ตามคตินิยมที่ให้ผู้ชายใช้เลขคู่ ผู้หญิงเลขคี่ สิ่งสำคัญคือวิธีสวมเสื้อต้อง “กลับเอาด้านหน้าที่มีกระดุมไว้ข้างหลัง”
การสร้างความต่างระหว่างคนตาย-คนเป็น คนไทยเองก็มีแนวคิดว่าเสื้อผ้าที่ใส่ให้ผู้ตายต้องทำตำหนิขาดไว้ ถ้าผ้าซิ่นก็ให้นุ่งกลับหัว เป็นสัญลักษณ์ให้ผู้ตายรู้ว่าได้จากโลกนี้แล้ว
เรื่องนี้เมื่อวัยเด็กเคยถูกอาม่าป๋อจูดุ ตอนนั้นพ่อขับรถพาครอบครัวไปบ้านอาม่า อยู่ในรถพ่อแอร์เย็นฉ่ำจึงสวมเสื้อแจ็กเกตคลุมแบบลวก ๆ ให้สอดแขนได้พออุ่น ปล่อยเสื้อด้านหน้าที่ผ่ากลางเป็นกระดุมไปข้างหลัง เมื่อถึงบ้านอาม่าก็สวมทั้งอย่างนั้น ยังไม่ทันสวัสดีก็ถูกอาม่าติเตียนเสียงดังด้วยภาษาจีน แม่ต้องรีบกระซิบให้สวมเสื้อใหม่หรือไม่ก็ถอดเก็บ
วันที่มารับศพอาม่าวัย ๘๑ ปีจึงกระจ่างใจ ธรรมเนียม จีนถือว่ามีแต่คนตายที่สวมเสื้อกลับด้าน การไปเยี่ยมผู้ใหญ่แทนที่จะอวยพรให้อายุยืนกลับแต่งตัวเหมือนสาปแช่งจึงผิดกาลเทศะยิ่ง
ลูกชายคนโตเท่านั้นที่เป็นผู้ยกกระถางธูป และลูกชายคนรองทำหน้าที่ถือรูปผู้ตายหรือโคมสถิตวิญญาณผู้ตาย
หลังจัดการเอกสาร รอเคลื่อนศพ อาโกติดต่อวัดที่อนุญาตให้จัดพิธีกงเต๊กไว้ที่วัดราชคฤห์วรวิหาร แถวบางยี่เรือ ไม่กี่ชั่วโมงก็มีภิกษุจีนจากวัดถาวรวราราม จังหวัดกาญจนบุรี (วัดในสังกัดคณะสงฆ์จีนนิกาย) มาถึงพร้อมซินแสผู้ทำหน้าที่แนะนำตกแต่งสถานที่และเป็นผู้นำพิธี อาโกรื้อเครื่องใช้ของอาม่าแสดงให้ซินแสดูว่าพร้อมประกอบพิธี อย่างเสื้อตัวโปรด รองเท้า ไม้เท้า ฟันปลอม และภาพถ่ายอาม่าใส่กรอบสำหรับตั้งหน้าหีบศพ ฯลฯ
ทันทีที่เจ้าหน้าที่ประจำห้องเก็บศพเข็นเตียงที่อาม่านอนออกมาให้ลูกหลานทำพิธีในห้องว่างเล็ก ๆ ซินแสก็นำ “ทอลอนีป๋วย” ผ้าคลุมศพปักลวดลายจีนที่เตรียมมาคลุมร่างอาม่า เผยเพียงศีรษะที่หวีผมเรียบร้อย ใบหน้าเติมสีสันพอผ่องใส มือและเท้าทั้งสอง เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรม
เมื่อภิกษุจีนนำสวดมนต์เสร็จ ซินแสสั่งให้ลูกหลานเข้าแถวเรียงลำดับสำคัญตามธรรมเนียมจีน (และจะเป็นเช่นนี้ในทุกขั้นตอนพิธี) เริ่มจากลูกชาย ลูกสาวที่แต่งงานแล้วและลูกสะใภ้ ลูกสาวที่ยังไม่แต่งงาน ลูกเขย หลาน (หากเป็นหลานชายคนแรกที่เกิดจากลูกชายคนโต คนจีนจะถือเป็นลูกคนสุดท้ายของอาม่าด้วย ให้ต่อคิวหลังลูกชาย) เหลน และญาติของผู้ตาย
แต่ละคนเริ่มเดินจากปลายเท้าขวาของอาม่า รับยอดทับทิม (ศรัทธาว่าเป็นไม้มงคล) จากซินแสมาจุ่มน้ำในขันเงินใบเล็ก นำไปแตะที่ปากอาม่าสามครั้ง พลางอวยพรให้อาม่าสู่สุคติ ผู้ใหญ่จะพูดภาษาจีน ส่วนรุ่นหลานที่พูดจีนไม่เป็นซินแสจะให้พูดไทย
“อาม่า กินน้ำเย็นใจ ไปไหว้พระพุทธ พระธรรม”
เสร็จแล้วจึงเดินอ้อมศีรษะไปทางปลายเท้าซ้ายเพื่อกราบลาอาม่า เมื่อประกอบกิจครบทุกคนเจ้าหน้าที่ประจำห้องเก็บศพจึงเคลื่อนย้ายร่างอาม่าลงนอนในโลง ประนมมืออาม่าไว้ที่อกแนบดอกบัวสามดอกมัดกับสายสิญจน์แล้วตอกหีบศพพร้อมจูงไปวัด ระหว่างนั้นภิกษุจีนจะนำพิธีสวดมนต์ไปด้วย กระทั่งรถขนศพเคลื่อนร่างอาม่าออกจากโรงพยาบาลลับตา
อาโกไม่ลืมกำชับหลาน ๆ ให้ใส่เสื้อขาวในวันพรุ่งซึ่งเป็นพิธีสวดพระอภิธรรมที่วัดวันแรก แล้วเมื่อถึงวัดจะมีกางเกงสีขาวเตรียมไว้ให้เปลี่ยน
แม้ตอนนั้นยังนึกไม่ออกว่าจะสวมเสื้อตัวไหนให้สุภาพสุด
แต่รู้แล้วว่าจะไม่สวมเสื้อกลับเอากระดุมไว้ข้างหลังเหมือนอาม่า
ชาวจีนเชื่อว่าเสียงดนตรี ช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้าย พระฝ่ายมหายานจะใช้ไม้เคาะเครื่องดนตรีไม้ “บักฮื้อ” ขณะสวดดัง “ต๊อก...ต๊อก...ต๊อก...” และยังเป็นสัญญาณให้คณะสวดมนต์เริ่มต้น หยุด หรือเตรียมเปลี่ยนบทสวด
กรณีผู้ตายอายุยืนเกิน ๑๐๐ ปี ชาวจีนจะถือเป็นผู้มีบุญซึ่งจะได้ขึ้นสวรรค์ ลูกหลานไม่ควรเศร้าโศก บางครอบครัวจึงไม่สวมชุดผ้าดิบหรือชุดกระสอบ แต่สวมเสื้อสีแดงเพราะถือเป็นสีมงคล ผู้ร่วมงานก็สวมเสื้อหลากสีได้ ในพิธีกงเต๊กของอาม่าฮะเน้ย แซ่เล้า อายุ ๑๐๒ ปี (พิธีกงเต๊ก ๒๖ เมษายน ๒๕๕๙) ครอบครัวพร้อมใจสวมเสื้อสีฟ้า สีเดียวกับเสื้อตัวโปรดของผู้ตายที่ใช้แทนดวงจิตในการประกอบพิธี
เล็ก ๆ ไม่ !
ใหญ่ ๆ สิ
กงเต๊ก !
ในพระคัมภีร์สูตรมีเล่าถึงกงเต๊กไว้เรื่องหนึ่ง
...สมัยพุทธกาลมีบุตรเศรษฐีในกรุงสาวัตถีฆ่ามารดาด้วยความโกรธ เมื่อสำนึกผิดจึงบวชสวดมนต์ภาวนาขอลุแก่โทษ ครั้นมรณภาพวิญญาณก็ยังต้องใช้กรรมในนรกอเวจีชั้นลึก ภายหลังมีภิกษุซึ่งเคยเป็นศิษย์เข้าฌานเห็นอาจารย์ทุกขเวทนาจึงประกอบพิธีกงเต๊ก-อัญเชิญวิญญาณมาทำพิธีขอขมากรรมต่อพระศรีรัตนตรัย ทำทานแก่สรรพสัตว์ อุทิศให้เหล่าภูตผี แล้วแผ่กุศล นั่นเองที่ส่งให้วิญญาณอาจารย์ได้หลุดพ้นจากขุมนรกสู่สุคติ...
แต่ไหนแต่ไรครอบครัวคนจีนมักพร่ำสอนเรื่องการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ตามค่านิยมที่เลี้ยงดูลูกหลานก็หวังว่ายามไม่สบายจะมีทายาทดูแล และเมื่อถึงเวลาต้องเดินทางไกล (เสียชีวิต) ก็จะมีลูกหลานมาส่ง ชาวจีนจึงถือศรัทธา “จำเป็นต้องบำเพ็ญกุศลกงเต๊กให้คนตาย”
มีบทความทางวิชาการหลายเรื่องอ้างหลักฐานในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ว่าพิธีกงเต๊กเริ่มเผยแพร่ในไทยปี ๒๓๙๕ โดยราชสำนักประกอบพิธี “กงเต๊กหลวง” ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) นิมนต์คณะสงฆ์ญวนอนัมนิกายสวดเป็นภาษาเวียดนาม สันนิษฐานว่าเหตุผลของการจัดเพราะราชสำนักไทยมีความสัมพันธ์กับชาวจีนมาตลอด รัชกาลที่ ๓ ก็ทรงมีพระภรรยาหลายองค์เป็นธิดาเชื้อสายจีน เช่น เจ้าจอมมารดาอึ่ง เจ้าจอมมารดาเขียวเจ้าจอมอรุณ และทั้งผู้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท ผู้คนใกล้ชิดพระองค์ท่านล้วนแต่ทำการค้ากับชาวจีน พระองค์เองก็ทรงชื่นชอบศิลปะจีน และมีพระนามแบบจีนว่า “เจิ้งฝู (郑福)” ส่วนที่นิมนต์พระญวนเป็นผู้ประกอบพิธี เพราะวัดญวนถือกำเนิดในไทยก่อนวัดจีน มีชาวญวนจำนวนมากลี้ภัยสงครามตั้งแต่ปลายสมัยธนบุรี สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑) จึงมีการตั้งวัดญวน และขณะรัชกาลที่ ๓ (ยังเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ) ทรงพระผนวชอยู่ได้สนพระทัยลัทธิประเพณีและการปฏิบัติของพระสงฆ์ฝ่ายมหายาน (เวลานั้นพระสงฆ์ฝ่ายมหายานมีแต่ฝ่ายอนัมนิกาย ยังไม่มีฝ่ายจีนนิกาย) เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ยังโปรดเกล้าฯ รับคณะสงฆ์ฝ่ายอนัมนิกายไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ แต่นั้นพิธีกงเต๊กก็ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของราชสำนักไทยในการประกอบพิธีพระบรมศพ
ต่อมาในหมู่ประชาชนก็มีอุบาสกและอุบาสิกาตามโรงเจทั้งที่ถือศีล ๕ และศีล ๘ นำการสวดมนต์และทำพิธีกงเต๊กแบบสงฆ์มาใช้ แต่แต่งกายและประกอบพิธีต่างกัน
กงเต๊กจะหรูหราหรือธรรมดาล้วนมีค่าใช้จ่ายขั้นต่ำหลักแสน
เริ่มตั้งแต่จัดหาโลงราคาต่างตามวัสดุที่ใช้ เช่น โลงไม้ยาง โลงไม้เนื้อแข็ง โลงไม้อัด โลงมุก โลงกระจก ยังขึ้นกับวิธีตกแต่งทั้งลายสกรีนและแกะสลัก หากเป็นโลงติดแอร์ยิ่งแพงหลายพันจนนับแสนบาท โลงแบบจีนไม่เหมือนของคนไทยที่เป็นไม้แผ่นตอกสี่ด้านขึ้นเป็นกล่องผืนผ้า แต่จะมีลักษณะเป็นท่อนซุงเปิดฝาได้คล้ายหีบจึงเรียก “หีบศพ” เมื่อเปิดออกจะคล้ายเรือหนึ่งลำ หีบศพมีหลายสี นิยมสีน้ำตาลหรือดำกลืนกับเนื้อไม้ คลุมหีบด้วยผ้าปักไหมจีนอย่างเรียบร้อยแล้วประดับด้านบนด้วยโคมจีน รายล้อมดอกไม้สด
ปี ๒๕๕๙ มีโอกาสร่วมงานกงเต๊กอาม่าฮะเน้ย แซ่เล้า ลูกสาวคนโตวัย ๗๐ ปีเล่าว่า
กงเต๊กเป็นพิธีกรรมของครอบครัว ลูกจะเป็นดั่งตัวแทนของผู้ตายในการทำหน้าที่ขอขมากรรม เพื่อให้ดวงวิญญาณบริสุทธิ์ พระจีนจะเป็นผู้นำลูกหลานกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในทุกขั้นตอนของการประกอบพิธี
พิธีไหว้บรรพบุรุษ เป็นการอัญเชิญบรรพบุรุษที่เสียชีวิตก่อนหน้าให้มาช่วยรับ-ดูแลดวงวิญญาณใหม่ไปอยู่ภพเดียวกัน โดยลูกหลานจะจัดเลี้ยงอาหารคาว-หวานและเตรียมหีบเสื้อผ้าไว้ต้อนรับ
“เมื่อ ๓๐ ปีก่อน จัดงานศพให้เตี่ยไม่รวมค่าสุสานนะเพราะซื้อที่ดินไว้ก่อน ยังจ่ายเกือบ ๘ แสน สมัยนั้นไม่มีศาลาติดแอร์ ต้องเปลี่ยนดอกไม้สดทุก ๒ วัน และจัดเลี้ยงโต๊ะจีนให้แขกเหรื่อทุกคืน สมัยนี้เฉพาะค่าหีบศพไม้ซุงที่สั่งจากกรุงเทพฯ มาอัมพวาก็ ๒.๘ แสนบาท ศาลาพัฒนามาติดแอร์ ดีตรงสั่งดอกไม้สดครั้งเดียวอยู่ได้ตลอดงาน และเลี้ยงอาหารแขกแบบจัดชุดคนละถุง แต่ก็ยังมีค่าใช้จ่ายสูงเพราะแขกที่มาเขาให้เกียรติแม่ เราก็ต้องให้เขากินดี”
ลูกสาวอาม่าฮะเน้ยเปรยว่า แม้งานศพของเตี่ย-ม้าจะห่างกัน ๓๐ ปี แต่พิธีกงเต๊กไม่ต่าง
“ต่างเพียงคนในบ้าน ลูกบางคนตายก่อนพ่อแม่คราวเตี่ยเสียลูกบางคนยังไม่แต่งงาน พอม้าเสียก็มีหลานเหลนเพิ่ม ส่วนขั้นตอนหรือข้าวของที่เคยต้องมีต้องจ่ายก็ยังเป็นเช่นนั้น”
รวมถึงจิปาถะอย่างค่าบำรุงวัดตามขนาดศาลา หมูเห็ดเป็ดไก่อาหารไหว้ ผ้าบังสุกุล เครื่องสังฆทาน ดอกไม้ธูปเทียน รถรับศพ ค่าแรงคนช่วยงาน ของชำร่วย ฯลฯ ไม่ต่างจากงานศพไทย แต่กงเต๊กจะเพิ่มอีกสองส่วน คือ ค่าคณะสงฆ์พิธีกงเต๊ก (ไม่รวมเครื่องกระดาษและของไหว้) ยังมีค่าอนุญาตให้ทำพิธีแก่วัดและค่าบำรุงเตาเพื่อเผาเครื่องกงเต๊ก ฯลฯ
โดยธรรมเนียม พิธีกงเต๊กจะกระทำนับจากตายครบ ๗ วัน ๒๑ วัน ๓๕ วัน หรือ ๑๐๐ วัน ซึ่งหากเป็นลูกหลานจีนในไทยที่จัดพิธีสวดแบบไทยก็คือวันสุดท้ายหลังสวดเสร็จ เช่น สวดแบบไทย ๖ วัน วันที่ ๗ เป็นพิธีกงเต๊ก วันที่ ๘ เคลื่อนย้ายศพไปสุสาน แต่ปัจจุบันนิยมจัดสวดเพียง ๓ วัน วันที่ ๔ ทำพิธีกงเต๊ก แล้วเคลื่อนศพไปสุสานวันถัดไป
อันที่จริงงานกงเต๊กมีให้เลือกจัดแบบขนาดเล็ก นิมนต์พระเป็นผู้ประกอบพิธีอย่างน้อยห้ารูป โดยเริ่มพิธีอาราธนาศีลเป็นการสวดเปิดมณฑลสถานพิธีกงเต็กราวบ่าย ๓ โมงถึง ๕ โมงเย็น แล้วพักสวดให้ประกอบพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษเลี้ยงมื้อเย็นแก่ลูกหลานและผู้มาช่วยงาน ค่อยเริ่มอีกราว ๖ โมงเย็นจนจบพิธี หากเจ้าภาพเลือกแบบจัดเต็มอาจเพิ่มจำนวนพระเป็น ๗, ๙, ๑๑ หรือ ๒๑ รูป โดยแบ่งช่วงทำพิธีเป็นสามช่วง เช้า-บ่าย-ค่ำ เริ่มพิธีอาราธนาศีลตั้งแต่ ๙ โมงเช้า พักกินมื้อเที่ยง เริ่มอีกทีช่วงบ่ายไปจนเสร็จพิธีตอนกลางคืน
กระทั่งเรื่องจำนวนพระสงฆ์ในงานศพก็ถือว่าสำคัญ การนิมนต์พระรูปเดียวจะทำในกรณีสวดตอนนำศพใส่โลง หากจะสวดเพื่อบูชาบารมีของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์หรือขอขมาต่อเจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติจะนิมนต์พระจำนวน ๓ รูป ซึ่งสำหรับพิธีกงเต๊กที่ต้องการสวดเพื่อขอขมากรรมต่อพญายมราชทั้ง ๑๐ ผู้เป็นนิมมานรกายของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์จะต้องนิมนต์พระสงฆ์ ๕-๗ รูป และเพิ่มจำนวนสงฆ์ตามจำนวนพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ที่ต้องการขอขมา เช่น ขอขมาต่อพระพุทธเจ้านับพันพระองค์ต้องนิมนต์พระสงฆ์ ๙ รูป ถ้าขอขมาต่อบรรดาพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั่วทุกสารทิศจะนิมนต์พระสงฆ์ ๑๑ รูปเป็นอย่างน้อย
งานของอาม่าป๋อจู คนในครอบครัวเรามาวัดแต่เช้า ทางวัดจีนจะส่งคนมาจัดสถานที่ให้เสร็จก่อนเริ่มพิธี ๙ โมงเช้า ครอบครัวเลือกจัดแบบใหญ่-ดั้งเดิม ด้วยถือเป็นที่สุดแห่งการอุทิศส่วนกุศลที่มีอานิสงส์ยิ่ง เพราะได้อัญเชิญพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์เสด็จสู่มณฑลพิธีท่ามกลาง “ธรรมคีตา” ประโคมดนตรีอันไพเราะขณะสวดสรรเสริญและสาธยายพระสูตร
ในศาลาที่ใช้เป็นปะรำพิธีจึงติดตั้งฉากกงเต๊กอย่างวิจิตร ทั้ง “ฉากผ้าปักสีน้ำเงิน” เปรียบดั่งพุทธสภาที่อัญเชิญพระพุทธเจ้าและเหล่าพระโพธิสัตว์มาเป็นองค์ประธาน (งานขนาดเล็กอาจตัดทอนฉากนี้ออก) กับ “ฉากผ้าปักสีแดง” ประดับภาพเทพเจ้าเจ็ดองค์ ได้แก่ เง็กเซียนฮ่องเต้ (เทพเจ้าสูงสุดของจีน), พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน), พระอมิตภะพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าผู้มีรัศมีเปล่งประกาย), พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์สำคัญแห่งอุตตรนิกาย), พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ (พระโพธิสัตว์แห่งปัญญา), พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ (ผู้คุ้มครองเด็กทั้งหลาย และเทพอุปถัมภ์ของทารกที่เสียชีวิตจากการแท้ง) และพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ (พระอัครสาวกเบื้องขวาของพระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า) พร้อมเครื่องดนตรีคุณภาพเสียงดี
รวมถึงร้านขายสินค้ากงเต๊กจะมาส่งของจำพวกบ้าน รถ คนรับใช้ เครื่องอุปโภคบริโภค ธนบัตรปลอม และกระดาษเงินกระดาษทอง คนในครอบครัวจึงต้องมาช่วยกันตรวจนับรับของและพับกระดาษเงินกระดาษทองให้ได้จำนวนมากที่สุด
“เจากิมซัว” เป็นการแสดงร่ายรำ วิ่งธงและกายกรรมตีลังกาประกอบดนตรี ผู้แสดงชายแต่งกายเลียนแบบพระจีน แต่ละคนใช้สีธงไม่ซ้ำกัน ลูกสาวของผู้ตายจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด และเมื่อจบการแสดงจะแจกอั่งเปาแก่ลูกชายและหลานชายคนโต
แม้หลายครอบครัวรุ่นใหม่จะเห็นว่าเงินที่จะใช้จ่ายไปกับผู้ล่วงลับควรเก็บไว้ดูแลคนที่ยังมีชีวิตอยู่มากกว่าก็ยังมีอีกหลายวงศ์ตระกูลซึ่งภาคภูมิใจต่อการสืบทอดประเพณี
ไม่ใช่แค่ครอบครัวอาม่าป๋อจูของเรา ลูกหลานของอาม่าฮะเน้ยก็ด้วย
“ม้าอายุ ๑๐๒ ปี ย่อมผูกพันกับวัฒนธรรมเก่าที่ฝังรากลึกซึ่งพิธีกงเต๊กมีความสำคัญสูงมากสำหรับคนจีน พวกเราจึงอยากทำให้ ไม่ใช่การตระหนักถึงหน้าที่นะ...มันคือความรัก”
โลกแห่ง
กระดาษ
กระดาษกงเต๊กแม้แผ่นบางก็ซุกซ่อนความหมายทุกอณู
“สมัยก่อนบ้านเราอยู่แถวพลับพลาไชย พ่อเป็นชาวแต้จิ๋วมาจากเมืองจีน ทำอาชีพผลิตกระดาษกงเต๊ก นำเข้าเมล็ดพืชชนิดหนึ่งจากจีนชื่อ ‘อุ๊ย’ ส่งมาเป็นกระสอบเหมือนข้าวแต่ราคาแพงกว่า นำมาต้มแล้วเอาสีน้ำที่ได้ทากระดาษ ผึ่งจนแห้งก็รวมใส่รถเข็นไปส่งร้านในเยาวราช ทุกวันนี้ใครจะใช้สีเคมีหรือเครื่องพิมพ์ พี่ชายเราก็ยังรับทำกระดาษกงเต๊กแฮนด์เมดต่อจากพ่อแม่”
พฤษภาคม ๒๕๖๘ นิภา โตวณะบุตร เจ้าของร้านจำหน่ายเครื่องกระดาษกงเต๊กย่านสามเสน กรุงเทพฯ ที่ลูกค้ารู้จักปากต่อปากในนาม “ร้านเจ๊จู” ปันความรู้เรื่องกระดาษกงเต๊กที่มีมากในวัฒนธรรมจีน สำหรับการใช้งานต่างเทศกาลและสื่อความหมายต่างกัน
“เฉพาะพิธีกงเต๊กที่ต้องใช้ก็เยอะ แต่ขาดไม่ได้เลยคืออ่วงแซจี๊ กระดาษสีเหลืองมีอักษรจีนสีแดง ถือเป็นกระดาษไหว้สำคัญซึ่งแต่ละครั้งจะใช้จำนวนมาก ถ้าไม่มีอ่วงแซจี๊เป็นใบเบิกทางก่อน กระดาษเงินกระดาษทองอื่นก็จะส่งไปไม่ถึงบรรพบุรุษ”
นอกจากนี้จะมีตั่วกิม บางคนเรียกค้อซี เป็นกระดาษขนาด A4 สีทองขอบส้ม เวลาใช้จะทบกลางก่อนแล้วพับสอดหัวท้ายเป็นปลายแหลม ถือเป็นกระดาษไหว้เพื่อขอพรให้ลูกหลานเจริญรุ่งเรือง เดี๋ยวนี้มีขายแบบพับสำเร็จ ถ้าเทพเจ้าจะไหว้องค์ละ ๑๒ แผ่น บรรพบุรุษจะใช้ครั้งละ ๔๘ แผ่น ยังมีกิมเตี๊ยวเป็นทองแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้า ถ้าเผาให้บรรพบุรุษใช้ ๘ แท่ง วิญญาณทั่วไปใช้ ๔ แท่ง และมีกิมจั๊ว กระดาษสีเหลืองขนาด ๔ x ๔ นิ้ว ตรงกลางพิมพ์อักษรจีนสีแดงในวงกลม ถ้าเป็นผู้ตายทั่วไปใช้ครั้งละ ๒๔ แผ่น บรรพบุรุษ ๔๘ แผ่น
สอบถามเจ๊จูถึงกระดาษแบบอื่นที่พบข้อมูลว่าจำเป็นอย่างอิมกังจัวยี่ (แบงก์กงเต๊ก) ธนบัตรสำหรับใช้ในภพภูมิที่ท้าวยมทูตเป็นผู้รับรอง และพระอินทร์ (เง็กเซียนฮ่องเต้) เป็นพระคลัง บุตรหลานจึงควรซื้อไหว้บรรพบุรุษไว้ให้ใช้จ่ายยามเดินทางมาพบญาติมิตรที่โลกมนุษย์ในเทศกาลจีนต่าง ๆ กับโกวอีพิมพ์ กระดาษที่พับแบบเดียวกับตั่วกิม (ค้อซี) แต่ละครั้งจะใช้ราว ๑๒-๑๓ แผ่น...หญิงวัย ๖๒ ปีฟังแล้วส่ายหน้า นัยว่าอาจสำคัญกับพิธีอื่น แต่ไม่จำเป็นกับพิธีกงเต๊ก
“ร้านเราขายเครื่องกระดาษกงเต๊กมา ๓๐ กว่าปี ยึดคติขายของแบบจริงใจและให้ข้อมูลตามจริง บางครั้งทองแท่งก็ไม่ต้องใช้เยอะ หรือแบงก์กงเต๊กก็ยังไม่จำเป็น ค่อยเผาให้ในเทศกาลอื่นก็ได้ คนเพิ่งตายยังไม่ได้ใช้จ่ายกลับมาเยี่ยมลูกหลาน ที่เห็นคนซื้อเยอะบางทีแค่เอาไปรองฐานให้ของที่อยู่ด้านบนซึ่งราคาแพงกว่าดูพูนขึ้นเพื่อความสวยงาม”
ร้านขายสิ่งสมมุติกระดาษซึ่งมีรูปทรงต่าง ๆ มากมาย นอกเหนือจากกระดาษเงิน กระดาษทอง กระดาษไหว้เจ้า และสรรพสิ่งในเทศกาลต่าง ๆ ยังมีกระดาษประกอบพิธีกงเต๊กครบครัน
นอกจากกระดาษเงินกระดาษทอง คนไทยมักมีภาพจำว่าเครื่องกงเต๊กหมายถึงกระดาษที่ทำเป็นรูปทรงสารพัด พวกบ้าน รถ คนรับใช้ ข้าวของตามยุคสมัยอย่างเครื่องประดับ สมาร์ตโฟน เครื่องเสียง เครื่องแต่งกายแบรนด์เนม บัตรเครดิต ชุดดูแลผิวพรรณ ฯลฯ
“สมัยก่อนนอกจากบ้าน รถยนต์คันใหญ่ก็ขายดี แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครซื้อเพราะซื้อบ้านก็มักมีรถยนต์คันเล็ก ๆ จอดในรั้วให้แล้ว สมัยก่อนเครื่องกงเต๊กของแต่ละครอบครัวถือเป็นงานอวดฝีมือ พวกตู้ เตียง ทำมือหมด งานกงเต๊กของครอบครัวเราจำได้ว่าช่วยกันทำกับพี่ชาย เป็นเตียงไม้ที่มีม่านแขวนข้างเตียงทำจากกระดาษแผ่นบาง แล้วม้วนกระดาษแต่ละด้านให้เหมือนม่านเปิดอยู่ ทีวีทำจากกระดาษ หน้าจอใช้กระดาษแก้วพรมน้ำสักหน่อยแล้วขึงให้ตึง”
เธอว่านอกจากเฟอร์นิเจอร์ ที่ขายดีทุกยุคสมัยคือเสื้อผ้า
“สมัยก่อนจะใส่ไม่ได้ เป็นแค่รูปเสื้อที่แปะหน้าทับฐานที่ทำรองไว้หรือม้วนกระดาษมา แต่เดี๋ยวนี้คลี่กางเสื้อผ้าออกมาสวมได้จริงเหมือนของคนเป็น รองเท้าก็ขนาดเท่าคนสวมได้ สินค้ามีผลิตในโรงงานไทย จะมีสั่งของจากจีนก็พวกแฟชั่นสวย ๆ โดยตัวแทนในไทยนำเข้าแล้วร้านค้าสั่งซื้อต่อ บ้านหลังใหญ่พร้อมเฟอร์นิเจอร์ก็มีทั้งผลิตในไทยและส่งจากจีน เวลาขนส่งจะพับมา ราคามีตั้งแต่หลังธรรมดาหลักพันจนหลักหมื่นซึ่งเป็นบ้านขนาดใหญ่พร้อมเฟอร์นิเจอร์สวยงาม แต่ของขนาดใหญ่ร้านขายเครื่องกงเต๊กจะไม่ซื้อตุนเพราะกินพื้นที่จัดเก็บ จะให้ใบรายการลูกค้าเลือกสิ่งที่ต้องการแล้วสั่งล่วงหน้า กว่าจะใช้ในวันเผากงเต๊กก็มีเวลาส่งทัน”
อีกสิ่งที่เห็นเสมอคือหุ่นกระดาษคนคู่
“เป็นคนรับใช้ที่ลูกหลานส่งไปปรนนิบัติพ่อแม่ที่ส่วนมากก็แก่ชรา ซึ่งตั้งชื่อไม่ซ้ำกันและจะไม่เหมือนชื่อคนในครอบครัว โดยเขียนชื่อติดที่ตัวหุ่นให้ผู้ตายเรียก แล้วนำกระดาษบาง ๆ ติดข้างแก้ม เอาเข็มหมุดเจาะเป็นรูหู ตามความเชื่อว่าให้คนรับใช้ได้ยินคำสั่ง”
แม้ไม่รู้ว่าสิ่งมายาที่ทำคนตายได้รับไหม แต่ที่ได้จริงคือผู้ทำรู้สึกสบายใจ
“อย่าว่าแต่ทำให้บรรพบุรุษเลย คนจีนล้วนได้รับการส่งต่อเรื่องการแบ่งปันแก่ผีไร้ญาติด้วย ตอนเกิดสึนามิมีลูกค้ามาซื้อเครื่องกงเต๊กและ ‘กิมจั๊ว’ เราเลยขอร่วมบุญด้วยพร้อมพวกเสื้อผ้ากงเต๊ก พอกลับจากเดินทางลูกค้าเล่าให้ฟังว่าตอนอาจารย์ประกอบพิธีเซ่นไหว้เห็นพวกศพลอยน้ำมาแบบไม่มีเสื้อผ้าใส่เข้ามาแย่งกัน คนจีนจึงมักสอนลูกหลานว่าพวกผียากไร้เขาไม่มาเข้าคิวหรอก ฉะนั้นถ้าเราจะบริจาคควรจัดของทุกอย่างแยกเป็นชุด วิญญาณที่มาจะได้ไม่ต้องมารื้อยื้อแย่งเพราะอาจทำให้เสื้อผ้าดี ๆ ขาด เคยมีครั้งหนึ่งลูกค้าจากจังหวัดระนองจะทำพิธีสารทจีน ซึ่งตรงกับเดือนเจ็ด เป็นเดือนปล่อยผี ประตูนรกจะเปิดให้วิญญาณทั้งหลายมารับส่วนบุญ ลูกค้าจึงมาซื้อเครื่องกงเต๊กกับเรา ระหว่างทางที่กำลังขนของไปโรงเจเพื่อจะคัดแยกเป็นชุดก็เกิดไฟลุกไหม้ที่หลังรถทั้งที่ไม่มีอะไรเป็นสาเหตุ มีแต่เสื้อผ้ากงเต๊ก เขาจึงพูด ‘ไม่ต้องแย่งกัน’ ที่สุดวันนั้นรถเขาคว่ำ แต่ตัวเขาปลอดภัย รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งมาห่อหุ้มป้องกันไว้ เรื่องแบบนี้อธิบายยาก แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เรายังคงเผาเครื่องกระดาษส่งให้พ่อแม่และบรรพบุรุษทุกวันสำคัญตามปฏิทินจีน และยึดมั่นในอาชีพขายเครื่องกงเต๊กจนวันนี้”
เจ๊จูเสริม สมัยนี้พิธีกรรมกงเต๊กถูกลดทอนลงมากและหาคนเข้าใจความหมายลึกซึ้งยาก เพราะไม่ได้รับการปลูกฝังต่อ ลูกค้าหลายครอบครัวก็ตัดตอนจนเหลือแค่จัดสวดแบบไทย แต่ซื้อเครื่องกระดาษมากมายเผาส่งให้ผู้ตายโดยมีพระจีนหนึ่งรูปทำพิธีให้
ครั้งมีลมหายใจเคยใช้ชีวิตเป็นสุขอย่างไร ลูกหลานก็หวังให้บรรพบุรุษ ยังได้รับสถานะนั้นในโลกหลังความตาย
อาจเพียงปรารถนาให้ผู้ตายประสบสุขในโลกหน้า ซึ่งพิธีศพแบบไทยก็ทำให้คนเป็นสบายใจเปลาะหนึ่ง แต่การเผากระดาษเงินกระดาษทองและข้าวของเครื่องใช้จำลองจากกระดาษจะยิ่งเสริมความสบายใจว่าหากผู้ตายได้รับแล้วจะไม่ขาดแคลนเครื่องใช้ต่าง ๆ
ทั้งที่เครื่องกระดาษเหล่านั้นล้วนเป็น “สิ่งรอง” ที่ลูกหลานปรนเปรอ ยังไม่จำเป็น ค่อยเผาให้ในเทศกาล “เช็งเม้ง” ก็ได้ เสมือนซื้อของฝากผู้ใหญ่ แต่ที่ “จำเป็น” ในพิธีกงเต๊กจริง ๆ มีเพียงหกอย่าง ได้แก่ กระดาษเงินกระดาษทอง ม้า นก โคมไฟวิญญาณ ห้องน้ำ และหีบเสื้อผ้า
เรื่องนี้ครอบครัวอื่นคิดอย่างไรไม่รู้ แต่ถ้าเป็นอาม่า ป๋อจูคงรีบมาเข้าฝัน
ไอ๊หยา…ไม่มีไม่ล่าย ! ไม่เผาไม่ล่าย ! ไม่ทำกงเต๊ก ไม่ล่าย !
นัยลึก
พิธีกงเต๊ก
ตึ้ม ! ตึ้ม ! ตึ้ม !
แต่ละช่วงเวลาของการเริ่มพิธีจะเบิกนำด้วยเสียงกลองดังสามครั้ง
แล้วปี่พาทย์มโหรีจะบรรเลงรับพระสวดเป็นการเปิดมณฑลสถาน
มีโอกาสร่วมสังเกตการณ์ในพิธีกงเต๊กของอากงไฮฮะ แซ่เฮ้ง ที่ครอบครัวทำให้พ่อผู้จากไปในวัย ๙๒ ปี โดยเชิญคณะสงฆ์ห้ารูปจากสำนักสงฆ์ส่วงกวงจินซ้ามาประกอบพิธี
“...อนิจจา วิญญาณซึ่งล่วงลับสู่ปรโลก ส่วนเจตภูตก็แปรผัน ยังไม่ทราบว่าจะไปสู่สุขทุกข์ประการใด ฉะนั้นจึงอุทิศกุศลให้เพื่อจะได้รับผลสุขยังภพหน้า ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๘ ซึ่งเป็นวันกำหนดบำเพ็ญกุศลพิธีกงเต๊ก เจ้าภาพพร้อมด้วยคณาญาติทั้งหลายจึงได้อาราธนาพระภิกษุสงฆ์จัดตั้งมณฑลแท่นบูชาพระรัตนตรัย สวดพระสัทธรรมคัมภีร์ ประมวลกุศลแผ่ถึงผู้ล่วงลับ...”
คือส่วนหนึ่งของถ้อยความใน “ส่อบุ่ง (เอกสารฎีกา)” ที่ประธานสงฆ์กล่าวหลังอัญเชิญพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งหลายมาสถิตในมณฑลสถานเป็นสักขีพยานการประกอบพิธีให้บังเกิดความศักดิ์สิทธิ์และเป็นมงคล โดยก่อนหน้ามีการระบุชื่อผู้ตาย ที่อยู่เมืองจีน ที่อยู่ในไทย บ้านเลขที่ ซอย ถนน เวลาเกิด-เสียชีวิตของผู้ตาย และชื่อลูกหลาน พร้อมแจ้งว่าขณะนี้กำลังประกอบพิธีที่ไหน เวลาใด เพื่อจะฝากฎีกาสำคัญนี้ไปกับ “ม้ากงเต๊ก” สัตว์พาหนะผู้นำส่งเอกสารฎีกาสู่ยมโลก
เชื่อกันว่าคนเราเกิดมาย่อมมีกรรมดีกรรมชั่ว หากตายต้องลงนรกก่อน เมื่อจะประกอบพิธีกงเต๊กจึงต้องบอกกล่าวยมโลกว่าวันนี้ลูกหลานผู้ตายมีความศรัทธาเชิญคณะสวดมนต์มาประกอบพิธีอุทิศให้ผู้ตาย หน้าที่ของม้ากงเต๊กคือเดินทางไปแจ้งข่าวนั้นและขออนุญาตให้ผู้คุมยมโลกเปิดทางแก่วิญญาณที่มีนามอยู่ในฎีกาขึ้นมารับส่วนบุญบนโลกมนุษย์ที่ลูกหลานจะทำให้ โดยประธานสงฆ์จะใช้ธูปสามดอก เทียนหนึ่งเล่ม เขียนยันต์ที่หัวม้าพร้อมสวดคาถาและพรมน้ำมนต์จากถ้วยเล็ก ๆ น่าสนใจการใช้นิ้วแสดงลีลากลางอากาศราวกำลังเขียนอักษรจีนก่อนใช้ใบทับทิมพรมน้ำมนต์อีกครั้ง จากนั้นลูกชายคนโตของอากงไฮฮะจะยกม้ากงเต๊กขึ้น “เหี่ยม (จบเหนือศีรษะ)” แล้วส่งให้เจ้าหน้าที่สำนักสงฆ์เผา คือสัญลักษณ์ว่าม้ากำลังเดินทางสู่ยมโลกแล้ว
“ส่อบุ่ง” (เอกสารฎีกา) ระบุชื่อผู้ตาย ที่อยู่เมืองจีน ที่อยู่ในไทยบ้านเลขที่ ซอย ถนน เวลาเกิด-เสียชีวิตของผู้ตาย และชื่อลูกหลาน พร้อมแจ้งว่าขณะนี้กำลังประกอบพิธีที่ใด
เสื้อผ้ากงเต๊กสะท้อนโลกแห่งแฟชั่นของคนเป็นในแต่ละยุคสมัย
ระหว่างนั้นภิกษุจะสวดเจริญพระพุทธมนต์เชิญวิญญาณผู้ตายมาสถิต “โคมวิญญาณ” ที่มีชื่อผู้ตายและเสื้อของผู้ตายแขวนไว้กับโคม ขณะลูกชายคนโตทำหน้าที่เชิญกระถางธูปจากหน้าโต๊ะตั้งเครื่องไหว้ผู้ตาย ลูกชายคนรองจะถือโคมวิญญาณไป “ห้องน้ำกงเต๊ก” (ตั้งอยู่บริเวณหน้าที่ตั้งศพ) เพื่อเชิญผู้ล่วงลับมาอาบน้ำชำระดวงจิตให้บริสุทธิ์ (สื่อถึงการล้างอกุศลกรรมที่ผู้ตายทำขณะมีชีวิต) เพื่อให้ดวงวิญญาณพร้อมฟังธรรมและรับของที่ลูกหลานเตรียมให้ ในห้องน้ำจึงตั้งอ่างสีขาวใส่น้ำสะอาดพร้อมผ้าขนหนูสีขาว จากนั้นภิกษุจะนำเดินกลับไปยังหน้าโต๊ะตั้งเครื่องไหว้ผู้ตายอีกครั้งเพื่อเชิญกระถางธูปกลับเข้าที่เดิม เป็นหน้าที่ของลูกสะใภ้ต่อที่ต้องยกอ่างในห้องน้ำกงเต๊กไปเทน้ำทิ้งตามธรรมเนียมจีนที่ลูกสะใภ้ต้องปรนนิบัติรับใช้พ่อแม่ของสามี (หากครอบครัวไหนไม่มีลูกสะใภ้ ลูกสาวจะทำหน้าที่นี้)
จากนั้นเจ้าหน้าที่จะนำของไหว้คาวหวานมาตั้ง ให้ลูกหลานเป็นผู้ถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อพระนำสวดเสร็จ ลูกหลานก็กราบพระสามครั้ง…เป็นอันจบพิธีรอบแรก
รอบ ๒ มีพิธีคล้ายรอบแรก แต่เปลี่ยนม้าเป็น “นกกงเต๊ก” ให้บินไปส่งสารบนสวรรค์
ลูกชายคนโตเชิญกระถางธูป (ธรรมเนียมกวางตุ้งจะเชิญป้ายวิญญาณ) ไปห้องน้ำกงเต๊ก ภิกษุจะสวดมนต์และทำน้ำพระพุทธมนต์ไว้พรมกระถางธูป พร้อมเทน้ำพระพุทธมนต์ส่วนหนึ่งลงอ่างที่เตรียมไว้ ให้ลูกชายคนโตเชิญกระถางธูปกลับยังโต๊ะที่ภิกษุสวดอยู่เพื่อพรมน้ำพระพุทธมนต์อีกครั้ง แล้วนำลูกหลานเดินไปหน้าปะรำพระพุทธ คราวนี้เมื่อลูกชายคนโตเชิญกระถางธูป ลูกชายคนรองจะถือโคมวิญญาณตามไป ขณะภิกษุทำหน้าที่สวดขอขมากรรมแทนผู้ตาย ลูกหลานจะต้องกราบพระแทนวิญญาณผู้ตาย หลังจากนั้นภิกษุจะพาเดินกลับยังหน้าโต๊ะผู้ตายอีกครั้งเพื่อเชิญกระถางธูปกลับที่ เป็นอันเสร็จ “พิธีชำระอกุศลกรรมของผู้ตาย”
ไม่ว่าครั้งมีชีวิตผู้ตายจะกระทำกรรมใดไว้โดยตั้งใจหรือไม่
แต่ถือว่าบัดนี้ลูกหลานได้ “แสดงความกตัญญู” ขอขมากรรมแทนแล้ว
ลูกสะใภ้จะยกอ่างในห้องน้ำกงเต๊ก-พื้นที่ชำระล้างดวงวิญญาณไปเททิ้ง
จากนั้นจัดโต๊ะจีนไหว้บรรพบุรุษของผู้ตาย เพื่อแจ้งว่ามีลูกหลานเสียชีวิต ให้ท่านช่วยมาดูแลและกินอาหารที่จัดเลี้ยง ขั้นตอนนี้เป็นการสอนให้ลูกหลานรู้คุณต่อบรรพบุรุษ
นึกถึงอาม่าป๋อจูของตัวเองที่กลายเป็นบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ ครั้งอาม่ามีชีวิตชอบพร่ำสอนให้ลูกหลานไหว้บรรพบุรุษ วันสารทจีนไหว้จากที่บ้าน ถึงวันเช็งเม้งยังต้องเดินทางไปสุสานเพื่อแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษอีก แม้วันตวนอู่ก็ต้องทำขนมบ๊ะจ่างไหว้วิญญาณเผ่าพันธุ์บรรพบุรุษซึ่งไม่ใช่ญาติเรา แต่เป็นผู้ที่ทำความดีแก่ชาติบ้านเมือง อาม่าไม่สนใจว่าทำเพื่ออะไร แค่ตั้งใจและอบรมให้ลูกหลานทำตาม เห็นโต๊ะจีนเซ่นไหว้บรรพบุรุษของอากงไฮฮะเต็มด้วยอาหารคาวหวาน ผลไม้ เครื่องดื่มก็อดจินตนาการถึงภาพความรื่นเริงยามครอบครัวใหญ่ มาพบปะกินข้าวร่วมกันไม่ได้ ทั้งที่มองไม่เห็นว่าพวกเขาอิ่มอร่อยไหม แต่ลูกหลานได้อุทิศให้แล้วอิ่มใจ
การเผา “ม้ากงเต๊ก” คือการส่งสัตว์พาหนะออกเดินทางไปยมโลกเพื่อนำเอกสารแจ้งข่าวแก่ยมฑูตว่ามีผู้เสียชีวิต
การข้าม “สะพานโอฆสงสาร” (สะพานกงเต๊ก) เป็นการส่งวิญญาณผู้ตายไปสรวงสวรรค์ โดยพระผู้ใหญ่หรือผู้ถือศีลอาวุโสเป็นผู้นำข้าม (เปรียบดั่งพระอรหันต์ที่บารมีแก่กล้า)
การโปรยเหรียญที่สะพานนอกจากถือเป็นการจ่ายค่าผ่านทางแก่ผู้อารักษ์สะพาน ยังเป็นนัยสอนเรื่องการสละละทิ้งทรัพย์สมบัติทางโลกเมื่อสิ้นชีวิตลง
การเดินสะพานอาจวน ๓, ๕ หรือ ๗ รอบก็ได้ให้เป็นจำนวนเลขคี่ และเดินข้ามไปเท่าไร ขากลับต้องวนจำนวนเท่าเดิม
เครื่องกระดาษกงเต๊กไม่เพียงเป็นสิ่งที่เผาในพิธีกรรมเพื่อคนตาย ยังเป็นเครื่องยืนยันคุณค่า ความมีอยู่-หน้าตาทางสังคมของคนเป็น
เครื่องกระดาษที่เตรียมเผาทุกชิ้นจะเขียนชื่อของคนตาย-ผู้รับ เอาไว้บนกระดาษอีกแผ่นด้วย เพื่อให้ส่งถึงผู้รับถูกต้อง
หลังไหว้สำรับบนโต๊ะเสร็จก็ถึงเวลาส่งมอบ “หีบ” (สีแดง) ให้บรรพบุรุษ (ส่วนของผู้ตายใช้ “สีเขียว”) ภายในบรรจุเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ กระดาษเงินกระดาษทอง ฯลฯ จำนวนหีบอาจนับตามจำนวนบรรพบุรุษที่ผูกพันอยากไหว้ หรือนับยอดครอบครัวของบรรพบุรุษฝ่ายชายกับสะใภ้ก็ได้ (ลูกสาวแต่งออกถือเป็นคนตระกูลอื่น) การส่งมอบจะถือว่าสมบูรณ์เมื่อมีการเผา
ขั้นตอนพิธีกงเต๊กในไทยที่ประกอบพิธีโดยคณะสงฆ์วัดจีนหรือญวนจะคล้ายคลึงกัน เพราะต่างเป็นพุทธศาสนา นิกายมหายาน อยู่บนพื้นฐานคติความเชื่อเรื่องการส่งบุญ การชำระบาปให้กับผู้ตาย แต่หากครอบครัวใดเลือกประกอบพิธีโดยผู้ถือศีลจากโรงเจก็อาจมีรูปแบบต่างเล็กน้อยตามแต่ละวัฒนธรรม ของกวางตุ้งเด่นที่ใช้ผ้าโพกหัวสีขาว ไม่ใส่เสื้อกระสอบ และจะมีพิธีโยคะตันตระ (ทิ้งกระจาด) ดั่งพิธีเปิดประตูนรก, ของฮกเกี้ยนจะประกอบพิธีโดยพระสงฆ์จากลัทธิเต๋า และของแคะ (ฮากกา) จะให้ “นางชี” บ้างเรียก “เจอี๊” เป็นผู้ประกอบพิธี ซึ่งไม่ได้โกนหัว แต่เป็นชีที่แต่งหน้าทำผมสวยงาม
ตอนงานกงเต๊กอาม่าฮะเน้ย (อายุ ๑๐๒ ปี) ลูกหลานเลือก “แปะอี” อุบาสก-ผู้ถือศีลจาก “โรงเจเง็กเช็งซำเป้าเก็งเต๊ง (โรงเจซำเป้าอัมพวา)” ให้นำสวดมนต์และทำพิธีกงเต๊ก ด้วยโรงเจนั้นมีความผูกพันกับครอบครัว [โรงเจเง็กเช็งซำเป้าเก็งเต๊งตั้งขึ้นปี ๒๔๓๘ กิจกรรมเริ่มแรกเน้นการนั่งสมาธิถือศีลกินเจ ปี ๒๔๘๕ คณะกรรมการโรงเจย้ายสถานที่มาตั้งรวมกับศาลเจ้าเง็กเช็งที่ตั้งอยู่ก่อน แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเจเง็กเช็งซำเป้าเก็งเต๊ง (โรงเจซำเป้าอัมพวา)” เปิดเป็นสถานที่ทำกิจกรรมและเป็นที่พักแก่ผู้ถือศีลกินเจ)] เมื่อครั้งผู้เป็นพ่อเสียชีวิตเคยทำกงเต๊กกับโรงเจแห่งนี้ ถึงคราวแม่เสียชีวิตจึงให้ความศรัทธาต่อ
“ผมคิดว่าการที่เจ้าภาพจะเลือกผู้ประกอบพิธีกงเต๊กเป็นสมณสงฆ์สวมจีวรหรือแปะอีผู้ถือศีลช่วยเผยแผ่ศาสนาสวมชุดขาวอยู่โรงเจ ขึ้นอยู่กับความศรัทธาและความวางใจ ส่วนใหญ่เจ้าภาพที่เลือกแปะอีมักเป็นลูกศิษย์ของโรงเจนั้น ผมว่าเนื้อหาสำคัญของพิธีกงเต๊กอยู่ที่บทสวดและความตั้งใจของเจ้าภาพเป็นสำคัญ ผู้สวดเป็นเพียงสื่อกลางนำประกอบพิธีกรรม แต่ลูกหลานก็ต้องมีความศรัทธาต่อผู้ประกอบพิธีและตั้งมั่นในการประกอบพิธีนั้น ผมทราบมาว่าเมื่อ ๓๐ ปีก่อนลูกหลานก็ให้ทางโรงเจนี้จัดกงเต๊กให้คุณพ่อ”
หากไม่มองชุดที่สวม กระบวนพิธีกงเต๊กที่พวกเขาทำแทบไม่ต่างจากสงฆ์ แต่ที่โดดเด่นคือเสร็จจากเซ่นไหว้อาหารโต๊ะจีนบรรพบุรุษ (ก่อนเข้าสู่พิธีข้ามสะพานกงเต๊ก) จะเพิ่มการแสดงมงคลที่อุปโลกน์ให้เป็นหนึ่งในพิธีกรรมและมีมาตั้งแต่สมัยปลายราชวงศ์ซ่ง โดยถือเป็นโอกาสให้ลูกสาวที่ออกเรือนแล้วแสดงความกตัญญูต่อบุพการีโดยเป็นเจ้าภาพและจุดธูปบอกผู้ตายว่าได้จัดการแสดง “ซึงกิมซัว” แปลว่าทลายภูเขาทอง ที่คนไทยรู้จักในชื่อ “พิธีวิ่งธง” โดยมีกลุ่มชายแต่งกายชุดภิกษุจีน (แบบพระถังซำจั๋ง) มีการแปรแถว-ต่อตัวเรียกความตื่นตาตื่นใจตามจังหวะประโคมดนตรี ไฮไลต์อยู่ที่การถือธงวิ่งเป็นรูปยันต์ซึ่งพระอรหันต์จี้กงเขียนขึ้นเพื่อเรียกวิญญาณของพระนางฮีสี นัยว่าเป็นการเปิดโลกสวรรค์และมนุษย์ให้เชื่อมถึงกัน แล้วกลุ่มนักแสดงก็แบ่งทีมแสดงบทเจรจากับยมบาลและเจ้าหน้าที่ผู้คุมสะพานเพื่อขออนุญาตให้ลูกหลานข้ามสะพานไปส่งดวงวิญญาณยังสุดเขตโลกมนุษย์ คนเป็นเชื่อว่าหากคนตายประทับใจการแสดงนี้ก็อาจอวยพรให้ลูกหลานเจริญรุ่งเรือง
การเผากระดาษเป็นขั้นตอนสุดท้ายซึ่งถือว่าสำคัญมากของพิธีกงเต๊ก เพราะเชื่อว่าวิญญาณที่อาศัยอีกภพ มีความเป็นอยู่และความต้องการต่าง ๆ ลูกหลานจึงต้องส่งอาหาร สิ่งของเครื่องใช้ไปให้มีกินมีใช้ไม่ลำบาก
นอกจากนี้ชาวจีนในไทยกลุ่มอื่นอาจจัดการแสดงรูปแบบอื่น ชาวไหหลำอาจแสดงงิ้ว ชาวแคะมีคณะสตรีแสดงกายกรรม เทียบเคียงกับงานศพคนไทยก็อาจเป็นการร่ายรำต่าง ๆ หน้าที่ตั้งศพเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศไม่ให้หม่นหมองเกินไป
แต่ยากที่งานศพใดจะไม่โศก โดยเฉพาะหากเป็นพิธีกงเต๊กของแม่
ชาวจีนแต้จิ๋วจะมีพิธี “โล่ยฮ่วยพุ้ง (ไหว้อ่างโลหิตมารดา)” เป็นการแสดงตอบแทนพระคุณแม่ พิเศษตรงลูกทุกคนต้องเป็นผู้แสดง โดยนั่งล้อมชามโคมเปล่าที่มีกระด้งวางอยู่ บนกระด้งจัดเรียงถ้วยเล็กตามจำนวนลูก บรรจุ “น้ำอั่งขัก” (น้ำที่ได้จาก “อั่งขักบี้” ข้าวสารหมักด้วยเชื้อรา) สีแดง รสเฝื่อนจัด คนจีนใช้เป็นสีย้อมเปลือกไข่ไหว้เจ้าให้เป็นสีแดงสวย ซึ่งเต้าหู้ยี้หรือซอสเย็นตาโฟก็ใช้น้ำอั่งขักนี้เป็นส่วนผสม แต่ไม่มีใครกินแบบไม่เจือจาง เมื่อต้องดื่มคนละถ้วยก็ขื่นคอแล้ว ขณะพยายามจิบทีละนิดให้หมดถ้วยยังถูกขยี้ใจด้วยบทพรรณนา
แต่ละวรรคแต่ละบทกวีคือความสามารถสำคัญที่ผู้นำพิธีต้องขับขานด้วยจังหวะจะโคนที่มีพลังปลุกจิตวิญญาณคนเป็น ลูกคนใดสนิทกับแม่มาก หรือลูกสาวที่ผ่านประสบการณ์มีลูกจะยิ่งรู้สึกสะเทือนใจ ทำให้การดื่มน้ำอั่งขักอันเป็นสัญลักษณ์ “เวรกรรมที่แม่เคยกระทำ” ยิ่งกลืนยากขึ้นเพราะต้องกล้ำกลืนปนน้ำตา หากลูกคนใดดื่มเหลือพี่น้องต้องช่วยกันดื่มต่อจนหมด
เป็นความกตัญญูของลูกที่ช่วยกันสะสาง-กลืนกรรมแทนผู้เป็นแม่
เพื่อให้ดวงวิญญาณของแม่หมดสิ้นมลทินก่อนขึ้นสวรรค์
“สมัยก่อนที่โรงเจเง็กเช็งฯ มีคนติดต่อทำพิธีกงเต๊กเยอะ รุ่นอากงอาม่าของผมทำพิธีกงเต๊กทั้งนั้น พวกเขาเคร่งครัดมาก ถ้าบรรพบุรุษมาจากมณฑลไหน ที่นั่นประกอบพิธีกรรมอย่างไร เซ่นไหว้อะไรบ้าง เขาจะต้องจัดหามาทำในเมืองไทยให้ได้ เดี๋ยวนี้คนทำพิธีกงเต๊กน้อยลง อาจไม่ครบเครื่อง ขอแค่มีไหว้ก็ดีมากแล้ว อนาคตคงน้อยลงอีก หลายขั้นตอนอาจลดทอนเพราะเวลาจำกัด บางวัดมีกฎเกณฑ์ให้เราทำกงเต๊กได้แค่ ๓ ทุ่ม ดึกกว่านั้นจะรบกวนเวลาจำวัด สำหรับผมแม้มีพิธีใดเพิ่มซึ่งต้องใช้เวลา แต่ขั้นตอนสำคัญของการสวดผมจะไม่ให้ขาดตกบทใดเลย มีเวลามากก็ร่ายทำนองให้ช้าลงเพื่อยืดเวลา หรือสวดเร็วขึ้นถ้าเวลาน้อย”
หลังฟังแปะอีเล่า เมื่อมีโอกาสร่วมงานพิธีกงเต๊กของครอบครัวอื่นจากนั้นจะรู้สึกสนุกกับการแกะรอยความหมายและความสำคัญที่ซ่อนในแต่ละพิธี ตั้งใจฟังการสวดมนต์ที่ชวนเพลินด้วยจังหวะเสียงของ “บักฮื้อ” อุปกรณ์ไม้ที่ทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานใช้เป็นเครื่องดนตรีประกอบพิธี จะมีไม้เคาะขณะสวดควบคุมจังหวะช้า-เร็ว รวมถึงให้สัญญาณคณะสวดมนต์ในช่วงที่จะเริ่มต้น หยุด หรือเตรียมเปลี่ยนบทสวด
ต๊อก...ต๊อก...ต๊อก...
ในวันถัดมาหลังสิ้นสุดพิธีกงเต๊ก โลงจำปาจะได้รับการเคลื่อนไปยังฮวงซุ้ย (สุสาน) ที่ครอบครัวจัดเตรียมไว้ หน้าฮวงซุ้ยมีแผ่นหินสลักชื่อเจ้าของคนเป็นด้วยสีแดง ส่วนคนตายจะเขียนด้วยสีเขียว
ส่ง
ดวงวิญญาณ
สู่แดนสรวง
ทั้งหมดของพิธีกงเต๊กที่ทำนำมาสู่ขั้นตอนสำคัญตรงหน้า
“ข้าพเจ้าพร้อมด้วยคณาญาติ ขอน้อมอัญเชิญและถวายเครื่องสักการะต่อเจ้าที่หัวสะพาน เจ้าที่ท้ายสะพาน วาระนี้ขออาราธนาพระภิกษุสงฆ์สวดพระพุทธมนต์นำดวงวิญญาณคุณพ่อไฮฮะ แซ่เฮ้ง ข้ามสะพานวัฏสงสารเพื่อหลุดพ้นจากกองทุกข์เวียนว่ายตายเกิดไปสู่สุคติภพ อันมีแดนสุขาวดีพุทธเกษตรเบื้องหน้าทิศตะวันตกเป็นที่หมาย ขอเจ้าที่หัวสะพาน เจ้าที่ท้ายสะพาน โปรดเปิดทางและเป็นสักขีพยานในพิธีกุศลกงเต๊กของข้าพเจ้าทั้งหลายในค่ำคืนนี้ด้วยเทอญ”
หลังจุดธูปบูชาเทพผู้อารักษ์สะพานโดย วิจารณ์ แซ่เฮ้ง วัย ๖๑ ปี ตัวแทนครอบครัวกล่าวในฐานะลูกชายคนโตของผู้ตาย ภิกษุจีนทั้งหมดจะตั้งกระบวนที่ปะรำหน้าศพ สวดพระพุทธมนต์ แล้วเริ่มพิธีนำดวงวิญญาณผู้ตายข้าม “สะพานโอฆสงสาร (สะพานกงเต๊ก)” เป็นสะพานไม้ขนาดประมาณโต๊ะตัวหนึ่งที่แข็งแรงมากพอรับน้ำหนักให้ทุกคนเดินข้ามได้จริง โดยประธานสงฆ์ถือโคมวิญญาณนำหน้าขบวนภิกษุแล้วต่อด้วยขบวนลูกหลานที่เรียงแถวตามลำดับศักดิ์
การข้ามสะพานกงเต๊กเป็นสัญลักษณ์แทนการเดินทางสู่อีกภพ
คือการที่พระสงฆ์พาดวงวิญญาณมาส่งยังเขตแดนสุขาวดี (ไป้ฮุกโจ้ว) โดยมีลูกหลานขออนุญาตติดตามมาส่งบุพการีด้วยความกตัญญู เพื่อให้แน่ใจว่าท่านได้ถึงสุคติภูมิเรียบร้อย
การข้ามสะพานแบ่งเป็นสองช่วง คือ ข้ามไปและข้ามกลับ
ช่วงแรกพาดวงวิญญาณข้ามไปส่งแดนสวรรค์ โดยจะเดินวนสามรอบ ทุกครั้งที่เดินข้ามสะพานลูกหลานทุกคนต้องโยนสตางค์ลงในอ่างน้ำที่ตั้งอยู่หัวและท้ายสะพาน ประหนึ่งจ่ายค่าผ่านทาง เมื่อครบจำนวนรอบก็ถือว่า “ข้ามถึงเขตแดนสวรรค์”
ขบวนภิกษุจะหยุดเคลื่อน วางโคมวิญญาณลง แล้วก้มกราบพระพุทธ จุดธูปสามดอกให้ลูกชายคนโตไหว้ เพื่อเป็นตัวแทนผู้ตายไหว้พระพุทธ แล้วปักธูปลงในกระถางธูปของผู้ตายเอง
จากนั้นเหล่าภิกษุจีนจะตั้งขบวนอีกครั้งเพื่อพาลูกหลานเดินข้ามสะพานโดย “ไม่ถือโคมวิญญาณกลับมา” และใช้เส้นทางสวนกับขาไปตามจำนวนรอบที่ข้ามเพื่อ “กลับสู่โลกมนุษย์”
ขบวนภิกษุจะหยุดเคลื่อนอีกครั้งเมื่อถึงโลกมนุษย์ ลูกชายคนโตนำกระถางธูปไปวางที่ปะรำหน้าศพ เจ้าหน้าที่จะนำ “หีบสีเขียว” ของผู้ตายที่ภายในบรรจุเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ กระดาษเงินกระดาษทอง ฯลฯ (คล้ายหีบสีแดงที่ไหว้บรรพบุรุษ) มาวางโดยมีโคมวิญญาณวางซ้อนบนหีบ จากนั้นลูกหลานจะนั่งฟังพระสวดต่อจนจบหนังสือสวดมนต์เล่มสุดท้าย
เสร็จพิธี ลูกหลานจะกราบหน้าศพ แล้วเหี่ยม (ยกขึ้นจบเหนือศีรษะ) หีบเสื้อผ้ากับโคมวิญญาณเพื่อนำไปเผา เช่นเดียวกับบรรดาของกงเต๊กอื่นที่ก็ต้องเหี่ยมทุกครั้ง
ก่อนส่งเผา
คนอื่นอาจช่วยยกได้ แต่ลูกหลานเท่านั้นที่ต้องเป็น
ผู้เหี่ยมเอง
เสร็จจากขั้นตอนนี้หากเป็นชาวกวางตุ้งจะมีพิธีโยคะตันตระ (ทิ้งกระจาด) โดยมีภิกษุจีนโปรยทานอุทิศบุญกุศลแก่เวไนยสัตว์แล้วทำพิธีบังสุกุล ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของพิธีกงเต๊กเช่นเดียวกับชาวจีนกลุ่มอื่น คือ เผากระดาษเงินกระดาษทอง บ้านจำลอง เครื่องกระดาษ
ขณะเผาเครื่องกระดาษ พระจีนจะสั่นกระดิ่ง ลูกหลาน
จะถือไม้เคาะพื้น นัยว่าป้องกันวิญญาณพเนจรมาแย่งรับของที่เผา เมื่อเผาเสร็จสิ้นถือเคล็ดว่าเดินออกไปแล้วห้ามหันกลับไปมอง ให้อิสระผู้ตายรับของก่อนจากไป
การเผาเครื่องกระดาษจำลองทุกสิ่งอย่างแก่คนตายที่ล้วนซื้อหาด้วยเงินจริงของคนเป็น นอกจากช่วยส่งให้วิญญาณผู้ตายนำไปใช้ในโลกหน้า ยังสะกิดให้คนเป็นเข้าใจสัจธรรมสำคัญ...สิ่งของใดที่มีอยู่มิได้จีรัง เป็นเพียงของชั่วคราวที่หายได้ตามกาลเวลา
คนต่างวัฒนธรรมอาจมองค่าใช้จ่ายในงานกงเต๊กเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
แต่ลูกหลานที่เติบโตมาในครอบครัวจีนต่างเข้าใจงานศพที่ดีที่สุดนับเป็นสิ่งสุดท้ายที่คนเป็นจะอุทิศผลบุญแก่คนตาย ครั้งงานศพอาม่าป๋อจูของเราก็เช่นกัน พวกอาโกอากู๋ไม่ได้สนใจว่าอาม่าจะรับรู้สิ่งที่ลูกทำให้หรือไม่ แต่สนใจว่าถ้าญาติมิตรซึ่งเป็นพี่น้องเพื่อนฝูงของอาม่ามาร่วมงาน พวกเขาย่อมสรรเสริญชื่นชมในบารมีของอาม่าที่เลี้ยงลูกให้มีความกตัญญูรู้คุณ ไม่ตำหนิดูถูกอาม่าได้ เพราะเรื่องกตัญญูยิ่งใหญ่เสมอสำหรับชาวจีน
เมื่อประตูเตาเผาปิดสนิท กลุ่มควันพวยพุ่งออกจากปล่องลอยขึ้นฟ้า ภิกษุจีนจากสำนักสงฆ์ส่วงกวงจินซ้าเอ่ยเรียกลูกหลานและญาติมิตรที่มาส่งอากงไฮฮะ แซ่เฮ้ง ให้คืนสู่ใจปรกติ
“เดินตามกระถางธูปมา แล้วอย่าหันหลังกลับไปมองนะ”
เสร็จสิ้นการเผา หากเป็นคนไทยวันถัดไปจะเป็นพิธีลอยอังคาร ด้วยเชื่อว่าชีวิตเกิดจากการรวมของธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อร่างกายแตกสลายจึงพาธาตุน้ำคืนสู่ธรรมชาติโดยนำเถ้ากระดูกไปลอยแม่น้ำหรือทะเล สำหรับลูกหลานจีนจะนำศพไปฝังดินยังสุสานที่ซื้อที่ไว้ล่วงหน้า...นัยที่เหมือนกันไทย-จีน คือคนเป็นอยากให้คนตายได้พบความร่มเย็น
“ถ้าครอบครัวไหนไม่ได้ซื้อสุสานไว้ตั้งแต่อดีตและไม่มีเงินพอจะซื้อที่ดินในยุคนี้ก็อาจทำพิธีกงเต๊กแล้วเลือกเผาศพแบบไทย ไม่ได้มีพิธีที่สุสานในวันถัดไป ก็ไม่ผิด เป็นความสะดวกของคนที่มีชีวิตอยู่ การแสดงความกตัญญูไม่ได้จบที่พิธีกงเต๊กหรือสุสานหรอก สมัยก่อนทุกวันสำคัญ ม้าจะพาเราจัดพิธีเซ่นไหว้เตี่ยเสมอ วันนี้ม้าเสียแต่สิ่งที่ม้าสอนก็อยู่ในหัวเราและหัวใจ เราก็จะเซ่นไหว้เตี่ยกับม้าตลอดไปเช่นกัน ส่วนตัวเราเองมีลูกสาวคนเดียวซึ่งออกเรือนแล้ว ตามธรรมเนียมจีนก็เหมือนเขาไปเป็นลูกสาวบ้านสามี ถ้าต้องมาจัดพิธีกงเต๊กให้เราคงเป็นภาระหนักอยู่ ถึงเขาจะถือว่าเป็นหน้าที่ แต่ใจเราก็ไม่อยากให้ลูกลำบาก”
ลูกสาวของอาม่าฮะเน้ย แซ่เล้า (อายุ ๑๐๒ ปี) เคยเล่าไว้ตอนเรามีโอกาสไปร่วมพิธีกงเต๊กของครอบครัวเขาเมื่อ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๙ และมีเหตุให้ขาดการติดต่อไปนานจนล่วงสู่ปี ๒๕๖๘ ไม่รู้วันนี้อาโกเป็นอย่างไร หากยังมีชีวิตจะอายุ ๗๙ ปี
น่าคิดว่าแท้แล้วพิธีศพทุกชาติศาสนาทั่วโลกอาจไม่ได้ทำเพื่อคนตาย
คนเป็นต่างหากที่ปรุงจิตประดิษฐ์พิธีเพื่อสอนการใช้ชีวิตแก่ลูกหลาน
ขอขอบคุณ
ครอบครัวอาม่าป๋อจู แซ่อึ้ง (อายุ ๘๑ ปี พิธีกงเต๊ก ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๓)
ครอบครัวอาม่าฮะเน้ย แซ่เล้า (อายุ ๑๐๒ ปี พิธีกงเต๊ก ๒๖ เมษายน ๒๕๕๙)
ครอบครัวอากงนิ้ม แซ่ตั้ง บิดาของตระกูลตันติวิทยาพิทักษ์
(อายุ ๙๒ ปี พิธีกงเต๊ก ๑๑ กันยายน ๒๕๖๐)
ครอบครัวอากงไฮฮะ แซ่เฮ้ง (อายุ ๙๒ ปี พิธีกงเต๊ก ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๘)
คณะอุบาสกจากโรงเจเง็กเช็งซำเป้าเก็งเต๊ง (โรงเจซำเป้าอัมพวา)
คณะภิกษุจีนจากสำนักสงฆ์ส่วงกวงจินซ้า
เอกสารประกอบการเขียน
สมณะกมลาสน์ (เอ่งเฮง). คู่มือคำกล่าวในพิธีกงเต๊ก. สำนักสงฆ์ส่วงกวงจินซ้า.
สุรสิทธิ์ อมรวณิชศักดิ์. (๒๕๕๙). “พิธีกงเต๊กในราชสำนักไทย : คติว่าด้วยความกตัญญู” ใน วารสารจีนศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๒ ตุลาคม-ธันวาคม.
แสงอรุณ กนกพงศ์ชัย. (๒๕๕๔). กตัญญูในกงเต๊ก และกงเต๊กในกตัญญู พิธีกงเต๊กในสังคมไทยและสังคมโลก. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
เครื่องแต่งกาย
ของครอบครัวในพิธีกงเต๊ก
การแต่งกายแบบพิธีกงเต๊กบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวของผู้เสียชีวิต
ในการประกอบพิธีทุกครั้งไม่ว่าจะนั่ง-ยืน แถวหน้าสุดเป็นลูกชาย แถว ๒ คือลูกสาวและลูกสะใภ้ หลานอยู่แถว ๓ “หลานในสกุล” ที่เกิดจากลูกชายอยู่ก่อน “หลานนอกสกุล” ที่เกิดจากลูกสาว
ที่มาภาพ : https://optimise.kkpfg.com/thinking_big_17.php
ลูกชาย รวมถึง หลานชายคนแรก ที่เกิดจากลูกชายคนโต (ถือเป็นลูกคนสุดท้ายของผู้ตาย) จะใส่ชุดที่ตัดเย็บด้วยผ้าดิบไว้ด้านใน ด้วยถือว่าผ้าดิบมีเนื้อบริสุทธิ์เปรียบดังรักบริสุทธิ์ที่บุพการีมีต่อลูก จากนั้นจะสวมชุดคลุมด้านนอกที่ตัดเย็บจากใยปอ (ผ้ากระสอบ) ประกอบด้วย เสื้อ หมวกทรงสูง (ลูกชายแต่งงานแล้วจะมีผ้าสี่เหลี่ยมเล็กสีขาว ถ้ายังไม่แต่งงานจะเป็นสีแดงติดที่หมวก) เชือกคาดเอวที่มีถุงผ้าเล็กห้อยไว้ ไม้ไผ่เสียบที่เอว (ดั่งคบเพลิงส่องทางขณะไปฝังศพ)
ลูกสาวที่แต่งงานแล้ว และ สะใภ้ ใส่ชุดผ้าดิบด้านในเหมือนลูกชาย ส่วนชุดกระสอบด้านนอกจะเป็นเสื้อ กระโปรง หมวกสามเหลี่ยมยาวถึงหลังมีผ้าสี่เหลี่ยมเล็กสีขาวติดที่หมวก เชือกคาดเอวที่มีถุงผ้าเล็กห้อยไว้ (กรณีตั้งครรภ์จะไม่ใช้เชือกคาด เพียงผูกถุงผ้าที่เอวขวา) ส่วนลูกสาวที่ยังไม่แต่งงานจะต่างตรงหมวกสามเหลี่ยมมีผ้าสี่เหลี่ยมเล็กสีแดงติดไว้
ลูกเขย ใส่เสื้อผ้าสีขาว มีผ้าผืนยาวสีขาวพันรอบเอวและเหน็บชายผ้าที่เอวสองข้าง สวมหมวกเหมือนลูกชายแต่เป็นสีขาว
หลาน ใส่เสื้อผ้าสีขาวกับหมวกผ้าสามเหลี่ยม ถ้า “หลานในสกุล” (ลูกของลูกชาย) จะสวมหมวกขาว ส่วน “หลานนอกสกุล” (ลูกของลูกสาว) ใช้หมวกน้ำเงิน หลานที่ยังไม่แต่งงานจะติดผ้าสี่เหลี่ยมเล็กสีแดงที่หมวก ถ้าแต่งงานแล้วจะเป็นผ้าสีขาว
เหลน ใส่เสื้อผ้าสีขาวกับสวมหมวกผ้าสามเหลี่ยม ถ้า “เหลนในสกุล” จะเป็นหมวกสีเขียว (ถ้าแต่งงานแล้วจะติดผ้าเล็กสีแดงที่หมวก) ส่วน “เหลนนอกสกุล” หมวกเป็นสีเหลือง
ญาติ (พี่ชายและน้องสาว) ของผู้ตาย รวมถึงลูกของพี่ชายหรือน้องชาย จะใส่เสื้อสีขาวหรือดำ ที่เอวผูกสายผ้าสีขาว ส่วนหลานชายและหลานสาว (นอกสกุล) ของลูกสาว จะสวมเสื้อสีขาวหรือดำ ที่เอวผูกสายผ้าสีขาวโดยมีสายสีแดงรัดอยู่