ตำราปฏิทินน่ำเอี๊ยงตั้งแต่รุ่นบุกเบิกจนถึงปัจจุบัน ต้องเปิดจากหลังมาหน้า อ่านจากขวามาซ้าย ตามอย่างตำราจีน เป็นต้นทางสู่ปฏิทินปึกแดงที่หลายคนรู้จัก
ปฏิทินจีน ปฏิสัมพันธ์ไทย
จากโหราศาสตร์จีนแผ่นดินใหญ่
สู่ปฏิทินไทยในโลกดิจิทัล
เรื่อง : นนท์พิเชษฐ์ชาญ ชัยหา
ภาพ : ประเวช ตันตราภิรมย์
สองตามองตามสองข้างถนน สองเท้าเดินบนบาทวิถี ไม่ว่าจะบ้านเล็กหรือใหญ่ ธุรกิจ กิจการ ร้านค้าใกล้ไกล แม้แต่ในวัดวาอาราม โรงเรียน และศาลเจ้า ภายใต้ร่มฟ้าเดียวกันในสำเพ็ง-เยาวราชย่านหลักที่ชาวไทยเชื้อสายจีนลูกหลานจากแผ่นดินมังกรดำรงชีวิตสืบต่อวิถีจากบรรพบุรุษมานับร้อยปี ล้วนมีสิ่งที่เรียกว่าปฏิทินไทย-จีน
วางบนโต๊ะทำงาน แขวนผนังบ้านไว้ดูในครอบครัว หรือพกไว้ใกล้ตัว บ้างถูกฉีกเมื่อวันเดือนเลื่อนผ่าน เสมือนปฏิทินเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ตัวเลขที่เรียงเป็นแถวต่อกันตามแนวในช่องสี่เหลี่ยม เป็นตัวกำกับบอกวันเวลาที่ผันผ่าน ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของปฏิทินทั่วไป แต่สำหรับปฏิทินจีนมีมากกว่านั้น ด้วยยังบอกดวงชะตา ดูฤกษ์มงคล ตลอดจนวันสำคัญ เชื่อมวิถีให้ตรงกันทั้งสองแผ่นดิน สะท้อนความสัมพันธ์ไทย-จีนที่มีมายาวนาน
๑
หน้าแรกของปฏิทิน
แม้ชาวบาบิโลนจะได้รับการขนานนามว่าเป็นอารยชน กลุ่มแรกผู้ต้นคิดปฏิทิน แต่อีกซีกทางทิศตะวันออกของโลกย้อนไปกว่า ๔,๐๐๐ ปีในสมัยราชวงศ์เซี่ย ต้นราชวงศ์ของมหาอาณาจักรจีน มีหลักฐานประดิษฐ์ปฏิทินใช้ครั้งแรกในอารยธรรมมังกร
พัฒนาการของปฏิทินผันเปลี่ยน เกิดปฏิทินอีกหลายชนิดที่เคียงคู่วิถีชีวิตในลุ่มอารยธรรมแห่งนี้ เช่น ปฏิทินซาง ปฏิทินโจว ซึ่งเรียกตามนามราชวงศ์ในช่วงต้นของจีน
นอกจากนี้ยังมีปฏิทินที่ใช้ตามแคว้นน้อยใหญ่สมัยที่แผ่นดินจีนยังไม่รวมเป็นหนึ่ง ทำให้วันเวลาและฤดูกาลแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ แต่ทั้งหมดใช้การโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่สัมพันธ์กับโลกในการคำนวณวัน เวลา และฤดูกาล
กระทั่งจิ๋นซีฮ่องเต้รวบอำนาจแคว้นต่าง ๆ จากดินแดนห่างไกลศูนย์กลางเป็นหนึ่ง สถาปนาตนขึ้นเป็นจักรพรรดิพระองค์แรกของแผ่นดินมังกร จึงประกาศใช้ปฏิทินจวนซีว์เป็นหลักแต่นั้นมา โดยชื่อเรียกปฏิทินเป็นนามของจักรพรรดิจีนในตำนาน ผู้ที่เชื่อว่าค้นคิดปฏิทินจีนให้เป็นระบบแต่ครั้งบรรพกาล
ครั้นถึงต้นราชวงศ์ฮั่น ปี ๔๓๙ พระเจ้าฮั่นอู่ตี้ทรงประกาศใช้ปฏิทินไท่ชู (太初历) ให้อยู่คู่อาณาจักร
ปฏิทินไท่ชูมีข้อดีที่ความแม่นยำ ทำให้ระบบ ๑๒ เดือนตามการเคลื่อนของดวงจันทร์ใน ๑ ปี (เรียกว่าระบบจันทรคติ) สอดคล้องและไม่คลาดเคลื่อนนักกับระบบปฏิทินสุริยคติที่อิงกับดวงอาทิตย์ ซึ่งมีหลักวิธีคิดที่ ๑ ปีของจีนมี ๔ ฤดูกาล แต่ละฤดูแบ่งย่อยได้ ๖ กาล รวม ๒๔ อุตุปักษ์ เกิดเป็นวันหลัก ๆ ตลอดฤดูกาล
ก่อกำเนิดเป็นเทศกาลและวันสำคัญต่าง ๆ ของจีน อย่างวันตรุษจีน ที่เลื่อนไปในแต่ละปีตามปฏิทินจันทรคติ ส่วนวันเช็งเม้ง เทศกาลตังโจ่ยหรือไหว้ขนมบัวลอย ยึดตามปฏิทินสุริยคติที่อิงตามฤดูกาล ทั้งสองอย่างกลายเป็นแม่แบบของปฏิทินจีนยุคหลัง ที่พัฒนาและมั่นคงกว่า ๑,๐๐๐ ปี ปฏิทินจีนจึงมีสองระบบเรียกว่าระบบสุริย-จันทรคติ
ปฏิทินไท่ชูเหมาะกับชีวิตคนในอดีตกาลที่เป็นสังคมเกษตรกรรม จึงใช้สืบต่อมาและพัฒนาเป็นปฏิทินจีนในปัจจุบัน เรียกว่าหนงลี่ (农历) มีความหมายว่าปฏิทิน
กสิกรรม จดจำฤดูกาลตามคำกลอน “วสันต์หว่านไถคิมหันต์เติบใหญ่ สารทไซร้เก็บเกี่ยว เหมันต์เก็บเข้ายุ้งฉาง”
“คนมักมองว่าปฏิทินก็แค่ใช้ดูวันเวลา แต่จริงๆ แล้ว ข้อมูลในปฏิทินนั้นมีคุณค่ามาก...แผนผังชีวิตคุณอยู่ในกระดาษแผ่นนี้”
ย้อนกลับไปไม่ไกลเพียง ๑๐๐ กว่าปี ช่วงที่จีนเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบสาธารณรัฐในปี ๒๔๕๔ (ค.ศ. ๑๙๑๑) เกิดการวิวัฒน์ปฏิทินตามวัฒนธรรมจากแผ่นดินตะวันตกโดยรัฐบาลจีนยกให้ปฏิทินเกรกอเรียนเป็นแม่แบบหลัก
นับวันที่ ๑ มกราคม เป็นวันปีใหม่ตามสากล แทนระบบปฏิทินเก่าที่ถือวันตรุษจีนเป็นวันเปลี่ยนปี และกำหนดให้ใช้ระบบ ๑ ปีมี ๑๒ เดือน, ๑ เดือนมี ๒๘-๓๑ วัน รวมกันได้ ๓๖๕-๓๖๖ วัน เรียกกันในชาติว่าปฏิทินใหม่
แต่นั้นมาปฏิทินจีนจึงมีระบบปฏิทินจากสองซีกโลก คือ ปฏิทินหนงลี่ผสมปฏิทินตามวิถีแบบตะวันตก โดยนำระบบของปฏิทินเกรกอเรียนและสุริยจันทรคติรวมกันในชุดเดียว จนเห็นหน้าตาของปฏิทินเป็นตัวเลขอารบิกกำกับวันสำคัญและเทศกาลของจีนในแต่ละเดือนที่บางครั้งไม่คงที่ แต่มีฤดูกาลทั้ง ๒๔ ตามปฏิทินสุริยคติที่กำหนดวันแน่นอน
เราคุ้นกับปฏิทินจีนยุคหลังนี้ เพราะมันเคียงคู่กับวิถีวัฒนธรรมของลูกหลานมังกรที่เดินทางไปลงหลักปักฐานในแผ่นดินใหม่ และใช้ปฏิทินเป็นตัวเชื่อมเวลาให้ชาวจีนที่อยู่ไกลรู้กำหนดของวันสำคัญ เทศกาล และฤดูกาลตรงตามประเทศแม่
ปฏิทินใหม่จึงผลิตเผยแพร่ในหลายดินแดน รวมถึงประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีลูกหลานมังกรอยู่ราว ๑๐ ล้านคน
ปฏิทินจีนในไทยที่หลายคนรู้จักหนึ่งในนั้นคือน่ำเอี๊ยง แต่ถ้าย้อนถามคนไทยเชื้อสายจีนรุ่นก่อน ปฏิทินจูป๋อคืออีกแหล่งที่ผลิตปฏิทินจีนเช่นกัน
๒
ปฏิทิน ปฏิไทย
ภาพวาดชายชราศีรษะโล้น มีหนวดเครายาวสีขาวสะอาด มือขวาถือไม้เท้าที่มีน้ำเต้า สัญลักษณ์มงคลของจีนแขวนอยู่ เป็นสิ่งบ่งบอกตัวตนของเทพเจ้าซิ่ว (寿) ตัวแทนความอายุยืนและสุขภาพดี ยืนเคียงเด็กห้าคนในกิริยาชื่นมื่นที่กำลังยืนแบกลูกท้อ ในมือเด็กคนหนึ่งถือคทายู่อี่ สัญลักษณ์แห่งความมงคล ข้างบนมีค้างคาวสีแดงทั้งห้า เรียกว่าอู่ฝู (五福) หมายถึงพรห้าประการ ฉากหลังเป็นภาพภูเขาหนานซาน ภูเขาในยุคบรรพกาลของจีน
ทั้งหมดเป็นภาพจำอันโดดเด่นหน้าปกปฏิทิน ที่คนในประเทศไทยเรียกว่าปฏิทินน่ำเอี๊ยง ตามนามของสำนักโหราศาสตร์จีน ซึ่งมีความหมายว่า “แสงจากดวงอาทิตย์ที่มาจากทิศใต้” ผู้ผลิตปฏิทินจีนแหล่งใหญ่ที่อยู่คู่ประเทศไทยมากว่า ๘๐ ปี
ปี ๒๔๘๒ เฮียง แซ่โง้ว ชายหนุ่มวัย ๑๘ ปีจากเมืองซัวเถา มณฑลกวางตุ้ง เดินทางข้ามทะเลมาตามหาบิดาที่เข้ามาทำงานในเมืองสงขลา ไกลสุดหล้าในภาคใต้ของประเทศไทย
เมื่อทราบว่าบิดาเสียชีวิตแล้ว เขาจึงตัดสินใจลงหลักปักฐานที่สงขลาเพื่อหาเงินส่งกลับไปให้ญาติที่เมืองจีนแทนบิดา โดยใช้ความรู้โหราศาสตร์ตามศาสตร์จีนโบราณที่ติดตัวประกอบเป็นอาชีพหลัก
ดูโหงวเฮ้ง ขึ้นดวง (ปาจื้อ) สำรวจดวงชะตา ดูฤกษ์มงคล ตลอดจนวางแผนชีวิตผู้คนและนักธุรกิจชาวจีนและไทย ในนาม “ซินแสเฮียง” หรือที่เรียกติดปากว่า “เหล่าซินแส”
เหล่าซินแสสั่งสมประสบการณ์สร้างรากฐานของตนให้เป็นที่เชื่อถือ อย่างแรกคือพยายามทำให้โหราศาสตร์จีนเป็นที่รู้จักทั้งคนจีนและคนไทย พร้อมสร้างกิจการของตนให้ก้าวไกล เขาจึงเขียนคู่มือโหราศาสตร์จีนเล่มแรก สำหรับใช้ดูฤกษ์งามยามดีและวางแผนชีวิตตนเบื้องต้น เสมือนสานต่อศาสตร์ของจีนไว้ให้อนุชนไปด้วย
เหล่าซินแสยังเดินทางเผยแพร่ความรู้ทุกหัวระแหงของประเทศไทย สอนวิชาให้ทุกคนไม่เว้นแม้คนพิการ ประหนึ่งเป็นทานในการสร้างอาชีพใหม่แก่ผู้ไร้โอกาส
“ท่านมองเห็นว่า การจะทำให้โหราศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผู้คนต้องเข้าใจที่มาและหลักการ ท่านจึงเขียนหนังสือ โดยฉบับแรก ๆ เป็นภาษาจีน ต่อมาพัฒนาเป็นภาษาไทย แล้วสอนให้เข้าใจเกี่ยวกับโหราศาสตร์จีน เพราะไทยและจีนมีวัฒนธรรม ความเชื่อ ศาสนาพุทธที่คล้ายคลึงกัน” แซม-กิตติธัช นำพิทักษ์ชัยกุล หลานชายคนโตของเหล่าซินแสเล่าให้ฟัง
เมื่อเหล่าซินแสมีชื่อเสียงเรื่องความแม่นยำในการทำนายดวงชะตาจึงมีคนชักชวนให้เดินทางมายังกรุงเทพมหานครขณะอายุ ๓๕ ปี ก่อนลงหลักปักฐานตั้งสำนักโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงในชุมชนตรอกสลักหิน ไม่ไกลจากถิ่นชาวจีนกลุ่มใหญ่ในย่านสำเพ็ง-เยาวราช และสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ศูนย์กลางการคมนาคมที่เชื่อมต่อทุกเส้นทางของประเทศในช่วงนั้น
ภาพเทพเจ้าซิ่วถือไม้เท้าพร้อมสัญลักษณ์มงคลต่าง ๆ ใช้เป็นหน้าปกตำราและปฏิทินน่ำเอี๊ยงมาตั้งแต่สมัยซินแสเฮียง แซ่โง้ว จนเป็นภาพจำของปฏิทินจีนมาถึงวันนี้
เหล่าซินแสพบว่า ประชากรจีนจากแผ่นดินมังกรที่เข้ามาอยู่อาศัยและประกอบอาชีพต่าง ๆ ในประเทศไทย ขาดสิ่งที่ช่วยดำเนินชีวิตไปข้างหน้าซึ่งมีเวลาและดวงชะตาเป็นตัวกำกับ จึงนำวิชาความรู้ด้านโหราศาสตร์จีนจากตำราของสำนักตนผลิตเป็นปฏิทินรายปีแผ่นเดียวตามอย่างปฏิทินจีนที่ใช้ระบบสุริยจันทรคติ พร้อมกำหนดฤกษ์มงคลจากการคำนวณของตน เป็นการเริ่มต้นของวันธงไชย จนเป็นเอกลักษณ์สืบมา ซึ่งต่อมาได้ตีพิมพ์แจกจ่ายและจำหน่ายฉบับปฐมฤกษ์ในปี ๒๕๑๘
เหล่าซินแสยังนำวิชาโหราศาสตร์จีนจากสำนักต่าง ๆ มาพิจารณาอย่างเป็นกลางและคำนวณออกมาเป็น ตำราปฏิทินน่ำเอี๊ยง จำหน่ายแก่บรรดาซินแส สำหรับใช้คำนวณดวงชะตา พยากรณ์อนาคต ดูฤกษ์มงคล และเป็นปฏิทินล่วงหน้าดูเวลาได้กว่า ๑๐๐ ปี โดยมีข้อความกำกับเพื่อยืนยันความแม่นยำอยู่ในตำราที่เหล่าซินแสเขียนว่า “ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่เสี้ยววินาที”
แต่ก่อน ตำราปฏิทินน่ำเอี๊ยง เล่มไม่หนามาก ต่อมาเพิ่มเนื้อหาเรื่องโหราศาสตร์จีนอย่างเต็มที่ จนทุกวันนี้มีขนาดใหญ่กว่าของเดิมหลายเท่า
“หนังสือ ตำราปฏิทินน่ำเอี๊ยง เข้าไม่ถึงผู้คน เพราะดูยาก” แซมพูดแทรกก่อนจะชวนให้สนใจปฏิทินจีนใหญ่เล่มแดงที่รู้จักกันทั่วไปว่าปฏิทินปึกแดง ซึ่งคือสิ่งที่พัฒนาต่อจากตำราเล่มนี้
จนเมื่อ ชาญชัย นำพิทักษ์ชัยกุล ลูกชายของเหล่าซินแสเข้ามาช่วยบิดาดำเนินกิจการ นำ ตำราปฏิทินน่ำเอี๊ยง ย่อยสู่ปฏิทินแบบใหม่เพื่อให้คนจีนและไทยเข้าใจ โดยระบุวันสำคัญตามประเพณีและเทศกาลของจีน วันชิวอิก-จับโหงว หรือวันพระจีน วันพระไทยที่ใช้ข้างขึ้นข้างแรม รวมถึงวันสำคัญของไทย แทรกอยู่กับปฏิทินเกรกอเรียนแบบตะวันตก
นอกจากนี้ยังมีดวงชะตาที่ซินแสคำนวณใส่กำกับลงไปด้วย ทั้งวัน เดือน ปี ที่นักษัตรชงกัน เรื่องของวันเวลาและธาตุตามศาสตร์ของจีน วันธงไชย ข้อควรทำไม่ควรทำ กิจการแต่ละวันจะเป็นเช่นไร ดวงของเด็กที่เกิดใหม่ ฤกษ์แต่งงาน วันเปิดร้าน ขึ้นบ้านใหม่ และที่ผู้คนสนใจคือเลขมงคลบนปฏิทินในทุก ๆ ต้นและกลางของแต่ละเดือน
ทั้งหมดคือเอกลักษณ์ของปฏิทินปึกแดงขนาดเหมาะมือซึ่งหยิบจับใช้งานง่าย และปฏิทินแผ่น ๑๒ เดือนที่แขวนบนผนังบ้านเมื่อเดินผ่านก็สามารถดูวันและดวงได้ ซึ่งผลิตโดยน่ำเอี๊ยง
กว่าจะเป็นปฏิทินอย่างที่เราเห็น มีการวางแผนคำนวณล่วงหน้ากว่า ๒ ปี โดยเหล่าซินแสเป็นผู้คำนวณเอง
ปฏิทินน่ำเอี๊ยงได้รับความนิยมในหมู่คนไทย-จีน จนเป็นภาพจำของปฏิทินจีน เมื่อเห็นปฏิทินเล่มแดงหรือปฏิทินแขวนผนังบ้านที่ใด จึงมักเรียกปฏิทินน่ำเอี๊ยง
ยุคนี้น่ำเอี๊ยงยังนำปฏิทินเข้าสู่การพิมพ์โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ช่วยทำงาน ขยายกิจการต่อจากรุ่นของเหล่าซินแส และริเริ่มให้บริษัทอื่น ๆ มาลงโฆษณาในหน้าปฏิทินได้ ทั้งรับพิมพ์ปฏิทินโดยไม่ใส่ตราการค้าของน่ำเอี๊ยงส่งต่อแก่โรงพิมพ์ที่ต้องการใส่โลโก้ของตัวเองเพื่อจำหน่ายต่อ
ตำราและปฏิทินน่ำเอี๊ยงมีการส่งออกไปขายยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีลูกหลานชาวจีนอาศัย ทั้งมาเลเซีย พม่า ลาว สิงคโปร์ และเวียดนาม
ส่วนในไทยเราเห็นปฏิทินน่ำเอี๊ยงแทบทุกหย่อมหญ้า ไม่ว่าร้านค้า โรงเรียน ศูนย์ราชการ ศาลเจ้า วัด ฯลฯ
สำนักโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงผ่านวันเวลามากว่า ๘๐ ปี จนวันนี้ กิตติธัช นำพิทักษ์ชัยกุล สืบต่อกิจการเป็นรุ่นที่ ๓
๓
เปลี่ยนหน้าปฏิทิน
ปฏิทินเปลี่ยนหน้า วันเวลาเปลี่ยนผัน น่ำเอี๊ยงผ่านร้อนผ่านหนาวมาอีกกว่า ๗๐ ปี สู่การดำเนินกิจการรุ่นที่ ๓ จากการดูแลของ กิตติธัช นำพิทักษ์ชัยกุล หรือแซม ลูกชายคนโตของทายาทน่ำเอี๊ยงรุ่น ๒ และหลานชายคนโตของผู้ก่อตั้งที่ล่วงลับตั้งแต่เขายังเด็ก
หลังแซมจบการศึกษาด้านการบริหารธุรกิจจากต่างประเทศ ตั่วซุงของตระกูลในวัย ๒๓ เริ่มเรียนรู้กิจการของที่บ้านพร้อมศึกษาตำราโหราศาสตร์จีนเพื่อสืบทอดและต่อยอดกิจการ
“ผมโตมากับการผลิตปฏิทินอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าที่บ้านทำสำนักโหราศาสตร์ด้วย พอเรียนจบผมก็เริ่มศึกษากิจการก่อน แล้วพบว่า จริง ๆ คือย้อนกลับไปแค่นิดเดียว ที่นี่คือสำนักโหราศาสตร์ที่เป็น core value ของปฏิทินทั้งหมด”
แม้ช่วงแรกโหราศาสตร์จีนดูเป็นเรื่องยากสำหรับแซม แต่เขาใช้ความพยายามกว่า ๒-๓ ปี จนสุดท้ายก็เข้าใจ
“พอเข้าใจเรื่องโหราศาสตร์มากขึ้น เข้าใจความเป็นปฏิทินและความเป็นตำรามากขึ้นก็เริ่มสนุก และรู้ว่ามันใช้ช่วยคนได้จริง ๆ”
จากนั้นเขาจึงเข้ามาสืบต่อสิ่งที่อากงสร้าง สืบสานสิ่งที่พ่อทำอย่างเต็มตัว
โดยยืนพื้นด้วยการเปิดสำนักโหราศาสตร์จีนร่วมกับผลิตตำราและปฏิทินน่ำเอี๊ยงแบบต่าง ๆ เหมือนเดิม
“คนมักมองว่าปฏิทินก็แค่ใช้ดูวันเวลา แต่จริง ๆ แล้วข้อมูลในปฏิทินนั้นมีคุณค่ามาก เพราะสามารถบอกได้ว่าชีวิตของคนคนนั้นเป็นอย่างไร เกิดวันเวลาไหน ซึ่งเป็นเนื้อหาพื้นฐานของดวง เหมือนบลูพรินต์ (blueprint พิมพ์เขียว) ของชีวิต แผนผังชีวิตคุณอยู่ในกระดาษแผ่นนี้” สิ่งที่แซมเล่าสะท้อนความคิดที่เห็นคุณค่าของสิ่งที่น่ำเอี๊ยงรุ่นก่อนหน้าทำ
แซมพัฒนาสิ่งที่มีอยู่เดิม หาทางเพิ่มเติมสิ่งใหม่ โดยใช้จุดแข็งของสำนักเรื่องความแม่นยำของหลักโหราศาสตร์จีนเป็นตัวนำทาง
“ผมมองว่าธุรกิจมาถึงขนาดนี้แล้ว เราแค่นำสิ่งที่บ้านทำมาต่อยอดอีกนิด โดยไม่จำเป็นต้องทำแบบเดิมตลอด แค่ให้ดูใหม่และเข้าถึงผู้คนมากกว่าเดิม มันก็ไปได้อีกเยอะมาก ๆ”
ตลอดเส้นทางธุรกิจแซมยึดถือหลักคำสอนสามข้อที่พ่อปลูกฝัง จนกลายเป็นมโนสำนึกอยู่ในตัวเขา
“หนึ่ง เราต้องยึดหลักการของเราให้คงที่และสามารถอธิบายได้ สอง การทำธุรกิจควรซื่อตรง ซื่อสัตย์ และไม่ควรเอาเปรียบผู้อื่น แม้เราจะโดนเอาเปรียบก็ตาม”
เขาหาวิธีปรับตัวธุรกิจของตระกูล โดยใช้ความรู้ด้านการบริหาร พร้อมศึกษาการตลาดและกระแสนิยมในสังคมอย่างตั้งใจหลายปี เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ
“เราพยายามขยายตลาดให้กว้าง ตอบโจทย์ทุกเจเนอเรชัน เพราะทุกเจนมีความเชื่อในแบบของเขา แต่เราจะทำยังไงให้สิ่งที่พูดตรงนี้เข้าถึงคนกลุ่มนั้น ๆ ได้มากสุด”
แซมจึงใช้ตำราและปฏิทินน่ำเอี๊ยงจากแผ่นกระดาษมาสร้างเป็นแอปพลิเคชัน Num Eiang เปลี่ยนภาพเดิมสู่โลกใบใหม่ในระบบดิจิทัล โดยมีใจความหลักเรื่องความแม่นยำและหลักการที่สามารถอธิบายได้ไม่ต่างจากปฏิทินที่น่ำเอี๊ยงทำมาเสมอ
“ให้เราเข้าใจตัวเองว่าดวงของเราเป็นอย่างไร...จะได้ทำในสิ่งที่ถนัดหรือรู้สิ่งที่เราควรปรับปรุง”
หลักโหราศาสตร์จีนที่ว่ายาก น่ำเอี๊ยงกำลังพยายามเข้าถึงคนหลายกลุ่มง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วยสื่อใหม่ ๆ
ภาพ : วิจิตต์ แซ่เฮ้ง
“พัฒนาให้ทุกอย่างง่ายขึ้น เข้าถึงได้มากกว่าเดิม” แซมเล่าโจทย์ที่เขาคิด
เขาพัฒนาแอปฯ กว่า ๒ ปี จนเปิดใช้เป็นทางการเมื่อปี ๒๕๖๖
แอปฯ มีหน้าตาเป็นพื้นหลังสีแดงเด่น เห็นตัวอักษร
จีนสีขาวว่า 囍 (Shuang xi) ตามความหมายคือความสุขสองเท่า สิ่งนี้คุ้นตาในฐานะตราประจำสำนักซึ่งปรากฏอยู่ในทุก ๆ ปฏิทิน
เมื่อกดเข้าไปข้างในแอปฯ เริ่มแรกให้ใส่วันเดือนปีเกิด เพื่อเปิดการใช้ปฏิทินและคำนวณดวงชะตา ก่อนจะพาเราสู่หน้าปฏิทินประจำวันที่คุ้นชินเหมือนในปฏิทินปึกแดง มีฤกษ์มงคลและดวงชะตาส่วนตัว ทุกอย่างดูง่ายและเข้าถึงผู้ใช้ด้วยภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แต่ยังมีติดภาษาจีนไว้บ้าง
“หลักการจริง ๆ คือให้เราเข้าใจตัวเองว่าดวงของเราเป็นอย่างไร มีอะไรที่เราถนัดไม่ถนัด เราจะได้ทำในสิ่งถนัด หรือรู้สิ่งที่เราควรปรับปรุง” แซมสรุปใจความของแอปฯ ที่เชื่อมโยงถึงผู้ใช้
น่ำเอี๊ยงยุคนี้ยังหาวิธีเข้าถึงผู้คนอีกหลายรูปแบบไม่ว่าผลิตเป็นปฏิทินตั้งโต๊ะ คอลแล็บ (collab) กับศิลปินออกแบบงานศิลปะ สร้างคอนเทนต์ในสื่อออนไลน์ กระจายความเข้าใจเรื่องโหราศาสตร์และวัฒนธรรมจีนในทุกช่องทาง แม้แต่ช่องว่างของปฏิทินกระดาษรุ่นก่อน ๆ ก็แทรก QR code สำหรับให้สแกนดูเนื้อหาที่อธิบายความหมายของสิ่งที่ปรากฏบนหน้าปฏิทิน ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมไทย-จีนทั้งสิ้น เช่น วันสำคัญของไทย-จีน วันไหว้เจ้า เช็งเม้ง เทศกาลกินเจ วันตรุษจีน ฯลฯ
“ตอนนี้สิ่งที่น่ำเอี๊ยงกำลังทำคือเข้าถึงคนรุ่นใหม่ โดยอธิบายสิ่งที่คนโบราณแฝงไว้กับความเชื่อต่าง ๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ ผ่านการสื่อสารรูปแบบใหม่ คิดว่าบางความเชื่อที่ไม่อาจสืบทอดจากรุ่นอากง มาถึงรุ่นพ่อ แล้วมาสู่เราได้ เพราะมันมีช่องว่างระหว่างเจเนอเรชัน มันขาดการอธิบายเหตุผลตรงนั้น” แซมเล่าต้นทางที่เขาทำ ก่อนจะกล่าวต่อถึงปลายทางที่เขาอยากเห็น
“พยายามเชื่อมเจเนอเรชันเพื่อให้คุณพ่อ คุณแม่ กับลูก หรือคนที่มีความคิดและความเชื่อต่างกัน มีจุดตรงกลางที่สามารถเข้าใจกันได้ อยากให้วันสำคัญ การไหว้เจ้า ขนบธรรมเนียม ประเพณีเหล่านี้ สืบสานไปสู่คนรุ่นใหม่” แซมกล่าวต่อ
แม้โลกและสังคมจะเปลี่ยน แต่แสงอาทิตย์จากทิศใต้ยังคงเคลื่อนต่อพร้อมสิ่งที่แสงอาทิตย์รุ่นก่อนได้วางไว้เช่นเดียวกับปฏิทินจีนในโลกดิจิทัลในรุ่นของแซมที่ยังคงเดินหน้าพร้อมปฏิทินปึกแดงและปฏิทินแขวนในบ้าน
“ที่คนยังคงใช้ปฏิทินแบบเดิมเพราะความคุ้นชิน ปฏิทินแขวนทำให้คนในบ้านจดวันสำคัญแชร์กับคนอื่นได้ เป็นวัฒนธรรมที่ได้รับการสืบทอดมาเรื่อย ๆ ถึงแม้จะมีเทคโนโลยีเข้ามา แต่ความเชื่อในบ้านคนจีนยังคงอยู่” ทายาทรุ่น ๓ ของกิจการทิ้งท้าย
๔
ชีวิต-ปฏิทิน
“โตมาก็เห็นปฏิทินแล้ว ใช้ชีวิตกับมันมาตลอด”
สำเนียงไทยจีนของ สมชัย กวางทองพานิชย์ ชายอายุเลยวัยแซยิด ผู้มีอาชีพหลักเป็นเจ้าของร้านขายเชือกใหญ่ในย่านสำเพ็ง-เยาวราช ส่วนชีวิตอีกด้านคือปราชญ์ ผู้ให้ความรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นไทย-จีนคนหนึ่งของไทย เล่าความสัมพันธ์ของปฏิทินจีนกับตัวเขา ลูกหลานจีนในไทยรุ่นแรกที่พูดภาษาไทยชัด
สมชัยเติบโตมาในครอบครัวจีน ปฏิทินจีนจึงเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ลูกหลานชาวมังกรต้องใช้ในการดำเนินชีวิตตามวงล้อแห่งวิถีประเพณีในหนึ่งรอบปีของจีน
“ตอนเด็กแค่เห็นรูปพระในปฏิทินก็รู้แล้วว่าเป็นวันพระ แต่พอเริ่มโต เราอยากรู้วันเกิดเจ้า วันพระจีน และเทศกาล ก็ต้องเรียนรู้จากปฏิทิน” เจ้าของร้านเชือกเล่ามีปฏิทินน่ำเอี๊ยงปึกแดงอยู่ตรงหน้า
“ในปฏิทินจีน การดูดวง ฤกษ์งามยามดี ผมว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่ง สำหรับผมการใช้ปฏิทินคือการวางแผน เพราะเราอยู่ในสังคมที่ทำอะไรค่อนข้างเร่งรัด มีเวลาจำกัด ดังนั้นการวางแผนล่วงหน้าจึงจำเป็น เมื่อดูปฏิทินเราจะรู้ว่ามีวันดีวันไหน ก็เลือกวันนั้นมาใช้ มันเป็น milestone” สมชัยอธิบาย
“ปฏิทินเหมือนตัวย่อของความเป็นธรรมชาติ ถ้าคุณใช้ไประยะหนึ่ง คุณจะรู้จักฤดูกาล สภาพอากาศ และรู้ถึงชีวิตคุณในแต่ละช่วง ใช้ปฏิทินเตือนสติคุณอยู่เสมอว่าตอนนี้ถึงจุดไหนของชีวิต” สมชัยกล่าวต่อ
แม้จะนิยามตัวเองเป็นแค่เจ้าของร้านขายเชือก แต่สมชัยยังเป็นผู้ศึกษาปฏิทินจีนอย่างลึกซึ้ง
สำหรับอีกหลายคน ปฏิทินมีหน้าที่ต่างกัน บางคนใช้เพียงดูวันเดือนปี บ้างใช้ดูวันสำคัญในเทศกาลเพื่อจะได้บูชาพระและเทพเจ้า หรือดำเนินกิจการที่เหมาะสมตามดวงที่กำหนดไว้ ไม่ก็ใช้เป็นหนึ่งในเส้นทางกำหนดโชคชะตาเรื่องเงินทอง คอยมองเลขดีในปฏิทิน
ปฏิทินจึงเสมือนมีชีวิตเคียงข้างชีวิตผู้คน
“เราจะเลือกไหว้เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยในวันตรุษจีน ณ เวลาแรกของปี ซึ่งเป็นเวลาดีที่สุด แต่คนมักสับสนว่าต้องไหว้เวลาไหน ทำให้ไหว้เลยไป ๑ วัน จริง ๆ ตามปฏิทินจีนเปลี่ยนวันใหม่เวลา ๒๓ นาฬิกา เราจึงต้องไหว้เวลา ๒๓ นาฬิกาของวันสิ้นปี ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นวันใหม่ของปี ถ้าคุณไม่รู้หรืออ่านปฏิทินจีนไม่เป็น คุณจะไหว้ตอนเที่ยงคืนของวันตรุษจีน ซึ่งเป็นวันที่ ๒ ของปีไปแล้ว” สมชัยยกตัวอย่างให้เห็นภาพ
“เรารู้จักวันที่ ๔-๕ เมษายน ว่าเป็นวันเช็งเม้ง อยากให้รู้จักวันลิบชุงซึ่งตรงกับวันที่ ๔-๕ กุมภาพันธ์อีกวันเพราะเป็นวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ หรือปีใหม่ตามปฏิทินสุริยคติของจีน ที่เมืองจีนวันนี้คนจะนิยมไปฝากเงินเริ่มต้นการออม ส่วนที่เมืองไทยไม่ค่อยรู้ว่าลิบชุงคือวันอะไร และไม่รู้ว่าเป็นวันแรกของการเปลี่ยนปีนักษัตรด้วย การแก้ปีชงนักษัตรจึงต้องทำกันวันนี้ ซึ่งดูได้จากปฏิทิน”
“๕ ทุ่มคืนนี้ เริ่มวัน 立春 ลิบชุง (ปีใหม่จีน สุริยคติ)
(๓ กุมภาพันธ์ เวลา จื้อ ๒๓ : ๐๐ น.)
ปีวอกจะผ่านพ้นไป เป็นปีระกา
ปีขาลก็จะจบการชงอย่างสมบูรณ์
ขอขอบคุณ ทุก ๆ สิ่งที่ทำให้ปีชงครั้งนี้
เป็นปีมหัศจรรย์ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต
祝大家
新春快乐”
ข้อความโพสต์บนเฟซบุ๊กของสมชัย ทิ้งท้ายด้วยผลส้มห้าใบใส่ไว้เป็นอิโมจิในคืนก่อนวันลิบชุง
“หากคุณรู้จักปฏิทินและรู้จักวิธีการใช้ คุณจะรู้ว่า milestone ของคุณมาถึงไหนแล้ว รวมถึงทุกครั้งที่คุณชง
คุณจะรู้ว่าชีวิตและร่างกายเปลี่ยนไป ไม่ใช่เพราะดวง แต่โดยหลักการแพทย์ ๖-๗ ปี สรีระก็จะเปลี่ยน มันเป็นสัจธรรม ความเสื่อม สังขาร สิ่งเหล่านี้ให้ใช้ความเป็นปีชงที่คุณเจอ เตือนให้คุณคอยรู้”
เนื้อหาส่วนหนึ่งเกี่ยวกับปฏิทินจีนที่สมชัยจัดทำไว้สำหรับสอนเรื่องวัฒนธรรมจีน
๕
หลังปฏิทิน
ตั้งแต่เปิดปฏิทินแผ่นแรก ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนแผ่นในแต่ละวัน สู่แต่ละเดือน เลื่อนมาแต่ละปี จนถึงแผ่นสุดท้าย ปฏิทินทำหน้าที่เป็นตัวบอกวันคืนชั้นดีแก่ผู้คน
ฤดูกาล เทศกาล วัฒนธรรม ประเพณี และศาสตร์ชีวิต ที่ปรากฏบนหน้าปฏิทิน ล้วนเป็นมรดกนับพันปีจากจีนแผ่นดินแม่ ที่มาพร้อมลูกหลานมังกรผู้เดินทางสู่ดินแดนไทย จนกลายเป็นวิถีวัฒนธรรมอันแนบแน่น
ตราบเท่าที่วัฒนธรรมไทย-จีนยังคงเคลื่อนไป ปฏิทินจีน-ไทยแม้จะอยู่ในรูปแบบไหนก็จะถูกนำมาใช้ในสังคม
อ้างอิง
ถาวร สิกขโกศล. (๒๕๕๗). เทศกาลจีนและการเซ่นไหว้. กรุงเทพฯ : มติชน.
เว็บไซต์
https://archaeogo.org/2024/02/28/24-seasons_of_china/
https://www.numeiang.com
https://readthecloud.co/numeiang/
ขอขอบคุณ
กิตติธัช นำพิทักษ์ชัยกุล สมชัย กวางทองพานิชย์ และ รศ.ดร. อชิรัชญ์ ไชยพจน์พานิช
เรียบเรียง : "หนอนกระดึ๊บ"
อ้างอิง
https://www.numeiang.com/หัวข้อเกร็ดความรู้สอนด/
https://www.numeiang.com/หัวข้อเกร็ดความรู้สอนด-2/
https://kuaparen.blogspot.com/2012/03/blog-post_5512.html
https://th.wikipedia.org/wiki/ภาวะ_(ปฏิทินจีน)