Image

อ่าวซัวเถา

เยือนถิ่นซัวเถา
ชาวแต้จิ๋ว

เรื่องและภาพ : ปริวัฒน์ จันทร

หากได้ไปเยือนเมืองซัวเถา ถิ่นฐานของชาวแต้จิ๋ว หรือทุกวันนี้เรียกรวมกันว่าเฉาซ่าน (潮汕 - เตี่ยซัว ในสำเนียงแต้จิ๋ว) อันเป็นถิ่นฐานของชาวจีนโพ้นทะเลที่อพยพมาอยู่ในประเทศไทยมากที่สุดในบรรดาชาวจีนโพ้นทะเลทุกกลุ่มภาษา และมีมรดกตกทอดมาถึงปัจจุบันมากมาย ทั้งด้านวัฒนธรรม ประเพณี ภาษา การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาหารการกิน รวมถึงเรื่องราวบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องในมิติด้านต่าง ๆ กับสังคมไทยมายาวนาน

Image

ผู้ศรัทธาไหว้เทพเจ้าทีกง
ที่ศาลเจ้าตั่วเหล่าเอี้ย เหี่ยงบู่ซัว

ภายในห้องนิทรรศการหมายเลข ๓ ของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ชาวจีนแต้จิ๋วโพ้นทะเล (潮汕华侨历史博物馆三 - Chaoshan Overseas Chinese History Museum) ริมทะเลอ่าวซัวเถา จัดแสดงเป็นหอเกียรติยศของชาวแต้จิ๋วโพ้นทะเล บนผนังประดับรูปภาพและเรื่องราวโดยสังเขปของบุคคลนามอุโฆษและได้รับยกย่องเชิดชูเกียรติจากพิพิธภัณฑ์ของถิ่นฐานบรรพบุรุษ

นับจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือเจิ้งซิ่น (郑信), ตันฉื่อฮ้วง (陈慈黉 - เฉินฉือหง) ต้นตระกูลหวั่งหลี, พระอนุวัฒน์ราชนิยม หรือ แต่ตี้ยง (郑智勇 - เจิ้งจื้อยง หรือ ยี่กอฮง) ต้นตระกูลเตชะวณิช, เหียกวงเอี่ยม (蚁光炎 - อี่กวงเหยียน) ต้นตระกูลเอี่ยมสุรีย์, หมอยา
ตั่งหมุยตึ๊ง (陈美堂 - เฉินเหม่ยถาง) ห้างขายยาไต้อันตึ๊ง, แต่จือปิง (郑子彬 - เจิ้งจื่อปิน) ต้นตระกูลเตชะไพบูลย์, เจี่ยเอ็กชอ (谢易初 - เชี่ยอี้ชู) ต้นตระกูลเจียรวนนท์, อื้อจือเหลียง (余子亮 - อวิ๋จื่อเลี่ยง) ต้นตระกูลเอื้อ-วัฒนสกุล, ชิน โสภณพนิช (陈弼臣) ต้นตระกูลโสภณ-พนิช, ปรีชา พิสิฐเกษม (谢慧如) เป็นต้น

ดวงหน้าของบุคคลที่เราคุ้นเคยเหล่านี้ล้วนมีบทบาทต่อสังคมไทยทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชหนึ่งเดียวของวีรกษัตริย์มหาราชไทยผู้มีสุสานและหอบูชาบรรพชนอยู่ดินแดนโพ้นทะเล หนึ่งเดียวของลูกชาวจีนแต้จิ๋วผู้ได้เป็นวีรกษัตริย์ในประเทศทางทะเลใต้

Image

ดวงหน้าของบุคคลที่เราคุ้นเคยเหล่านี้ล้วนมีบทบาทต่อสังคมไทย ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม

สุสานและศาลบรรพชนสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (แต่อ๊วง)

ณ หมู่บ้านฮวาฟู่ (华富村 - ฮั่วปู่) ตำบลซ่างฮวา (上华镇 - เซี่ยงฮั้ว) เขตเฉิงไห่ (澄海 - เถ่งไฮ่) เมืองซ่านโถว (汕头 - ซัวเถา) ทางตอนใต้ของมณฑลกว่างตง (广东 - กวางตุ้ง) เป็นที่ตั้งของสุสานแต่อ๊วง หรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (๑๗ เมษายน ๒๒๗๗-๗ เมษายน
๒๓๒๕) ราชสำนักจีนเรียกพระองค์ว่าเจิ้งเจา (郑昭 - แต่เจียว) หรือกษัตริย์แซ่เจิ้ง มีพระนามเดิมว่า เจิ้งซิ่น (郑信 - แต่สิ่ง)

สุสานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชในเขตเฉิงไห่ บ้านเกิดของพระราชบิดาแห่งนี้ แม้เป็นสุสานขนาดเล็ก หากแต่ยิ่งใหญ่ในใจปวงชนชาวไทยเสมอมา ตามแผ่นศิลาจารึกหน้าสุสานระบุว่า “เสียนหลอเจิ้งฮวางต๋าซิ่นต้าตี้อีก่วนมู่ (暹罗郑皇达信大帝衣冠墓)” หรือสุสานฝังฉลองพระองค์และพระมาลาของเจิ้งฮวาง กษัตริย์แห่งเสียนหลอผู้ยิ่งใหญ่

แผ่นป้ายศิลาจารึกหน้าสุสานของพระองค์ระบุปีสร้างในรัชกาลจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง ค.ศ. ๑๗๘๒ (ตรงกับปี ๒๓๒๕ ปีเดียวกับที่พระองค์สวรรคต) ได้บูรณะขึ้นใหม่ในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. ๑๙๘๕ (ปี ๒๕๒๘) เล่าสืบต่อกันมาว่า ภายหลังจากพระองค์สวรรคต ข้าราชบริพารเชื้อสายจีนได้นำฉลองพระองค์และพระมาลามาสองชุด ชุดหนึ่งเป็นไทย ชุดหนึ่งเป็นจีน มอบให้ญาติที่บ้านเกิดของพระราชบิดา-เจิ้งยง (郑镛 - แต่ยง) จากนั้นพระญาติจึงบรรจุฉลองพระองค์และพระมาลาไว้ในสุสานแห่งนี้

คุณแต้สุ่ยเม้ง อนุชนรุ่นที่ ๑๑ สายพี่ชายพระราชบิดาสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

เจิ้งยง พระราชบิดาของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นชาวหมู่บ้านฮวาฟู่ เขตเฉิงไห่ ผู้หนีความยากลำบากและเหตุทุพภิกขภัยบ่อยครั้งที่บ้านเกิดเมืองนอนเช่นเดียวกับชาวเฉิงไห่อีกจำนวนมาก ลงเรือสำเภาหัวแดง (红头船 - อั่งเถ่าจุ๊ง) รอนแรมกลางท้องทะเลกว้างมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในสยามประเทศสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย อาศัยอยู่แถบคลองสวนพลู นอกเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา  ดังนั้นในช่วงทำสงครามกอบกู้เอกราชของไทย สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงมีทหารชาวจีนแต้จิ๋วมาร่วมรบด้วย ช่วยกันตีแหกทัพพม่ามุ่งไปยังหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออกและสามารถกอบกู้เอกราชคืนได้สำเร็จ

ศ.ดร. นิธิ เอียวศรีวงศ์ กล่าวถึงการอพยพของชาวจีนแต้จิ๋วที่มาหลังสมัยอยุธยาไว้ในหนังสือ การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ว่า

“...นับตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นต้นมา พวกแต้จิ๋วหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ยกเว้นภาคใต้ แล้วพวกแต้จิ๋วกลายเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดของจีน ในขณะที่พวกฮกเกี้ยนลดฐานะจากกลุ่มใหญ่สุดลงไปเป็นที่ ๔ สัดส่วนของพวกแคะและพวกไหหลำก็เพิ่มขึ้นตามลำดับด้วย การครอบงำของแต้จิ๋วในจำนวนของจีนอพยพในเมืองไทยก็เป็นมรดกอย่างหนึ่งจากรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี แต่เมื่อในสมัยแรกที่เริ่มจะตั้งตัวนั้น ยังมีปัญหาของพวกจีนซึ่งส่วนใหญ่เป็นฮกเกี้ยน และไม่ได้กลายเป็นกำลังทางการเมืองของพระเจ้ากรุงธนบุรีไปในทันทีทันใด หรืออาจไม่ได้เคยเป็นอย่างแท้จริงตลอดรัชกาลก็เป็นได้

“นอกจากความแตกต่างทางด้านภาษาถิ่นแล้ว พวกแต้จิ๋วที่อพยพมาเมืองไทยยังอาจจะผิดแปลกจากจีนที่มาก่อนหน้านั้นอยู่อีกอย่างหนึ่งด้วย

“พวกจีนอื่นที่เข้ามาก่อนนั้นเข้ามาด้วยเหตุผลทางการเมือง เช่น ลี้ภัยพวกแมนจูออกไปสู่ต่างประเทศ หรือมาด้วยเหตุผลทางการค้า แต่พวกแต้จิ๋วอพยพเข้ามาสู่เมืองไทยเพราะความยากจนข้นแค้นแสนสาหัส บริเวณที่ราบแต้จิ๋วมีประชากรหนาแน่น พื้นที่เพาะปลูกมีน้อย จนกล่าวกันว่า ‘รายได้จากที่นา แม้จะเป็นปีที่อุดมสมบูรณ์ก็ยังไม่พอบริโภคในสามเดือน’ ต้องอาศัยท้องทะเลช่วย เพราะฉะนั้น ๗๐ เปอร์เซ็นต์จึงเป็นชาวประมง หลังจากที่รัฐบาลราชวงศ์แมนจูอนุญาตให้ออกทะเลเพื่อทำการค้าข้าวได้แล้ว พวกแต้จิ๋วก็อพยพมาทางใต้เพิ่มมากขึ้น แต่มีแต้จิ๋วจำนวนน้อยเท่านั้นที่ออกจากประเทศเพื่อการค้า ส่วนใหญ่เป็นชาวนาล้มละลายและชาวนายากจนไร้อาชีพ

“กลุ่มของจีนที่เป็นพรรคพวกใกล้ชิดของพระเจ้ากรุงธนบุรีมาตั้งแต่ต้น จึงเป็นพวกไม่สู้มีฐานะทางเศรษฐกิจดีเท่าพวกฮกเกี้ยนซึ่งเข้ามาก่อน และอาจมีฐานะเดิมจากบ้านเกิดเมืองนอนสูงกว่าพวกแต้จิ๋วอยู่แล้ว...”

พระป้ายบรรพชนตระกูลแต้และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

ม.ล. วัลย์วิภา จรูญโรจน์ บุรุษรัตนพันธุ์ อธิบายบทบาทของชาวจีนแต้จิ๋วในสมัยกรุงธนบุรีไว้ในบทความ “ชาวจีนแต้จิ๋วในสภาพสังคมไทยสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น” ว่า

“...ในความเป็นจริงอาจจะไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าตากสินฯ ที่จะยกย่องเชิดชูจีนแต้จิ๋วเหนือจีนกลุ่มอื่น ๆ ที่ได้อพยพเข้ามาในสยามประเทศก่อนหน้านั้นแล้ว อันจะเป็นสาเหตุแห่งความไม่สมัครสมานสามัคคีในยามที่พระองค์ต้องการฐานกำลังสนับสนุนจากจีนทุกกลุ่มในเวลานั้น แต่เหตุที่จีนแต้จิ๋วได้รับการยกย่องไปโดยปริยายก็เนื่องมาจากความที่พระองค์ท่านเป็นลูกครึ่งไทย-จีนแต้จิ๋ว โดยที่เจิ้งหยง พระบิดาเป็นจีนแต้จิ๋ว เคยมีถิ่นฐานพำนักแถวคลองสวนพลูข้างวัดพนัญเชิง ซึ่งเข้าใจว่าเป็นแหล่งอาศัยของชาวจีนแต้จิ๋วในอยุธยา...อีกประการหนึ่งนั้นเพราะจีนแต้จิ๋วคือกลุ่มคนที่รวมผนึกกำลังช่วยพระเจ้าตากสินฯ ตีแหกพม่ามุ่งไปยังหัวเมืองชายทะเลตะวันออก...เมื่อพระเจ้าตากสินฯ ตีได้เมืองระยองได้มีพระราชสาส์นไปถึงพระยาราชเศรษฐีจีนกวางตุ้งผู้เป็นเจ้าเมืองเพื่อขอความสนับสนุน ตลอดจนความพยายามที่จะมีสัมพันธไมตรีเป็นอย่างดีกับพระเจ้ากรุงจีน เพื่อให้เกิดการยอมรับอำนาจความชอบธรรมของพระองค์  สถานการณ์ทางการเมืองที่อำนวยให้จีนแต้จิ๋วดูเด่นเช่นนี้ดึงดูดให้จีนแต้จิ๋วจากผืนแผ่นดินใหญ่อพยพเข้ามาเมืองไทยมากยิ่งขึ้น...”

หากย้อนมองกลับไปถึงภูมิลำเนาของ เจิ้งยง ที่ตั้งอยู่ห่างจากสุสานของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชไปราว ๘๐๐-๙๐๐ เมตร ภายในหมู่บ้านฮวาฟู่ มีปูมสาแหรกของตระกูลเจิ้งบันทึกว่า ได้อพยพย้ายถิ่นมาจากเมืองผู่เถียน มณฑลฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) ในช่วงรัชศกจักรพรรดิฉงเจินแห่งราชวงศ์หมิง ค.ศ. ๑๖๒๘-๑๖๔๔  บรรพชนรุ่นแรกของหมู่บ้านนี้คือเจิ้งเลี่ย (郑烈) ทายาทรุ่นที่ ๕ ของเจิ้งเลี่ย คือ เจิ้งยง ได้แต่งงานกับนางนกเอี้ยงมีบุตรชื่อซิ่น (หรือเจา หรือพระยาตาก) ดังนั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงนับเป็นทายาทรุ่นที่ ๖ ของ เจิ้งเลี่ย สายหมู่บ้านฮวาฟู่ และนับเป็นลำดับรุ่นที่ ๘๐ นับจาก เจิ้งหวนกง (郑桓公) ปฐมบรรพชนตระกูลเจิ้งในสมัยราชวงศ์โจว ตะวันตกตอนปลายจากอำเภอฮวาเซี่ยนตง มณฑลส่านซี

บ้านเดิมของพระราชบิดามีประวัติสร้างขึ้นสมัยรัชศกจักรพรรดิยงเจิ้งแห่งราชวงศ์ชิง ได้รับการบูรณะเป็นหอบรรพชนตระกูลเจิ้ง (郑氏宗祠) สายหมู่บ้านฮวาฟู่ ชื่อเฟิ่งอินถาง (奉禋堂 - หอเทิดทูนบูชา) ภายใต้การนำของอเนกกุศลศาลา (วิหารเซียน) สมาคมเตชะสัมพันธ์แห่งประเทศไทย บริษัทเจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้จำกัด (มหาชน) ฯลฯ ได้ร่วมกันบูรณะสุสานของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชขึ้นใหม่ จนแล้วเสร็จในวันที่ ๒๔ ธันวาคม ค.ศ. ๒๐๑๕ เพื่อให้สุสานแห่งนี้โอ่อ่าสง่างามสมพระเกียรติวีรกษัตริย์ของปวงชนชาวไทย  ต่อมาใน ค.ศ. ๒๐๒๒ มีการบูรณะหอบรรพชนอีกครั้ง โดยภายในประดิษฐานแผ่นป้ายบรรพชนตระกูลเจิ้ง แผ่นป้ายพระราชบิดา เจิ้งยง พระราชมารดานกเอี้ยง รวมถึงแผ่นป้ายสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

ชาวจีนแต้จิ๋ว-เฉาโจวเหริน (潮州人 - เตี่ยจิวนั้ง) หรือปัจจุบันเรียกเฉาซ่านเหริน (潮汕人 - เตี่ยซัวนั้ง) เป็นกลุ่มชาวจีนที่พูดภาษาแต้จิ๋วอาศัยอยู่ในถิ่นเฉาซ่านสามจังหวัด คือ จังหวัดแต้จิ๋ว ซัวเถา และกิ๊กเอี้ย ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของมณฑลกวางตุ้ง พื้นที่ความยาวจากตะวันออกถึงตะวันตก ๑๖๑ กิโลเมตร ความกว้างจากเหนือถึงใต้ ๑๔๘.๓ กิโลเมตร มีอาณาบริเวณรวม ๑๐,๖๑๑ ตารางกิโลเมตร สภาพภูมิประเทศเป็นภูเขา ร้อยละ ๕๐ ที่ราบร้อยละ ๓๖ อ่าวและชายฝั่งทะเลร้อยละ ๑๔ มีจำนวนประชากร ๑๓.๗ ล้านคน (ค.ศ. ๒๐๒๒)

Image

ถิ่นแต้จิ๋วสามจังหวัด
และการอพยพย้ายถิ่น

ถิ่นแต้จิ๋วสามจังหวัดนี้เป็นถิ่นบรรพบุรุษของชาวไทยเชื้อสายจีนประมาณร้อยละ ๖๐ ดังนี้

๑. จังหวัดเฉาโจว (潮州市 - แต้จิ๋ว) ประกอบด้วย เขตเซียงเฉียว (湘桥区 - เซียงเกี้ย) อำเภอเฉาอาน (潮安县 - เตี่ยอัง) อำเภอเหราผิง (饶平县 - เหยี่ยวเพ้ง)

๒. จังหวัดซ่านโถว (汕头市 - ซัวเถา) ประกอบด้วยเขตจินผิง (金平区 - กิมเพ้ง), เขตหลงหู (龙湖区 - เหล่งโอ้ว), เขตเหาเจียง (濠江区 - เฮ้ากัง), เขตเฉิงไห่ (澄海区 - เถ่งไฮ่), เขตเฉาหยาง (潮阳区 - เตี่ยเอี้ย), เขตเฉาหนาน (潮南区 - เตี่ยน้ำ) และอำเภอหนานเอ้า (南澳县 - หน่ำออ)

๓. จังหวัดเจี๋ยหยาง (揭阳市 - กิ๊กเอี้ย) ประกอบด้วยเขตหรงเฉิง (榕城区 - หย่งเซี้ย) อำเภอฮุ่ยไหล (惠来县 - ฮุ่ยไล้), เขตเจี๋ยตง (揭东区 - กิ๊กตัง) อำเภอเจี๋ยซี (揭西县 - กิ๊กไซ) และเมืองผู่หนิง (普宁市 - โผวเล้ง)

พื้นที่ของแต้จิ๋วที่อยู่ติดทะเลและตอนในที่ติดภูเขามักประสบอุทกภัยเนือง ๆ  นอกจากงานกสิกรรม ชาวแต้จิ๋วมีอาชีพเป็นพ่อค้าและนักเดินเรือมาช้านาน โดยเดินเรือออกจากท่าจางหลินซึ่งเป็นเมืองท่าเรือสำเภาหัวแดง จากนั้นย้ายมาที่เมืองซัวเถาซึ่งเจริญขึ้นในฐานะเมืองท่าหลังสนธิสัญญาเทียนสิน แล้วเดินเรือมาค้าขายกับชาวสยามในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ ๑๙ จากเฉิงไห่ เหราผิง เจี๋ยหยาง หนานเอ้า ฯลฯ

Image

เรือหัวแดง อั่งเถ่าจุ๊ง ที่เคยพาชาวจีนแต้จิ๋วออกโพ้นทะเล

จริง ๆ แล้วชาวแต้จิ๋วเริ่มเดินทางมาค้าขายตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาโดยเฉพาะปลายรัชสมัยจักรพรรดิคังซี  ค.ศ. ๑๗๑๐-๑๗๒๒ ซึ่งเกิดวิกฤตขาดแคลนข้าวสาร พระองค์จึงอนุญาตให้ชาวจีนเดินทางมาซื้อข้าวสารจากไทยไปขาย ตั้งแต่นั้นกลุ่มชาวจีนแต้จิ๋วยังคงเดินทางมาลงหลักปักฐานในไทยอย่างต่อเนื่อง  หลังกรุงแตกสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช บุตรจีนแต้จิ๋วผู้เกิดในสยามได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ ทำให้มีชาวจีนแต้จิ๋วหลั่งไหลมาอยู่สยามมากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสเหมาะเพราะสยามสูญเสียไพร่พลไปจำนวนมาก จึงต้องการแรงงานเพิ่มเติม

หลังจากนั้นชาวจีนแต้จิ๋วยังอพยพมาไทยอีกสองระลอกใหญ่ ครั้งแรกช่วงวิกฤตการณ์สงครามฝิ่นครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ ค.ศ. ๑๘๓๙-๑๘๖๐ และอีกครั้งคือสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ จนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ คือ ค.ศ. ๑๘๖๘-๑๙๔๕

และด้วยชาวแต้จิ๋วเชี่ยวชาญเรื่องกสิกรรมเพื่อการพาณิชย์ จึงนิยมเข้ามาทำกินในสยาม เพราะพื้นที่ดินดีน้ำชุ่ม นอกจากปลูกผัก พืชที่ชำนาญได้แก่พริกไทยและอ้อย และทำโรงหีบน้ำตาลทรายเพื่อส่งออก โดยมีพื้นที่เพาะปลูกบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำบางปะกง เมืองจันทบุรี ตราด รวมทั้งภาคกลางและภาคเหนือ เช่น ปากน้ำโพ ตาก จนถึงเมืองเชียงใหม่

นอกจากนั้นชาวแต้จิ๋วยังเข้ามาเป็นกุลีใช้แรงงานขุดคลองและสร้างทางรถไฟ เมื่องานแล้วเสร็จก็มักจับจองพื้นที่บริเวณดังกล่าวตั้งรกราก ดังปรากฏชุมชนชาวจีนแต้จิ๋ว (รวมถึงชาวจีนกลุ่มอื่น ๆ) อยู่สองฝั่งแม่น้ำลำคลองในเขตภาคกลางและทางรถไฟในเขตภาคอีสานเป็นจำนวนมาก

Image

จั่วหลังคาธาตุน้ำที่บ้านหวั่งหลี

Image

งานประดับกระเบื้องบ้านหวั่งหลี

บ้านหวั่งหลี คฤหาสน์จีนโพ้นทะเลอันดับ ๑ แห่งหลิ่งหนาน*

* หลิ่งหนาน คือบริเวณตอนใต้ของภูเขาอู๋หลิ่งห้าเทือกเขาทางภาคใต้สุดของประเทศจีน ใช้เรียกพื้นที่ในเขตมณฑลกวางตุ้ง กว่างซี เกาะไหหลำ เกาะฮ่องกง และเกาะมาเก๊า

หนึ่งในตระกูลผู้สร้างตำนานจีนแต้จิ๋วโพ้นทะเลในประเทศไทยที่ยังคงเหลือแบบแผนบ้านเรือนโอ่อ่าสง่างามให้เยี่ยมชมที่เมืองซัวเถาคือ บ้านตันฉื่อฮ้วง (陈慈黉故居 - เฉินฉื่อหง - Chen Cihong’s Residence) ซึ่งได้รับสมญาว่าคฤหาสน์จีนโพ้นทะเลอันดับ ๑ แห่งหลิ่งหนาน  (岭南第一侨宅) ที่เขตเฉิงไห่ อันใหญ่โตสมชื่อเสียงของตระกูลหวั่งหลี

ตันฉื่อฮ้วง (ค.ศ. ๑๘๔๓-๑๙๒๑) ต้นตระกูลหวั่งหลี [หวั่ง (黉) มาจากคำว่าหง หมายถึงสถานที่ศึกษา  หลี (利) หมายถึงความเจริญรุ่งเรือง] เป็นชาวหมู่บ้านเฉียนเหม่ย (โจ่ยมุ่ย - 前美村) เขตเฉิงไห่ ทำการค้าเรือสำเภาโดยออกเดินทางครั้งแรก ค.ศ. ๑๘๗๑ เมื่ออายุ ๒๘ ปี เป็นเสมียนคุมสินค้าของบิดาขึ้นล่องระหว่างฮ่องกงกับไทย คิดค่าโดยสารซัวเถา-กรุงเทพฯ คนละ ๒๕ บาท แล้วยังนำผ้าแพรไหมมาขายในไทย พร้อมนำข้าวจากไทยไปขายที่ฮ่องกง  เขากับบิดาจอดเรือสำเภาเทียบท่าใกล้ ๆ วัดทองธรรมชาติในเขตคลองสานปัจจุบัน [มีชื่อว่าฮวยจุ่งโล้งหรือท่าเทียบเรือกลไฟ โดยมีอาคารโบราณสองชั้นที่ได้รับการบูรณะปรับปรุง ซึ่งในอดีตเป็นที่พักของคนงานและผู้โดยสารเรือกลไฟชาวจีน และศาลเจ้าแม่มาจู่ (มาโจ้ว) ที่ชาวจีนแต้จิ๋วเคารพสักการะ]

ตันฉื่อฮ้วง นอกจากจะดำเนินกิจการค้าส่งออก-นำเข้าสินค้าและเรือสำเภาโดยสารขึ้นล่องซัวเถา-ฮ่องกง-เมืองไทยอยู่ประจำแล้ว ยังเป็นผู้ประกอบการโรงสีที่ใหญ่ที่สุด ช่วงเขาอยู่ในไทยมีกิจการโรงสีข้าวสองแห่งที่ฝั่งธนบุรีและย่านสามเสนซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับ ๑ ของไทยในเวลานั้น โดยใช้เครื่องจักรของตะวันตกอันทันสมัย และต่อมาตระกูลหวั่งหลีกลายเป็นผู้นำในองค์การสมาคมพ่อค้าข้าว

ตันลิบบ๊วย (陈立梅 - เฉินลี่เหมย) บุตรชายคนรองของ ตันฉื่อฮ้วง มีหัวทางการค้าจึงถูกส่งมาเมืองไทยเพื่อดูแลกิจการค้าและโรงสี กิจการหลักของตระกูล  ตันฉื่อฮ้วง เกษียณอายุตัวเองในวัย ๕๐ ปี กลับบ้านเกิดที่ซัวเถา สร้างบ้านหลังใหญ่และจากไปอย่างสงบในวัย ๗๕ ปี

Image

ฉวนเย่ถาง ห้องรับรองบ้านหวั่งหลี

Image

ช่องหน้าต่างบ้านหวั่งหลี

ตันลิบบ๊วย ดำเนินรอยตามบิดาได้อย่างดี สร้างกิจการใหญ่โตขึ้นตามลำดับ แวดล้อมด้วยกิจการค้าส่งข้าวโรงสี ตัวแทนบริษัทเดินเรือกรุงเทพฯ-ฮ่องกง-ซัวเถา แล้วยังตั้งธนาคารหวั่งหลีจั่นเพื่อสนับสนุนการค้าของตระกูลเขาลาโลกไปหลังจากได้ใบอนุญาตประกอบกิจการธนาคารเพียง ๒ ปีในวัย ๕๐

บ้านหวั่งหลีที่เฉิงไห่เริ่มสร้าง ค.ศ. ๑๙๑๐ (ปีที่ ๒ ของรัชศกซวนท้ง) ก่อนสิ้นสุดราชวงศ์ชิงเพียงปีเดียว มีอาณาบริเวณ ๒๕,๐๐๐ ตารางเมตร เป็นพื้นที่สิ่งปลูกสร้าง ๑๖,๘๐๐ ตารางเมตร สำหรับอยู่อาศัยของ ตันฉื่อฮ้วง บุตรชาย และหลาน รวมสามชั่วอายุคน

ในคฤหาสน์โอฬารแห่งนี้รวมบ้านสี่หลังอยู่ในพื้นที่เดียวกัน

หลังแรก-โซ่วคังหลี่ (寿康里) ตันฉื่อฮ้วง สร้างให้บุตรชายคนโต ตันลิบฮึ้ง (陈立勋 - เฉินลี่ซวิน) ใน ค.ศ. ๑๙๒๒ แล้วเสร็จ ค.ศ. ๑๙๓๐

หลังที่ ๒-หลางจงตี้ (朗中第) สร้างให้บุตรชายคนรอง ตันลิบบ๊วย สร้างก่อนทุกหลังใน ค.ศ. ๑๙๑๐ แล้วเสร็จ ค.ศ. ๑๙๒๐

หลังที่ ๓-ซ่านจวีถาง (善居室) สร้างให้บุตรชายคนเล็ก ตันลิบท้ง (陈立桐 - เฉินลี่ถง) แต่เสียชีวิตก่อนตันซิวเอี่ยม (陈守炎 - เฉินโส่วเหยียน) หลานชายจึงมาดูแลแทน  เป็นบ้านหลังใหญ่และงดงามที่สุด ทั้งงานประดับกระเบื้องปูผนังและพื้น งานแกะสลักไม้ ศิลาและอิฐ ซึ่งเจ้าของสร้างอย่างพิถีพิถันมาก โดยสร้างใน ค.ศ. ๑๙๒๒ แล้วเสร็จ ค.ศ. ๑๙๓๙

และซานหลูซูไจ (三庐书斋 - ห้องเรียนหนังสือ) รวมทั้งสี่หลังมีจำนวน ๕๐๖ ห้อง กระทั่งกล่าวขานกันว่าถ้าให้คนหนึ่งเปิดปิดประตูหน้าต่างของทุกห้องคงต้องใช้เวลา ๑ วันเต็ม ๆ

แบบแปลนบ้านหวั่งหลี - สี่ม้าลากรถ

ทุกวันนี้หากมาเยี่ยมเยือนบ้านหวั่งหลีอันใหญ่โตจะได้ชมเฉพาะส่วนอาคารซ่านจวีถางที่สร้างขึ้นด้วยรูปแบบงานสถาปัตยกรรมท้องถิ่น “ซื่อหม่าทวอเชอ (驷马拖车)” หรือ “สี่ม้าลากรถ”

ในหนังสือ ดุจนาวากลางมหาสมุทร ของคุณหญิงจำนงศรี (รัตนิน) หาญเจนลักษณ์ บรรยายบ้านนี้ไว้ว่า...

“แบบบ้าน ‘ม้าสี่ตัวลากรถ’ รถในที่นี้หมายถึงอาคารสี่เหลี่ยมที่เป็นส่วนสำคัญของบ้าน อาคารนี้จะมีห้องนอนอยู่มุมละห้อง ห้องนอนที่สำคัญอยู่มุมขวามือด้านหลัง เจ้าของบ้านและภรรยาเอกจะอยู่ในห้องนี้ อีก ๓ ห้องอาจเป็นห้องของภรรยารองหรือของลูกชายคนโตและคนรองลดหลั่นตามลำดับ โดยนับห้องซ้ายมือด้านหลังเป็นห้องสำคัญรองลงมาจากห้องเจ้าของบ้าน

“ส่วน ‘ม้า’ นั้นหมายถึงอาคารแถวที่ยาวขนานไปกับความลึกของอาคารกลางข้างละสองแถว เป็นที่อยู่ของลูก ๆ คนอื่น ๆ รวมทั้งญาติสนิท ด้านหลัง ‘ม้า’ และ ‘รถ’ ยังมีอาคารแถวอีกหนึ่งหลังใช้เป็นที่อยู่ของบริวาร  สำหรับบ้านของตันฉื่อฮ้วงมีรูปแบบที่แตกต่างออกไปจากบ้านในลักษณะที่เป็น ‘ม้าสี่ตัวลากรถ’ อยู่บ้าง...” 

เมื่อบ้านซ่านจวีถางสร้างเสร็จ ตันซิวเอี่ยม เจ้าของเรือนยังไม่ทันย้ายเข้าก็เกิดเหตุการณ์กองทัพญี่ปุ่นบุก เมืองกวางตุ้ง จึงพามารดาและครอบครัวอพยพมาฮ่องกง บ้านอันงามวิจิตรหลังนี้จึงยังไม่เคยมีผู้อาศัย  ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ บ้านทั้งหมดถูกยึดเป็นของรัฐใน ค.ศ. ๑๙๘๗  ทายาทตระกูลหวั่งหลีคือ วรวีร์ และวุฒิชัย หวั่งหลี เป็นตัวแทนไปรับมอบคืนจากรัฐบาลจีน แล้วยกให้รัฐบาลเพื่อใช้สถานที่ตามความเหมาะสม  ใน ค.ศ. ๑๙๙๙ ได้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีลูกหลานชาวจีนโพ้นทะเลทั้งชาวจีนแต้จิ๋วและอื่น ๆ เข้ามาเยี่ยมชม  ค.ศ. ๒๐๐๒ ได้รับคัดเลือกเป็นมรดกสำคัญของมณฑล และ ค.ศ. ๒๐๐๖ ได้รับคัดเลือกเป็นหมู่บ้านวัฒนธรรมอันงดงามที่สุดของมณฑลกวางตุ้ง

Image

ผู้ศรัทธาคลาคล่ำที่หน้าศาลเจ้าตั่วเหล่าเอี้ยในวันเทวสมภพทีกง (เง็กเซียนฮ่องเต้)

ชาวแต้จิ๋ว
ไหว้เจ้าองค์ใดบ้าง ?

หนึ่งในอัตลักษณ์ที่สะท้อนตัวตนของชาวจีนแต้จิ๋ว ทั้งในประเทศจีนและประเทศไทยที่เราคุ้นเคยดีที่สุดคือ ประเพณีการไหว้เจ้า หรือไป๊เหล่าเอี้ย (拜老爷) ซึ่งในเทศกาลประจำปีและแต่ละเดือนจะมีการไหว้เจ้าหลายครั้ง โดยสรุปคติการไหว้พระไหว้เจ้าของชาวแต้จิ๋วมีดังนี้

๑. ชาวจีนแต้จิ๋วสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่าเยว่ [ไป่เยว่ (百越) - เยว่ร้อยจำพวก] ยุคโบราณที่มีถิ่นฐานอยู่ทางภาคใต้ของจีน  ปัจจุบันชนเผ่าเยว่ก็ยังมีความเชื่อเรื่องสิ่งลึกลับและธรรมชาติรอบตัว

๒. เมื่อประสบภัยธรรมชาติรุนแรงทั้งอุทกภัย วาตภัย ภัยแล้ง และภัยอื่น ๆ ด้วยสภาพภูมิประเทศแต้จิ๋วมีประชากรมากแต่ที่ดินทำกินมีน้อย จึงต้องออกเดินทางทางเรือไปสู้ชีวิตข้างหน้าและหาที่พึ่งทางใจคือผีสางเทวดาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว

๓. ชาวแต้จิ๋วมีความเคารพวีรชนและผู้มีพระคุณต่อคนจีนและถิ่นแต้จิ๋ว เช่น ขุนนางดีในอดีต ผู้ได้รับการเทิดทูนในฐานะเทพของถิ่นแต้จิ๋ว

Image

เสวียนเทียนซ่างตี้ 
หรือตั่วเหล่าเอี้ย (องค์ดั้งเดิม)

งานบูชาขนาดใหญ่
ที่ศาลเจ้าแม่แปะฮวยเจียม

Image

เครื่องบูชาเจ้าแม่ศาลแปะฮวยเจียม

เทพเจ้าหรือเหล่าเอี้ยที่ชาวแต้จิ๋วนับถือแบ่งประเภทได้ดังนี้

๑. เทพยุคโบราณ สืบทอดมาจากชนเผ่าเยว่มีหลายองค์ ที่แพร่หลายมากสุดคือเทพมังกรเขียว (ชิงหลงเหย๋ หรือแชเหล่งเอี้ย) เป็นเทพประจำเผ่าหมิ่นเยว่ซึ่งบูชางูหรือมังกรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ประจำเผ่า  ศาลเจ้าเทพมังกรเขียวตั้งอยู่ริมแม่น้ำหานเจียง เมืองแต้จิ๋ว รวมถึงหลายศาลเจ้าในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

๒. วีรชนผู้กล้าหาญในอดีต เช่น กวนอู เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์, หานเหวินกง (หั่งบุ่งกง หรือ หานอวิ้) ผู้วางรากฐานอารยธรรมแต้จิ๋วตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง, เจ้าแม่มาจู่ (มาโจ้ว) องค์เทวนารีผู้พิทักษ์คุ้มครองการเดินเรือที่ชาวจีนแต้จิ๋ว-ฮกเกี้ยนต่างเคารพนับถือ, ศาลเจ้าต้าเฟิงกง (ไต่ฮงกง) พระภิกษุผู้เป็นแบบอย่างในการอุทิศตนเพื่องานสาธารณกุศลที่อำเภอเฉาหยาง (เตี่ยเอี้ย)  มีคติการเซ่นไหว้ในวันเทวสมภพขององค์เทพเจ้า วันเทศกาลต่าง ๆ เป็นต้น

๓. เทพทางศาสนาพุทธและเต๋า ที่แพร่หลายมาก เช่น พระโพธิสัตว์กวนอิม (พุทธ), เสวียนเทียนซ่างตี้ (เหี่ยงเทียงเสี่ยงตี่ หรือตั่วเหล่าเอี้ย หรือชาวไทยนิยมเรียกเจ้าพ่อเสือ-เต๋า) ที่เสวียนอู่ซาน (เหี่ยงบู่ซัว)  การเซ่นไหว้บูชาจะยึดถือตามเทศกาลสำคัญประจำปี เช่น วันตรุษจีน วันหยวนเซียว วันสารทจีน วันเทวสมภพขององค์เทพเจ้า วันขอบคุณเทพเจ้าช่วงปลายปี เป็นต้น

๔. เทพพื้นบ้านที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต ซึ่งชาวบ้านเคารพศรัทธามีจำนวนมาก เช่น ถู่ตี้กง (土地公 - โทวตี่กง) เจ้าที่, ไฉเสินเหย๋ (财神爷 - ไฉ่สิ่งเอี้ย) เทพแห่งทรัพย์สินโชคลาภ นิยมไหว้ในวันตรุษจีนและวันเทวสมภพ, เหมินเสิน (门神 - หมึ่งซิ้ง) เทพทวารบาล นิยมปักธูปไหว้ทุกครั้งที่มีการไหว้เจ้าในบ้าน, เจ้าเสิน (灶神 - เจ่าซิ้ง) - เจ้าเตาไฟ นิยมไหว้ในการอัญเชิญเจ้าขึ้นสวรรค์และวันรับเจ้าลงจากสวรรค์ เป็นต้น

๕. เทพเฉพาะถิ่น จีนแต่ละถิ่นจะมีเทพเฉพาะท้องถิ่นอย่างเทพของชาวแต้จิ๋ว เช่น ซานซานกว๋อหวาง (三山国王 - ซำซัวก๊กอ๊วง) - เทพแห่งสามภูเขา เป็นเทพประจำภูเขาสามลูก อดีตวีรชนผู้กลายเป็นเทพเจ้าปกปักรักษาชาวบ้านในพื้นที่บริเวณแต้จิ๋วต่อเนื่องกับถิ่นฮากกา เป็นต้น

Image

หานอวิ้ หรือ หั่งบุ่งกง ผู้นำอารยธรรมจีนฮั่นมาสู่ดินแดนแต้จิ๋วในสมัยราชวงศ์ถัง

หลวงปู่ซ่งไต้ฮงกง 
อริยสงฆ์ต้นแบบงานสาธารณกุศล

เมื่อเอ่ยชื่อศาลเจ้าไต้ฮงกง ถนนพลับพลาไชย รวมถึงมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โรงพยาบาลหัวเฉียว สุสานแต้จิ๋ว จนถึงมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ล้วนมีที่มาจากหลวงปู่ซ่งไต้ฮงกง

หลวงปู่ซ่งไต้ฮงกงโจวซือ (宋大峰公祖师 - ซ่งต้าเฟิงกงจู่ซือ) เป็นอริยบุคคลสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ ค.ศ. ๑๐๓๙ นามเดิมว่า หลินหลิงเอ้อ (林灵噩 - ค.ศ. ๑๐๓๙-๑๑๒๗) เกิดในครอบครัวขุนนางที่เมืองเวินโจว มณฑลเจ้อเจียง มีสติปัญญาปราดเปรื่องตั้งแต่เด็ก ต่อมาสอบได้ตำแหน่งบัณฑิตชั้นจิ้นสือ และได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายอำเภอที่เมืองเส้าซิง มณฑลเจ้อเจียง  ตลอดเวลาที่รับราชการท่านปกครองประชาชนด้วยความเมตตา ปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต จนเกิดความร่มเย็นเป็นสุข ภายหลังท่านรู้สึกเบื่อหน่ายในการรับราชการด้วยเหตุผลหลายประการจึงสละชีวิตทางโลกเข้าบวชในพุทธศาสนาที่มณฑลฮกเกี้ยน ได้รับฉายา “ไต้ฮง-ต้าเฟิง” หรือ “ภูเขาใหญ่”

ตลอดระยะเวลาที่ท่านออกบวชได้ศึกษาพระธรรมอย่างแตกฉานและมีวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัด เมื่อท่านจาริกมาถึงเมืองแต้จิ๋วก็พบเห็นความยากแค้นของคนในพื้นที่ แล้วมีผู้เลื่อมใสศรัทธาศีลาจารวัตรของท่านจึงนิมนต์ท่านจำพรรษาที่วัดเก่าแก่แห่งหนึ่งในเขตภูเขาปักซัว อำเภอเตี่ยเอี้ย  ตลอดเวลาที่ท่านพำนักได้เป็นผู้นำสาธุชนในการช่วยเหลือสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ว่าจะสร้างถนน สะพาน โรงทาน โรงเรียน ช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบอุทกภัย วาตภัย รวมทั้งตั้งโรงรักษาผู้เจ็บไข้ได้ป่วย และทำศพสงเคราะห์ผู้ยากไร้

รูปเคารพหินอ่อนหลวงปู่ซ่งไต้ฮงกง ภายในหอที่ระลึก

เมื่อท่านชราภาพได้ออกธุดงค์ไปจำพรรษาที่วัดในตำบลฮั่วเพ้ง ซึ่งมีแม่น้ำเลี่ยน (练河) ไหลผ่านแบ่งเขตเมืองเป็นสองฝั่ง  แม่น้ำเลี่ยนทั้งกว้างและไหลเชี่ยวโดยเฉพาะยามน้ำหลาก ทำให้ผู้คนที่ใช้เรือข้ามฟากมักถูกกระแสน้ำพัดเสียชีวิตอยู่เนือง ๆ

ท่านจึงดำริที่จะสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเพื่อเป็นสาธารณประโยชน์  การสร้างสะพานนี้ไม่มีใครคาดคิดว่าท่านจะทำสำเร็จ แต่ด้วยความศรัทธาที่มีต่อหลวงปู่ ผู้คนจำนวนมากจากทั่วทุกสารทิศได้ร่วมแรงร่วมใจบริจาคทรัพย์สินเงินทอง วัสดุอุปกรณ์ และแรงกาย เพื่อช่วยกัน ท่านเลือกจุดสร้างสะพานหน้าศาลเทพารักษ์ประจำเมือง ขณะที่ทุกคนกำลังกังวลถึงกระแสน้ำเชี่ยวกราก ท่านก็กำหนดวันที่จะเริ่มลงมือ  ครั้นถึงฤกษ์ยามก็ปรากฏเหตุอัศจรรย์ขึ้นเมื่อน้ำในแม่น้ำเลี่ยนค่อย ๆ ลดระดับลงจนเห็นสันทรายกลางแม่น้ำ  ประชาชนต่างก้มกราบท่านด้วยความศรัทธา  ท่านบอกทุกคนว่าน้ำจะลดลงเช่นนี้เป็นเวลา ๗ วัน ขอให้เร่งสร้างฐานรากสะพานให้แล้วเสร็จ

ด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกคน สะพานข้ามแม่น้ำเลี่ยนก็สร้างสำเร็จ และตั้งชื่อสะพานว่า “เหอผิงเฉียว (和平桥 - ฮั่วเพ่งเกี้ย)” ซึ่งหมายถึงอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข  มีความยาว ๓๐ จ้าง* สูง ๑ จ้าง กว้าง ๙ จ้าง

หลวงปู่ได้ละสังขารอย่างสงบสิริอายุ ๘๕ ปี หลังสร้างสะพานเสร็จไม่นาน  ร่างของท่านถูกฝังไว้ที่ตำบลฮั่วเพ้ง แม้สาธุชนจะเศร้าโศกเสียใจ แต่ยังศรัทธาและระลึกถึงคำสอนของท่านจึงสร้างศาลขึ้นสักการบูชาและร่วมสืบทอดเจตนารมณ์ในการประกอบสาธารณกุศลเกิดเป็นศาลาเป่าเต๋อถาง [报德堂 - ป่อเต็กตึ๊ง (สนองคุณ)] ต้นธารแห่งมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งที่ชาวจีนแต้จิ๋วโพ้นทะเลในอดีต เช่น พระอนุวัฒน์ราชนิยม (ยี่กอฮง), ตันลิบบ๊วย ฯลฯ เป็นผู้นำคณะเก็บศพไต้ฮงกง (ก่อนตั้งเป็นมูลนิธิ) โดยมีวัตถุประสงค์ในการเก็บศพไร้ญาติโดยไม่จำกัดเชื้อชาติเข้ามาในสังคมไทย และต่อมามี เหียกวงเอี่ยม เป็นประธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งคนแรก และ อุเทน เตชะไพบูลย์ เป็นรองประธาน เพื่อเผยแพร่และดำเนินกิจการสาธารณกุศลสงเคราะห์ในประเทศไทยมาตราบจนปัจจุบัน

* จ้าง = ๑๐ ฉื่อ หรือฟุตจีน ซึ่ง ๑ ฟุตจีนยาวประมาณ ๑๐ นิ้ว

Image

Image

“จับเกี๊ยม” กินกับข้าวต้ม

Image

ข้าวต้มกับไข่เจียวไชโป๊

หอเจี๊ยะ
อาหารแต้จิ๋ว

เมื่อพูดถึงอาหารแต้จิ๋ว เกือบทุกคนจะนึกถึงรสชาติอันโอชะจากเสน่ห์ปลายจวักของรุ่นอาม่าที่สืบทอดมาถึงรุ่นแม่ซึ่งหลายคนยังถวิลหาอยู่เสมอ

และถ้ามีโอกาสมาเยือนซัวเถา จะมีคำกล่าวของชาวจีนแต้จิ๋วว่า

“เจียะซี่คาปุ๊กหยู่เจี่ยะหน่อคา เจียะหน่อคาปุ๊กหยู่เจียะบ่อคา

(食四脚不如食二脚,食二脚不如食无脚。)”

หมายถึง “กินสัตว์สี่เท้าไม่เท่ากินสัตว์สองเท้า กินสัตว์สองเท้าไม่เท่ากินสัตว์ไร้เท้า”

ซี่คา หรือสัตว์สี่เท้า หมายถึง วัว แพะ หรือหมู

หน่อคา หรือสัตว์สองเท้า คือ เป็ด ไก่ ห่าน และนก

บ่อคา หรือสัตว์ไร้เท้า คือ ปลา หอย และอาหารทะเลทั้งหลาย ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อของชาวแต้จิ๋ว

อาหารแต้จิ๋วนับเป็นหนึ่งในสามอาหารยอดนิยมของมณฑลกวางตุ้ง อันประกอบด้วยอาหารกวางตุ้ง (粤菜 - เยว่ไช่) อาหารแต้จิ๋ว (潮菜 - เฉาไช่) และอาหารฮากกา (客家菜 - เค่อเจียไช่) เป็นอาหารที่ถูกปากคุ้นลิ้นคนไทยและหารับประทานได้ง่ายสุดตามสัดส่วนประชากรชาวจีนแต้จิ๋วโพ้นทะเลที่อพยพมาอยู่ในประเทศไทย นอกจากนี้ชื่อเสียงอาหารแต้จิ๋วในประเทศจีนก็ไม่เป็นรองอาหารกวางตุ้ง จนมีคำกล่าวว่า กินที่แต้จิ๋ว (食在潮州) คู่กับกินที่กวางตุ้ง (食在广东)

Image

ข้าวต้มปลาเก๋าทะเล

Image

ห่านหัวสิงโต อาหารขึ้นชื่อชาวเถ่งไฮ่

อัตลักษณ์โดดเด่นของอาหารแต้จิ๋วที่คนไทยรู้จักดีคือ

๑. ขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเล ด้วยชายฝั่งทะเลของเหยี่ยวเพ้งซัวเถาไปถึงซัวบ้วยสามารถเลี้ยงหอยนานาชนิดได้ดี โดยเฉพาะหอยนางรม หรือออ (蚝) เป็นเมนูที่ต้องมีบนโต๊ะอาหารและงานจัดเลี้ยงเสมอ นิยมนำหอยนางรมมาปรุงสารพัดวิธี ทั้งกินสด ๆ ทอด ลวก ย่าง ดอง ฯลฯ ขึ้นอยู่กับขนาดหอย แต่ที่นิยมคือหอยทอด หรือออลัวะ (蚝烙) มาแต้จิ๋วหารับประทานได้ตลอดทั้งปี

อาหารทะเลขึ้นชื่ออีกชนิดคือหอยกะพง หรือเปาะขัก (薄壳) ช่วงเวลาเหมาะสมคือประมาณเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน โดยนำมาผัด ทอด หรือดอง ไว้กินกับข้าวต้มร้อน ๆ

๒. ข้าวต้มจืด หรือม้วย (糜) และของดอง คนแต้จิ๋วชอบรับประทานข้าวต้มมาก เพราะประหยัดและดีต่อสุขภาพ มีทั้งข้าวต้มจืดที่กินคู่กับข้าว เช่น หัวไชโป๊ (菜脯), เกี๊ยมไฉ่ (咸菜), ก๊งไฉ่ (贡菜), ซีเซ็กไฉ่ (四色菜), กานาไฉ่ (橄榄菜), หอยดอง กุ้งดอง กั้งดอง (潮汕毒药) (คนแต้จิ๋วเรียกอาหารทะเลสดดองว่าเป็นยาพิษเพราะกินแล้วอาจท้องเสียได้) รวมถึงปลาเงินตัวเล็ก (银鱼仔), กุ้งฝอย หรือแห่บี้ (虾米), ถั่วลิสงทอด, ไข่พะโล้ เป็นต้น

Image

ก๊วยเนกและลูกชิ้นกุ้ง

Image

ฮื่อปึ่ง ปลานึ่ง

Image

กุ้งดอง หรือยาพิษแต้จิ๋ว

ส่วนข้าวต้มเครื่องที่นิยมกิน เช่น ข้าวต้มปลาเก๋าทะเลน้ำลึก (石斑鱼糜) กินคู่ลูกชิ้นปลา (鱼丸) และเกี๊ยวปลาสด (鱼饺) ยิ่งเอร็ดอร่อย เป็นต้น

๓. ลูกชิ้นเนื้อวัว (牛肉丸) ว่ากันว่าความนิยมกินลูกชิ้นเนื้อวัวมาจากแผ่นดินจีนภาคกลาง แต่คนแต้จิ๋วพัฒนาสูตรจนเป็นลูกชิ้นเนื้อวัวลูกใหญ่ ทว่าเนื้อเหนียวนุ่มเด้งด้วยกรรมวิธีทุบด้วยมือจนเนื้อวัวบดละเอียด นิยมกินคู่ก๋วยเตี๋ยว หรือเป็นน้ำแกงใส่สาหร่ายทะเลก็อร่อยคล่องคอ

๔. พะโล้ (打卤) เป็นอาหารแต้จิ๋วที่คนไทยรู้จักดี หารับประทานได้แทบทุกร้านข้าวราดแกง  พะโล้คือการต้มด้วยน้ำเกลือหรือซีอิ๊วพร้อมเครื่องเทศนานาชนิด ไม่ว่าโป๊ยกั๊ก ยี่หร่า อบเชย กานพลู เมล็ดผักชี หล่อฮั้งก้วย เป็นต้น ต้มจนน้ำข้นออกรสหวานเค็มกลมกล่อม  อาหารที่นิยมนำมาพะโล้ เช่น หมูพะโล้ ขาหมูพะโล้ เป็ดพะโล้ ไข่พะโล้ ฯลฯ  แต่สำหรับคนแต้จิ๋วชื่นชอบและภาคภูมิใจคือห่านพะโล้ ดังคำกล่าวว่า บ่อง๊อปุ่กเส่งอัก (无鹅不成宴) ไร้ห่านงานเลี้ยงก็ไม่สมบูรณ์

ห่านที่นำมาพะโล้อร่อยสุดต้องเป็นไซเถ่าง้อ (狮头鹅) ห่านหัวสิงโตที่เลี้ยงในเขตเฉิงไห่ซึ่งตัวใหญ่หัวโตกว่าห่านเลี้ยงทั่วไป มีจำหน่ายในภัตตาคารชื่อดังของอำเภอนี้กระทั่งส่งออกไปหลายประเทศทั่วเอเชีย

Image

ขนมกะลอจี๊ยอดอร่อย

Image

ขนมอั่งถ่อก้วยไส้ข้าวเหนียว

๕. ชาวแต้จิ๋วเชี่ยวชาญการถนอมอาหารและนำของเหลือใช้มาทำอาหาร เช่น เกี๊ยมไฉ่ ส่วนใบและก้านที่แก่นำมาสับรวมกับกาน่า (ลูกสมอ) ให้ละเอียด ปรุงรสอย่างพิถีพิถัน เป็นอาหารขึ้นเหลาเรียกหู่ก๊กไฉ่ (护国菜) ซึ่งมีประวัติยาวนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่งใต้ที่ชาวบ้านปรุงซุปใบมันเทศให้ฮ่องเต้ที่เสด็จลี้ภัยลงใต้ได้เสวย และตั้งชื่อภายหลังว่าผักพิทักษ์ชาติ  เครื่องดื่มก็นำผลไม้ดองมาปรุงให้ชุ่มคอชื่นใจ เป็นน้ำสมุนไพรที่บอกตัวตนคนแต้จิ๋ว เช่น เหล่าเอียะกิ่ก (老药桔) จากผลส้ม หรือเหล่าเฮียงฮึ้ง (老香园) จากผลส้มโอมือ ซึ่งหาชิมและซื้อกลับบ้านได้ทั่วไปในเขตวัฒนธรรมชาวแต้จิ๋ว

ถนนคนเดินเสี่ยวกงหยวน หอที่ระลึก ดร. ซุนจงซาน ย่านเก่าเมืองซัวเถา

๖. ของว่างคาวหวาน ของกินเล่นแสนอร่อยที่เราคุ้นเคยดีเรียกรวมว่าเสียวเจี๊ยะ (小食) เช่น ขนมกูไฉ่ก้วย (韭菜粿), ขนมชือขั่กก้วย (鼠壳粿), ขนมกะลอจี๊ (胶罗钱), เต้าหู้ทอดโผวเล้ง (普宁豆腐干), โอวหนี่แปะก้วย (芋泥白果), ฮ่อยจ๊อ (蟹枣), ก๊วยเนก (果肉), ขนมจับกิ้ม (糕烧什锦) คือ เผือก มัน ฮ่วยซัว พุทราจีน ชุบน้ำตาลทอดร้อน ๆ, ขนมหล่าเปี้ย (腊饼) หรือขนมเปี๊ยะ รวมถึงขนมถึ่งชังเปาะเปี๊ยะ (糖葱薄饼) ที่นำแป้งเปาะเปี๊ยะมาห่อแท่งตังเมใส่ถั่ว งา ผักชี รสหวาน หอม กลมกล่อม หารับประทานได้ทั่วไปในแต้จิ๋วซัวเถา เป็นต้น

๗. น้ำปลาฮื่อโหลว (鱼露) น้ำปลาของแต้จิ๋วจัดอยู่ในสามสิ่งวิเศษของอาหารแต้จิ๋ว (潮菜三宝) ได้แก่ ไชโป๊ เกี๊ยมไฉ่ และน้ำปลา ซึ่งล้วนเป็นของหมักดองรสเค็มและคำว่าเค็มหรือเกี๊ยม (咸) ในภาษาพูดของแต้จิ๋วถูกนำมาใช้แทนคำว่า “กับข้าว” ด้วย เช่น เวลาไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวเรียกว่า “โบ๋ยเกี๊ยม (买咸)” เวลากินกับข้าวก็จะเรียกว่า “ผ้วยเกี๊ยม (配咸)” และวัฒนธรรมการปรุงอาหารด้วยน้ำปลาของชาวแต้จิ๋วก็ได้ติดตัวชาวแต้จิ๋ว มายังประเทศไทย เผยแพร่ไปเวียดนาม ลาว กัมพูชา ฯลฯ โรงงานผลิตน้ำปลาในบ้านเราส่วนมากเป็นธุรกิจชาวแต้จิ๋วตั้งแต่รุ่นปู่และพ่อสืบทอดมาถึงปัจจุบัน

ร้านอาหารจีนแต้จิ๋วในบ้านเราที่ยังหารับประทานได้ เช่น ข้าวต้มจับเกี๊ยม หอยนางรมทอด ห่านพะโล้ เป็ดพะโล้ ไข่เจียวไชโป๊ รวมถึงขนมกินเล่น เช่น กูไฉ่ก้วย กะลอจี๊ เต้าหู้ทอด โอวหนี่แปะก๊วย เผือกหิมะ ฯลฯ แต่บางชนิดก็หากินยาก เช่น ลูกชิ้นเนื้อวัวสูตรแต้จิ๋ว ขนมจับกิ้มแบบดั้งเดิม ฯลฯ หรือบางเมนูก็หายไปจากสังคมไทย เช่น ขนมถึ่งชังเปาะเปี๊ยะ ฯลฯ  ดังนั้นเมื่อมีโอกาสมาถิ่นซัวเถา ลูกหลานชาวแต้จิ๋วควรหาโอกาสลิ้มลองรสชาติดั้งเดิมที่ชาวเมืองยังปรุงจำหน่าย

Image

อาคารศิลปะตะวันตกในย่านเก่าเมืองซัวเถา

ดังคำกล่าวของชาวจีนที่สอนลูกหลานว่า “ดื่มน้ำให้คำนึงถึงต้นธาร ใบไม้ร่วงลงสู่โคนต้น (饮水思源落叶归根)” ในฐานะลูกจีนแต้จิ๋วที่กลับมาเยือนถิ่นซัวเถาหลายครั้งช่วง ๒ ปีมานี้ ทำให้สัมผัสถึงความอบอุ่นในถิ่นบรรพชน มีโอกาสใช้ภาษาแต้จิ๋ว (ที่ไม่สามารถใช้พูดในภูมิภาคอื่นของจีน) แบบกากี่นั้ง (คนกันเอง) เห็นแบบแผนบ้านเรือนที่ญาติพี่น้องเคยอาศัย ได้กราบไหว้ศาลเจ้าต้นธารที่อากงอาม่านับถือ ได้ชิมอาหารแต้จิ๋วรสเลิศในสูตรดั้งเดิม และเหนืออื่นใดรู้สึกภาคภูมิใจที่เห็นภาพบุคคลสำคัญของประเทศไทยในอดีตหลายท่านอยู่ในหอเกียรติยศของถิ่นมาตุภูมิอย่างสง่างามน่าชื่นชมยิ่ง  

หนังสืออ้างอิง
จำนงศรี (รัตนิน) หาญเจนลักษณ์. (๒๕๔๑). ดุจนาวากลางมหาสมุทร. กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์.

ถาวร สิกขโกศล. (๒๕๕๔). แต้จิ๋ว จีนกลุ่มน้อยที่ยิ่งใหญ่. กรุงเทพฯ : มติชน.

นิธิ เอียวศรีวงศ์. (๒๕๒๙). การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี. กรุงเทพฯ : มติชน. 

สมชาย จิว. (๒๕๖๕). แต้จิ๋วแต่แจ๋ว. กรุงเทพฯ : ยิปซี.

สุรสิทธิ์ อมรวณิชศักดิ์. (๒๕๖๗). “ความสัมพันธ์ไทย-จีน : ว่าด้วยเรื่องการกลมเกลียวและกลืนกลายทางวัฒนธรรม” ใน วารสารจีนศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๒ (กรกฎาคม-ธันวาคม).

ศิลปะการตัดกระเบื้องเคลือบ
ประดับหลังคา

Image

รูปปั้นประดับกระเบื้องเคลือบศาลเจ้าตั่วเหล่าเอี้ย ๑

อีกหนึ่งสิ่งสวยงามน่าชมของศาลเจ้าในเขตวัฒนธรรมแต้จิ๋วคือ ศิลปะการตัดกระเบื้องประดับหลังคา ฝาผนัง ด้านบนผนังเหนือประตูหน้าต่าง หัวเสาของศาลเจ้าและวิหาร เรียกว่า “เชี่ยนฉือ (嵌瓷 - ขัมซื้อ ในสำเนียงแต้จิ๋ว)” คำว่า “เชี่ยน” หมายถึงฝังให้โผล่ครึ่งหนึ่ง “ฉือ” คือเครื่องเคลือบ ในที่นี้หมายถึงเครื่องเคลือบที่แตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ  รวมความก็คือ การนำเครื่องเคลือบชิ้นเล็ก ๆ ฝังประดับบนปูนปั้นที่ขึ้นรูปไว้แล้ว ลักษณะคล้ายงานโมเสก เป็นศิลปะที่ชาวจีนแต้จิ๋วคิดค้นขึ้น ต่อมาแพร่หลายไปยังฮกเกี้ยน ไต้หวัน และถิ่นจีนโพ้นทะเล

การปั้นและประดับลวดลายมงคลต่าง ๆ ล้วนงดงาม มีอิริยาบถอ่อนช้อย เช่น มังกรคู่เล่นไข่มุกไฟ พญาหงส์ชูดอกโบตั๋น กิเลน  ดอกไม้มงคล เช่น โบตั๋น เหมย กล้วยไม้ เบญจมาศ ต้นไผ่ ต้นสน ฯลฯ  สัตว์เลี้ยง เช่น ไก่ ปลา แพะ  ผลไม้มงคล เช่น ทับทิม องุ่น ส้ม ส้มมือ  ข้าวของเครื่องใช้ เช่น แจกัน หนังสือ กระบี่ น้ำเต้า กระถางดอกไม้ หางนกยูง รวมถึงปั้นเป็นตุ๊กตาเทพเจ้าโป๊ยเซียน นางฟ้า ขุนนางฝ่ายบุ๋น ขุนนางฝ่ายบู๊ พร้อมอาวุธครบมือ เป็นต้น


แหงนหน้าขึ้นมองเชี่ยนฉืออันวิจิตรในซัวเถาได้ที่ หลังคาศาลเจ้าตั่วเหล่าเอี้ย ศาลเจ้าแชเหล่งเอี้ย ศาลเจ้าอาม่า เกาะมาสือ วัดไคหยวน ฯลฯ  แล้วชวนมามองงานประดับกระเบื้องหลังคางาม ๆ ในวัดไทยตามแบบพระราชนิยมสมัยรัชกาลที่ ๓ เช่น วัดราชโอรสา
ราม วัดนางนอง วัดจันทาราม วัดเทพธิดาราม วัดอรุณราชวราราม ฯลฯ รวมถึงศาลเจ้าจีนในกรุงเทพฯ เช่น ศาลเจ้าโรงเกือก, ศาลเจ้าโจวซือกง ย่านตลาดน้อย, ศาลเจ้าเล่าปุน-เถ้ากง ถนนทรงวาด, ศาลเจ้าเกียนอันเกง ย่านกุฎีจีน ฯลฯ

งานผ้าปักแต้จิ๋วชั้นเลิศที่ศาลเจ้าเห้งเจีย วัดไตรมิตร

สามงานศิลปกรรม
ขึ้นชื่อชาวแต้จิ๋ว

๑. งานผ้าปักแต้จิ๋ว (刺绣) ได้รับยกย่องว่าเป็น “หนึ่งในสี่ยอดผ้าปักของจีน (中国四大名绣)” คือ ผ้าปักซูโจว (苏绣), ผ้าปักหูหนาน (湘绣), ผ้าปักเสฉวน (川绣) และผ้าปักกวางตุ้ง (粤绣)  ผ้าปักกวางตุ้งชั้นเยี่ยมมีสองกลุ่มคือ ผ้าปักกวางตุ้ง (广绣) และผ้าปักแต้จิ๋ว (潮绣) กล่าวกันว่าการเย็บปักถักร้อยเป็นงานที่ผู้หญิงแต้จิ๋วถนัด ดังคำกล่าว “ดาวทุกดวงบนฟ้าล้วนมีแสง ผู้หญิงแต้จิ๋วทุกคนล้วนเย็บปักถักร้อยเป็น ปักผ้าเป็นลวดลายไม่ได้ไม่ใช่ผู้หญิงแต้จิ๋ว”

ผ้าปักแต้จิ๋วมีเอกลักษณ์และวิธีการคือ หนึ่ง ปักนูนลอยตัว โดยตัดผ้าหรือใช้สำลีอัดแปะบนลายตามความหนาที่ต้องการ แล้วปักด้ายสีหรือดิ้นเงินดิ้นทองทับลงไป ทำให้ลายนูนเด่น  สอง สีสันสะดุดตา  สาม
ลวดลายละเอียด ฝีมือประณีต  ดังตัวอย่างผ้าปักลายมงคลฝีมือช่างแต้จิ๋วขึ้นชื่อของศาลเจ้าเห้งเจีย วัดไตรมิตรวิทยาราม กรุงเทพมหานคร เป็นต้น

Image

แม่พิมพ์ขนมลายมงคลในเมืองเก่าแต้จิ๋ว

Image

กระเบื้องเคลือบที่นำไปประดับตกแต่งอาคาร

Image

งานแกะสลักไม้ฝีมือช่างแต้จิ๋ว
รูปเหลียนเหนียนโหย่วอวิ๋ 
มีเหลือกินเหลือใช้ทุก ๆ ปี

๒. งานไม้แกะสลัก (木雕) ช่างไม้แกะสลักลงรักปิดทองเป็นงานศิลปหัตถกรรมขึ้นชื่อของแต้จิ๋ว มีวิธีแกะสลักสี่แบบ คือ แกะลึก แกะนูน (นูนต่ำและนูนสูง) แกะลอยตัว และแกะโปร่งซ้อน โดยแกะสลักทั้งเครื่องใช้ไม้สอยในชีวิตประจำวัน เช่น ตู้ โต๊ะ เตียง กรอบภาพเครื่องประดับตกแต่ง และอาคารสถานที่สำคัญ เช่น วัด ศาลเจ้า เรือนเก๋งที่ประทับของเจ้า ซึ่งลวดลายวิจิตรตระการตา รวมถึงบ้านขุนนางหรือคหบดีชาวแต้จิ๋ว เป็นต้น

สำหรับในกรุงเทพมหานครเราจะพบงานแกะสลักไม้ช่างฝีมือแต้จิ๋วอันสวยงาม โดยเฉพาะบริเวณเก๋งที่ประทับขององค์เทพเจ้าในศาลเจ้าต่าง ๆ เช่น โรงเจบุญสมาคม ถนนราชวงศ์, ศาลเจ้าเล่งบ๊วยเอี๊ยะ ซอยเจริญกรุง ๑๖, ศาลเจ้ากวนอู ตลาดเก่าเยาวราช, มูลนิธิเทียนฟ้า ถนนเยาวราช เป็นต้น

๓. งานกระเบื้องเคลือบเครื่องปั้น (陶瓷) เครื่องเคลือบหลากสีของแต้จิ๋วมีชื่อเสียงมายาวนานได้รับสมญานาม “เฉาไฉ่” (潮彩) มีคุณสมบัติเลื่องลือว่า “เนื้อขาวราวหยก บางดุจกระดาษ ใสดั่งแก้ว เสียงแกร่งกังวานเหมือนระฆังหิน” โดดเด่นทั้งเนื้อ สี ลาย และรูปทรง  มีสามประเภทหลัก คือ เครื่องเคลือบตุ๊กตาปั้นดินเผา รูปเทพเจ้า นักรบ สาวงาม ฯลฯ, เครื่องเคลือบลายหลากสี เป็นภาชนะเครื่องใช้ และเครื่องเคลือบฉลุลาย เช่น แจกัน ฯลฯ  หนึ่งในภาชนะเครื่องเคลือบดินเผาของชาวแต้จิ๋วที่คนไทยรู้จักดีคือชามตราไก่ [โกยกงอั่ว-จีกงหว่าน (鸡公碗)] ทั้งเนื้อขาวใสและเนื้อสีครีมเทา วาดลายไก่ตัวผู้อันแพร่หลายไปทั่วโลก

ตะกร้าฮวยน้า หนึ่งในของคู่เรือนสตรีชาวแต้จิ๋ว