สุขทุกวัน สุขทุกวัย
Holistic
เรื่อง : ภัสน์วจี ศรีสุวรรณ์
ภาพประกอบ : zembe
ท่ามกลางสังคมที่มองผู้สูงอายุเป็นความเสื่อม การขาดความสามารถ ซึ่งคำว่า “คนแก่” เสมือนการเหยียดหรือด้อยค่า มิต่างจาก “คนอ้วน” “คนดำ” ซึ่งทำให้ผู้ที่ก้าวสู่ภาวะสูงวัยรู้สึกวิตกกังวลและปฏิเสธ “ความแก่” ราวกับเหยียดตัวเองด้วยเช่นกัน
เราจะก้าวสู่วัย ๖๐, ๗๐, ๘๐, ๙๐ หรือ ๑๐๐ ปีไม่วันใดก็วันหนึ่ง ทำอย่างไรจะมีชีวิตอย่างมีความสุขกระทั่งวาระท้ายของชีวิต
ผลการศึกษาคนที่มีความสุขทั่วโลกพบว่า ไม่ว่าคุณจะอายุยืนสักกี่ปี สิ่งสำคัญอยู่ที่มุมมองต่อความสุข เพราะการมีความสุขวันนี้จะส่งผลถึงความสุขเดือนหน้า ปีหน้า และปีต่อ ๆ ไป
การใช้ชีวิตให้มีความสุขทุกวันนั้นไม่ใช่เพียงมีข้าวกิน มีบ้านอยู่ หรือมีเครื่องนุ่งห่มเพียงพอ แต่ยังต้องเข้าใจโลกตามความเป็นจริง มองเห็นความสุขความทุกข์ในชีวิตเป็นธรรมชาติ เสมือนการขึ้นลงของพระอาทิตย์และดวงจันทร์ ที่เราทุกคนต้องพบเจอและไม่หลงในวังวนของความสุขและความทุกข์
สิ่งที่ทำได้คือการยอมรับทุกเหตุการณ์ในชีวิตว่าเป็นประสบการณ์ให้เราเรียนรู้...ไม่ใช่ติดยึดความสุขและผลักไสความทุกข์
ดังนั้นการมีทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับความสุขจึงเป็นสิ่งสำคัญ
มุมมอง “สุขทุกวัน สุขทุกวัย”
• คิดว่าแก่ก็แก่ ความแก่คือทัศนคติ ความคิดว่าแก่เป็นการจำกัดตัวเองซึ่งถือเป็นศัตรูตัวร้ายที่สุด ผู้สูงวัยจำนวนมากคิดว่า “ตัวเองแก่เกินไป” ทั้งที่จริงยังมีพลัง ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถอีกมาก ถ้าเปลี่ยนมุมมองก็จะปลดล็อกศักยภาพได้
• จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ผลการศึกษาชิ้นหนึ่งสำรวจความเห็นคนกลุ่มใหญ่โดยถามว่า “คิดว่าคนแก่คือคนอายุเท่าไร” จากนั้นเก็บข้อมูลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง พบว่าคนที่คิดว่าคนแก่คืออายุ ๖๐ ปี พอคนคนนั้นอายุครบ ๖๐ ร่างกายก็จะเสื่อมลง ตรงกันข้ามกับคนที่คิดว่าความแก่หมายถึงอายุ ๗๐ ปี คนคนนั้นมีแนวโน้มร่างกายจะแข็งแรงจนถึงอายุ ๗๐ ปี
• ความสัมพันธ์สำคัญกว่าชื่อเสียงเงินทอง มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับความสุขซึ่งใช้เวลายาวนานที่สุดในโลกถึง ๘๖ ปี โดยเก็บข้อมูลความสุขความทุกข์ตลอดช่วงชีวิตของคน ๒,๐๐๐ คนอย่างต่อเนื่อง พบว่าความสุขเกิดจากความสัมพันธ์ ไม่ใช่ความร่ำรวย และการใส่ใจความสัมพันธ์เป็นการลงทุนเกี่ยวกับความสุขที่ดีที่สุด ดังนั้นการสร้างจักรวาลความสัมพันธ์รอบตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญ
• อย่าหยุดทำงานที่มีคุณค่าและความหมาย หมอชิเงอากิ ฮิโนฮาระ แพทย์ชาวญี่ปุ่นผู้มีอายุยืนถึง ๑๐๕ ปี และทำงานจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตบอกว่า อย่าเกษียณหรือหยุดทำงานเร็วเกินไป เพราะการทำงานช่วยให้ชีวิตมีความหมายและกระตุ้นสมอง โดยงานที่มีคุณค่าคือการช่วยเหลือผู้อื่น และอย่าลืมมีเป้าหมายในชีวิต เพราะจะทำให้ชีวิตมีทิศทางและแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิต
เป้าหมายในชีวิตไม่จำเป็นต้องใหญ่โต ชาวโอกินาวะ ซึ่งเป็นเมืองที่มีคนอายุเกิน ๑๐๐ ปีมากที่สุดในโลก มีเป้าหมายชีวิตประจำวันหรืออิกิไกด้วยการทำสวนอย่างน้อยวันละ ๑ ชั่วโมง และนำของในสวนมาทำกับข้าว
• ความชราคือการผจญภัยและการเริ่มต้น คาร์ล โฮโนเร (Carl Honoré) บอกให้มองการแก่ขึ้นเป็นการผจญภัยอันน่าตื่นเต้น แทนที่จะกลัวหรือหลีกเลี่ยง อายุที่เพิ่มขึ้นคือโอกาสใหม่ ไม่ใช่จุดจบ ผู้สูงวัยหลายคนเริ่มต้นสิ่งใหม่ เช่น ศิลปะ กีฬา หรือธุรกิจ แม้จะอยู่ในวัย ๖๐-๗๐-๘๐ ปี ซึ่งพิสูจน์ว่าการแก่คือการเติบโต ไม่ใช่เสื่อมถอย
“ชีวิตหลัง ๕๐ ไม่ใช่จุดจบ ไม่ใช่ช่วงหมดประโยชน์ แต่เป็นโอกาสออกแบบชีวิตใหม่ตามความต้องการ เพราะคุณมีทั้งประสบการณ์และความเข้าใจในตัวเองมากขึ้น”
• เล่น “เป็นเด็ก” อยู่เสมอ จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ นักเขียนเจ้าของรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม กล่าวว่า “เราไม่ได้หยุดเล่นเพราะเราแก่ แต่เราแก่เพราะเราเลิกเล่น” เขาสนับสนุนให้คนรักษาความเป็นเด็กในใจเอาไว้ เพราะจะช่วยให้เรารู้สึกอ่อนเยาว์ ไม่ใช่เพียงรอวันแก่และหมดแรง โดยเฉพาะแรงใจ
• อย่าหยุดเรียนรู้ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวว่า “คนแก่ที่มีความสุข คือคนที่ยังอยากรู้อยากเห็นทุกวัน” ความฉลาดไม่ได้มาจากอายุ แต่มาจากการเรียนรู้ไม่หยุดนิ่ง ไม่ว่าจะแก่แค่ไหน ถ้าเรียนรู้อยู่เสมอก็ยังฉลาด