ชาวรรณกรรม
บันดาลใจปรุงรสของคนรักหนังสือ
คิด-cool
เรื่อง : สุชาดา ลิมป์
ภาพ : บันสิทธิ์ บุณยะรัตเวช
ชาเคยเป็นเครื่องดื่มทางวัฒนธรรม สุดคร่ำเคร่งของคนสูงวัย
กระทั่งกระแสรักสุขภาพกาย-ใจเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นจึงได้รับการปรับสถานะเป็น pop culture
นอกจาก “วิธี” ชงชาอันประณีตก่อรูปเป็น “พิธี” แสนงดงาม ต่อยอดเป็น “วิถี” ชีวิตลึกซึ้ง ยังมีเจ้าของร้านหนังสือ Greenbook Cafe-Space ที่สงขลาคิดค้น “ชาวรรณกรรม” ยี่ห้อ Morning Glory เปิดประสบการณ์สุนทรียะให้ผู้คนได้จิบชา สูดกลิ่นหอม-อร่อยไปกับหนังสือ
เริ่มจากคัดสรรหนังสือที่ตนชอบ เชื้อเชิญให้นักอ่านมานั่งดื่มชา รื่นรมย์กับประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ ราวกับว่าการจิบชานั้นเสมือนได้อ่านวรรณกรรม
นับจากชาสัมผัสปลายถึงโคนลิ้นชวนให้ทบทวนเสน่ห์ของหนังสือเล่มโปรด ดื่มด่ำอรรถรสซึ่งหล่อเลี้ยงจินตนาการ เพราะแต่ละบทในวรรณกรรมเปรียบดังองค์ประกอบที่ช่วยเนรมิตให้เกิดรสชาหลายหลาก
การจิบชาแกล้มหนังสือยิ่งช่วยให้ซึมซาบรสการเดินทางที่ได้ค้นหาความหมายของชีวิต
อย่าง “ชาสิทธา” ถอดรสจากวรรณกรรม สิทธารถะ หยิบมุมมองการแสวงหาคุณค่าชีวิตซึ่งแต่ละคนมีวิถีดำเนินแตกต่างมาสร้างสรรค์โดยใช้“ชาแดง” (ใบชาที่หมักจนสีเข้ม เมื่อชงจะได้เครื่องดื่มสีน้ำตาลแดง) เป็นพื้นฐานของการผสมชาผสานเปลือกส้ม เปรียบดังการเปิดประสบการณ์รับรู้ พร้อมรับทุกความรู้สึกประจำวันเช่นการเดินทางของตัวละครหลักในวรรณกรรม
ส่วน “ชาเจ้าชายน้อย” ก็เป็นการตีความจากที่สังคมจัดให้ เจ้าชายน้อย เป็นวรรณกรรมเด็ก เมื่อคำนึงถึงรสชีวิตวัยเด็กที่พบทั้งสุข สนุกสนาน เศร้า ขมขื่นจึงเห็นว่าเหมาะกับ “ชาเขียว” (ใบชาที่ไม่ได้ถูกทิ้งให้สลดและไม่ได้บ่ม เมื่อชงจะได้เครื่องดื่มสีเขียวอ่อน) เป็นชาที่จิบแรกต่างชมชอบในความหอม แต่หากทิ้งไว้นานจะสัมผัสถึงความขมนิด ๆ ชาเจ้าชายน้อยจึงได้รับการเติมกระวานนิด ใส่อบเชยหน่อย แล้วอบด้วยวานิลลาอีกรอบเพื่อปรุงกลิ่นปรับรส
วันนี้ “พืชตากแห้งที่ชงกับน้ำร้อน” กลายเป็นเครื่องดื่มที่มีผู้บริโภคเป็นอันดับ ๒ รองจากน้ำเปล่า
วันหนึ่ง “ชาวรรณกรรม” ก็อาจเป็นอารยธรรมทรงพลังที่คนรักการอ่านไม่อาจปฏิเสธ