Image
Image

Image

๑๕ ธันวาคม ร.ศ. ๑๒๕ (ปี ๒๔๔๙)

เดินทางโดยรถไฟพิเศษจากสถานีกรุงเทพฯ เวลา ๓ โมงเช้าพร้อมคณะผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งเก้าคน

พระยาจ่าแสนบดี (อวบ เปาโรหิต) เจ้ากรมพลัมภัง ต่อมาเป็นเจ้าพระยามุขมนตรี เจ้าหมื่นศรีสรรักษ์ (ม.ร.ว. จิตร สุทัศน์ ณ อยุธยา) ต่อมาเป็นพระยาศรีวรวงศ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนมหาดเล็ก หม่อมเจ้าประสบประสงค์ หม่อมเจ้าชายใหญ่ในกรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ หลวงอนุชิตพิทักษ์ (ชาย สุนทรารชุน) ต่อมาเป็นพระยาสฤษดิพจนกร หมอแบรดด๊อก นายเดอลารอคา ช่างถ่ายรูป นายเอี๋ยน โอวาทะสร มหาดเล็ก ต่อมาเป็นหลวงวิจารณ์ภักดี นายทองสุก อินทรรัศมี จะไปเป็นข้าหลวงธรรมการมณฑลอีสาน ต่อมาเป็นหลวงจรูญชวนะพัฒน์ นายแก้ว พนักงานกรมลหุโทษ จะไปหัดกดลายมือนักโทษตามหัวเมือง

ผ่านอยุธยา สระบุรี ปากเพรียว จันทึก สูงเนิน ถึงสถานีเมืองนครราชสีมา เวลาบ่าย ๓ โมง ๔๕ นาที ประทับแรมที่เรือนแสนศุข ตำบลหนองบัว นอกเมืองโคราช

Image

ที่พักแรมบ้านสำราญ แขวงเมืองขอนแก่น

Image

๑๘ ธันวาคม

ออกเดินทางโดยกองเกวียนและขี่ม้า ผ่านเมืองนครราชสีมา ไปออกประตูพลแสน ข้ามลำน้ำตะคอง ผ่านบ้านวัดพลับ เดินตามทางสายโทรเลขผ่านเนินกะทาเกลือ บ้านเกาะ ถนนจอหอ ถึงพะเนา ผ่านอำเภอกลาง (อำเภอโนนสูงในปัจจุบัน) ข้ามลำเชิงไกร พักแรมที่บ้านบัว รวมระยะทางเดินทั้งวัน ๗๕๐ เส้น หรือ ๓๐ กิโลเมตร

Image

๑๙ ธันวาคม

ผ่านบ้านดงพลอง แล้วข้ามห้วยดงพลอง เดินม้ามาสักชั่วโมง ถึงลานนกกระเรียนในทุ่งหญ้าใหญ่ ผ่านบ้านมะค่า บ้านโพนเสลา ผ่านเทวสถานศิลาแลงของโบราณ ถึงที่พักแรมใกล้สระเพลงในหมู่บ้านโพนสงคราม รวมระยะทางเดินทั้งวัน ๕๕๐ เส้น หรือ ๒๒ กิโลเมตร

Image

๒๐ ธันวาคม

เข้าเขตอำเภอนอก หรืออำเภอบัวใหญ่ในปัจจุบัน ผ่านบ้านดอนใหญ่ ผ่านตำบลโกรกกรัง ตำบลบ้านทองหลางน้อย บ้านบัวน้อย พักแรมที่ทุ่งนาบ้านบัวใหญ่

Image

ชาวบ้านรับเสด็จ ปี ๒๔๔๙ หนึ่งในภาพคุ้นตามากที่สุด เมื่อกล่าวถึงสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ กับอีสาน 

Image

๒๐ ธันวาคม

ย่ำรุ่งออกเดินทางขี่ม้าผ่านหมู่บ้านบัว บ้านจาน เดินลงทุ่งไปขึ้นโคกหลวง ข้ามเข้าสู่มณฑลอุดร ถึงหนองหว้าเอน พักกินข้าวเช้า จากนั้นเข้าสู่เขตเมืองชนบทพักแรมที่หนองหญ้าปล้อง ซึ่งห่างออกไปเป็นหมู่บ้านคนเป็นโรคกุดถังหรือบ้านขี้ทูด จากเมืองต่าง ๆ มารวมอยู่ด้วยกัน

Image

๒๒ ธันวาคม

เดินตามทางสายโทรเลข ผ่านบ้านนาเพียง พักแรมที่หนองแวง ย่ำรุ่งออกเดินต่อ ถึงเมืองชนบท เช้าวันที่ ๒๓ ธันวาคม  เมืองมีประชากร ๓๕,๙๐๖ คน 

Image

ลายมือบนภาพระบุว่าหญิงอาบน้ำ หนองเมืองชนบทแต่ฉากหลังดูคล้ายภาพที่วังปลัดเมืองพุทไธสง ที่ถ่ายในครั้งเดียวกัน

Image

ที่ประทับรับเสด็จเมื่อ ๑๐๐ กว่าปีก่อน ตกแต่งด้วยวัสดุธรรมชาติ กล้วยไม้ และทิวธงช้างเผือก

Image

๒๔ ธันวาคม

ย่ำรุ่งเดินเลียบเขาภูเวียง ไปทางบ้านเมืองเพี้ย พักม้าและกินข้าวเช้าที่ตำบลคูคาด แล้วออกเดินต่อไปถึงพักแรมที่บ้านหนองปลาจ้อย ตอน ๔ โมงเช้า ๕๐ นาที

วันรุ่งขึ้นเดินข้ามห้วยชัน เข้าเขตมณฑลอีสานไปราว ๑๐ เส้น มีสามหมู่บ้านของเขตอำเภอโกสุมพิสัย เมืองมหาสารคาม แล้วกลับเข้าพื้นมณฑลอุดร ที่ตำบลดอนบม ซึ่งมีสะพานไม้ข้ามแม่น้ำชี ต้นน้ำมาจาก “บึงอีจ้อย ซึ่งเปนแอ่งใหญ่อยู่บนเขาเขียว แขวงเมืองหล่มศักดิ์”  สะพานสร้างเสร็จเมื่อปี ๒๔๔๖ กว้าง ๓ วา ยาว ๓๔ วา สูงจากลำน้ำ ๘ วา เจาะหินริมน้ำฝังเสาลึก ๔ ศอก แข็งแรง ช้างเดินข้ามได้  ขี่ม้าข้ามสะพานจากบ้านดอนบม ๑๘๐ เส้น ถึงเมืองขอนแก่น มีราษฎร ๕๙,๔๑๘ คน

น่าจะเป็น “สพานใหญ่ข้ามล า น้ำพาชี เปนสพานไม้แก่นมีพนักสองข้าง” ที่ต า บลดอนบม ซึ่งแข็งแรงช้างเดินข้ามได้

Image

๒๖ ธันวาคม

 ไปดูทำนบทุ่งสร้าง ที่ราษฎรเมืองขอนแก่นเล่นแข่งเรือกันตามฤดูกาลครึกครื้นทุกปี 

ออกจากเมืองขอนแก่นย่ำรุ่งวันที่ ๒๗ เดินตามทางสายโทรเลขระยะ ๒๒ กิโลเมตร ไปพักแรมที่บ้านหินลาด

Image

บึงทุ่งสร้าง เมืองขอนแก่น

Image

๒๘ ธันวาคม

ข้ามแม่น้ำพองที่มีสะพานไม้เนื้อแข็ง ไปพักแรมที่ตำบลกุดหว้า มีราษฎรเป็นไข้ป้าง หมอได้แจกยารักษาให้

Image

๒๙ ธันวาคม

ผ่านบ้านนางิ้ว บ้านห้วยนาคำ พักแรมที่ตำบลวังหิน

วันรุ่งขึ้นเข้าตำบลห้วยก่องสี บ้านปะโค ถึงเมืองกุมภวาปีที่มีทุ่งหนองหาร (ปัจจุบันนิยมสะกดว่าหนองหาน) ยาวกว่า ๑๐๐ เส้น น้ำในหนองแห่งนี้ไหลลงน้ำปาวที่ไหลไปลงลำพาชีและมีเกาะกลางน้ำชาวบ้านเรียกดอนแก้ว 

Image

ที่พักแรมหนองหมื่นเท้า แขวงเมืองอุดรธานี

Image

๓๑ ธันวาคม

ผ่านบ้านสองเปลือย ซึ่งเป็นหมู่บ้านคนลาว เข้าตำบลเสอเพลอ ข้ามห้วยสมพาด พักแรมที่ตำบลหนองหมื่นเท้า

Image

๑ มกราคม ๒๔๔๙

(ขึ้นปีใหม่ ๑ เมษายน) ผ่านบ้านทอน บ้านคำกลิ้ง พักร้อนที่หนองขอนขว้าง ผ่านนาข้าวและนาเกลือ ถึงตำบลห้วยโซ ข้ามสะพานแล้วไปตามถนนที่ถมใหม่จนถึงที่พักมณฑลอุดรที่บ้านหมากแข้ง มีวัดมัชฌิมาวาส ตั้งอยู่บนเนิน มีบ่อน้ำใหญ่สำหรับราษฎรใช้ได้ทุกฤดูกาล และมีหนองนาเกลือ บึงน้ำใหญ่ที่ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นหนองประจักษ์

Image

วัดมัชฌิมาวาส ศูนย์กลางของเมืองหมากแข้ง เป็นแหล่งน้ำของชุมชนเมื่อยุค ๑๐๐ ปีก่อน ทุกวันนี้ก็ยังเป็นวัดส า คัญของเมืองอุดรธานี  ภาพนี้ถ่ายเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๖๘
ภาพ : ประเวช ตันตราภิรมย์

Image

๔ มกราคม

ขี่ม้าตามถนนตัดใหม่ ผ่านบ้านไก่เถื่อน บ้านท่าตูม บ้านดงลิง ทุ่งบ้านพันเหมือน บ้านขาว หนองนกเขียน บ้านจูนบาน ถึงลำน้ำซวย ที่พักแรม อุณหภูมิ ๓๘ ดีกรีฟาเรนไฮต์ หรือราว ๓.๓๓ องศาเซลเซียส หนาวที่สุดในทริปนี้

Image

แม่น้ำซวยในเมืองหนองคาย ที่คณะตรวจราชการมาพบอากาศหนาวเฉียด ๓ องศาเซลเซียส

Image

ที่บ้านผักหวาน เมืองหนองคายมีราษฎรมารับเสด็จหนาแน่นมาก

Image

๕ มกราคม

ทำพิธีเปิดสะพานลำน้ำซวย แล้วข้ามไปบ้านนาไหม บ้านโพนตาล กินข้าวเช้าที่บ้านผักหวาน ซึ่งยังมีร่องรอยสนามเพลาะค่ายทหารที่เจ้าพระยาบดินทรเดชามาทำศึกกับเวียงจันท์ เดินทางต่อไปถึงเมืองหนองคาย พักริมน้ำโขง คนละฟากถนนกับวัดหายโศก มีราษฎรมารอต้อนรับมากต่อมาก บ้างมาไกลเป็นวันสองวัน “มีเครื่องสักการะมาให้ ขอเฝ้าขอเห็นตัวเรื่อยกันไปเกือบวันยังค่ำ เพราะตั้งแต่กรมหลวงประจักษ์เสด็จกลับไปได้ถึง ๑๓ ปี พึ่งมีเจ้านายเสด็จขึ้นไปในคราวนี้”

Image

๖ มกราคม

เช้า ๒ โมงเศษไปวัดมีไชย  ๔ โมง “พวกชาวเมืองแห่บายศรีขวัญ ตีฆ้องแลโห่ร้องเปนกระบวนมาประชุมพร้อมกันที่ปรำใหญ่ข้างที่พัก...แล้วผู้เฒ่าผูกมือตามประเพณี” บ่ายไปเปิดสะพานข้ามลำห้วยหายโศก ที่ข้าราชการและชาวบ้านเรี่ยไรกันสร้างขึ้น  แล้วไปดูแข่งเรือยาว ไปวัดศรีสระเกษ วัดหกอ่อง วัดโพธิ์ไชย

*สินค้านำเข้าเมืองหนองคายจากกรุงเทพฯ : เครื่องผ้า เครื่องแพร เครื่องทองเหลือง เครื่องเคลือบ 

*สินค้าที่มาจากทางฝรั่งเศสทางเวียดนาม : สุรา น้ำปลา ปืน น้ำมันปิโตรเลียม

*สินค้าออก ส่งขายโคราชและกรุงเทพฯ : เร่ว ยาสูบ เขาสัตว์ หนัง ครั่ง กำยาน ยางกะตังกะติ้ว (หรือต้นคุย ไม้เถาใหญ่ เนื้อแข็ง มียางสีขาวขุ่น) ซึ่งส่วนใหญ่รับมาจากเมืองหลวงพระบาง

*สินค้าออก ส่งขายเมืองเชียงขวางและหลวงพระบาง : เกลือ

Image

๗ มกราคม

หมอกลงจัด “คนอยู่ห่างกันเพียง ๖ ศอก ก็แลไม่เห็นกันต้องรอจนเวลาเช้าโมง ๔๐ นาที” ลงเรือ ลาแครนเดีย ล่องตามลำน้ำโขง “ตามหาดแลริมฝั่งน้ำราษฎรปลูกผักปลูกยาเปนระยะ ๆ ไป”  เช้า ๔ โมง ๓๐ นาที ถึงเมืองโพนพิไสย (ปัจจุบันสะกดว่าโพนพิสัย) แวะดูเมืองครึ่งชั่วโมง กลับลงเรือใช้จักรต่อไป ผ่านภูเขาควายทางฝั่งซ้าย ผ่านเกาะคว่างคลี แก่งขี้เหี้ย ปากน้ำงึม เวินสุก เทือกเขาภูหอภูโฮง แก่งมะขามหวาน ผ่านหน้าเมืองรัตนวาปี  เรือแวะรับฟืนที่บ้านท่านาคำทางฝั่งซ้าย ที่ชาวผู้ไทย (ปัจจุบันนิยมสะกดว่าผู้ไท) ตัดมาส่งให้คิวบิกเมเตอร์ละ ๕๐ อัฐ (เท่ากับ ๑ บาท ตามอัตราแลกเปลี่ยนทางฝั่งซ้าย)  ย่ำค่ำถึงบ้านบึงกาฬ (เป็นจังหวัดบึงกาฬเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ จังหวัดที่ ๗๗ ของประเทศไทย) พักแรมริมหาด เรือกลไฟข้ามไปพักรับฟืนฝั่งซ้าย

Image

เรือกลไฟของฝรั่งเศสในแม่น้ำโขง

เรือพายที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ใช้เสด็จในแม่น้ำโขง

Image

๘ มกราคม

ออกเรือล่องต่อไป ผ่านปากน้ำซัน ดอนกำแพง แล้วเรือไปติดดอนตื้นใกล้บ้านหนองทอง ตอนเช้า ๓ โมง ๑๐ นาที “คนเรือยาวเมืองหนองคายที่ตามมาข้างหลังมาทัน ได้ช่วยเข็นเรือให้ออกจากที่ ออกได้ทีหนึ่งแล้วติดอีก ได้พากเพียรถอยเรือกันวันยังค่ำจนหางเสือเรือคด  เรือลาแครนเดียออกจากที่ตื้นได้เวลาบ่าย ๔ โมงเศษ แต่เรือกลไฟเล็กซึ่งตามมาอีกลำหนึ่งกินน้ำลึกกว่า ได้เพียรเข็นกันอยู่จนค่ำมืดออกไม่ได้ กับตันเรือต้องให้ถ่ายคนและชลอมาลงเรือลาแครนเดีย เรือไฟลำเล็กจึงหลุดได้ ต้องพักแรมในเรืออยู่ที่ใกล้บ้านหนองทองคืนหนึ่ง”

Image

๙ มกราคม

ล่องตามลำน้ำโขง ผ่านบ้านพนมเหนือ บ้านพนมใต้ ถึงเมืองไชยบุรี ขึ้นบก ๑๐ นาที แล้วลงเรือต่อผ่านปากแม่น้ำสงคราม ย่ำค่ำถึงเมืองท่าอุเทน มีราษฎรอยู่ราว ๒๐,๐๐๐ คน เป็นคนญวนราว ๑๐๐ คน จากเมืองติงเง้ (เมืองเว้) เดินบกมาทางเมืองคำเกิดคำม่วน อยู่ห่างเมืองท่าอุเทนระยะเดินทาง ๑๕ วัน  คนจีนพ่อค้าราว ๑๐ คน  ชาวเมืองส่วนใหญ่เป็นชาวย้อ

Image

การรับเสด็จที่ทำเนียบเมืองท่าอุเทน ริมแม่น้ำโขง

เต้นสาก การแสดงของชาวแสกในการรับเสด็จ ซึ่งยังมีสืบต่อมาจนปัจจุบัน

Image

๑๐ มกราคม

ผ่านบ้านสำราญ ผ่านหน้าเมืองอาจสามารถ เมืองเล็กขนาดตำบล ผ่านบ้านหนองแสง ขึ้นบกที่ท่าเมืองนครพนม หลวงเอกอาสา นายอำเภอเมืองอาจสามารถนำแสกมาเต้นสากให้ดู

วันรุ่งขึ้นทำพิธีเปิดถนนตัดใหม่แล้วขี่ม้าไปตามริมโขง ซึ่งมีถนนสายใหญ่ห่างขึ้นมาจากน้ำเส้นเศษ เมืองนครพนมมีคน ๒๑,๔๑๘ คน 

Image

๑๒ มกราคม

ขี่ม้าจากที่พักเมืองนครพนมเดินทางไปเมืองสกลนคร ไปตามทางสายโทรเลข เป็นป่าไม้เต็งรังเป็นพื้น บางแห่งออกทุ่งนาบ้าง ข้ามห้วยเล็ก ๆ บ้าง เป็นหนทางขึ้นเนินโดยมาก ผ่านบ้านใหม่ บ้านโพนงาม ระหว่างบ้านนาทรายถึงบ้านดอนคู มีบ้านเผิง บ้านโพ บ้านนามน อยู่ลึกจากเส้นทางแยกเข้าไป พักแรมที่บ้านกุดรุคุ (ปัจจุบันสะกดว่ากุรุคุ) เป็นบ้านชาวเกลิง (ปัจจุบันนิยมสะกดว่ากะเลิง)

Image

๑๓ มกราคม

ย่ำรุ่งออกเดินตามทางสายโทรศัพท์ จากกุดรุคุผ่านเมืองโพธิไพศาล ถึงที่พักแรมที่เมืองกุสุมาลย์ ระยะทาง ๖๗๐ เส้น (๒๖.๘ กิโลเมตร) พระอรัญอาสา ผู้ว่าราชการเมือง กับกรมการกำนันผู้ใหญ่บ้านและชาวเมืองมาต้อนรับเป็นอันมาก ชาวเมืองส่วนใหญ่เป็นคนกะโซ้ (ปัจจุบันนิยมสะกดว่ากะโซ่ หรือโส้) มาเล่นสะลา หรือโส้ทั่งบั้งให้ดู

Image

ขบวนเสด็จข้ามหนองหารสู่เมืองสกลนครโดยทางเรือ

Image

๑๔ มกราคม

เดินทางต่อไปถึงแยกตัดใหม่ แยกจากสายโทรศัพท์มายังตำบลท่าแร่ มีวัดโรมันคาทอลิก มีบาทหลวงมาสอนศาสนาอยู่ ๒๒ ปีแล้ว มีคนญวนเข้ารีต ๑๖๖ คน คนพื้นเมือง ๑,๕๐๔ คน  จากท่าแร่ลงเรือข้ามหนองหารราว ๒๐๐ เส้น ไปขึ้นฝั่งเมืองสกลนคร ราษฎรชายหญิงราว ๓,๐๐๐ คน ตั้งแถวต้อนรับยาวไปตามถนน  เสร็จพิธีการแล้วไปวัดพระธาตุเชียงชุม (ปัจจุบันนิยมสะกดว่าเชิงชุม)  สกลนครมีพลเมือง ๔๕,๒๓๙ คน “เปนไทยต่าง ๆ หลายชนิด” ซึ่งได้ทำการทดสอบทางภาษาทุกพวกแล้วพบว่า “เปนไทยชาติ ๑  เป็นขอมชาติ ๑ เท่านั้น”

บุญบั้งไฟที่เมืองสกลนคร เมื่อปี ๒๔๔๙

Image

๑๕ มกราคม

ขี่ม้า “ตามถนนขอมสร้างสร้างไว้แต่ดึกดำบรรพ์” ไปยังปราสาทนารายณ์เจงเวง อยู่จนถึง ๔ โมงเช้า บ่ายไปดูการจุดบั้งไฟที่ริมหนองหาร

Image

๑๖ มกราคม

ออกจากเมืองสกลนคร ผ่านทุ่งนาเกลือมาทางบ้านงิ้วดอน บ้านพังเม็ก บ้านทับศอ บ้านคูสนาม บ้านขามเฒ่า บ้านป่ากล้วย บ้านหนองเดิ่น ข้ามห้วยพุง ถึงที่พักร้อนตำบลวังฆ้อ เช้า ๒ โมง ๔๐ นาที ราษฎรเป็นไทยกะตาก ไทยเกลิง  เช้า ๔ โมง เดินทางต่อผ่านบ้านโพนทอง บ้านพง เช้า ๕ โมงครึ่ง ถึงที่พักแรมหนองเหียน ราษฎรส่วนใหญ่เป็นชาวผู้ไทย

Image

ถนนเมืองสกลนคร ดูฉากสองข้างทางที่มีบึงน้ำและม้ายืนเล็มหญ้า น่าจะเป็นแถวนอกซุ้มประตูรับเสด็จเมืองสกลนคร 

Image

๑๗ มกราคม

ข้ามห้วยยางมาตามทุ่งบ้านหนองบ่อ บ้านบอน บ้านเผือ บ้านตูม บ้านก้านเหลือง แลเห็นเขาภูพานข้างขวามือตลอดมาจนถึงบ้านนาแก  ต่อมาตามทุ่งบ้านต้นแหน บ้านพิมานท่า บ้านปากบัง  ข้ามลำน้ำก่ำ  ถึงที่พักแรมบ้านนาลาด เวลาเช้า ๕ โมง ๑๐ นาที ชาวบ้านเป็นผู้ไทยโดยมาก มีพวกกะโซ้ พวกเกลิงปนบ้าง  หมอได้ตรวจคนที่เจ็บไข้และแจกยาเหมือนทุก ๆ แห่งที่ผ่านมา

Image

๑๘ มกราคม

เดินทางถึงเมืองเรณูนคร กินข้าวเช้าแล้วไปที่วัดกลาง จากนั้นไปเดินดูบ้านราษฎรครู่หนึ่งจึงขี่ม้าถึงทุ่งบ้านพระ เดินทางต่อถึงบ้านเลาลิง บ้านหนองหอยท่า บ้านหนองหอยทุ่ง บ้านหัวบึง แล้วถึงฝั่งแม่น้ำโขงที่บ้านธาตุ เดินตามทางริมน้ำจนถึงพระธาตุพนม “บ่าย ๔ โมง ราษฎรแห่ปราสาทผึ้งและบ้องไฟ” เวลาค่ำ “เดินเทียนแลจุดบ้องไฟดอกไม้พุ่ม แลมีเทศน์กัณฑ์หนึ่ง”

Image

แห่ปราสาทผึ้ง งานบุญประเพณีดั้งเดิมของอีสาน ปัจจุบันเป็นที่รู้จักน้อยกว่างานแห่เทียนซึ่งเกิดขึ้นทีหลัง

Image

ที่ประทับแรมบ้านหว้า หรืออำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหารปัจจุบัน

Image

๑๙ มกราคม

ลงเรือยาวพายล่องลำน้ำโขง ผ่านปากน้ำก่ำ ซึ่งไหลมาจากหนองหาร สกลนคร ผ่านแก่งคับพวง แก่งคันกระเบา (ปัจจุบันเรียกแก่งกะเบา) ถึงที่พักแรมบ้านหว้า (ปัจจุบันน่าจะหมายถึงบ้านหว้านใหญ่) ระยะทางบกรวม ๖๘๕ เส้น 

Image

๒๐ มกราคม

ลงเรือพายล่องลงมาถึงบ้านบางไทรน้อยเห็นเมืองสวรรณาเขตรทางฝั่งซ้าย ถึงเมืองมุกดาหาร เวลาเช้า ๔ โมง  ถ้าล่องด้วยเรือพายตั้งแต่เมืองหนองคายลงมาจนเมืองมุกดาหารใช้เวลาประมาณ ๗ วัน “ตอนเมืองหนองคายยังไม่สู้กว้างนัก ดูข้างฝั่งนี้พอเถียงกันว่าโน่นวัวหรือควายที่ยืนกินหญ้าอยู่ทางฝั่งโน้น แต่ตอนใต้ลงมาจนถึงเมืองมุกดาหาร ไม่แลเห็นตัววัวควายข้างฝั่งโน้นทีเดียว เมืองสวรรณาเขตรของฝรั่งเศสอยู่ตรงกันข้ามก็พอแลเห็นตึกหลังคาแดง ๆ เท่านั้น  ฤดูแล้งน้ำงวดตลิ่งสูงประมาณ ๕ วา ๖ วา” หน้าเมืองมีหาดกรวดแผ่กว้าง “กล่าวกันว่าที่หาดนี้มีแก้ว จึงเอามาเปนชื่อเมืองมุกดาหาร” แม่น้ำโขงขุ่นและไหลเชี่ยว “มีสัตว์ร้ายต่าง ๆ เปนต้นว่า จรเข้แลปลาเงือกสำหรับทำอันตรายผู้คน แลมีเครื่องกีดกั้นสำหรับให้เปนอันตรายแก่เรือที่ขึ้นล่องบริบูรณ์ทุกอย่าง เปนต้นว่าศิลาใต้น้ำ (ซึ่งเรือข้าพเจ้าได้โดนดังกล่าวมาแล้ว) แลหาดทรายซึ่งอาจจะมูนขึ้นที่ไหน ๆ ได้เมื่อไร ๆ (เรือข้าพเจ้าก็ได้เคยติด) นอกจากนี้ ยังมีแก่งใหญ่น้อยอิกเปนอันมาก ล่องเรือน่าแล้งก็ยังน่ากลัว  แต่เมื่อมาในเรือไฟไม่ใคร่เห็น ได้เห็นเมื่อลงมาเรือพายแต่พระธาตุพนมลงมาเมืองมุกดาหาร เมื่อผ่านแก่งคับพวงเห็นน้ำวนใหญ่โตกว่าที่ได้เคยเห็นมาแต่ก่อนดูน่ากลัว แม้พวกที่พายเรือเคยขึ้นล่องทางนี้อยู่เสมอ ยังต้องกำชับกันให้ประจงระวังให้ดี ด้วยเหตุทั้งปวงที่กล่าวมา การเที่ยวในลำแม่น้ำโขงจะว่ามีความสนุกสบายอย่างไรนั้นว่าไม่ได้ แลยังไม่เคยได้ยินใครชมว่าสนุกหรือสบายเลยแต่ต้องยอมว่าปลาดน่าพิศวง ไม่เสียใจที่ได้มาเห็น แต่เมื่อได้เห็นครั้งหนึ่งแล้วกว่าจะอยากไปเที่ยวแม่น้ำโขงอีกเห็นจะยังนาน”

เรือบรรทุกสินค้าในแม่น้ำโขง ก่อนยุคมีเครื่องยนต์

Image

๒๑ มกราคม

ย่ำรุ่งขี่ม้าออกจากเมืองมุกดาหารตามทางที่มีโคกบ้าง นาบ้าง ผ่านบ้านเหมืองบ่า เห็นภูมะโน (ปัจจุบันเรียกภูมโนหรือภูมโนรมย์) ภูหินซัน ถึงบ้านคำเขือง ที่พักร้อน  เดินเข้าดงบางอี่ “เปนทางขึ้นเขาอย่างเดียวกับดงพระยาไฟ แต่เปนดงใหญ่ทึบกว่าดงพระยาไฟ ต้นไม้แน่นหนาร่มชัฏ แลเห็นดวงพระอาทิตย์แต่เมื่ออยู่เหนือยอดไม้ มีต้นตะเคียนต้นยางอย่างใหญ่ ๆ ก็มาก” ข้ามห้วยบังอี่ ถึงที่พักแรมบ้านนาเกาะ ซึ่งเป็นบ้านอยู่ในดง

Image

๒๒ มกราคม

เข้าเขตมณฑลอีสานที่ตำบลหนองพอก แล้วออกปากดงบังอี่ ถึงที่พักร้อนตำบลบ้านนาคำ แล้วต่อมาเสนางคนิคม ถึงกุดเชียงหมีที่พักแรม

วันรุ่งขึ้นข้ามน้ำเซ หรือลำเซ (บาย) เข้าเขตบ้านฮ่องแซง บ้านคำบอน บ้านของชาวผู้ไทยจากเมืองตะโปน  เดินทางต่อเข้าดงสะมากัง “เปนดงเล็กกว่าดงบังอี่”  พ้นดงออกมา ถึงที่พักแรมตำบลบ้านส้มพ้อ (ปัจจุบันคือบ้านส้มผ่อ)

วันต่อมาเข้าบ้านนาฮี บ้านคำไหล บ้านตาสืม บ้านนาซึมที่พักแรม

อีกวันต่อมาผ่านบ้านนาโป่ง บ้านเผือฮี บ้านนาซวยใหญ่
บ้านนาซวยน้อย บ้านนาสีนวล บ้านหนองสรวง บ้านหนองแวง บ้านคำหม้อ  ถึงเมืองยโสธร เวลาเช้า ๔ โมงครึ่ง 

วันที่ ๒๖ มกราคม ตลาดตั้งอยู่บนเนินใกล้ลำน้ำพาชี

Image

ราษฎรรอรับเสด็จที่เมืองเสลภูมิ

Image

๒๗ มกราคม

ส่งหม่อมเจ้าชายประสบประสงค์ที่ไปอยู่เมืองนอกแต่เล็กเพิ่งกลับมา ไปเฝ้าเสด็จพ่อ กรมขุนสรรพสิทธิ์ที่เมืองอุบล ข้าราชการมณฑลอุดรที่มาด้วยก็ลากลับ ขบวนที่เหลือออกเดินทางไปทางบ้านบ่อ บ้านเชียงหวาง บ้านหนองคำ บ้านพับ บ้านบาก บ้านเกิด (ปัจจุบันคือบ้านเดิด) บ้านเชือก ข้ามลำน้ำยาง “แล้วขึ้นระแทะที่กรมขุนสรรพสิทธิ์ทรงจัดส่งมาประทานสำหรับให้ผลัดกับม้า” ถึงเมืองเสลภูมิ เวลาเช้า ๕ โมงเศษ  เวลาบ่าย ๔ โมง ไปดูศิลาแลง แหล่งหินแร่ที่ชาวบ้านเชื่อว่าจะกลายเป็นเงินทองได้ในเหตุการณ์ “ผีบุญ” 

Image

๒๘ มกราคม

ข้ามลำน้ำพาชี แล้วขึ้นม้าต่อไปตามฝั่งชี เข้าเขตบ้านปากหมากค่า บ้านท่าฆ้อ (ปัจจุบันคือบ้านท่าค้อ) บ้านคอ ถึงที่พักร้อนบ้านหำฮอก พักกินเข้าเช้าแล้วเดินทางต่อไป เข้าเขตบ้านหัวบ่อ บ้านดอนงัว และบ้านเก่าน้อยที่พักแรม (ปัจจุบันอยู่ในอำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด)

วันรุ่งขึ้นเข้าเขตบ้านอุ่มเม่า (อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด) บ้านฮางฮะ บ้านโป่งลิง (ปัจจุบันคือบ้านนิเวศน์ อำเภอธวัชบุรี) แล้วเดินทางต่อไปถึงเมืองร้อยเอ็จ (ปัจจุบันคือจังหวัดร้อยเอ็ด) แวะนมัสการพระที่วัดกลาง

Image

หอโหวดที่บึงพลาญชัย กลางเมืองร้อยเอ็ด ภาพเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๖๘
ภาพ : ประเวช ตันตราภิรมย์

Image

๓๐ มกราคม

ออกจากเมืองร้อยเอ็จมาทางบ้านขอนแก่น บ้านหนามแทง บ้านกาหลง บ้านตำแย บ้านแวงน้อย บ้านแวงควาง ถึงบ้านคูโคก พักกินเข้าเช้า แล้วขึ้นระแทะเข้าเขตบ้านดงน้อย บ้านสนาม ถึงบ้านนาเลา ที่พักแรม

รุ่งขึ้นมาเมืองวาปีประทุม (ปัจจุบันคืออำเภอวาปีปทุม) บ้านหนองดิน บ้านปลาบู่ ข้ามห้วยเสียวเข้าเขตบ้านกุดอ้อ เวลาเช้า ๓ โมง ๔๕ นาที ถึงพักแรมบ้านหนองผง (ปัจจุบันอยู่ในอำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม)

วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ย่ำรุ่งออกจากที่พักมาถึงบ้านดงยางน้อย (อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม)  บ้านกู่แสนตารัด บ้านนาหาด บ้านหนองซำ บ้านหัวดง พักแรมริมหนองดุม ข้างหมู่บ้านโพนงาน (บางฉบับพิมพ์ว่าโพนงาม) และบ้านหัวช้าง

ย่ำรุ่งวันต่อมา เดินทางผ่านบ้านบัวน้อย บ้านขามเลียน บ้านหมากหุ่ง  ขึ้นระแทะข้ามห้วยพังซู ออกเขตเมืองพยัคฆภูมิของมณฑลอีสาน เข้าเขตมณฑลนครราชสีมา ที่บ้านหัวขวา บ้านหัวแรด ถึงเมืองผะไทสงฆ์ (ปัจจุบันคืออำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์) เมืองโบราณ มีเนินดินเป็นแนวกำแพง มีคูเมืองสองชั้น จำนวนพลเมือง ๒๒,๘๐๐ คน

Image

๓ กุมภาพันธ์

ย่ำรุ่งออกเดินทางผ่านบ้านบุ่งเบา แยกไปทางตำบลวังปลัดที่ชาวบ้านงมพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ ของเก่าในลำน้ำมูลได้อยู่เนือง ๆ  มาพักแรมที่บ้านกระเบื้องนอก

Image

๔ กุมภาพันธ์

เดินทางมุ่งไปทางบ้านนางออ ผ่านทุ่งระนาม “ขึ้นระแทะมาตามท้องทุ่งร้อนจัดเต็มที” ถึงห้วยกะเพราที่พักแรม จากนั้นจึงเปลี่ยนมาเดินทางกลางคืน  “เวลา ๑๐ ทุ่ม ขึ้นระแทะออกเดินทางต่อไป การเดินทางบกคราวนี้ตัวนายขี่ม้า พวกพลไพร่แลสิ่งของไปเกวียน”

Image

๕ กุมภาพันธ์

ย่ำรุ่งถึงตำบลบ้านดง เช้าถึงบ้านท่าหลวง ริมแม่น้ำมูล แล้วถึงเมืองพิมาย ไปดูปราสาทหิน

ลายมือบนภาพถ่ายเขียนว่า “แม่น้ำมูล” ไม่ได้ระบุสถานที่ แต่ดูจากระยะระหว่างฝั่งน่าจะเป็นแถบต้นน้ำ

Image

๖ กุมภาพันธ์

ไปดูต้นไทรงาม  เวลา ๑๐ ทุ่ม ออกจากเมืองพิมาย ผ่านบ้านวังหิน บ้านขี้เหล็ก บ้านลำฉมวก บ้านเพ็ด บ้านหนองใหญ่ บ้านหนองขาม ตำบลหนองพลวง (อำเภอจักราช นครราชสีมา) ข้ามลำจักกระลาด (ปัจจุบันนิยมเขียนว่าจักราช) ถึงที่พักร้อน

Image

๗ กุมภาพันธ์

ขึ้นระแทะเข้าเขตบ้านบุ บ้านหนองพลวง ถึงบ้านหนองช่องแมว แล้วเข้าเขตบ้านหนองอ้ายโยย ถึงบ้านตูม พักแรมที่ริมหนองบัว เวลาเช้า ๕ โมง

Image

๘ กุมภาพันธ์

“เวลาย่ำรุ่งครึ่ง ออกจากที่พักแรมตำบลหนองบัวบ้านตูม มาตามทางโคกเข้าเขตรบ้านกรูด บ้านทอก บ้านส้ม บ้านขาม บ้านมะดัน แล้วถึงบ้านช่องโคท่าช้าง” พักแรมที่ริมแม่น้ำมูล  เนื่องจากมีกาฬโรคระบาดที่เมืองนครราชสีมา ตอนอยู่ที่เมืองพิมายมีท้องตรามหาดไทยมาว่า “ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มหาดไทยเชิญกระแสรับสั่งมาว่า ให้คิดอ่านเดินทางตรงไปสถานีรถไฟทีเดียว อย่าให้ไปแวะค้างคืนที่เมืองนครราชสิมา ด้วยเหตุนี้จึงได้พักแรมที่ตำบลท่าช้าง” เวลา ๑๐ ทุ่ม ออกจากที่พักแรม ข้ามลำน้ำมูลมาตามทาง พักที่บ้านพระผุดครู่หนึ่ง

Image

๙ กุมภาพันธ์

เวลาเช้าโมงหนึ่งถึงบ้านมะเริง ผ่านที่พักแสนศุขมาถึงสถานีรถไฟเมืองนครราชสีมา  เวลาเช้า ๒ โมงครึ่ง รถไฟพิเศษออกจากสถานี ถึงสถานีกรุงเทพฯ เวลาบ่าย ๔ โมง ๕ นาที

เวลาค่ำเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน

“เปนเสร็จการที่ไปมณฑลอุดรแลมณฑลอิสาณ รวมเวลา ตั้งแต่ออกจากกรุงเทพฯ จนกลับมาได้ ๕๖ วัน”  

สถานีนครราชสีมา จุดเริ่มต้นและปลายทางการเสด็จ ตรวจราชการอีสานเมื่อปี ๒๔๔๙  ผ่านมา ๑๐๐ กว่าปี การรถไฟก้าวไปไม่ไกลเท่าเทคโนโลยีด้านการสื่อสารที่เปลี่ยนผ่านจากยุคโทรเลขมาถึง 5G ในปัจจุบัน
  
ภาพ: วิจิตต์ แซ่เอ้ง

Image