Image

“ช็อกโกแลต”
เปลี่ยนโลก

CHOCOLATE IN SIAM

เรื่อง : สุเจน กรรพฤทธิ์
ภาพประกอบ : ไพลิน จิตรสวัสดิ์

Image

ที่อาณาจักรแอซเท็ก (Aztec, ค.ศ. ๑๓๐๐-๑๕๒๑) บริเวณทวีปอเมริกากลาง (ปัจจุบันคือเม็กซิโก) เมล็ดคาเคา (cacao) มีค่าเท่ากับเงินตราหลักฐานในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ (ตรงกับสมัยอยุธยาตอนกลาง) ระบุว่า คาเคา ๑๐ เมล็ด ซื้อกระต่ายได้ ๑ ตัว และต้องใช้ ๑๐๐ เมล็ดสำหรับซื้อทาส

ในหมู่พระราชวงศ์ ขุนนาง นักรบ และพ่อค้า พวกเขาเรียกเครื่องดื่มที่ทำจากคาเคาว่า “โชโกลัต” (chocolatl-แปลว่า “น้ำขม”) โดยจะใส่พริกไทยน้ำผึ้ง สมุนไพร ถั่วลิสง ดอกวานิลลา เมล็ดผักชี และชาดลงไป น้ำโชโกลัต จึงมีสีแดงชาด

ชาวแอซเท็กเชื่อว่าโชโกลัตกระตุ้นพลังทางเพศและมีข้อห้ามไม่ให้สตรีดื่มมีเรื่องเล่าว่ากษัตริย์มอนเตซูมาที่ ๒ (ครองราชย์ ค.ศ. ๑๕๐๒-๑๕๒๐) แห่งแอซเท็ก เสวยถึงวันละ ๕๐ แก้ว สันนิษฐานว่า เอร์นัน กอร์เตซ (Hernán Cortés) นายทหารสเปนที่นำกำลังไปพิชิตอเมริกากลาง เป็นชาวยุโรปคนแรกที่เห็นการดื่มโชโกลัตของราชสำนักแอซเท็ก ส่วนเบร์นัล ดิอัซ (Bernal Diaz) นายทหารที่ไปด้วยบันทึกว่า “มีการถวาย (ให้กษัตริย์) เป็นประจำในถ้วยทองคำบริสุทธิ์...สิ่งที่ผมไม่เคยพบคือ มีการใส่เมล็ดคาเคาในเหยือก ๕๐ ใบ มันเต็มไปด้วยฟอง กษัตริย์เสวยบางส่วนจากเหยือกนั้นโดยมีสตรีถวายด้วยเคารพสูงสุด”

เมื่อกอร์เตซกลับสเปน เขาทำให้เมล็ดคาเคาซึ่งคนสเปนรู้จักตั้งแต่สมัย คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) กลับจากสำรวจทวีปอเมริกาเป็นที่สนใจอีกครั้ง โดยช่วงแรกมีฐานะเป็นยา ต่อมาปรับรสชาติให้ดื่มง่ายโดยใส่น้ำตาล ทำให้ช็อกโกแลตแพร่หลายมากขึ้น

Image

Image

ใน ค.ศ. ๑๖๖๐ การหาทางยุติความขัดแย้งระหว่างสเปนกับฝรั่งเศสในประเด็นศาสนา ภายใต้การทำสนธิสัญญาพิเรนีส (Treaty of the Pyrenees) มีเรื่องของช็อกโกแลตเข้าไปเกี่ยวข้อง

ราชสำนักสเปนตัดสินใจส่ง มาเรีย เทเรซา (Maria Theresa, ค.ศ. ๑๖๓๘-๑๖๘๓) เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์ฮัพส์บวร์ค (House of Habsburg) ไปอภิเษกกับพระญาติ คือพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ มหาราชแห่งราชวงศ์บูร์บง (House of Bourbons)

เจ้าหญิงเทเรซาถวายของขวัญในงานหมั้นชิ้นหนึ่งให้พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ คือเครื่องประดับที่บรรจุช็อกโกแลตไว้ภายในว่ากันว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ โปรดช็อกโกแลตตั้งแต่นั้น

ต่อมาเมื่อเจ้าหญิงเทเรซาย้ายมาประทับในฝรั่งเศส (ค.ศ. ๑๖๖๐) ก็ทรงนำแม่บ้านที่มีฝีมือในการปรุงช็อกโกแลตติดมา ต่อมายังตั้ง ฌ็อง เดอ แอร์เรอรา (Jean de Herrera) เป็นโชโกลาตีเย/ช็อกโกริสตา (chocolatier) ประจำพระองค์ด้วย

มีบันทึกว่าการเสิร์ฟช็อกโกแลตในราชสำนักฝรั่งเศสนั้นจะเตรียมคาเคา (ทำให้เหลว) น้ำอ้อย พริกไทย ปล่อยให้ของเหล่านี้ละลายในนมที่ถูกตีฟองไว้ พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ยังทรงบัญชาให้เริ่มทำไร่คาเคาในเกาะเวสต์อินดีสของฝรั่งเศส (ในมหาสมุทรแอตแลนติก) ผูกขาดตลาดคาเคาในฝรั่งเศส

หลังจากนั้นช็อกโกแลตเป็นที่รู้จักทั่วยุโรป ประกอบกับระหว่าง ค.ศ. ๑๖๔๐-๑๖๘๐ มีการขยายพื้นที่ปลูกอ้อยในบราซิลและรอบทะเลแคริบเบียน (ทวีปอเมริกากลาง) ทำให้ผลผลิตอ้อยออกสู่ตลาดมากจนราคาน้ำตาลอยู่ในระดับที่ซื้อหาได้ทำให้ช็อกโกแลตได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะการใส่น้ำตาลทำให้ดื่มง่ายขึ้น

Image

Image

พระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๒ แห่งอังกฤษ (ครองราชย์ ค.ศ. ๑๖๖๐-๑๖๘๕) เป็นกษัตริย์พระองค์เดียวในประวัติศาสตร์ที่พยายามแบนร้านขายช็อกโกแลตอาจเพราะทรงมีความกลัวการก่อกบฏแฝงในพระทัย ด้วยเมื่อคราวพระชนมายุ ๑๒ พรรษา เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายรัฐสภากับกษัตริย์ ทำให้ต้องเสด็จฯ ไปยังฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์เพื่อลี้ภัยและตอนที่อยู่ฝรั่งเศสทรงทราบข่าวการประหารพระราชบิดาโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้

จนกระทั่งสถานการณ์เปลี่ยน อังกฤษเข้าสู่ยุคฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ (ค.ศ. ๑๖๖๐) ทำให้พระองค์ได้ครองบัลลังก์

ในช่วงที่ทรงครองราชย์คือปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ มีสถิติว่ามีกิจการร้านขายเครื่องดื่มช็อกโกแลต (กิจการเดียวกับร้านขายกาแฟ) ในกรุงลอนดอนกว่า ๓,๐๐๐ แห่ง ผู้คนหลากอาชีพชอบใช้ร้านเหล่านี้ นั่งสนทนาและรณรงค์ทางการเมือง จนสร้างความไม่พอพระทัย ด้วยทรงเห็นว่าหากปล่อยต่อไป ก็เอื้อต่อการก่อกบฏและเกิดความวุ่นวายตามมา พระองค์จึงออกประกาศยุบร้านช็อกโกแลต (A Proclamation for the Suppression of Coffee-Houses) ในเดือนธันวาคม ค.ศ. ๑๖๗๕

มีประกาศระบุว่ากิจกรรมในร้านก่อให้เกิด “การกระทำที่ชั่วร้ายและอันตราย” ทว่าประกาศนี้ก็เป็นหมันหลังเกิดเสียงค้านอย่างหนักจากขุนนางและประชาชนที่รักการดื่มช็อกโกแลต จนต้องยกเลิกไปในวันที่ ๘ มกราคม ค.ศ. ๑๖๗๖

ว่ากันว่าเหตุผลแท้จริงคือ พระองค์ทรงนึกได้ว่ามีร้านช็อกโกแลตที่โปรดบนถนนเซนต์เจมส์ ที่มักเสด็จฯ ไปเสวยประจำเช่นกัน !

Image

Image

ใน ค.ศ. ๑๗๗๔ พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ ขึ้นครองบัลลังก์ฝรั่งเศส ประวัติศาสตร์จารึกว่าพระองค์คือกษัตริย์ราชวงศ์บูร์บงพระองค์สุดท้าย ก่อนเกิดการทลายคุกบัสตีย์และโค่นล้มระบอบกษัตริย์ใน ค.ศ. ๑๗๘๙

ฟร็องซัว-มารี อารูเอ (FranÇois-Marie Arouet/M. de Voltaire ค.ศ. ๑๖๙๔-๑๗๗๘) หรือ “วอลแตร์” นักคิด นักเขียน นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ผู้วิพากษ์วิจารณ์ศาสนจักรคาทอลิกในฝรั่งเศส สนับสนุนเสรีภาพในการพูดและการนับถือศาสนา บันทึกไว้ก่อนเสียชีวิตถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ว่า “ช็อกโกแลต” คือหนึ่งในสินค้าที่ราคาสูงลิบลิ่ว การนำเข้าสินค้าชนิดนี้ของราชสำนักทำให้ความยากจนในฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น

เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจเท่าใดนัก ด้วยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ และพระนางมารี อ็องตัวแน็ต (Marie Antoinette) พระราชินี โปรดการเสวยช็อกโกแลตในตอนเช้ามาก ยังมีบันทึกว่าพระนางมารีชอบผสมเครื่องปรุงจำพวกดอกส้ม เมล็ดอัลมอนด์หวานลงไปในช็อกโกแลต

แต่สำหรับวอลแตร์ ถึงแม้เขาจะเป็นคอกาแฟและชอบผสมช็อกโกแลตลงไปให้กาแฟมีรสช็อกโกแลตปะปน เขาก็ไม่เห็นด้วยในการนำเข้าช็อกโกแลตขณะคนฝรั่งเศสส่วนมากยากจนลง

นอกจากเค้กที่พระนางมารีแนะนำให้คนกินแทนขนมปัง “ช็อกโกแลต” จึงอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ราชวงศ์บูร์บงล่มสลายในที่สุด

Image

Image

ในวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๔๗๕ [ก่อนสยามเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) เป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) ๑ วัน] พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) หัวหน้าคณะราษฎรผู้ก่อการ ได้ร่ำลาท่านผู้หญิงบุญหลง (ภรรยา) ซึ่งพันเอกพระยาพหลฯ ถือเป็น “เพื่อนร่วมเป็นร่วมตาย” คนหนึ่งและทราบแผนเปลี่ยนแปลงการปกครองมาตลอดเป็นครั้งสุดท้าย

จากนั้นก็กล่าวถึงสิ่งที่จะเกิดในเช้าวันใหม่คือ ๒๔ มิถุนายน
๒๔๗๕ ว่า เมื่อถึงเวลาประมาณ “สามยามครึ่ง” [“ยามสาม” คือช่วงเวลาระหว่าง ๒๔.๐๐-๐๓.๐๐ น. เวลาที่พันเอก พระยาพหลฯ กล่าวถึง จึงน่าจะหมายถึงเวลาที่กินไปจนถึง “ยามสี่” (๐๓.๐๐-๐๖.๐๐ น.) คือราว ๐๓.๓๐ น.] พระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) จะเอารถยนต์มารับ ขอให้ปลุก “แต่เพลาตีสาม” จะได้รับประทานอาหารและแต่งตัวโดยสั่งความว่า “อาหารที่จะรับประทานนั้น ขอให้ทำโกโก้แต่เพียงถ้วยเดียวไม่ต้องมีอะไรมากกว่านั้น”

คืนนั้นพันเอก พระยาพหลฯ ถูกปลุกครั้งหนึ่งตอน ๐๒.๐๐ น. เมื่อภรรยาสงสัยความเคลื่อนไหวของรถตำรวจที่ผ่านหน้าบ้านไป ก่อนจะล้มตัวลงนอนต่อไปจนถึง ๐๓.๐๐ น. เขาตื่นมาดื่มโกโก้ร้อน

แล้วออกไปเปลี่ยนแปลงประเทศสยามในเช้าวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕

Image

คิทแคท (KitKat) ถือกำเนิดขึ้นที่โรงงานลูกกวาดของบริษัทโรว์นทรีส์ (Rowntree’s) เมืองยอร์ก (York) สหราชอาณาจักร (อังกฤษ) เมื่อพนักงานคนหนึ่งต้องการขนมที่พกติดตัวได้ บริษัทตอบรับโดยผลิตขนมเวเฟอร์เคลือบช็อกโกแลตสี่แถวเรียงกันที่หักออกได้ทีละแท่ง ๆ แล้วเก็บที่เหลือไว้กินต่อได้ ทำให้ผู้กินได้เบรกสั้น ๆ ขณะทำงาน โดยห่อขนมด้วยบรรจุภัณฑ์สีแดงสด ได้ชื่อแรกว่าโรว์นทรีส์ ช็อกโกแลต คริสป์ (Rowntree’s Chocolate Crisp) ก่อนเปลี่ยนเป็นคิทแคท ช็อกโกแลต คริสป์ (KitKat Chocolate Crisp) โดยได้แนวคิดชื่อจาก Kit-Cat Club กลุ่มคนรักพายเนื้อของ คริสโตเฟอร์ แคตลิง (Christopher Catling) ที่ชอบมานั่งคุยการเมืองที่ร้านของแคตลิง

หลังประสบความสำเร็จในอังกฤษได้ ๕ ปี ก็เริ่มส่งออกไปขายที่แคนาดา แอฟริกาใต้ ไอร์แลนด์ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ภาวะขาดแคลนนมสดทำให้ต้องเปลี่ยนสูตรเป็นดาร์กช็อกโกแลตและเปลี่ยนห่อเป็นสีน้ำเงิน (บอกผู้บริโภคถึงรสชาติที่เปลี่ยนไป) จนหลังสงครามจึงกลับไปใช้สูตรเดิมและห่อสีแดงตามเดิม ทั้งนี้ในคริสต์ทศวรรษ ๑๙๕๐ โดนัลด์ กิลเลส (Donald Gilles) จากบริษัทเจดับเบิลยูทีออฟลอนดอน (JWT of London) เสนอแคมเปญ “คิดจะพัก คิดถึงคิทแคท” (Have a break, have a KitKat) ให้คิทแคทนำไปใช้จนติดหูผู้บริโภคมาจนถึงปัจจุบัน

ค.ศ. ๑๙๗๐ คิทแคทยังให้สิทธิ์การผลิตในตลาดสหรัฐอเมริกากับบริษัทเฮอร์ชีส์ (Hershey’s) ผู้ผลิตขนมยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกัน  ต่อมาเนสท์เล่ (Nestlé) ผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของสวิตเซอร์แลนด์ซื้อกิจการและผลิตคิทแคทจำหน่ายในตลาดโลก (ยกเว้นสหรัฐฯ) นอกจากนี้
ยังทำข้อตกลงกับบริษัทฟูจิยะ (Fujiya) ทำตลาดญี่ปุ่นจนประสบความสำเร็จตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๗๓ โดยผลิตคิทแคทหลายร้อยรสชาติ จนคนจำนวนมากเข้าใจผิดว่านี่เป็นแบรนด์ของญี่ปุ่นไป

ส่วนในอังกฤษมีสถิติว่าขายได้นาทีละ ๔๗ ชิ้น ถือเป็นช็อกโกแลตที่ขายได้มากที่สุดในโลก (สถิติใน ค.ศ. ๒๐๑๐)

เรื่องเดียวที่เหนือความคาดหมายคือ คิทแคทกลายเป็นสินค้าสำคัญของเฮอร์ชีส์ ที่ผู้บริหารเคยมีสายสัมพันธ์

กับช็อกโกแลตอีกยี่ห้อหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานไม่แพ้กันคือเอ็มแอนด์เอ็ม (M&M’s)

Image

Image

ใน ค.ศ. ๑๙๓๒ ฟอร์เรสต์ มาร์ส ซีเนียร์ (Forrest Mars Sr.) บุตรของ แฟรงก์ ซี. มาร์ส (Frank C. Mars) เจ้าของบริษัทมาร์ส (Mars) ผู้ผลิตขนมขนาดใหญ่สัญชาติอเมริกัน และ บรูซ เมอร์รี (Bruce Murrie) ทายาทผู้บริหารบริษัทเฮอร์ชีส์ (Hershey’s) ผู้ผลิตขนมยักษ์ใหญ่อีกยี่ห้อหนึ่ง ร่วมกันก่อตั้งบริษัท เอ็มแอนด์เอ็ม (M&M’s มาจากอักษรตัวแรกของชื่อผู้ก่อตั้ง) ด้วยความปรารถนาจะยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง

ฟอร์เรสต์อ้างถึงคำบอกเล่าของทหารอาสาอังกฤษที่กลับจากสงครามกลางเมืองสเปนถึงลูกอมชนิดหนึ่งที่เคลือบน้ำตาลภายนอกทำให้ไม่ละลายในความร้อน เขาต้องการผลิตช็อกโกแลตชนิดนั้น ผลคือเอ็มแอนด์เอ็มได้กองทัพสหรัฐอเมริกาเป็นลูกค้ารายสำคัญในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ จากความต้องการเสบียงที่พกพาง่ายให้ทหารในสมรภูมิ ประกอบกับภาวะสงครามทำให้น้ำตาลขาดแคลนในยุโรป

เอ็มแอนด์เอ็ม เม็ดช็อกโกแลตสีน้ำตาล แดง ส้ม เหลือง เขียว และม่วง ในบรรจุภัณฑ์สีน้ำตาล และ คำขวัญ “ละลายในปาก ไม่ละลายในมือ” (Melt in your mouth, not in your hand” จึงเป็นที่จดจำของชาวอเมริกันนับแต่นั้น

อย่างไรก็ตามหลังสงครามจบ ผู้ก่อตั้งสองรายขัดแย้งกันทางธุรกิจ ทำให้เมอร์รีแยกตัวไป และมีการพิมพ์อักษร M สีดำ (ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีขาว) ลงบนเม็ดช็อกโกแลตตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๕๐

เอ็มแอนด์เอ็มยังคงขายช็อกโกแลตจนถึงปัจจุบัน มีการรีแบรนด์ในคริสต์ทศวรรษ ๑๙๙๐ โดยเป็นที่รู้จักจากตัวละครลูกอมห้าสีที่ถูกสร้างจากคาแร็กเตอร์สีบนเม็ดช็อกโกแลต ถือเป็นกิจการในเครือมาร์สที่มีรายได้หลายหมื่นล้านบาทจากยอดขายทั่วโลก และเป็นอาหารสำหรับนักบินอวกาศตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๘๑  

เอกสารประกอบการเขียน
ภาษาไทย
กุหลาบ สายประดิษฐ์. (๒๕๔๘). เบื้องหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ (พิมพ์ครั้งที่ ๗). กรุงเทพฯ : มิ่งมิตร.

ภาษาอังกฤษ
Albert Idell translated and Edited. (1956). The Bernal D'iaz Chronicles : The True Stories of the Conquest of Mexico. Gerden City, New York : Doubleday Dolphin.

เว็บไซต์
https://www.ancient-origins.net/history-famous-people/maria-theresa-spain-0011103
https://www.latimes.com/archives/la-xpm-1993-04-22-fo-25589-story.html
https://thegoodlifefrance.com/history-chocolate-france/
https://www.history.com/news/the-wartime-origins-of-the-mm?fbclid=IwAR3eoovNDMItUHCbm4ebZJB1gEXQT6GRbCNgSY-4gZ4LvYQ7T-Yiw4ajo3s