เป็นยุคสมัยที่ขบวนการประชาชนอ่อนแรงลงแต่ปัจจุบันสมัชชาคนจนยังคงมีการเคลื่อนไหวเรียกร้องต่อรองกับรัฐเพื่อการแก้ปัญหาของสมาชิกแต่ละกลุ่มในขบวนในภาพนี้เป็นการชุมนุมที่ลานคนเมือง ในงานคนจนเขียนรัฐธรรมนูญ
๓๐ ปี สมัชชาคนจน
กับวิวัฒนาการ
ของการต่อสู้ทางการเมืองไทย
เรื่อง : เก่งกิจ กิติเรียงลาภ
ภาพ : บันสิทธิ์ บุณยะรัตเวช
บทความนี้จัดทำขึ้นเนื่องในวาระครบรอบ ๓๐ ปีของการก่อตั้งสมัชชาคนจน ซึ่งสถาปนาอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๓๘ โดยมีสโลแกนที่ทรงพลังว่า “ประชาธิปไตยที่กินได้ การเมืองที่เห็นหัวคนจน”
ตลอดระยะเวลากว่า ๒ ทศวรรษ สมัชชาคนจนเป็นตัวแทนของพลวัตการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของไทยในมิติสำคัญที่สุด นั่นคือการเรียกร้องความเป็นธรรมเชิงโครงสร้างผ่าน “การเมืองบนท้องถนน”
จุดกำเนิดของการเมืองภาคประชาชน : สมัชชาคนจนในฐานะต้นแบบ
ทศวรรษ ๒๕๓๐ : รากฐานจากชนบทและคนจนเมือง
ในทศวรรษ ๒๕๓๐ การเมืองภาคประชาชนเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีพื้นที่ชนบทและคนจนเมืองเป็นฐานสำคัญ สมัชชาคนจนถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางปัญหาสืบเนื่องจากนโยบายการพัฒนาที่ไม่เป็นธรรมของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่ดินทำกิน ทรัพยากร และผลกระทบจากโครงการขนาดใหญ่ ด้วยระบอบการเมืองที่แม้จะดูเป็นประชาธิปไตย แต่กลับกีดกันคนจนออกจากการกำหนดแนวทางการพัฒนา ส่งผลให้การขับเคลื่อนของคนจนต้องอาศัยการเมืองนอกรัฐสภาเป็นพลังหลัก สมัชชาคนจนซึ่งเป็นผลึกของการเคลื่อนไหวในช่วงเวลานั้นจึงปรากฏในรูปของ “ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม” ที่ใช้การชุมนุม เดินขบวน และการเจรจาต่อรองกับรัฐบาลโดยตรง
ยุทธศาสตร์หลักในช่วงเวลานั้นคือการเมืองนอกสภาซึ่งมุ่งเน้นการสร้าง “ม็อบและมวลชน” เพื่อกดดันอำนาจรัฐ การปักหลักชุมนุมยืดเยื้อบริเวณทำเนียบรัฐบาลหรือสถานที่ราชการเป็นเครื่องมือสำคัญที่พิสูจน์ให้ชาวบ้านเห็นว่าตนเองมีอำนาจจากการรวมตัวกัน และใช้เป็นช่องทางสื่อสารความเดือดร้อนไปยังสาธารณชน
การเกิดขึ้นของสมัชชาคนจนและการเมืองบนท้องถนนคือพลังสำคัญที่ทำให้เห็นว่า หลังพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยสิ้นสุดลง ๑ ทศวรรษ การเมืองบนถนนของคนจนเป็นพลังหลักที่สำคัญที่สุดและต่อเนื่องที่สุด
มรดกในการร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐
การเคลื่อนไหวของภาคประชาชนเข้มข้นถึงจุดสูงสุดในช่วงปี ๒๕๓๕-๒๕๔๐ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้เกิดรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ หรือที่มักเรียกกันว่า “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน”
แม้สมัชชาคนจนจะไม่ได้เป็นกลไกหลักในการร่างรัฐธรรมนูญ แต่กระแสการต่อสู้และข้อเรียกร้องด้านสิทธิชุมชนและสิทธิพลเมืองที่กว้างขวางได้ถูกบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการเมืองนอกสภาส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและกฎหมายสูงสุดของประเทศได้