Image

“ก้าวหน้าทันนิยมของโลก”
ของใหม่และคำใหม่
สมัยพระมงกุฎเกล้าฯ

๑๐๐ ปี วันสวรรคต
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

รวบรวม : ศรัณย์ ทองปาน
ภาพ : ประเวช ตันตราภิรมย์

“ขอให้นึกดูให้ดี เราทั้งหลายรู้สึกน้อยหน้า รู้สึกน้อยใจมานานแล้ว อย่างไรในการที่ใคร ๆ เขาเห็นเราเปนชาติเล็กน้อยไม่เสมอหน้าเขาได้ ในคราวนี้เปนโอกาสอันดีที่เปิดให้แก่เราทั้งหลาย ที่จะได้แสดงให้เห็นชัดปรากฎแก่ตาโลกว่ามหาประเทศเขารับเราเท่าประเทศทั้งหลายแล้ว”

พระราชดำรัสในการเลี้ยงพระราชทานทหาร ผู้จะไปงานพระราชสงคราม
๒๖ เมษายน ๒๔๖๑

ความรู้สึกอย่างหนึ่งของสังคมสยามในยุคพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว คือความต้องการที่จะทัดหน้าเทียมตาบรรดาชาติที่เจริญแล้ว อันจะสังเกตได้ชัดเจนจากพระราชดำรัสตลอดรัชสมัย ไม่ว่าจะเป็นความหวังที่จะให้ต่างประเทศยอมรับนับถือว่าสยามเป็นชาติอารยะ มีความเจริญมาแต่ดึกดำบรรพ์ เช่น พระราชดำรัสเมื่อคราวเสด็จฯ ไปทรงเปิดหอพระสมุดสำหรับพระนคร วันที่ ๖ มกราคม ๒๔๕๙

“เหตุนี้จึงได้พยายามจัดตั้งหอพระสมุดขึ้นเปนหลักฐาน ให้แลเห็นเปนพยานปรากฎ เพื่อชาวต่างประเทศที่มีอยู่แล้วในกรุงสยามก็ดี หรือที่จะมาใหม่ก็ดี ได้แลเห็นเปนพยานหลักฐานว่ากรุงสยามไม่ใช่เมืองป่า ได้เจริญมาแล้ว มีหนังสือแลตำนานอยู่แล้วเปนอันมาก สมควรแก่ที่เจริญแล้วทุกประการ” 

หรือความพยายามขับเคลื่อนให้สยามรัฐก้าวไปข้างหน้า เคียงบ่าเคียงไหล่กับนานาอารยประเทศ เช่น พระราชดำรัสตอบในการเสด็จฯ โรงเรียนมหาดเล็กหลวง ทอดพระเนตรการรื่นเริง และทูลเกล้าฯ ถวายฉลองพระองค์อาจารย์ วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๔๕๖

“เราจำต้องก้าวไปข้างหน้าเสมอ ยิ่งก้าวไปได้ไกลเพียงใดก็ยิ่งดี เราต้องไม่ถอยหลังเลยเปนอันขาด แม้แต่หยุดอยู่ที่ก็ไม่ได้ เพราะการหยุดก็เสมอด้วยการถอยหลัง ใคร ๆ เขาก้าวเลยไปแล้ว เราหยุดอยู่เราก็ต้องล้าหลังเขาไกลออกไปทุกที นั่นเองที่เท่ากับถอยหลังไม่ใช่อื่น”

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวถึงกับทรงสรุปพระราชภาระสำหรับพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์เช่นพระองค์ไว้ว่า “ส่วนข้าพเจ้าเองได้รู้สึกอยู่แล้วว่า กรณียเบื้องต้นของข้าพเจ้าก็คือการทนุบำรุงประชาชนให้อยู่เย็นเปนสุข ให้ก้าวหน้าทันนิยมของโลก” (พระราชดำรัสตอบพระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายใน ในงานเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๑ มกราคม ๒๔๖๓)

ตัวอย่างอันเป็นรูปธรรมของการ “ก้าวหน้าทันนิยมของโลก” ได้แก่ การประกาศสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลางคือเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรใน “มหายุทธสงคราม” (The Great War) หรือสงครามโลกครั้งที่ ๑ (ปี ๒๔๖๐), พระบรมราชโองการประกาศเปลี่ยนให้เริ่มนับวันใหม่หลังเที่ยงคืนตามแบบที่ “ใช้อยู่ทั่วไปแล้วในประเทศยุโรปแลอเมริกา” (ปี ๒๔๖๐), เปลี่ยนธงชาติใหม่เป็นธงไตรรงค์ “ให้เปนสามสีตามลักษณธงชาติของประเทศที่เปนสัมพันธมิตรกับกรุงสยามได้ใช้อยู่โดยมากนั้น” (ปี ๒๔๖๐), ส่งกองทหารอาสาเข้าร่วมงานพระราชสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรจนได้เป็นผู้ชนะร่วมกับประเทศมหาอำนาจ ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา (ปี ๒๔๖๑) แล้วจึงได้เป็น “สมาชิกผู้ก่อตั้ง” สันนิบาตชาติ (League of Nations), การเชื่อมต่อรถไฟหลวงสายใต้ข้ามพรมแดนไปสู่หัวเมืองมลายูของอังกฤษ (ปี ๒๔๖๑), ประกาศใช้เวลาอัตราสำหรับกรุงสยามทั่วพระราชอาณาจักร เป็น ๗ ชั่วโมงก่อนเวลามาตรฐานกรีนิชในอังกฤษ หรือ GMT+7 (ปี ๒๔๖๓), สันนิบาตกาชาดยินยอมรับสภากาชาดสยามเข้าเป็นสมาชิก (ปี ๒๔๖๓), ประกาศใช้พระราชบัญญัติชั่งตวงวัด ตามวิธีเมตริก (ปี ๒๔๖๖) ฯลฯ

นอกจากนั้นแล้วพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงเอาพระราชหฤทัยใส่ในด้านภาษาและวรรณคดีเป็นพิเศษ ทรงได้รับการเทิดพระเกียรติว่าเป็นผู้บัญญัติศัพท์ภาษาไทยขึ้นใหม่หลายคำเพื่อใช้ทดแทนศัพท์ภาษาอังกฤษ มีทั้งที่อิงจากคำบาลี-สันสกฤต เช่น นามสกุล บรรณาธิการ วิศวกรรมศาสตร์ และที่ทรงคิดประดิษฐ์ด้วยการประสมคำไทยให้คนทั่วไปเข้าใจได้ง่าย เช่น กาชาด เพาะช่าง ออมสิน  นอกจากนั้นแล้วในระหว่างรัชสมัยยังเกิดคำไทยใหม่ ๆ ขึ้นอีกมากมาย เป็นศัพท์บัญญัติของท่านผู้อื่นบ้าง เช่น สถิติ สหกรณ์ หรืออีกหลายคำยังไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นต้นคิดก็มี  คำเหล่านี้จำนวนไม่น้อยยังคงใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน

กรมมหรศพ

ตั้งแต่ตอนต้นรัชกาล ราวปี ๒๔๕๔ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมมหรศพ (ตัวสะกดตามเอกสารราชการยุคนั้น) ขึ้นกับกรมมหาดเล็กหลวง มีกรมย่อยในสังกัด ได้แก่ กรมโขนหลวง กรมปี่พาทย์หลวง กรมช่างมหาดเล็ก และกรมดนตรีฝรั่งหลวง (ยกฐานะจากกองเครื่องสายฝรั่งหลวงในเดือนเมษายน ๒๔๖๓) โดยมีที่ทำการอยู่ ณ วังจันทรเกษม (ภายหลังคือที่ตั้งกระทรวงศึกษาธิการ) เจ้ากรมมีตำแหน่งเรียกว่า “ผู้บัญชาการ” คือเจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล. เฟื้อ พึ่งบุญ) ถือตราพระราชลัญจกรพานรสิงห์รำ

จากนั้นในปี ๒๔๕๗ โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนทหารกระบี่หลวงเพื่อฝึกหัดนักเรียนเข้ารับราชการในกรมมหรสพ ต่อมาเมื่อมีการโอนนักเรียนโรงเรียนทหารกระบี่หลวงมาสังกัดเสือป่าพรานหลวงรักษาพระองค์ จึงพระราชทานนามโรงเรียนใหม่ว่า “โรงเรียนพรานหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์” โรงเรียนแห่งนี้มีหลักสูตรคือ ครึ่งเช้าจัดการเรียนการสอนวิชาสามัญเหมือนโรงเรียนทั่วไป ครึ่งบ่ายให้นักเรียนแยกย้ายไปฝึกหัดวิชามหรสพต่าง ๆ เช่น ปี่พาทย์ โขน หรือเครื่องสายฝรั่ง

Image

พระราชลัญจกรพานรสิงห์รำ

Image