นิทรรศการ “I think the old days are really gone ภาพวููบไหวในคำเล่าของเมืองเชียงใหม่”
สุดแดน วิสุทธิลักษณ์
นักจัดแจงชีวิตใส่พิพิธภัณฑ์
PEOPLE OF THE MUSEUM
ภัณฑารักษ์
เรื่อง : สุชาดา ลิมป์
ภาพ : บันสิทธิ์ บุณยะรัตเวช
แค่นิทรรศการเดียวจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ?
แต่หากมีโอกาสดูนิทรรศการดี ๆ สักครั้งอาจเปลี่ยนความคิด
บางเรื่องสนุกกับเนื้อหา ตื่นตาข้าวของประหนึ่งเดินทางสำรวจเรื่องราวทั่วโลก บางชิ้นเยียวยาจิตใจ ฉลาดในการนำเสนอแบบทิ้งให้ผู้ชมสงสัยเล่น บางประเด็นสามารถสะกดร่างกายเราให้นิ่งกับความเงียบเชียบขณะไล่สายตาผ่านสิ่งที่ปรากฏเพื่อซึมซับให้แผ่ซ่านเข้าความคิด
ชวนท่องโลกจัดแสดงไปกับ รศ. สุดแดน วิสุทธิลักษณ์ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ นักมานุษยวิทยาผู้แสวงการเดินทางพอกับเสพงานศิลปะในหอศิลป์-พิพิธภัณฑ์
ไม่เพียงเปิดโลกทัศน์วัฒนธรรม ประเพณี ประวัติศาสตร์ ความรัก กระทั่งความตายที่เต็มด้วยส่วนผสมศรัทธาของคนเป็น ยังได้รู้จัก “ภัณฑารักษ์” เพิ่มในฐานะผู้รังสรรค์ชีวิตชีวาให้นิทรรศการไม่จำเจ
การดูนิทรรศการครั้งต่อไปอาจให้ความรู้ (สึก) ที่ต่างจากเดิม
ประวัติศาสตร์ของจริง
ปลายปี ๒๕๖๓ ในรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
เราออกเดินทางสู่โลกของสิ่งจัดแสดงกับผู้อำนวยการ “พิพิธภัณฑ์ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ” เพื่อท่องจังหวัดเชียงใหม่ พ้นประตูทางเข้ามีผ้าเหลือง-เครื่องหมายแห่งพุทธศาสนาผืนใหญ่กางล้อมทางลาดขึ้นชั้น ๒ ของพิพิธ-ภัณฑ์ที่อุปโลกน์เป็นกำแพงเมืองเก่า มองข้ามเรื่องที่ท่องเที่ยวคูล ๆ ศิลปวัฒนธรรม ชาติพันธุ์บนดอยสูง หรือทรัพยากรธรรมชาติอันงดงามก่อน อยากชวนสัมผัสอีกมุมซึ่งน่าตื่นเต้นกว่า
“ผมไม่มีบัตรหรอก แต่ผมมีร่างกายของผม”
ลายมือของชายชาวไทใหญ่ แรงงานข้ามชาติผู้มีอาชีพค้าบริการทางเพศ ปรากฏบนผ้าเหลือง
“สิ่งน่าสนใจคือเป็นการเล่าเรื่องเมืองเก่าที่ไม่ใช่แค่อธิบายถึงเมืองที่ฝันจะเป็นมรดกโลกว่าคืออะไร หรือจัดแสดงเฉพาะวัฒนธรรมดีงาม แต่ฉายภาพจริงของเชียงใหม่ที่ไม่ได้มีเพียงคนเมือง ยังมีหลากอาชีพโดยหลายชาติพันธุ์ที่ร่วมอาศัยในพื้นที่เดียวกัน ทั้งหมอนวด ขายบริการทางเพศ นิทรรศการนี้จึงมีถ้อยความต่าง ๆ สะท้อนว่าพวกเขาซึ่งถูกจัดอยู่ในมุมมืดของเมืองส่งเสียงถึงเชียงใหม่อย่างไร”
อาจารย์สุดแดนอธิบายภาพรวมของนิทรรศการชื่อยาว “I think the old days are really gone ภาพวูบไหวในคำเล่าของเมืองเชียงใหม่” ที่แตกยอดจากงานวิจัยเกี่ยวกับมรดกโลกเชียงใหม่ของ ผศ.ดร. เทียมสูรย์ สิริศรีศักดิ์ อาจารย์ร่วมคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
ยังมีวิดีโอกึ่งสารคดีสั้น-ส่วนหนึ่งของสิ่งจัดแสดง ฉายถึงวิถีผู้คนในสังคมกลางคืนบนถนนยามราตรีเริ่มทวีความคึกคักเมื่อสมทบแสงสีตามไนต์คลับ หลายภาพวูบไหวของชายกำยำทั้งผู้ค้าและลูกค้าเพศเดียวกันสะกดให้ยืนดูและฟังสำเนียงแปร่งอยู่นานโดยยากจะห้ามสายตาไม่ให้เหล่ผ้าเหลืองที่ล้อมอยู่
อาจารย์-นักมานุษยวิทยาพาออกจากย่านบันเทิง ลอดซอยแคบที่คลุมผ้าดำจนมืดชวนจินตนาการว่าเป็นตรอกของคนทำงานให้บริการความสุข เราแลกเปลี่ยนกันว่าน่าจะดีถ้ามีแสงไฟกะพริบพรายอยู่ในห้องมืดนี้พร้อมโต๊ะวางเครื่องดื่มสักชุดเพื่อดึงดูดให้ยิ่งเข้าถึงบรรยากาศของนิทรรศการ
ภัณฑารักษ์หัวเราะ เพราะก่อนเดินมาตรงนี้เขาเพิ่งเล่าถึง “พิพิธภัณฑ์เกบร็องลี (Musée du quai Branly)” ที่กรุงปารีส สวรรค์ของผู้นิยมศิลปะแห่งชาติพันธุ์และเรื่องราวอารยธรรมโลก
“พิพิธภัณฑ์นั้นจัดตั้งขึ้นเพื่อแสดงสิ่งของชาติพันธุ์จากทั่วโลก แต่ภายในกลับนำเสนอราวกับพื้นที่ทางศิลปะ จัดแสงสีสวยงาม ฝ่ายนักมานุษยวิทยาวิจารณ์ว่าเป็นการมุ่งเน้นให้เสพความงามทางศิลปะมากกว่าความเข้าใจวัฒนธรรมในสังคมผ่านการจัดแสดงสิ่งของ ขณะเดียวกันก็มีผู้สนับสนุนว่าการนำเสนอในรูปแบบศิลปะเป็นเพียงวิธีดึงดูดความประทับใจผู้ชมอย่างหนึ่ง แต่ก็ยังคงให้ข้อมูลอยู่ ซึ่งมีช่องทางแนะนำให้ผู้สนใจไปศึกษาเพิ่มเองได้ เราว่าประเด็นนี้น่าสนใจนะ เช่นเดียวกับในยุคแรกของการจัดตั้ง ‘พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์’ สิ่งของชาวชาติพันธุ์แทบไม่เห็น มีแต่งานศิลปะชั้นเลิศอย่างภาพเขียน โมนาลิซา หรือผลงานของ Louis David มายุคนี้ถึงมีห้องหนึ่งจัดแสดงสิ่งของชาติพันธุ์ เป็นเรื่องน่ายินดีว่าการที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้แสดงประติมากรรมหินอ่อนผลงาน Michelangelo ร่วมกับงานแกะสลักไม้ของชนเผ่า ก็คือการยอมรับว่ามีคุณค่าเทียบเท่ากัน”