วัดบวรนิเวศวิหาร ในสมัยรัชกาลที่ ๕
ภาพ : สมุดภาพพระประวัติ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
เหตุเกิดเมื่อปี ๒๓๖๙
จาก “ธรรมยุต” ถึง “พระป่า”
เรื่องและภาพ : สุเจน กรรพฤทธิ์
“...๑๑๘๖ ปีวอก ฉศก พระบาทสมเดจพระจอมเกล้าเจ้าสยามเสดจออกทรงผนวช...ทรงทราบว่าลัทธิสมถนั้นมากมูลวุ่นวายไปด้วยสัมโมหะวิหาร เหมือนกับยืมจะมุก (จมูก) ท่านมาหายใจ จะพูจจาอันใดก็เปนแต่อ้างคติ...ว่าท่านผู้ใหญ่เคยทำมาอย่างนี้ ไม่แจ้งแสดงชี้เหตุออกมาให้เหนจริงได้ ถือแต่ลัทธิของตนนั้นดันดื่อไปมิได้รู้ว่าผิดแลชอบ ไม่เปนที่ตั้งแห่งปัญญา ทรงสังเวศเหนื่อยหน่ายขึ้นมาด้วยเหตุนั้น...”
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ทรงเล่าถึงเหตุที่รัชกาลที่ ๔ ทรงตั้งธรรมยุติกนิกายใน อภินิหารการประจักษ์
นับถึงปี ๒๕๖๘ เหตุเจ้าฟ้ามงกุฎอุปสมบทเป็น “วชิรญาณภิกขุ” ผ่านมา ๒ ศตวรรษ
คณะสงฆ์ “ธรรมยุต/ธรรมยุติกนิกาย” ที่พระองค์ก่อตั้งยังดำรงอยู่คู่ “มหานิกาย” พร้อมกับมีปัญหาของวงการสงฆ์ไทยเพิ่มขึ้น
ปีนี้ ข่าวจับกุมอดีตพระธรรมวชิรานุวัตรเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง (สมีแย้ม) จังหวัดนครปฐม ในคดียักยอกเงินวัด (พฤษภาคม ๒๕๖๘) ข่าวอดีตพระเทพวชิรปาโมกข์ เจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพวรวิหาร (สมีอาชว์) กรุงเทพฯ พัวพันสีกาและเงินวัดแล้วหลบไปสึกที่จังหวัดหนองคาย สาวไปถึงพระเถระชั้นผู้ใหญ่หลายรูป (มิถุนายน ๒๕๖๘) สร้างความตกตะลึงไปทั่ว ยังไม่นับคดีย่อย เช่น พระเมา ทะเลาะวิวาท ฯลฯ ที่เกิดขึ้นทุกวัน
ความคิดเห็นท้ายข่าวที่มักปรากฏบ่อยครั้งคือการตั้งข้อสังเกตว่า กรณีที่เกี่ยวข้องกับ “มหานิกาย” เช่นวัดไร่ขิง ผู้ต้องหามักถูกจับกุม แต่ถ้าเรื่องเกิดกับ “ธรรมยุต” อย่างวัดตรีทศเทพผู้ต้องหามักหายตัวไป
ไม่ว่าข้อสังเกตนี้จะตรงข้อเท็จจริงหรือไม่แต่นี่คือภาพสะท้อนรอยร้าวในคณะสงฆ์ไทยยังไม่นับคำถามพื้นฐานของคนจำนวนหนึ่งว่าอะไรคือ “มหานิกาย” อะไรคือ “ธรรมยุต” ? เพราะพระสงฆ์ที่พวกเขาเห็นนั้นไม่ต่างกันและเป็นนิกายเถรวาททั้งหมด
ท่ามกลางข่าววิกฤตคณะสงฆ์ไทย สารคดี ชวนผู้อ่านทบทวน “จุดเริ่มต้น” และ “ปม” ของวงการสงฆ์บ้านเราอีกครั้ง
วชิรญาณภิกขุ -
“บวชหลบราชภัย” ?
เป็นที่รู้กันว่าผู้ก่อตั้ง “ธรรมยุติกนิกาย” คือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ขณะเป็นภิกษุ
แต่ก็ถกกันในหมู่นักประวัติศาสตร์มานานแล้วว่าช่วงผลัดแผ่นดินจากรัชกาลที่ ๒ สู่รัชกาลที่ ๓ เกิดอะไรขึ้นหลังฉาก อันเป็นเหตุให้ “เจ้าฟ้ามงกุฎ” ทรงพระผนวช
พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ฯ เล่าว่า ช่วงปลายรัชกาล พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงออกว่าราชการน้อยครั้ง ผู้มีบทบาทจริงคือกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (รัชกาลที่ ๓ ในกาลต่อมา)
ร่องรอยความขัดแย้งเรื่องสืบราชสมบัติปรากฏอยู่ทั่วไปในเอกสารหลักฐาน แต่ที่น่าสนใจคือ พระราชนิพนธ์ภาษาบาลีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าด้วยพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ที่เจ้าฟ้ามงกุฎ (รัชกาลที่ ๔ ในกาลต่อมา) ทรงพระนิพนธ์ภายหลังว่าในเวลานั้นทรงมั่นพระทัยว่ามีสิทธิในราชบัลลังก์เพราะ “เกิดดีแล้วแต่ชาติอันประเสริฐทั้งสองฝ่าย” ด้วยพระองค์เป็นพระราชโอรสที่ประสูติจากพระมเหสี (สมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์) มีศักดิ์สูงกว่าเจ้าจอมมารดาเรียม (สมเด็จพระศรีสุลาไลย พระชนนีของกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์)
ใกล้สิ้นรัชกาลที่ ๒ ทรงทราบว่ากรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ก็ปรารถนาราชสมบัติ เมื่อทรงประเมินแล้วว่าพระองค์เองยังไม่พร้อม และคาดว่าพระราชบิดาจะมีพระชนม์ชีพอยู่อีกไม่นานจากพระอาการประชวร พระองค์จึงกราบบังคมทูลขอออกผนวช
รัชกาลที่ ๒ และกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (รัชกาลที่ ๓) เสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค
ภาพ : จิตรกรรมฝาผนังในศาลาทรงยุโรป พระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ