แม่สามี
สุขต่างวัย
ทีมสลอธสโลว์ไลฟ์
เรื่อง : ทัศพร เตชะธนกุล
ภาพ: ธนพล เตชะธน
ในชีวิตของผู้หญิงทุกคนต่างมีความฝัน...ว่าสักวันหนึ่งถ้าได้แต่งงาน ก็อยากได้สามีที่ดีคอยดูแลเราทั้งเวลาสุขและทุกข์
ได้แบบนี้ถือว่าโชคดีเหมือนถูกรางวัลที่หนึ่ง แต่ถ้าได้แม่สามีที่รักเราเหมือนลูกอีกคนนั้น...เหมือนถูกรางวัลที่ ๑ พร้อมกับแจ็กพอตเลยทีเดียว
ฉันคือผู้หญิงโชคดีได้รางวัลที่ ๑ พร้อมแจ็กพอตนั้นมาครอบครอง
ฉันกับสามีพบรักกันที่ร้านทองแห่งหนึ่งในย่านเยาวราช เขาเป็นพนักงานขาย ส่วนฉันเป็นพนักงานบัญชี
เริ่มแรกเราไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไร คุยกันเฉพาะเรื่องงานเท่านั้น จนวันหนึ่งร้านจัดไปเที่ยวช่วงปีใหม่ในจังหวัดกาญจนบุรี ทำให้มี “อุบัติเหตุรัก” เกิดขึ้น ตอนที่ฉันกำลังจะขึ้นรถตู้เขาปิดประตูรถทับมือของฉันจนบาดเจ็บ
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราคุยกันมากขึ้นจนคบหาดูใจกันและได้แต่งงานกันในที่สุด และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันได้พบกับความรักที่แม่สามีมอบให้ลูกสะใภ้
แม่สามีของฉันชื่อ สำรวย แซ่เจี่ย เป็นผู้หญิงจีน ผิวขาว ร่างท้วม มีรอยยิ้มสดใส น่ารัก อารมณ์ดี ใจเย็น หัวเราะเก่ง ใครอยู่ใกล้จะตกหลุมรักในทันที วันแรกที่ฉันพบท่าน ฉันสัมผัสได้ถึงจิตใจอันดีมีเมตตา
ถึงวันที่เข้าไปอยู่ในบ้าน แม่สามีดูแลลูกสะใภ้อย่างดี ทุกเย็นเราจะช่วยกันทำกับข้าวให้คนในครอบครัวกิน แม่สามีไม่เคยเอ่ยปากใช้ลูกสะใภ้คนนี้เลยสักครั้ง ฉันอยากกินอะไรพิเศษท่านก็ทำให้
ต่อมาฉันได้รับรู้เรื่องราวน่าประทับใจที่สามีเล่าให้ฟังถึงความรักมั่นคงต่อพ่อสามีที่จากไปในวัย 48 ปี เมื่อคนแถวบ้านต่างพากันพูดว่า “สามีตายไม่นาน...เดี๋ยวก็มีสามีใหม่แล้ว”
แม่สามีตอบกลับคนเหล่านั้นไปว่า...“อย่าเอาฉันไปเปรียบกับผู้หญิงเหล่านั้น...ฉันไม่เหมือนคนอื่น”
แม่สามีครองตัวเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวเลี้ยงลูกชายสี่คนด้วยความยากลำบาก ต้องใช้ความรู้ความสามารถที่เคยทำมาตั้งแต่ก่อนคบกับพ่อสามีหาเลี้ยงครอบครัว นั่นคือการเย็บผ้าจีวรพระ
เส้นทางชีวิตของแม่สามีต้องพบเจอกับปัญหาครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบ เหมือนกับฉันที่พ่อมีเมียใหม่ ทำให้แยกทางกับแม่ ฉันมีความหลังที่แสนเจ็บปวดจนตั้งปณิธานเอาไว้ว่า
“จะไม่ทำให้ครอบครัวตัวเองต้องแตกแยก...จนทำให้ลูกต้องขาดพ่อหรือแม่โดยเด็ดขาด!”
แต่สำหรับแม่สามีท่านต้องสูญเสียคนรักไปด้วยความตายที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ท่านไม่มีความรักกับชายคนอื่นอีกนอกจากความรักที่มอบให้กับลูกชายทั้งสี่คน
เริ่มต้นชีวิตใหม่
ในต่างถิ่น...
หลังจากที่พ่อกับแม่แยกทางกัน แม่สามีออกจากอำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น เข้ามากรุงเทพฯ อยู่กับญาติย่านเสาชิงช้าซึ่งทำอาชีพเย็บผ้าจีวรพระ เรียนรู้การเย็บผ้าจีวรพระเป็นอาชีพหาเลี้ยงตัวเอง จนได้พบรักกับพ่อสามี ชื่อบ่วงเซง แซ่ตั้ง ที่บอกว่ามีฐานะทางบ้านดีสามารถเลี้ยงดูท่านได้ ตอนนั้นท่านอายุยังน้อยจึงหลงเชื่อ
แต่ในความคิดของฉันท่านคงหลงรักพ่อสามีมากกว่า เพราะสามีเล่าให้ฟังว่าพ่อบ่วงเซงหล่อเหลาเอาการ
พ่อสามีเป็นคนจีนแต้จิ๋ว พูดไทยได้น้อยมาก แม่สามีเป็นคนจีนแต้จิ๋วผสมจีนแคระ พูดไทยได้เพราะเรียนหนังสือถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ท่านตัดสินใจคบหาดูใจกัน จนสร้างครอบครัวมีลูกชายสี่คนเป็นโซ่ทองคล้องใจ คนที่ ๑ ชื่อตั้งจินพ้ง คนที่ ๒ ชื่อตั้งจินฮง คนที่ ๓ ชื่อตั้งจินกุ่ย (สามีของฉัน) และ คนที่ ๔ ชื่อตั้งจินหลี
แม่สามีไม่ได้อยู่อย่างสุขสบาย พ่อบ่วงเซงหาเลี้ยงครอบครัวด้วยการรับจ้างทำระบบไฟฟ้าตามความรู้ที่มี แต่รายได้ไม่แน่นอน วันที่ไม่มีคนจ้างก็ไม่มีรายได้เข้ามาจุนเจือ ช่วงแรกต้องพาครอบครัวย้ายที่อยู่บ่อย ๆ เพราะอยู่ห้องเช่า บางครั้งก็โดนไล่ที่ ในที่สุดพากันย้ายมาอยู่แถวบางจาก ในซอยสุขุมวิท ๙๓ เขตพระโขนง
พอลูก ๆ เริ่มโตต้องเรียนหนังสือ ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มมากขึ้น ถึงแม้จะมีรายได้จากการเย็บผ้าจีวรพระของแม่สามีช่วยบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากพอ ทำให้พ่อสามีเกิดความเครียดสะสม
สามีฉันเล่าว่าเคยเห็นพ่อนั่งชันเข่าเอามือกุมที่หัวบ่อย ๆ ด้วยความเป็นเด็กเลยยังไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เห็นนั่นคืออาการปวดหัวเพราะความเครียด จนในที่สุดท่านเส้นเลือดในสมองแตก เข้ารักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลไม่กี่วันก็เสียชีวิต
พ่อสามีจากไปในเดือนพฤษภาคม ปี ๒๕๒๘ ด้วยวัย ๖๔ ปี แม่สามีและลูก ๆ เศร้าโศกเสียใจมากที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก
สิ่งที่ฉันฟังแล้วบีบหัวใจมากที่สุด คือวันที่ต้องถอดสายออกซิเจนเพื่อไม่ให้ท่านต้องทนทุกข์ทรมาน
ยิ่งไปกว่านั้นคือครอบครัวไม่มีเงินจัดงานศพ
แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้างที่ญาติทางพ่อสามีมาจัดงานศพให้ ท่านเป็นคนจีนในยุคที่ต้องมีขั้นตอนจัดงานศพมากมายและยังต้องนำร่างไปฝังไกลถึงชลบุรี
การเปลี่ยนแปลง
ครั้งยิ่งใหญ่...
หลังจากขาดเสาหลักของครอบครัวไปหน้าที่ความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูลูก ๆ ก็ตกมาอยู่ที่แม่สามีเพียงคนเดียว ท่านเพียรเย็บผ้าจีวรพระซึ่งเป็นอาชีพเดียวที่ท่านทำเป็น
สามีเล่าว่าขั้นตอนการเย็บผ้าจีวรพระนั้นยุ่งยากมาก ต้องตัดผ้าหลายชิ้นเพื่อมาเย็บติดกันกว่าจะได้แต่ละผืน ทำให้การเย็บทำได้วันละไม่กี่ผืน รวมเงินที่ได้ไม่เกินวันละ ๘๐ บาทซึ่งน้อยมาก พอเย็บได้ ๒ วันแม่ก็จะให้ลูกนำผ้าไปส่งที่ร้านรัตนตรัย (ล้อเลี่ยงไถ่) ถ้าวันไหนไม่มีเงินค่ารถเมล์จากบางจากไปเสาชิงช้า ลูกก็จะปั่นจักรยาน BMX ที่เก็บเงินซื้อกันเองตอนสมัยพ่อบ่วงเซงยังอยู่ไปส่งผ้าแทน คิดถึงว่าจากบางจากไปเสาชิงช้าในสมัยปี 2528 นั้นการคมนาคมยังไม่สะดวกเหมือนวันนี้
รายได้ของครอบครัวไม่มากพอที่จะเลี้ยงทั้งห้าชีวิตให้อิ่มท้อง ทำให้ทุกคนซูบผอม บางมื้อมีข้าวต้มหนึ่งหม้อ กับถั่วลิสงคั่วหนึ่งซอง ต้องเอามาแบ่งกันกิน
ฉันฟังมาถึงตรงนี้ถึงกับอึ้ง นึกสงสารเห็นใจในความยากลำบาก แต่ทุกคนก็ผ่านความลำบากนั้นมาได้ ด้วยความแข็งแกร่งของความเป็นแม่ที่มีต่อลูก ทำให้สามีของฉันรักแม่ของเขามาก
ลูกทั้งสี่คนจบการศึกษาแค่มัธยมศึกษาปีที่ ๓ เพราะไม่มีเงินเรียนต่อ
หลังจากทุกคนเริ่มหางานทำพอที่จะมีรายได้ จึงตัดสินใจให้แม่สามีเลิกเย็บผ้าจีวรพระอย่างถาวร เพราะที่ผ่านมาท่านทำงานหนักจนมีอาการเจ็บปวดส้นเท้า เพราะต้องเหยียบจักรตลอดเวลา แต่แม่สามีก็ยังคงดูแลลูกเหมือนเดิม ถึงแม้ชีวิตจะผ่านอะไรมามากมายท่านก็ยังมีรอยยิ้มสดใสมอบให้ลูกทุกคน ลูกกลับบ้านหลังเลิกงานก็ได้กินกับข้าวฝีมือแม่ทุกวัน
ทุกวันเกิดของลูกชายทั้งสี่คน ในตอนเช้าท่านจะลุกมาต้มไข่หวานที่ใส่แต่ไข่ไก่กับน้ำตาลทรายขาวให้ลูกกิน ฉันถามท่านว่ากินเพื่ออะไร ท่านตอบว่า...
“เพื่อเป็นสิริมงคล...มีสุขภาพแข็งแรง”
ฉันได้ฟังก็อดที่จะยิ้มกับคำพูดนั้นไม่ได้ ท่านใส่ใจและห่วงใยลูก ๆ เสมอ แต่ท่านไม่เคยต้มให้ฉันกิน ท่านจะทำให้เฉพาะลูก ๆ ของท่านเท่านั้น
…
เหตุผลที่ฉันเลือกแต่งงานกับสามีเพราะเขารักแม่มาก เลิกงานก็จะกลับบ้านเพื่อมาดูแลแม่ กินข้าวเย็นกับแม่ทุกวัน ฉันก็หวังว่าเขาจะรักฉันเหมือนแม่ของเขา แล้วก็เป็นเช่นนั้น ฉันได้รับความรักความอบอุ่นที่สามีและแม่สามีมอบให้
ในตอนที่ฉันตั้งท้อง แพ้ท้องหนักมาก แม่สามีก็ดูแลฉันเป็นอย่างดี อยากกินอะไรพิเศษท่านก็ทำให้กินโดยไม่เคยบ่น
เมื่อแม่สามีย้ายไปอยู่บ้านใหม่กับลูกชายคนที่ ๒ ฉันก็ย้ายไปอยู่บ้านอีกหลัง
ฉันคลอดลูกสาว แต่ไม่ใช่หลานคนแรกของแม่สามี เพราะลูกชายคนที่ ๒ มีหลานชายให้ท่านได้ชื่นชมแล้วหนึ่งคน หลังจากที่ฉันคลอดลูก ท่านก็ทำอาหารเพื่อบำรุงน้ำนมมาให้กินทุกวัน เช่น ไก่ผัดขิง ปลาผัดขิง ผัดผักใบเขียวต่าง ๆ ฯลฯ ท่านต้องเดินขึ้นบันไดถึงสี่ชั้นเป็นเดือน ฉันซาบซึ้งใจมากจนในบ้างครั้งก็อดที่จะร้องไห้ออกมาไม่ได้
ฉันเป็นคนต่างจังหวัด แม่ของฉันไม่สามารถมาดูแลฉันได้ แต่ยังโชคดีที่มีแม่สามีแสนดีคอยดูแลไม่ต่างจากแม่แท้ ๆ
ตลอดระยะเวลาที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับท่านฉันรับรู้ได้ถึงจิตใจอันบริสุทธิ์ มองโลกในแง่ดี มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
ในความเป็นแม่สามีและลูกสะใภ้ เราไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องทะเลาะกัน เพราะท่านมีแต่ความรักที่มอบให้ จนฉันคิดว่าท่านคือแม่คนที่ ๒ จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่จะโชคดีได้แม่สามีที่แสนดีแบบนี้
ฉันยังจำวันที่เราพาท่านไปเที่ยวทะเล ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ ได้เป็นอย่างดี วันนั้นสามีและน้องชายคนที่ ๔ จูงท่านเดินลงทะเล ท่านกลัวคลื่น จนสุดท้ายต้องพานั่งลงกับพื้นทราย น้ำทะเลซัดเข้าปากท่านพอดี ท่านร้องเสียงดังว่า...
“ทำไมน้ำมันเค็มแบบนี้...เอาใส่ขวดกลับบ้านได้มั้ย” ท่านเพิ่งได้ชิมน้ำทะเลเป็นครั้งแรกในชีวิต
ในวัย ๗๘ ปี ท่านคิดว่าจะเอาน้ำทะเลไปใส่อาหารแทนเกลือ ทุกคนต่างพากันหัวเราะ ภาพรอยยิ้มเสียงหัวเราะในวันนั้นทำให้ทุกคนจดจำและมีความสุขทุกครั้งที่ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้น
แม่สามีชอบทะเลมาก แต่ก่อนท่านไม่ค่อยมีโอกาสได้ไป ท่านชอบกินปูม้าเหมือนกับฉัน เวลาไปทะเลเรามักจะสั่งปูม้าครั้งละหลายกิโลกรัม ฉันจะเป็นคนแกะให้ท่านกิน ท่านจะอารมณ์ดีมีความสุขตลอด
วันนั้นยังมีอีกเหตุการณ์ที่น่าประทับใจ คือ ที่หน้าบ้านพักส่วนตัวที่ให้เช่ายกหลังใกล้ชายหาด มีสวนหย่อมเล็ก ๆ มีต้นเชอรีไทยลูกสีเขียว เหลือง แดง ปะปนกันอยู่เต็มต้น แม่สามีเอ่ยถามว่า...
“นั่นต้นอะไร...ลูกสีแดง ๆ กินได้มั้ย”
“ต้นเชอร์รีไทย...หม่าม้ากินมั้ย” สามีของฉันร้องถาม
“กิน...กิน” ท่านรีบตอบอย่างไว
สามีเดินไปเก็บลูกเชอร์รีสีแดงสดหนึ่งลูกมาให้ชิม ท่านถึงกับร้องอย่างมีความสุข
“โอ้!! อร่อยจัง...อากุ่ยเก็บกลับบ้านให้หมดเลย” ท่านบอก ฉันกับสามีไปหากล่องกระดาษมาใส่ กะว่าจะเก็บแค่พอให้ท่านกินระหว่างทางกลับกรุงเทพ ฯ แต่ท่านรีบบอก...
“ยังไม่เต็มกล่องเลย...” ท่านชี้มือให้เก็บลูกโน้นลูกนี้อย่างมีความสุข ฉันหันไปบอกท่านว่า…
“ก็หม่าม้ากินหมด...เก็บเท่าไหร่ก็ไม่เต็มกล่องสักที” ท่านหัวเราะดังลั่นเหมือนกับว่าท่านแกล้งเราได้
เชอร์รีลูกแรกที่เราให้ท่านชิมยังอยู่ในมือซ้ายของท่านอีกครึ่งลูก ทุกคนต่างพากันหัวเราะชอบใจที่เห็นท่านยิ้มและหัวเราะออกมาแบบมีความสุขเช่นนั้น สุดท้ายเราเก็บลูกเชอร์รีไทยกลับบ้านกันเต็มกล่อง ท่านนั่งยิ้มหน้าบานเหมือนเด็กได้ของอร่อยมาครอบครอง
แม่สามีเป็นคนชอบกินน้ำพริกกะปิ ชะอมทอดไข่มาก ๆ แต่ท่านไม่ชอบกินปลาทู ทุกครั้งที่ทำน้ำพริกกะปิ ทุกคนจะถามท่านว่า กินปลาทูทอดมั้ย ? ท่านมักจะตอบกลับมาว่า...“ไม่กิน...มันเหม็นคาว”
แต่พอลูก ๆ แกะปลาทูทอดราดน้ำพริกกะปิป้อนให้ ท่านกินอย่างเอร็ดอร่อย
ถ้าบอกว่านั่นคือปลาทู ท่านจะงอนทุกครั้ง ทุกคนต่างพากันหัวเราะชอบใจในความน่ารักของท่าน
อุบัติเหตุ
ทำให้ชีวิตเปลี่ยน...
แม่สามีเกิดอุบัติเหตุตอนท่านเดินออกกำลังกายในช่วงเช้ามืด ถูกรถแท็กซี่ถอยมาชนจนล้ม
ท่านไม่ได้บอกลูก ๆ จนในที่สุดอาการปวดหลังกำเริบจนต้องไปโรงพยาบาลเพื่อรักษา หลังจากนั้นท่านล้มอีกครั้งในบ้านก้นกระแทกพื้นทำให้กระดูกทับเส้นประสาท ไม่สามารถเดินได้ปรกติ หมอตัดสินใจผ่าตัด แต่ท่านตื่นกลัวทำให้หัวใจทำงานผิดปรกติ หมอจึงยกเลิกการผ่าตัดไป เพราะกลัวจะมีอันตรายร้ายแรง ทำให้ต้องเปลี่ยนไปหาแพทย์ทางเลือกคือ การไปนวดจัดกระดูกแทน
แต่ก็ได้ผล ท่านกลับมาเดินได้ปรกติอีกครั้ง
ตลอดระยะเวลาที่ท่านเดินไม่ได้ ในความโชคร้ายที่ต้องพบเจอก็ยังมีความโชคดี ลูกชายทั้งหมดดูแลปรนนิบัติท่านได้ในทุกอย่างไม่ต่างกับลูกผู้หญิง
ฉันเป็นลูกสะใภ้ได้เห็นยังซึ้งใจ จากประสบการณ์ที่เคยพบเจอมา น้อยมากที่ลูกชายจะดูแลแม่อย่างใกล้ชิด เห็นแต่ใช้ลูกสะใภ้ทำแทน ลูกชายบ้านอื่นมักจะอายที่จะต้องเช็ดตัวทำความสะอาดในจุดเร้นลับของแม่ แต่ครอบครัวนี้ลูกชายทำได้อย่างไม่อายใครเลย ด้วยความรักที่ทุกคนมีให้แม่ เพื่อตอบแทนความรักที่แม่มอบให้ จนวาระสุดท้ายของชีวิต
ในยามที่ป่วยหนักด้วยวัยและโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ แม่สามีไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้จนเป็นคนไข้ติดเตียง ด้วยอายุขัยที่มากขึ้นทำให้ท่านเริ่มมีอาการความจำเสื่อม แต่มีอยู่สิ่งเดียวที่ท่านจำได้ไม่เคยลืมคือชื่อลูกทุกคน
ทุกเย็นท่านจะร้องถามว่าลูกคนนั้นคนนี้กลับมาหรือยัง ถ้าทุกคนกลับมาครบแล้วท่านก็จะอารมณ์ดี และยอมนอน
ตลอดเวลาที่ฉันกับสามีแยกออกมาอยู่บ้านอีกหลัง สามีต้องกลับไปกินข้าวเย็นกับแม่ของเขาทุกวัน ซึ่งก็ไม่เคยมีปัญหากับชีวิตคู่ของเรา ฉันบอกกับสามีเสมอว่า…
“คุณโชคดีแค่ไหน...ที่ได้กินข้าวเย็นกับแม่ทุกวัน”
ช่วงที่ท่านนอนรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ฉันจะซื้อไอศกรีมโบราณรสเผือกของโปรดเข้าไปฝากทุกครั้งที่ไปเยี่ยม ท่านดีใจเหมือนเด็กได้กินของชอบอย่างมีความสุข เวลาจะกลับท่านก็จะบอกทุกครั้ง “คราวหน้าเอามาอีกนะ...อร่อย อยากกินอีก”
พร้อมกับเปิดกระเป๋าใบเล็ก ๆ ที่ท่านหวงมาก หยิบกระดาษทิชชูออกมาและบอกว่า...“ไม่มีเงินเลยเนี่ย...มีแต่กระดาษ”
ฉันอดที่จะอมยิ้มกับความน่ารักสดใสเหมือนเด็กที่อยากกินของโปรด แต่ไม่มีเงินจะซื้อ ใช้น้ำเสียงและสายตาอ้อนวอน จนฉันใจอ่อนต้องออกไปซื้อมาให้ท่านกินอีกอันจนได้...
เมื่อวาระสุดท้าย
ของชีวิตมาถึง...
การเข้าโรงพยาบาลครั้งสุดท้ายด้วยโรคเดิมของท่านเกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์โควิด-๑๙ พอดี การไปหาหมอที่โรงพยาบาลลำบากมาก ทำให้ท่านติดเชื้อรุนแรง ท่านนอนหลับไม่รู้สึกตัวกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ไม่มีการตอบสนอง
เวลาฉันไปเยี่ยมท่านที่โรงพยาบาลจะกระซิบที่ข้างหูเรียกท่าน
“หม่าม้ากลับมาได้แล้ว...ไปเที่ยวหลายวันแล้วนะ...กลับมาเล่าให้ฟังหน่อย...ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง”
ฉันพูดแบบนี้ทุกครั้ง แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใด ๆ กลับมา จนวันหนึ่งท่านอาการหนักขึ้นต้องเข้าห้อง ICU ทุกคนตกใจมาก วันรุ่งขึ้นท่านฟื้นขึ้นมาเหมือนคนปรกติ สดใส ไม่เหมือนคนนอนหลับไปนาน ท่านยิ้มหัวเราะ จำทุกคนได้ ในเวลานั้นทุกคนต่างพากันดีใจ
แต่ฉันกับสามีรับรู้ได้ว่านี่เป็นสัญญาณบ่งบอกให้รู้ว่าท่านกำลังมาลาลูกหลาน...
ฉันได้คุยกับท่านว่า “ไม่ต้องไปเที่ยวแล้วนะ...พรุ่งนี้มาเล่าให้ฟังด้วย…ว่าหนีไปเที่ยวที่ไหนมา”
แต่ไม่มีวันพรุ่งนี้ ที่ท่านจะมาเล่าให้ฟังอีกแล้ว
วันรุ่งขึ้นท่านทรุดลงกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราอีกครั้ง และจากพวกเราไปในวันจันทร์ที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๓ อายุ ๘๓ ปี
แอบไปเที่ยวไกลแสนไกล ไม่กลับมาเล่าให้เราฟังอีกแล้ว ท่านจากไป
ถึงแม่สามีจะจากไปแล้ว ฉันก็ยังจดจำภาพผู้หญิงที่มีแต่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะที่ประทับตรึงใจไว้เสมอ และจะจดจำท่านไปตลอดกาล
…
สิ่งที่ฉันได้รับฟังจากสามีและได้สัมผัสกับแม่สามีโดยตรงทำให้รับรู้ถึงความรักแท้ที่มีอยู่จริง
ในการใช้ชีวิตคู่ถึงแม้บางครั้งอาจไม่เข้าใจกันบ้างเหมือนลิ้นกับฟัน แต่อย่างน้อยตอนนี้เรายังได้อยู่ด้วยกัน...เราไม่รู้เลยว่าความตายจะพรากให้จากกันตอนไหน...
ฉันกับสามีทำทุกวันนี้ให้มีความสุข จับมือก้าวผ่านทุกปัญหาไปด้วยกัน ดูแลลูกสาวของเราให้เป็นคนดีต่อสังคม ยึดแนวทางในการดำเนินชีวิตตามอย่างแม่สามี
เราจะมั่นคงในความรักให้เหมือนกับแม่สำรวย แซ่เจี่ย ที่มีต่อพ่อบ่วงเซง แซ่ตั้ง