เมื่อสุขของฉัน
บรรจบกับฝันของเธอ
สุขต่างวัย
ทีม ก. นามสมมุติ
เรื่อง : อภิษฎา พ่วงจินดา
ภาพ : ศมิษฐา เฟื่องฟูสวัสดิ์
Google Meet
คือแอปพลิเคชันที่เป็นเสมือนห้องนั่งเล่นของฉันและกลุ่มเพื่อน เพราะหลังจากพวกเราว่างเว้นจากการเรียนหรือการทำงาน ก็มักชวนกันเข้ามาพูดคุย หยอกล้อ และเล่าเรื่องราวที่พบเจอในแต่ละวันไปได้เรื่อยๆ อย่างไม่รู้เบื่อ จนกว่าหนึ่งในพวกเราจะเริ่มหาวหวอด และแยกย้ายกันไปนอนตอนหนังตาของแต่ละคนใกล้จะปิดลง
………..
ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอของฉัน คือหญิงสาวที่มักอ้างว่าเป็น “สาวซอฟต์หวาน” อยู่เสมอ บ่อยครั้งเธอมักบอกว่ามีอายุเพียง ๑๕ ปี ไม่ใช่พี่สาวชาวออฟฟิศ แต่เป็นแค่ “สาวรำวง ใส่กระโปรงวับๆ แวมๆ”
ดูจากเพลงที่เธอยกมา รู้เลยว่าเธอไม่ใช่เด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉัน แต่อย่างไรก็ตามฉันเองก็ชอบฟังเพลงเก่าๆ เหมือนกัน บางทีการรู้จักเพลงเก่าๆ อาจเป็นเรื่องของรสนิยมส่วนหนึ่งก็ได้
หญิงสาวผู้อยากอายุ ๑๕ ปีตลอดกาลมีนามแฝงว่า “นติน” มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าไม่ใช่ชื่อจริง
แต่ฉันเคารพความต้องการของเธอพอๆ กับที่เธอเคารพความต้องการในการปกปิดชื่อจริงของฉัน
พวกเราคุยกันเหมือนคนที่รู้จักมานานปี หรือเป็นเพื่อนในชีวิตจริง ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ทุกคนในที่นี้เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่บังเอิญรู้จักกันบนทวิตเตอร์ เพราะสนใจการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องเดียวกัน นั่นคือ Golden Kamuy
Golden Kamuy ไม่ใช่การ์ตูนที่โด่งดังนักในประเทศไทยหากเปรียบเทียบกับการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องอื่นๆ แต่ความรู้สึกตอนคุยกับคุณนตินนั้น ฉันมักสงสัยว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่าหรือน้อยกว่าฉันกันแน่
บ่อยครั้งคุณนตินมักทำตัวเหมือนอายุน้อยกว่าฉัน แต่บางมุมฉันก็รู้สึกถึงความต่างของอายุอย่างชัดเจน
ว่าเธอเป็นผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ชีวิตมากกว่าฉัน แต่เธอไม่ใช่คนเคร่งครัดเรื่องลำดับอาวุโส และให้เกียรติคนอื่นแม้คนนั้นจะอายุน้อยกว่าตัวเอง
พวกเราจึงใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า ฉัน-เธอ แม้อายุเราจะห่างกันไม่น้อย
……………..
ส่วนใหญ่การพูดคุยในแต่ละครั้งของเราล้วนหาสาระไม่ได้ มีบางครั้งที่ฉันคิดว่าควรเอาเวลาไปทำเรื่องมีสาระดีกว่าหรือเปล่า สำหรับนักเรียนชั้น ม. ๖ คนหนึ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับการสอบเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ เวลาช่างเป็นสิ่งมีค่าเหลือเกิน
แต่ถึงจะไร้สาระแค่ไหน นี่ก็เป็นความสุขของฉัน เป็นทางที่ฉันเลือกเอง
ฉันไม่รู้ว่าผู้ใหญ่คนอื่นๆ จะเข้าใจฉันหรือไม่ หรืออาจมองว่าเป็นเพียงปัญหาเล็กน้อยเกินกว่าจะสนใจ
แต่เด็กรุ่นฉันทุกคนเข้าใจดีถึงความเครียดด้านการศึกษา
ในสายตาของผู้ใหญ่ที่มองลงมาจากหอคอยสูงตระหง่าน ปัญหาเรื่องการเตรียมสอบ ความกดดันต่างๆ คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ในเมื่อพวกเขาเคยเผชิญหน้ามาแล้ว และคงเทียบไม่ได้กับปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตหลายสิบปีของพวกเขา ซึ่งมันอาจจะจริงก็ได้ แต่พวกเขาคงลืมไปแล้วว่าฉันเพิ่งได้เผชิญกับปัญหานี้ครั้งแรก และสำหรับฉัน มันคือปัญหาใหญ่ในชีวิต
การบอกว่าปัญหาใหญ่ของคนอื่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับพวกเขา ช่างเป็นความคิดที่ไม่ให้เกียรติกันเสียเลย
แต่คุณนตินไม่ใช่ผู้ใหญ่แบบนั้น
เธอมีประสบการณ์การสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่คล้ายคลึงฉัน รอบตัวเรามีแต่คนเก่งที่ประสบความสำเร็จ แต่คนธรรมดาอย่างพวกเรากลับไปยืนเป็นแกะดำอยู่ในฝูงแกะขาว เป็นจุดดำเล็กๆ บนผ้าขาวที่ซักไม่ออก
ไม่มีใครคิดเล็กคิดน้อยหรือดูถูกความธรรมดาของพวกเราชัดเจนขนาดนั้น แต่เพียงแค่พวกเขาปรายตามองมา ทุกอย่างก็พลันหนักอึ้งจนแทบหายใจลำบาก
ไม่จำเป็นต้องมีใครพูดอะไร ความกดดันมากมายก็ถาโถมเข้าใส่ไม่หยุด
………………………
เมื่อให้เล่าย้อนถึงชีวิตมัธยมฯ ปลาย เธอมักเล่าเสมอว่าเธอเป็นคนที่สนุกสนานกับชีวิตในรั้วโรงเรียน รายล้อมด้วยเพื่อนฝูง ถึงอย่างนั้นก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่น
เป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้เก่งอะไร แค่ฝุ่นธุลีในโรงเรียน
ฉันเข้าใจความรู้สึกนั้นดี
เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น เราจำเป็นต้องสวมหน้ากากให้โลกรอบตัวรู้ว่าเราเป็นคนที่สุขสบายดี ไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนใจ ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความคิดแง่ลบ
และความผุพังของสภาพจิตใจซึ่งมีเพียงเราเท่านั้นที่รับรู้ได้
บางทีที่ฉันรู้สึกว่าสามารถเข้าหาคุณนตินได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่คนอื่น อาจเพราะเราต่างก็เป็นคนพังๆ ที่บังเอิญมาเจอแล้วเปิดใจให้กันก็ได้
และเพราะรู้ดีถึงความผุพังกัดกร่อนในจิตใจ สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดจึงแนะนำให้ฉันเลือกทำในสิ่งที่ต้องการ บนพื้นฐานของการไม่เบียดเบียนใคร
ช่วงหลังๆ มานี้ หลังจากได้คุยกับคุณนติน ฉันเริ่มคิดว่าการดูแลตัวเองเพื่อจะไม่แตกสลายไปมากกว่านี้ก็สำคัญไม่แพ้เรื่องอื่นๆ
เพราะสุดท้ายแล้วคนที่เข้าใจความสุขของฉันได้ดีที่สุดก็คือตัวฉันเอง
พูดถึงเรื่องความสุข ตั้งแต่เด็กๆ ความสุขของฉันมักเป็นเรื่องเข้าใจยากเสมอสำหรับคนอื่นหรือเพื่อนรุ่นเดียวกัน ฉันชื่นชอบการวาดรูป พอๆ กับชอบศึกษาประวัติศาสตร์ ด้วยเหตุนี้การ์ตูนโปรดของฉันจึงเป็นเรื่อง Golden Kamuy ซึ่งรวมสิ่งที่ฉันชื่นชอบ ทั้งลายเส้นที่ถูกตาต้องใจ เนื้อเรื่องที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นอย่างลงตัว
การหาเพื่อนที่มีความชื่นชอบตรงกันนั้นก็ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร
แน่นอนว่าฉันเองก็ไม่ได้ชอบเหมือนคุณนตินเป๊ะ ยกตัวอย่างเช่น ตัวละครใน Golden Kamuy ที่พวกเราชื่นชอบเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน ตัวละครที่คุณนตินชอบฆ่าตัวละครที่ฉันชอบที่สุดตาย แต่พวกเราก็เพียงแซะกันพอเผ็ดๆ คันๆ ให้เป็นรสชาติในบทสนทนา
เราต่างรู้ดีว่าควรเล่นแค่ไหนในระดับที่จะไม่สร้างความร้าวฉานจนคุยกันไม่ได้อีก ฉันคิดว่าเป็นการให้เกียรติในรูปแบบหนึ่งที่ไม่ค่อยได้พบสักเท่าไร เราจะหยุดเมื่อคิดว่ามันมากเกินไปสำหรับอีกฝ่าย
เป็นข้อตกลงเงียบๆ ที่แม้ไม่มีใครพูด แต่ก็รับรู้ร่วมกันได้ และบางครั้งเมื่อคุยเล่นกันไปเรื่อยๆ แล้วรู้สึกว่ารุนแรงเกินไปก็มักมาขอโทษภายหลัง คุยกันว่าแบบไหนรับได้ แบบไหนรับไม่ได้ แล้วเริ่มต้นใหม่อย่างระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม
ความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดนี้ล่ะช่วยให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่มากกว่าแต่ก่อน
การคุยกับคุณนติน จริงๆ แล้วเปรียบสมือนการฝึกฝนทักษะในการรักษาความสัมพันธ์แบบให้เกียรติผู้อื่น เอาใจเขามาใส่ใจเรา เป็นการเติบโตทางวุฒิภาวะที่เกิดกับฉันอย่างไม่ได้ตั้งตัว
นอกจากเรื่อง Golden Kamuy ที่เราคุยกันสนุกสนานแล้ว เรายังคุยเรื่องภาพยนตร์ที่ชอบ ประเภทหนังสือที่อ่าน และบางครั้งหัวข้อการสนทนาก็มักจะวนกลับมาที่ชีวิตประจำวันของพวกเรา ทำให้ฉันรู้ว่าชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของคุณนตินไม่เคยง่าย เช่นเดียวกับชีวิตในวัยมัธยมปลายของฉัน
พวกเราผ่าน ๑ วันอย่างยากลำบาก แม้ไม่ค่อยพูดกันตรงๆ แต่หลักฐานที่บ่งบอกสภาพจิตใจอันเหนื่อยล้ามักเล็ดลอดให้เห็นเป็นประจำ อย่างตอนเราคุยกันเล่นๆ ว่าโตขึ้นฉันน่าจะเป็นผู้ใหญ่เหมือนคุณนตินที่ยังดูแอนิเมชันหรืออ่านการ์ตูนญี่ปุ่น และแสดงความชื่นชอบตัวละครอย่างออกหน้าออกตา แต่จู่ๆ คุณนตินก็ตอบกลับว่า
"อย่าโตมาเป็นผู้ใหญ่เหมือนฉันนะนุชชึ เติบโตเป็นคนที่มีคุณภาพกว่านี้เถอะ" คุณนตินพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก แต่เนื้อหาที่แฝงอยู่กลับหดหู่เหลือเกิน
"ทำไมล่ะ" ฉันถาม
"ก็แบบว่า เธอดูสภาพฉัน โตเท่าไหร่ก็เหมือนยังโตไม่พอ มีอะไรต้องเรียนรู้อีกมาก ทั้งที่อายุอานามก็ไม่น้อยแล้วอะ ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ซะที"
นั่นเป็นอีกครั้งที่ฉันพบว่าคุณนตินก็มีส่วนเว้าแหว่งเหมือนฉัน
เธอมีบางอย่างกดทับตัวเองไว้ ถูกตีกรอบและตีตราให้ตอบสนองความคาดหวังของครอบครัวและสังคม
และเธอไม่เคยคิดว่าตัวเองสามารถไปถึงจุดที่ทำให้คนรอบข้างภูมิใจได้เลย
“แล้วมันไม่ใช่เรื่องปรกติเหรอ? จะอายุเท่าไหร่ก็มีเรื่องให้ต้องเรียนรู้อยู่เรื่อยๆ ปะคุณนติน”
คุณนตินเงียบไปครู่หนึ่ง ประมาณสัก ๕ วินาที ก่อนพูดราวกับตกตะกอนบางอย่าง
“เออนะ ก็จริง งั้นบางทีในอนาคตฉันอาจไม่ได้ฝันหรือหวังไปไกลว่าตัวเองต้องเป็นคนที่มีคุณค่ากับโลกใบนี้ขนาดนั้นก็ได้ ฉันอยากเป็นแค่คนธรรมดาที่ถึงชีวิตจะดีบ้างแย่บ้าง แต่ก็ยังมีคนเข้าใจ รับฟังและคุยกันได้โดยไม่ต้องวางตัวหรือระวังภาพลักษณ์ เป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกวัน อะไรทำนองนั้นมั้ง ไม่ต้องเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพมากก็ได้ แค่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นก็พอ”
ฟังสิ่งที่คุณนตินพูด ฉันได้แต่เอียงคอครุ่นคิด
การเป็นคนที่มีคุณภาพคืออะไร? การเป็นผู้ใหญ่ที่ดีคืออะไร?
ฉันในตอนนี้ยังไม่เข้าใจนัก แต่ผู้ใหญ่ที่ต่อให้โตแค่ไหนก็ยังร่วมเล่นสนุกกับเด็กๆ และแสดงความชอบของตัวเองอย่างไม่อายใคร
คนที่ซื่อสัตย์ต่อความสุขของตัวเองโดยไม่สนใจสายตาของสังคม ฉันคิดว่านี่คือผู้ใหญ่ที่กล้าหาญและน่าชื่นชมไม่ต่างจากผู้ใหญ่คนอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต
อาจพูดได้ไม่เต็มปากว่าโตขึ้นฉันอยากเป็นผู้ใหญ่เหมือนคุณนติน แต่การเป็นผู้ใหญ่ที่ซื่อสัตย์ต่อความสุขของตัวเองในสภาพสังคมที่พร้อมทำให้เราแตกสลายได้ทุกเมื่อ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องรู้สึกผิดเลย
หลังจากบทสนทนานั้น คุณนตินดูอารมณ์ดีขึ้น พวกเราจึงเริ่มคุยต่อเรื่อง Golden Kamuy ที่ถึงแม้จะจบลงแล้ว แต่ความตราตรึงของมันยังคงทำให้พวกเราพูดถึงกันอยู่
“ฉันชอบโอกาตะลูกรักของฉัน ความประทับใจคือน้องเป็นคนร้ายๆ ที่กำลังจะยิงหัวเพื่อนพระเอก แต่แทนที่จะโจมตีตรงๆ กลับไปลอบยิงจากข้างนอกกระท่อม เพราะถ้าฆ่าเพื่อนพระเอกตรงนั้น ก็ต้องฆ่าผู้เห็นเหตุการณ์คนอื่นด้วย ซึ่งเป็นเด็กกับคนแก่ ฉันเลยแบบ เฮ้ย น้องทำทุกอย่างได้เพื่อเป้าหมายที่ต้องการ แต่บางอย่างน้องก็เลี่ยงไม่ทำ แล้วเหตุผลคือน่ารักมาก น้องโตมากับตายาย พูดเองเลยด้วยว่าเป็นเด็กติดยาย คือใจฉันยวบมาก ณ จุดนั้นคือน้องเป็นตัวละครที่ไม่ใช่คนดีแต่มีความเป็นมนุษย์สุดๆ น้องเป็นสไนเปอร์ที่สันโดษอะ ดูเหมือนไม่อะไรกับใคร และในความไม่ฝักใฝ่ฝ่ายไหนก็คือสร้างความปั่นป่วนไปทั่ว ชอบมาก เป็นตัวละครที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมีปม ชวนให้เกลียดแต่เกลียดไม่ลง ยิ่งนานไปยิ่งเอ็นดู น่ารักที่สุด"
คุณนตินพล่ามไม่หยุด ต่อให้ภาพจาก Google Meet จะไม่ชัดขนาดนั้น แต่ฉันก็รู้ว่าเธอกำลังมีความสุขขณะพูดถึงตัวละครที่เป็นเสมือนลูกชาย ของเธอ
ส่วนฉันที่อยู่อีกฟากของหน้าจอได้แต่ยิ้มแหย เพราะไม่ว่าจะตะแคงมองท่าไหนก็ไม่เห็นความน่ารักของตัวละครที่คุณนตินชอบเลยสักเสี้ยวเดียว และถึงแม้จะรู้สึกคิ้วกระตุกกับการสรรเสริญเยินยอเกินจริงของคุณนติน ฉันก็เลยอวดตัวละครที่ตัวเองชอบบ้างว่าน่ารักยิ่งกว่าตัวละครเมื่อครู่เสียอีก คุณนตินมีหรือจะยอม ฉันไม่เคยเห็นผู้ใหญ่ที่ดื้อรั้นแบบเด็กๆ ขนาดนี้มาก่อน พวกเราต่างสลับกันเกทับอีกฝ่าย กว่าจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปคุยเรื่องอื่นก็นับว่ายาวนานทีเดียว
เป็นการพูดคุยที่ดูเสียเวลาเป็นที่สุด ในมุมมองของคนอื่น แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ยังคงทำตัวไร้สาระกันใน Google Meet ต่อไป
เพราะที่แห่งนี้ไม่มีใครตัดสินใคร ไม่มีใครกดดันใคร
มีก็แต่การระบายอารมณ์ แบ่งปันความชอบ และพูดคุยในเรื่องที่ไม่สามารถคุยกับคนอื่นได้
Google Meet เป็นพื้นที่แห่งการรับฟังและให้เกียรติ ซึ่งฉันไม่คิดว่าจะหาเจอได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน
สุดท้ายแล้วคนเราก็ไม่ต้องการอะไร มากไปกว่ามีความสุขกับคนที่เข้าใจเราจริงๆ
หรือถ้าเขาไม่เข้าใจ อย่างน้อยก็ไม่ดูถูกความชอบของเรา
ช่วงเวลาที่คุยกับคุณนตินคือความสุขของฉัน และช่วงเวลาที่คุณนตินคุยกับฉัน ได้ย้อนวัยทำตัวไร้สาระ และมีความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
นั่นอาจเป็นความฝันสูงสุดสำหรับเธอที่มีสภาพจิตใจผุพังไม่ต่างจากฉันก็เป็นได้
……………….
"นุชชึ เธอว่างานมันแปลกมั้ย"
"ไม่นะคุณนติน ที่ทำไปก็มีความสุขดี จะกังวลอะไรล่ะ"