Image

เขาธงชัย บริเวณใกล้หาดบ้านกรูด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในทศวรรษ ๒๕๔๐ คึกคักไปด้วยขบวนเรือประมงที่คนพื้นที่นำออกมาทำกิจกรรมต่อต้าน โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบ้านกรูด

บ่อนอก-บ้านกรูด
เมื่อท้องถิ่นลุกขึ้นสู้กับทุนใหญ่

เรื่อง : สุเจน กรรพฤทธิ์
ภาพ : บันสิทธิ์ บุณยะรัตเวช

การต่อสู้ของภาคประชาชนเพื่อปกป้องทรัพยากรในบ้านเกิดระดับ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” กรณีหนึ่งที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เกิดขึ้นในทศวรรษ ๒๕๔๐ ที่ชายทะเลอันสงบเงียบในตำบลบ่อนอก
อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ และเทศบาลตำบลบ้านกรูด อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

เรื่องทั้งหมดย้อนกลับไปได้ถึงการรัฐประหารรัฐบาลของ พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ ในปี ๒๕๓๔ โดยช่วงที่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) มีอำนาจอยู่ราวปีกว่า (ก่อนจะถูกโค่นล้มโดยพลังประชาชนในเหตุการณ์ “พฤษภาเลือด” ๒๕๓๕) นโยบายรับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตโดยภาคเอกชนไม่ได้รับการตรวจสอบโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่บ่อนอกและบ้านกรูดกำลังผลิตแห่งละ ๗๐๐ เมกะวัตต์จึงเกิดขึ้น

รัฐมองว่าตำแหน่งที่ตั้งของโรงไฟฟ้าสองแห่งนี้เหมาะสมในการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้ภาคกลางและภาคใต้และในอนาคตจะรองรับการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมและท่าเรือน้ำลึก โดยจะใช้ถ่านหินซับบิทูมินัส นำเข้าจากออสเตรเลีย อินโดนีเซีย และแอฟริกาใต้ ๓.๕๘ ล้านตันต่อปี 

โครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอกเป็นของบริษัทกัลฟ์ เพาเวอร์ เจเนอเรชั่น จำกัด ขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าหินกรูด (บ้านกรูด) เป็นของบริษัทยูเนี่ยน เพาเวอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด

แต่บทเรียนจากกรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ที่ก่อมลภาวะจากการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ซึ่งเกิดจากการเผาถ่านหินจนมีประชาชนจำนวนนับพันคนล้มป่วยในช่วงทศวรรษ ๒๕๓๐ และ ๒๕๔๐ ทำให้ประชาชนในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์รวมตัวกันเป็น “กลุ่มรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก” และ “กลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูด”

บทเรียนจาก 
“บ่อนอก”

“เริ่มต้นมาจากครูในโรงเรียนประถมฯ คนหนึ่ง” 

กรณ์อุมา พงษ์น้อย
 แกนนำกลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก วัย ๕๓ ปี รำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อ ๒๗ ปีที่แล้ว (ปี ๒๕๔๐) ขณะที่เธออยู่ในวัย ๒๕ ปี และ เจริญ วัดอักษร สามีผู้ล่วงลับ อยู่ในวัย ๒๘ ปี 

ช่วงนั้นมีข่าวสะพัดในบ่อนอก ตำบลติดชายทะเลอันเงียบสงบของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ว่าจะมีการก่อสร้าง “โรงไฟฟ้าบ่อนอก” โรงไฟฟ้าถ่านหินกำลังการผลิต ๗๓๔ เมกะวัตต์ โดยจะใช้ “ถ่านหินซับบิทูมินัส” สิ่งที่เชื่อกันว่าจะเป็น “ถ่านหินสะอาด” นำเข้าจากออสเตรเลีย

แต่กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในออสเตรเลีย นำโดยองค์กร AID/WATCH และกลุ่มอนุรักษ์ในฟิลิปปินส์ ต่างส่งจดหมายรวมถึงเดินทางมาไทยเพื่อจะบอกว่าถ่านหินสะอาดเป็นเพียงเรื่องตลกร้าย และหากปล่อยให้โรงไฟฟ้าถ่านหินเกิดขึ้น ชีวิตของคนประจวบฯ จะเปลี่ยนไปตลอดกาล

ครูประถมศึกษาของโรงเรียนบ้านหนองปุหลก อนันต์ พงษ์พัฒนสกุล ฝากใบปลิวบอกข่าวคราวไปกับนักเรียนให้นำส่งถึงมือผู้ปกครอง  กรณ์อุมาจำได้ว่าในใบปลิวมีนัดหมายคนที่ไม่เห็นด้วยไปรวมกันที่วัดแห่งหนึ่งเพื่อหาทางเคลื่อนไหวคัดค้าน

Image

ตั้งแต่ทศวรรษ ๒๕๔๐ ประชาชนในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์รวมตัวกันเป็น “ขบวนการเสื้อเขียว” ต่อต้านโครงการพัฒนาของภาครัฐที่ข้ามหัวประชาชน

หลังจากนั้นก็ราวกับฉากในวรรณกรรมคลาสสิกแนวการต่อสู้ของชุมชนกับทุนใหญ่ในหลายพื้นที่ทั่วโลกฉายซ้ำนั่นคือชุมชนถูกแบ่งแยกเป็นฝ่ายค้านกับฝ่ายสนับสนุน “กลุ่มทุนเข้าหาครู ส่งไปดูงานต่างประเทศห้าคน พอกลับมาเสียงก็เปลี่ยน  สักพักก็เอาลูกหลานไปทำงานกับเอกชนรายนั้น  ส่วนครูอนันต์ไม่ไป ครูบอกว่าไปก็เท่ากับเราหลอกชาวบ้าน ตอนนั้นนักการเมืองระดับจังหวัดก็โดนซื้อลักษณะนี้ด้วย” กรณ์อุมาเล่า 

“ส่วนชาวบ้านคนอื่นตัดสินใจสู้ต่อ อยากซื้อแกนนำกี่คนก็ทำไป”

การสำรวจพื้นที่ของ “กัลฟ์” เพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้าในพื้นที่ ๒,๕๐๐ ไร่ ซึ่งประกอบด้วยอาคารเครื่องกำเนิดไฟฟ้า โรงผลิตไอน้ำ ปล่องระบายอากาศ สะพาน ท่าเทียบเรือขนส่งถ่านหินยาว ๓.๕ กิโลเมตร ท่อดูด/ปล่อยน้ำยาว ๑.๕ กิโลเมตร (ฝังไว้ใต้ทะเล) ลานกองถ่านหินบ่อฝังขี้เถ้า ฯลฯ ถูกต่อต้านอย่างหนัก

โครงสร้างเหล่านี้ออกแบบเพื่อรองรับการนำเข้าถ่านหินทางเรือที่จะเทียบหน้าท่า ถ่านหินจะถูกลำเลียงมายังลานกอง นำไปบด แล้วเผาเพื่อต้มน้ำจนเกิดไอน้ำแรงดันสูงไปหมุนกังหันเครื่องกำเนิดไฟฟ้า และด้วยผู้ร่วมทุนคือบริษัท Edison Mission Energy (สัญชาติอเมริกัน) ที่มีประสบการณ์สร้างโรงไฟฟ้ามาทั่วโลก สารัชถ์ รัตนาวะดี กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทกัลฟ์ [ตำแหน่งขณะนั้น ปัจจุบันเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทกัลฟ์ อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน)] ก็ยืนยันว่าเอกชนรายใหญ่เช่นนี้ “ไม่กล้าเอาชื่อเสียงมาแขวนไว้กับโรงไฟฟ้าบ่อนอกแห่งเดียวหรอก”

ทว่านับตั้งแต่พวกเขาลงพื้นที่หนแรกในช่วงต้นปี ๒๕๓๘ ชาวบ่อนอกทำทุกอย่างเพื่อต่อต้าน ตั้งแต่ยื่นหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ชุมนุมหน้าศาลากลางจังหวัด พบรองผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มาตรการหนักคือ “ปาหมามุ่ย” และ “ปิดถนนเพชรเกษม” ในวันที่ ๙-๑๐ ธันวาคม ๒๕๔๑

ชาวบ้านใช้ “เสื้อเขียว” เป็นสัญลักษณ์รณรงค์ต่อต้านโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน

กระบวนการประชาพิจารณ์ในช่วงเดียวกันได้รับการตอบกลับด้วยป้าย “มึงสร้าง กูเผา” เต็มพื้นที่เป้าหมายในประจวบฯ  ปลายปี ๒๕๔๔ ที่บ่อนอกยังเกิดการกระทบกระทั่งกันระหว่างแกนนำต่อต้านกับกลุ่มเจ้าหน้าที่ของกัลฟ์ที่ลงสำรวจพื้นที่ในทะเลจนเกิดการฟ้องร้องเป็นคดีอาญา นอกจากนี้พวกเขายังไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้า (ซึ่งเป็นพื้นที่เปิดในยุคนั้น) ในช่วงกลางปี ๒๕๔๕ “เพราะโครงการนี้เริ่มด้วยมติคณะรัฐมนตรี ดังนั้นก็ต้องจบลงที่มติ ครม.”

แต่ผลตามมากลายเป็นโศกนาฏกรรมเมื่อแกนนำคนสำคัญอย่าง เจริญ วัดอักษร ถูกลอบยิงเสียชีวิตที่สี่แยกบ่อนอกในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๗ ขณะที่การเคลื่อนไหวเข้าสู่ช่วงการยื่นตรวจสอบสถานภาพที่ดินสาธารณะที่จะใช้สร้างโรงไฟฟ้า 

Image

กรณ์อุมา พงษ์น้อย ที่ริมหาดหน้าบ้าน ถ้าคัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าไม่สำเร็จ ทิวทัศน์ด้านหลังเธอวันนี้จะมีสะพานขนถ่านหินยื่นยาวลงไปในทะเล

เจริญกลับจากการให้ข้อมูลแก่คณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรที่กรุงเทพฯ เมื่อลงจากรถทัวร์ เขาถูกมือปืนที่รออยู่ลั่นไกใส่เก้านัด เสียชีวิตจมกองเลือดอยู่ริมถนนเพชรเกษม

“เราเรียกกันข้ากับแก ทำงานเคลื่อนไหวแบบแพ็กคู่มาตลอด เขาบ่นว่าเราไม่ช่วยออกหน้าสื่อเท่าไร เราเย้าเล่นว่าไว้รอแกตายก่อนแล้วจะทำให้ดู แต่ไม่เคยคิดว่าจะกลายเป็นจริง” กรณ์อุมารื้อความทรงจำฉากเศร้าที่สุดในชีวิต 

ในวัย ๓๒ ปี กรณ์อุมารับภารกิจต่อจากเจริญและเริ่มเคลื่อนไหวเปิดหน้ามากขึ้น เธอบอกว่าไม่ได้หวังพึ่งกระบวนการยุติธรรมเพราะเห็นการวิ่งเต้น มือปืนก็ไม่ใช่คนอื่นไกลเป็นคนในหมู่บ้านเห็นหน้าค่าตากัน แต่เธอปล่อยให้คดีดำเนินไปเพราะ “ชาวบ้านที่เคลื่อนไหวจะได้เรียนรู้”

“ตอนนั้นรู้เลยว่าการแค้นฝังหุ่นคืออะไร จะเปลี่ยนความแค้นเป็นพลังก็ไม่ง่าย กับมือปืนเราก็เคยเจอที่สถานีตำรวจ ชีวิตเจริญคือการสูญเสียที่สูงสุด ถัดลงมาคือความแตกแยก คนในชุมชนต้องมาฆ่ากันเอง เรื่องนี้มันใหญ่มาก”

คดีนี้มีการจับกุมคนห้าคน จำเลยที่ ๑ นายเสน่ห์ เหล็กล้วน จำเลยที่ ๒ นายประจวบ หินแก้ว จำเลยที่ ๓ นายธนู หินแก้ว จำเลยที่ ๔ นายมาโนช หินแก้ว และสุดท้ายคือนายเจือ หินแก้ว อดีตกำนันตำบลบ่อนอก โดยนายเสน่ห์และนายประจวบรับสารภาพและซัดทอดนายธนู ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๑ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษประหารชีวิตนายธนูซึ่งเป็นผู้จ้างวานฆ่า แต่ยกฟ้องนายมาโนชและนายเจือ แต่ในชั้นอุทธรณ์ศาลยกฟ้องนายธนู นายมาโนช และนายเจือ โดยมองว่าพยานโจทก์ไม่มีหลักฐานหนักแน่นพอ

ต่อมาในเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ โดยจำเลยที่ ๑ และ ๒ เสียชีวิตในคุกอย่างปริศนาในระหว่างอุทธรณ์

กรณ์อุมาเล่าว่า “ในกระบวนการสอบสวนของตำรวจมีการสอบปากคำต่อหน้าข้าราชการผู้ใหญ่คือรองผู้ว่าราชการจังหวัด มีการบันทึกคำให้การลงในแผ่นซีดีหลักฐานชิ้นนี้เห็นการสารภาพว่าใครจ้างวานฆ่า แต่มือปืนเสียชีวิตไปก่อน จึงไม่ถูกนำมาพิจารณา”

บทเรียนจากกระบวนการยุติธรรมและการกระทำของรัฐ ทำให้ขบวนการที่เธอร่วมด้วยมีข้อเสนอเพียงข้อเดียวคือ “ยกเลิกการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินทุกแห่งในประจวบคีรีขันธ์”

เธอยืนยันว่าการเคลื่อนไหวที่บ่อนอกแต่ละครั้งมีการสรุปบทเรียนว่าเป็นการสู้ของคนท้องถิ่นโดยตรง ไม่มีเอ็นจีโอหรือใครมาครอบงำ

การเคลื่อนไหวของชาวบ่อนอกเริ่มขึ้นไล่เลี่ยกับการเคลื่อนไหวของสมัชชาคนจนที่รวมกลุ่มปัญหาต่าง ๆ อันเกิดจากโครงการพัฒนาของรัฐโดยเข้ามาเคลื่อนไหวที่หน้าทำเนียบรัฐบาลในกรุงเทพฯ ต่อรองกับศูนย์กลางอำนาจโดยตรง

กรณ์อุมาจำได้ว่าเห็นข่าวของสมัชชาคนจน “ก็สงสัยว่าการมาชุมนุมยาวนาน ๙๙ วันล้อมทำเนียบรัฐบาล สมัชชาคนจนอยู่กันอย่างไร  แนวทางของเราต่างจากของสมัชชาคนจนมาก เราเคลื่อนไหวในจังหวัดจนถึงปี ๒๕๔๑ หลังจากนั้นตัดสินใจเข้าไปสู่ศูนย์กลางอำนาจโดยตรง จำได้ว่าได้รับการชักชวนให้เอาปัญหาไปร่วมกับเขา แต่เราก็บอกว่าขอเป็นแค่ ‘พันธมิตร’ กันก็พอ”

เธอกล่าวตรงไปตรงมาว่า ไม่ว่าแกนนำสมัชชาคนจนหรือเอ็นจีโอจะมีเจตนาดีอย่างไร จุดอ่อนอย่างหนึ่งก็คือรูปแบบการเคลื่อนไหวที่เรียกร้องค่าชดเชย “กลายเป็นการไปร้องขอ ส่วนหนึ่งมันไปลดทอนศักดิ์ศรีประชาชนเราบอกเสมอว่าที่บ่อนอกคือบ้านกู สิทธิชุมชนคือเรื่องนี้ไม่ต้องไปท่องกฎหมายรัฐธรรมนูญ ถ้าเขาไม่เขียนในนั้นเราถามว่าจะสู้กันหรือไม่ ความจริงคือเราสู้กันมาก่อนที่เรื่องนี้จะถูกเขียนลงในรัฐธรรมนูญเสียอีก เราต้องไม่ติดกรอบตรงนั้น”

นอกจากนี้เธอยังคิดว่าข้อเรียกร้องควรตรงไปตรงมา เอาวิถีชีวิตของชุมชนคืนมา เช่น เสนอไปเลยว่าต้อง “เปิด/ทุบ เขื่อนปากมูล” เท่านั้น เพราะนั่นคือต้นตอปัญหาทั้งหมด

ดังนั้นเมื่อรูปแบบการเคลื่อนไหวเป็นไป “คนละทรง” ดีที่สุดคือการเป็นพันธมิตรและให้กำลังใจกัน

เพื่อนร่วมชะตาที่ “บ้านกรูด”

ในห้วงเวลาทับซ้อนกัน ห่างจากบ้านของกรณ์อุมาไปทางใต้ราว ๑๐๐ กิโลเมตร สถานการณ์ที่เทศบาลตำบลบ้านกรูด อำเภอบางสะพาน แทบจะเดินซ้ำรอย

จินตนา แก้วขาว
 ประธานกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติบ้านกรูด ในวัย ๖๘ ปี จำได้ว่าช่วงต้นทศวรรษ ๒๕๔๐ เมื่อชาวบ้านกรูดรู้ว่าจะมีโรงไฟฟ้าถ่านหิน กำลังการผลิตถึง ๑,๔๐๐ เมกะวัตต์ เกิดขึ้นในพื้นที่ตำบลธงชัย กลุ่มชาวบ้านที่ลุกขึ้นต่อต้านโครงการในเวลานั้นมีแกนนำสามคน 

เธอจำได้ว่าบริษัทยูเนี่ยนฯ เริ่มเข้ามาในพื้นที่ด้วยการซื้อรีสอร์ตสองแห่งด้วยราคาราว ๓๐๐ ล้านบาท จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นศูนย์ประชาสัมพันธ์และสถานที่ประชุมซึ่งรองรับคนได้จำนวนมาก จนหลายคนเข้าใจผิดว่ามีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแล้ว

ต่อมาแกนนำส่วนหนึ่งลงเล่นการเมืองท้องถิ่น “แล้วเสียงของเขาก็คล้ายกับเสียงของรัฐ บางคนก็ทำงานให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโรงไฟฟ้า มีการจ้างงานคนในพื้นที่ให้ไปลงชื่อเข้างานแต่ไม่ได้ทำงานกับโรงไฟฟ้า แต่เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ต่าง ๆ กับโรงเรียนและวัด”

เมื่อแกนนำชุดเดิมหยุดการต่อสู้ ชาวบ้านก็เคลื่อนไหวกันเอง  จินตนาจำได้ว่าเป็นการสู้แบบ “ไฟมาน้ำก็ (สาด) ไป” เจรจากับโรงไฟฟ้ากับรัฐก็ยกขบวนกันไปร่วม ๕๐ คน “ตอนนั้นเราสู้กันอยู่เรื่องการได้มาของที่ดินสาธารณะโดยมิชอบของโรงไฟฟ้า เรื่องการทำรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA)”

จินตนาบอกว่าโครงการโรงไฟฟ้าสามแห่งในประจวบฯ คือ บ่อนอก บ้านกรูด และทับสะแก ทำให้มีการจับมือกันเคลื่อนไหว และเธอก็กลายเป็นแกนนำแบบไม่รู้ตัว 

“ที่บ่อนอกคนมากกว่าใช้จำนวนต่อสู้ได้ บ้านกรูดจะอาศัยประเด็นเรื่องที่ดิน ช่วงนั้นคนก็มาทำเสาธงสำหรับเอาไปชูเวลาประท้วง เวลาเคลื่อนขบวนที่บ้านทุกวันผู้บริหารโรงไฟฟ้ามาก็เฮกันไป ทีนี้ในการเจรจามีนักข่าว เขาต้องการคนที่พูดสรุปได้ใน ๓ หรือ ๕ นาที ก็มาคุยกับเราบ่อยเพราะเราสรุปได้ รูปเราก็ออกสื่อบ่อยขึ้น พอแกนนำเก่าไปลงการเมืองท้องถิ่น เขาเซ็นแถลงการณ์ไม่ได้เพราะมีหมวกอีกใบหนึ่ง เราก็ต้องเซ็นหนังสือแทนเวลามีแถลงการณ์ ก็เลยกลายเป็นประธานกลุ่มอนุรักษ์ไป”

เหตุการณ์ที่ทำให้เธอกลายเป็นแกนนำอย่างเป็นทางการคือการปิดถนนเพชรเกษมในช่วงปลายปี ๒๕๔๑ เธอโดนตำรวจรวบตัวไปที่ ตชด. ค่ายพระมงกุฎเกล้า “ตอนนั้นพี่มด (วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน) โทรศัพท์ไปหาที่ค่าย บอกให้เราตั้งสติ อย่าบอกข้อมูลว่าใครคือแกนนำ เป็นครั้งแรกที่ได้คุยกับพี่มดจากที่รู้จักผ่านสื่อ  จริง ๆ เราก็ไม่คิดจะพูด แกมาบอกเลยยิ่งรู้ว่าเราทำถูกแล้ว หลังจากนั้นเราก็โดนเอาตัวไปไว้ที่ สภ.อ. เมืองประจวบคีรีขันธ์ โดนพาไปที่สี่แยกบ่อนอกเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเจรจา เพราะรัฐมนตรีลงมาจากกรุงเทพฯ และชาวบ้านต่อรองว่าให้ปล่อยแกนนำ ห้ามแกนนำบาดเจ็บ ต้องไม่ดำเนินคดีชาวบ้าน รัฐมนตรียอม เราก็ได้รับการปล่อยตัวหลังโดนจับไป ๒๒ ชั่วโมง วันนั้นแหละที่รับตำแหน่งแกนนำอย่างเป็นทางการเพราะคนอื่นแต่งตั้งให้”

หลังจากนั้นการต่อสู้ก็เข้าสู่ระยะ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”

“การเคลื่อนไหวปกป้องทรัพยากร ประชาชนต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง”

จินตนา แก้วขาว

ประธานกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติบ้านกรูด

จินตนา แก้วขาว กับ กวงเล้ง ศรีช่วงประเสริฐ ประชาชนในพื้นที่ที่อาสาคอยดูแลความปลอดภัยให้กับแกนนำมาจนถึงปัจจุบัน ถ่ายภาพในรีสอร์ตร้างที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ทำการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโรงไฟฟ้า

จินตนาบอกว่าชาวบ้านกรูดไม่ได้มีขั้นตอนหรือการประชุมมากมาย แต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าและกล้าทำอะไรที่ไม่ปรกติมากกว่า “อย่างป้ายที่ว่า ‘มึงสร้าง กูเผา’ นั่นพวกเขาก็เขียนกันเอง ช่วงนั้นพี่มดก็มาให้กำลังใจ มาประชุมแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันว่าสมัชชาคนจนทำยังไงเผื่อเราจะเอาไปปรับใช้ จำได้ว่ามีใบปลิวว่าพี่มดเกลื่อนบ้านกรูดไปหมด บอกว่าคอมมิวนิสต์มายุยงชาวบ้าน”

แต่ชาวบ้านกรูดก็ตอบกลับด้วยป้าย “โรงไฟฟ้าสิ้นคิดเอาคอมมิวนิสต์มาเป็นที่ปรึกษา” เพราะก็มี “อดีตสหาย” (สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย) ทำงานอยู่กับบริษัทยูเนี่ยนฯ เช่นกัน

สถานการณ์ของบ้านกรูดไม่ต่างจากทางบ่อนอก คือการก่อสร้างชะงักงัน แม้ว่าสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) จะอนุมัติ EIA
ตั้งแต่กลางปี ๒๕๔๑ และกรมโรงงานอุตสาหกรรมออกใบอนุญาตตั้งโรงงานผลิตไฟฟ้า กรมเจ้าท่าอนุมัติเรื่องท่าเทียบเรือในปลายปีเดียวกัน

การต่อต้านของคนในพื้นที่ การยืนยันความสำคัญของแนวปะการังหินกรูดที่อยู่ห่างฝั่งออกไปราว ๑ กิโลเมตร
ใหญ่เป็นอันดับ ๒ ของประจวบฯ ซึ่งไม่ปรากฏในรายงาน
EIA  และถ้าหากโรงไฟฟ้าเกิดขึ้น การทิ้งตะกอนทรายจาก
การก่อสร้างที่กำหนดลงไปบริเวณนั้นจะทำลายปะการังทั้งหมด ทำให้ สผ. สั่งลงโทษบริษัทสร้างสรรค์ คอนซัลแท้นส์ จำกัด ที่บริษัทยูเนี่ยนฯ จ้างมาทำ EIA ด้วยการพักใบอนุญาต ๘ เดือน 

ความแตกแยกในชุมชนไม่ต่างจากที่บ่อนอก บ้านจินตนาที่เป็นร้านขายของชำโดนยิงกระสุนใส่ ฝ่ายต่อต้านโรงไฟฟ้าบางคนต้องเอาลูกหลานไปฝากที่อื่นเพราะกลัวเรื่องความปลอดภัย วัดที่สนับสนุนโรงไฟฟ้ากลายเป็นวัดที่ฝ่ายต่อต้านไม่เข้า สัปเหร่อไม่ทำศพให้ฝ่ายตรงข้าม ฯลฯ

ในขณะที่บริษัทยูเนี่ยนฯ ยืนยันว่าโรงไฟฟ้าจะทำให้คนในชุมชนมีงานทำ เกิดธุรกิจที่เกี่ยวข้องมากมาย เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โอกาสในการพัฒนาเขตอุตสาหกรรม และมองว่าเรื่องนี้เกิดจากวิกฤตศรัทธาในอดีตจากกรณีโรงไฟฟ้าแม่เมาะ จังหวัดลำปาง และนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ที่รัฐไม่สามารถแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ “อยู่เหนือการควบคุม” ของพวกเขา

ประชาพิจารณ์ในปี ๒๕๔๓ ถูกต่อต้านจากทั้งบ่อนอกและบ้านกรูดอย่างเข้มข้น จนปลายปีที่ประชุม ครม. มีมติว่าให้คงนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชน การกระจายชนิดของเชื้อเพลิง ให้แต่งตั้งกรรมการสามฝ่าย มีผู้แทนหน่วยราชการ ประชาชนในพื้นที่ และผู้ประกอบการผลิตไฟฟ้า เพื่อศึกษาผลกระทบและทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่ โดยให้ชะลอการก่อสร้างออกไปก่อน

แต่ความขัดแย้งยังคุกรุ่น เดือนหนึ่งชาวบ้านจากประจวบฯ ต้องเดินทางไปเคลื่อนไหวในกรุงเทพฯ ไม่ต่ำกว่าสองครั้ง ครั้งหนึ่งในปี ๒๕๔๒ นักวิชาการที่เข้ามาสำรวจปะการังที่บ้านกรูดโดยไม่ได้รับเชิญและน่าสงสัยก็โดน “เอากางเกงในครอบหัว หยิกแก้ม ดึงผม จิกแขน” ทำให้อับอายจนต้องถอยทัพ หรือกรณีลงไม้ลงมือจากการเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญในพื้นที่ทะเลบ่อนอกจนเกิดการปะทะก็เกิดขึ้นมาแล้ว

Image

ต่อต้านแบบ 
“บ่อนอก-บ้านกรูด”

ตำบลธงชัย, กลางปี ๒๕๖๘ 

ผมเดินอยู่กับ จินตนา แก้วขาว และ กวงเล้ง ศรีช่วงประเสริฐ ซึ่งทำหน้าที่คอยดูแลความปลอดภัยให้แกนนำต่อต้านโรงไฟฟ้ามาตั้งแต่ทศวรรษ ๒๕๔๐ เข้าไปยังพื้นที่ที่เคยเป็น “ศูนย์ประชาสัมพันธ์” ของโรงไฟฟ้าบ้านกรูด พบอาคารรกร้างและทรุดโทรมเนื่องจากไม่ได้ใช้งานมานานจนต้นไม้ขึ้นรก แต่ก็ยังทิ้งร่องรอยว่ามันถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับคนจำนวนมาก เห็นได้จากห้องน้ำไม่ต่ำกว่า ๒๐ ห้อง

จินตนาชี้ให้ดูบริเวณที่เคยจัดงานเลี้ยงของโรงไฟฟ้าอันเป็นเหตุให้เธอต้องเข้าคุก ๕๙ วันในฐานะแกนนำที่ออกมาขัดขวางงานนี้

ย้อนกลับไปเมื่อ ๒๔ ปีก่อน--๑๓ มกราคม ๒๕๔๔ เกิดคดี “ล้มโต๊ะจีน” เมื่อทางบริษัทยูเนี่ยนฯ จัดเลี้ยงโต๊ะจีนกว่า ๒,๐๐๐ โต๊ะ โดยเชิญนักลงทุนและคนนอกพื้นที่จำนวนมากเข้ามา ท่ามกลางความกังวลของฝ่ายต่อต้านว่า หากงานนี้ผ่านไปด้วยดีจะกลายเป็นตราประทับรับรองให้โครงการเกิดขึ้นโดยได้รับเงินทุน ในงานเลี้ยงมีป้ายผ้าเขียนว่าครบรอบ ๓ ปีโรงไฟฟ้าอยู่ร่วมกับชุมชน

จินตนาอธิบายว่า “เรามันคนละแนวกับสมัชชาคนจน อันนั้นเขาเรียกร้องค่าชดเชย ของเราสถานการณ์ร้อนกว่า เพราะเขาหาทางจะสร้าง เราเอาน้ำวาฬจากซากวาฬบรูด้าที่ตายที่นี่เมื่อ ๙ เดือนก่อนหน้าประมาณหมื่นกิโลกรัมมาปา จริง ๆ พี่ก็ไม่รู้หรอก เป็นความคิดของหลายคนที่หาทางขัดขวาง” ยังมีการหยอดน้ำวาฬลงในอาหารจนกลิ่นคละคลุ้ง ทำให้งานเลี้ยงต้องเลิกโดยปริยาย

เมษายน ๒๕๔๕ ชาวบ้านกรูดเข้ายึดที่ดินสาธารณะที่บริษัทยูเนี่ยนฯ ครอบครองเพื่อป้องกันการยึดครองและเปลี่ยนแปลงพื้นที่สาธารณะด้วยการซื้อที่ดินคร่อมเอาไว้ โดยสร้างเพิงชั่วคราวและยึดครองอยู่ ๒๓ วัน แล้วเรียกร้องให้ทางราชการเข้ามาตรวจสอบพื้นที่

แน่นอนว่าผลคือคดีจำนวนนับไม่ถ้วนประเดประดัง จินตนาโดนข้อหา “บุกรุก รบกวนการครอบครองที่ดิน” เมื่อคดีไปถึงชั้นฎีกาเธอถูกตัดสินจำคุก ๔ เดือน ติดจริง ๕๙ วัน และถูกปล่อยตัวในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๔ ซึ่งถือเป็น “ยุคการต่อสู้กับโรงถลุงเหล็ก” ที่กำลังมีโครงการจะเข้ามาสร้างในจังหวัด

ร้านขายของชำของจินตนายังคงเป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านซึ่งต่อต้านโครงการพัฒนาอันไม่ชอบมาพากลของรัฐมาประชุมปรึกษาหารือกัน รอยกระสุนปืนยังคงอยู่ที่ประตูร้าน สิ่งที่เพิ่มมาคือรอยปาข้าวของจากฝั่งตรงข้ามในคราวเคลื่อนไหวต่อต้านการสร้างโรงถลุงเหล็กที่อำเภอบางสะพานซึ่งเธอพูดถึงราวกับเป็นเรื่องปรกติ

ที่บ้านบ่อนอก หลังเหตุการณ์ กรณ์อุมาจัดงานครบรอบการเสียชีวิตของเจริญติดต่อกันมา ๒ ทศวรรษ แม้ว่ามติ ครม. ให้ยกเลิกโรงไฟฟ้าในปีเดียวกับที่เจริญเสียชีวิต (ปี ๒๕๔๗)

เธอจำได้ดีว่ามติที่ยกเลิกนั้นเงียบมาก “ไม่แน่ใจว่าเพราะเขาเสียหน้าหรืออะไร แต่ต่อมาเราก็อาศัยงานครบรอบของเจริญขับเคลื่อนวาระปัญหาในจังหวัด จัดมาจนครบ ๒๐ ปีก็คิดว่าคงพอได้แล้ว ก็หยุด ต่างคนต่างทำบุญ ในอนาคตอาจจะมีการรำลึกหากครบ ๓๐ ปี ก็มาดูกันอีกที”

กรณ์อุมาพาผมเดินบนหาดบ่อนอก ชี้ให้ดูหาดทรายยาว ที่หากไม่ได้การเสียสละของเจริญ ภาพของสะพานขนถ่านหินยื่นลงทะเลและปล่องปล่อยควันจากการเผาถ่านหินคงตระหง่านตรงหน้าหาดนี้

ห่างออกมาจากชายฝั่ง ที่สี่แยกบ่อนอก อนุสาวรีย์ที่ระลึกการต่อสู้ของชาวบ้านซึ่งยังสร้างไม่เสร็จดี ตั้งอยู่เงียบ ๆ ในพื้นที่ของวัดบ่อนอก 

Image

อนาคตของภาคประชาชน
ในประจวบฯ

คำถามที่ว่า อะไรทำให้ขบวนการภาคประชาชนที่บ่อนอก-บ้านกรูดเข้มแข็ง 

ผมได้คำตอบจากจินตนาและกรณ์อุมาว่าพวกเขารู้แต่เพียงเกิดจากชาวบ้านเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง ลงขัน (ออกทุนเอง) และไม่รับผลประโยชน์ใด ๆ จากกลุ่มทุนในระหว่างการต่อสู้ มีการเรียนรู้ร่วมกันตลอดเวลา

ในแง่ของการจัดการนั้น วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก “‘ยอมรับโทษ แต่ไม่ยอมรับผิด’ นิติสำนึกว่าด้วยความยุติธรรมในสิทธิชุมชนของกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บ้านกรูด-บางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์” ของ ภิรัชญา วีระสุโข เสนอต่อวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี ๒๕๕๘ ระบุว่า การเคลื่อนไหวในพื้นที่เหล่านี้ตกผลึกจากการประชุมร่วมกัน โดย “รูปแบบกลุ่มไม่มีการจัดระบบอย่างเป็นทางการ” แต่มีวงแกนหลัก แกนรอง “ในกลุ่มรับรู้ว่าใครเป็นสมาชิกโดยที่ไม่มีการลงชื่อเข้าร่วมกลุ่ม” ส่วนผู้สนับสนุนก็มีระดับการเข้าร่วมแตกต่างกัน ไม่ว่าจะร่วมประชุม ร่วมกิจกรรมหรือร่วมลงเงิน

ปัจจุบันพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีกลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่นเคลื่อนไหวหกกลุ่มในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและโครงการพัฒนา ได้แก่

๑. กลุ่มรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก
๒. กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติบ้านกรูด 
๓. กลุ่มอนุรักษ์ทับสะแก
๔. กลุ่มรักษ์บ้านเกิด ตำบลอ่าวน้อย
๕. กลุ่มอนุรักษ์กุยบุรี สามร้อยยอด
๖. กลุ่มรักษ์อ่าวประจวบคีรีขันธ์

หลังการต่อสู้ยาวนานหลายทศวรรษ ชาวบ่อนอก-บ้านกรูดยังคงเฝ้าระวังพื้นที่ต่อไป ปัญหาการเข้ามาของโครงการโรงถลุงเหล็กและสะพานท่าเรือน้ำลึกของบริษัทสหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ที่อำเภอบางสะพานยังคงทำให้จินตนาและเครือข่ายไม่สามารถหยุดเคลื่อนไหวได้ การมีโครงการในพื้นที่ป่าชายเลนของอำเภอบ่อนอกก็ทำให้กรณ์อุมาวางใจไม่ได้

แม้ว่าวิกฤตการเมืองไทยที่เริ่มตั้งแต่ปี ๒๕๔๘ ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้น 

จินตนาสรุปบทเรียนให้ฟังในร้านชำของเธอว่า “การเคลื่อนไหวปกป้องทรัพยากร เรามองว่าประชาชนต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง แสดงออกด้วยตัวเอง อย่าไปหวังให้คนอื่นเรียกร้องแทน อย่ากลัวกฎหมายการชุมนุมสาธารณะ  ยิ่งคนร่วมมือกันน้อย เขาก็ซื้อแกนนำได้มาก บ้านกรูดเราสู้ในแบบของเราเอง แต่การทำมวลชนส่วนหนึ่งก็ได้วิธีคิดจากพี่มดและสมัชชาคนจน เรามองสมัชชาคนจนแล้วคิดถึงคนเฒ่าคนแก่ที่ออกมาเคลื่อนไหวทั้งชีวิตเพื่อเรียกร้องสิทธิของชุมชน แต่จุดอ่อนคือคนมาก ควบคุมยาก บางคนเคลื่อนไหวไปมาก็กลายเป็นเอ็นจีโอ เราอยากให้ทุ่มทำงานมวลชนมากกว่า”

ในขณะที่กรณ์อุมาสรุปจากชายหาดอีกแห่งว่าข้อเรียกร้องในการต่อสู้ต้องชัดเจน ถ้าเอาผลประโยชน์เรื่องค่าชดเชยเข้ามานั้นเสี่ยงทำให้ไปไม่ถึงจุดหมาย “เข้าทำนองผลประโยชน์ขัดกันก็วุ่นวาย เราเห็นเอ็นจีโอเข้าไปทำงานกับชาวบ้าน ดึงชาวบ้านมาทำงานเอ็นจีโอ มีเงินเดือน ให้ไปดูงาน คนที่เหลือก็คิดอะไรไม่ได้มากหรอกนอกจากคิดว่ามีคนได้ เขาไม่ได้ ก็เกิดปัญหา คนที่ไปช่วยอาจจะหวังดีแต่ผลมันร้าย  ตอนนี้สังคมก็มองว่าสมัชชาคนจนเข้ามาในเมืองเหมือนงานประจำปี เราคิดว่าต้องเปลี่ยนวิธีเคลื่อนไหว ไม่อย่างนั้นก็แค่ทำให้ชาวบ้านหันมาพึ่งเอ็นจีโอ ไม่ต่างจากพึ่งรัฐ ฉีดยาชาชาวบ้านไปทั่วประเทศ”