ไล่เลี่ยกับการมาของเหมืองหิน ชาวดงมะไฟทำกิจกรรมอนุรักษ์ธรรมชาติกันมาในนามกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชน เขาเหล่าใหญ่-ผาจันได ดูแลป่าชุมชน ๓,๐๑๕ ไร่ ที่ราบรอบนอกเขตป่าเป็นดินแดงแทร์รารอสซา (terra rossa) ที่สลายมาจากหินปูน อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุอันเหมาะต่อการเติบโตของพืช บริเวณผาเขาลูกโดดใจกลางชุมชนดงมะไฟ จึงเป็นทั้งแหล่งความมั่นคงทางอาหารและแหล่งสร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน
ดงมะไฟ ๓๒ ปี กับ ๔ ชีวิต
เปลี่ยนเหมืองเป็นเมืองท่องเที่ยวชุมชน
เรื่อง : วีระศักร จันทร์ส่งแสง
ภาพ : วิจิตต์ แซ่เฮ้ง
จากแผนที่จะเห็นชุมชนดงมะไฟ ตั้งอยู่ใจกลางของพื้นที่ “แหล่งหิน” แถบรอยต่อสามจังหวัด อุดรธานี หนองบัวลำภู และเลย
๑
เป็นที่รู้กันอยู่ว่าการต่อต้านเหมืองหินมักเสี่ยงต้องเดิมพันด้วยชีวิต
นับตั้งแต่ครูประเวียน บุญหนัก วีรบุรุษวังสะพุง เมืองเลย ผู้ต่อต้านเหมืองหินผาน้อยถูกลอบยิงอย่างอุกอาจ เมื่อ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๓๘
พิทักษ์ โตนวุธ วีรบุรุษเนินมะปราง ต่อต้านโรงโม่หินที่บ้านชมพู จังหวัดพิษณุโลก ถูกสังหารเมื่อ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๔
“เพราะการทำเหมืองหินมักเป็นกลุ่มทุนท้องถิ่น จึงเสี่ยงความรุนแรงมากกว่ากรณีอื่น ๆ” ตามความเห็นของ จุฑามาส ศรีหัตถผดุงกิจ เจ้าหน้าที่โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ (PPM) ที่ทำงานคลุกคลีอยู่กับหลายพื้นที่เหมืองในอีสาน
แต่ชาวดงมะไฟก็พร้อมจะลุกขึ้นคัดค้านทันทีที่รู้ว่ามีบริษัทขอประทานบัตรเหมืองหินจะเข้ามาระเบิดภูเขาในชุมชนเมื่อปี ๒๕๓๖
แล้ว บุญรอด ด้วงโคตะ กับ สนั่น สุขวรรณ ก็เป็นสองรายแรกที่สังเวยชีวิตให้กับการต่อต้านเหมืองหิน ด้วยคมกระสุนของมือลึกลับเมื่อปี ๒๕๓๘ ขณะระดมรายชื่อชาวบ้านร่วมคัดค้านการเปิดเหมืองในตำบลดงมะไฟ
แต่การต่อต้านก็ยังดำเนินต่อไป
การทำเหมืองหินต้องระเบิดภูเขาเอาหินออกไปใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งคนท้องถิ่นมองว่าเกิดผลกระทบมาก ทั้งต่อชุมชนและป่าเขาที่ชาวบ้านอาศัยหาอยู่หากิน
“ไร่นาอยู่รอบ ๆ ภู ถ้ามีเหมืองเขาก็กังวล กับอีกกลุ่มใช้ประโยชน์จากเก็บของป่า ก็สู้เพื่อรักษาพื้นที่เอาไว้ รวมทั้งเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เพราะตรงนั้นมีวัดอยู่ด้วย” ตามคำเล่าของ พนมวรรณ นามตาแสง เจ้าหน้าที่โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ (PPM) อีกคนที่ทำงานอยู่ในชุมชน
การต่อต้านระลอกแรกปกป้องภูเขาไว้ได้ เพราะมีวัดป่าภูผายาตั้งอยู่ด้วย และถ้ำบนหน้าผามีภาพเขียนสีโบราณคล้ายกับที่ผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี อายุราว ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ ปี ยุคใกล้เคียงกับภาพเขียนสีที่อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี
แต่ชุมชนหาได้พ้นภัย เมื่อบริษัททำเหมืองเปลี่ยนเป้าหมายไปขอประทานบัตรที่ผาฮวก ที่อยู่ใกล้กันราวครึ่งกิโลเมตร
ดงมะไฟเป็นชุมชนขนาดตำบล ในพื้นที่อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู มี ๑๓ หมู่บ้าน ที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหมืองหิน ๖ หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านนาไร่ หมู่ที่ ๕, บ้านผาซ่อน หมู่ที่ ๗, บ้านผาซาง-โชคชัย หมู่ที่ ๘ และ ๑๒, บ้านโนนมีชัย หมู่ที่ ๑๐ และบ้านนาเจริญ หมู่ที่ ๑๑ ซึ่งตั้งอยู่รอบกลุ่มภูเขาหินปูนลูกโดดแปดยอด คือ ผายา ผาฮวก ผาจันได ผารวก ผาน้ำลอด ผาอีดำ ผาซาง และผาซ่อน
ไล่เลี่ยกับการมาของเหมืองหิน ชาวดงมะไฟทำกิจกรรมอนุรักษ์ธรรมชาติกันมาในนามกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได ดูแลป่าชุมชน ๓,๐๑๕ ไร่ ของ ๓ ตำบลในอำเภอสุวรรณคูหา กระทั่งเคยได้รับพระราชทาน “ธงพิทักษ์ป่า เพื่อรักษาชีวิต” จากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในโครงการราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า (รสทป.)
การท่องเที่ยวในชุมชนอดีตที่ตั้งเหมืองหิน นอกจากเรื่องราวประวัติศาสตร์การต่อสู้ รอยซากเหมืองเก่า ภาพเขียนสีโบราณอายุนับพันปี แหล่งโบราณคดี ถ้ำผา ยังมีวิถีการหาอยู่หากินและกิจกรรมในชีวิตประจำวันตามธรรมชาติ ให้ผู้มาเยือนได้ร่วมสัมผัสประสบการณ์ วิถีชีวิตความเป็นอยู่จริง
แต่อาจเพราะบางผาเป็นเขาหินปูนลูกโดดที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับผืนป่าอนุรักษ์ จึงตกเป็นเป้าของการขอประทานบัตรเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนของบริษัท ธ. ศิลาสิทธิ จำกัด ซึ่งตอนหลังชุมชนค้นเจอรายละเอียดว่าเป็นประทานบัตรที่ ๒๗๒๒๑/๑๕๓๙๓ ขอใช้พื้นที่ ๑๗๕ ไร่ ๓ งาน ๖๕ ตารางวา ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเก่ากลอยและป่านากลาง
“เดิมเมื่อปี ๒๕๓๖ ขอประทานบัตรภูผายา แต่ติดประเด็นที่เป็นแหล่งโบราณคดีและมีศาสนสถาน หายไปสักพักมาโผล่อีกทีผาฮวก บอกว่าได้อนุญาตแล้ว” สมควร เรียงโหน่ง ประธานกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได คนปัจจุบัน เล่าย้อนเหตุการณ์แรกสุดในยุคคุณพ่อของเขา
เมื่อถูกชุมชนต่อต้านที่ภูผายา พื้นที่ขอประทานบัตรจึงขยับมายังผาฮวกที่อยู่ในแนวเขาหินปูนสามยอดต่อเนื่องกัน ผาน้ำลอด ผาจันได และผาฮวก ซึ่งเป็นเขาหินปูนลูกใหญ่สุด สมบูรณ์ด้วยพืชพรรณ เป็นแหล่งอาหาร สมุนไพร มีไม้ไผ่รวกที่คนท้องถิ่นเรียกไม้ฮวกที่ใช้สร้างบ้านเรือน เครื่องจักสาน เครื่องมือจับปลา และเป็นแหล่งหน่อไม้ ซึ่งชาวบ้านคำนวณว่าในแต่ละปีชุมชนเก็บหน่อไม้ได้ไม่ต่ำกว่า ๗๐ ตัน
ที่ราบรอบภูเขาทั้งสามลูกเป็นพื้นที่เกษตร ซึ่งข้อมูลทางวิชาการเกษตรระบุว่าเป็นดินแดงแทร์รารอสซา (terra rossa) ที่สลายมาจากหินปูน อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุที่เหมาะต่อการเติบโตของพืช นับแต่ตั้งถิ่นฐานชาวบ้านจึงจับจองพื้นที่รอบภูเขาใช้ประโยชน์ทางการเกษตร เริ่มตั้งแต่การปลูกข้าว ปลูกพืชผักเพื่อยังชีพ กระทั่งมีพืชพาณิชย์เข้ามา พื้นที่บางส่วนจึงกลายเป็นสวนยางพารา ไร่อ้อย มันสำปะหลัง
พื้นที่ดังกล่าวจึงเป็นทั้งความมั่นคงทางอาหารและแหล่งสร้างรายได้ของชาวบ้าน ซึ่งอยู่แถบศูนย์กลางของตำบล
กระแสต่อต้านเหมืองหินจึงยิ่งตึงเครียดขึ้น
“ผมเกิดที่นี่ โตที่นี่ จะต่อสู้เคียงข้างพ่อแม่พี่น้องให้ถึงที่สุด รักษาสมบัติของโลกไว้ให้ลูกหลาน” สอน คำแจ่ม ถ่ายทอดถ้อยคำของกำนันทองม้วน คำแจ่ม สามีของเธอ ที่ประกาศต่อหน้าคนทั้งตำบล รวมทั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ลงไปดูสภาพปัญหาในพื้นที่
ไม่นานหลังจากนั้นกำนันทองม้วน กับ สม หอมพรม-มา ที่ปรึกษาคนสนิท ถูกลวงไปสังหาร ไม่ห่างจากตัวอำเภอในตอนกลางวัน โดยหาตัวผู้ลงมือและคนสั่งการไม่ได้จนถึงวันนี้ แม้คนทั้งชุมชน โดยเฉพาะคนใกล้ตัวกำนันต่างรู้กันว่าเป็นใคร
“ตอนนั้นสมาชิกสภาตำบลมี ๓๒ คน ที่มาทางชาวบ้าน มีแค่ ๒ คน นอกนั้นพร้อมจะเห็นด้วยกับเขา บางส่วนเป็นคนมาจากที่อื่น มามีครอบครัวที่นี่ บ้านเกิดเขาไม่ได้อยู่นี่ เขาอยากขายภูขายป่า แต่เราไม่อยากขาย ทางโน้นจะให้กำนันเซ็น แกไม่เซ็น เขาบอกว่าถ้าไม่เซ็นไม่กลัวลูกปืนหรือ กำนันว่าแกไม่กลัว ตายก็ตายอย่างมีศักดิ์ศรี แล้วเขาก็ทำแกจริง ๆ เพราะว่าอยากได้ภูเขา”
สอนกับกำนันมีลูกสี่คน คนโตชื่อขวัญ คนในถิ่นจึงเรียกสอนว่าแม่ขวัญ
“วันนั้นมีวิทยุ ว. มา แม่ก็ได้ยินกับหู ว่าให้ไปที่นาของ อบต. ที่เป็นเพื่อนกัน เรียนมาด้วยกัน โตมาด้วยกัน แล้วมาอยู่ในสภาตำบลด้วยกัน เขาเป็น อบต. ตอน ว. มา เขาบอกว่าให้พาลุงสมมาด้วย จุดนัดเป็นสวนลำไย มีสระปลา ปรกติเขาก็มักชวนกันไปพบปะสังสรรค์ที่นั่น”
แต่ในวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๔๒ เหตุการณ์ไม่ปรกติ
“ราวบ่าย ๓ คนมาบอกว่ากำนันตายแล้ว ที่บ้านหนองเหลียง ตรงปั๊มน้ำมันออกจากชุมชนไปราวครึ่งกิโลเมตร”
แผนที่แสดงบริเวณเหมืองและพื้นที่โดยรอบ ซึ่งเกี่ยวข้องกับผาเขาหินปูน ๘ ลูก กับชุมชนท้องถิ่นอย่างน้อย ๖ หมู่บ้าน
ที่มา : จากสรุปสถานการณ์ผลกระทบต่อชุมชน กรณีโครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ตำบลดงมะไฟ อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู
เทิดพงษ์ อนุเวช แกนนำกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได ที่หน้าผาภาพเขียนสีโบราณภูผายา มองไปทางซ้ายมือของเขาจะเห็นบาดแผลของภูผาฮวกที่ถูกทำลายจากการระเบิดหินในช่วง ๓ ปีที่ทำเหมือง
“เขาฆ่ากำนันทองม้วน คิดว่าจะทำให้ชาวบ้านกลัว แต่ไม่เป็นอย่างนั้น เด็ดหัวผู้นำกลับเป็นการปลุกระดมให้ชาวบ้านยิ่งลุกขึ้นมา” เทิดพงษ์ อนุเวช แกนนำกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได
“แกโดนยิงตายห่างอำเภอแค่ ๓ กิโลเมตร หลังขึ้นเวทีที่ภูผายา สาบานว่าจะยืนเคียงข้างพี่น้อง โดยหาตัวฆาตกรไม่ได้ ถามว่าเรากลัวไหม มีส่วนกลัวอยู่ แต่ว่าหยุดไม่ได้ เอาศพออกจากโรงพยาบาลมาบ้านคืนหนึ่ง ตื่นเช้ามาก็เอาศพใส่รถอีแต๊กเข้าไปประท้วงที่ศาลากลางจังหวัด”
ชุมนุมประท้วงที่ศาลากลางจังหวัดหนองบัวลำภู ๓ คืน
“ผู้ว่าฯ ลงมาดูศพ รับปากว่าจะมาดูคดีให้ ก็มาดูแต่ไม่ได้ทำอะไร” คำเล่าของแม่ขวัญ
หนำซ้ำการสอบสวนต่อมาคดีถูกบิดเบือนว่าเป็นการฆ่า ตัดตอนในคดียาบ้า และสุดท้ายไม่สามารถหาตัวผู้กระทำผิดได้จนวันนี้ ทั้งเธอและทุกคนในท้องถิ่นต่างก็รู้ว่าเป็นฝีมือใคร “แม่มั่นใจ ฆาตกรจริง ๆ ก็คนใน อบต. ที่เรียกไป กับพวกโรงโม่หินนี่แหละ กำนันไม่เคยมีเรื่องกับใคร”
การร้องเรียนเหตุฆาตกรรมกำนันทองม้วน คำแจ่ม กับ สม หอมพรมมา ไม่เกิดผลทั้งในทางคดีและการหยุดเหมืองหิน
ชาวดงมะไฟจึงนำศพกำนันมาฝังไว้ในป่าชุมชนท้ายวัดศิริธรรมพัฒนา บ้านโชคชัย จนปัจจุบันยังไม่ได้ฌาปนกิจ
“แม่เป็นคนตัดสินใจเองว่าจะเก็บศพไว้ตามหาความจริง จะมีหรือไม่มีเราก็ต้องเก็บไว้เรียกร้องหาความยุติธรรม แม้ยังหาความยุติธรรมไม่ได้ก็ต้องสู้เหมืองให้ได้ เรามีกันหลายหมู่บ้าน ต้องหยุดเหมืองและโรงโม่หินให้ได้ จะกี่ปีก็ช่าง ไม่เจอฆาตกรก็ช่างมัน เอาภูผาไว้ให้ลูกหลานให้ได้” เจตนาอันเด็ดเดี่ยวของคู่ชีวิตกำนัน ซึ่งยังอยู่ในขบวนการต่อสู้มาจนปัจจุบัน
“พอไม่มีกำนัน เขาทำเอกสารปลอม เอาชื่อคนตายไปอ้างว่าเห็นด้วยกับเหมือง”
“บริษัทขออนุญาตใช้พื้นที่ทำเหมืองหินและโรงโม่จาก อบต. มีการทำประชาคมแต่ขั้นตอนไม่ถูกต้อง ใช้วิธีถามหลอกให้ชาวบ้านยกมือแล้วถ่ายรูปไปแนบเอกสาร” ส่วนหนึ่งของขั้นตอนทุจริตตามคำเล่าของเจ้าหน้าที่โครงการ ขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ (PPE) และเล่าลำดับการต่อกรกับความไม่ชอบมาพากลดังกล่าว
แต่ในที่สุดอุตสาหกรรมจังหวัดหนองบัวลำภูก็ให้ประทานบัตรการทำเหมืองหินบนผาฮวกแก่บริษัทเป็นเวลา ๑๐ ปี ตั้งแต่ ๒๕ กันยายน ๒๕๔๓ ถึง ๒๔ กันยายน ๒๕๕๓
ท่ามกลางการต่อต้านอย่างหนักหน่วงจากชุมชนซึ่งใช้มาตรการชุมนุมประท้วงปิดเส้นทางขนเครื่องจักรกลเข้าเหมือง แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าสลายการชุมนุม เครื่องจักรกลเข้าสู่พื้นที่ทำเหมืองบนผาฮวกจนได้ ต่อมาแกนนำชุมชน ๑๒ คนถูกจับกุมข้อหาวางเพลิงเผาที่พักคนงานเหมืองและโรงเก็บอุปกรณ์ ๒ คนถูกตัดสินจำคุก
ขณะที่ชาวบ้านก็ยื่นฟ้องศาลปกครองขอให้เพิกถอนประทานบัตรทำเหมืองหินที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
“ปี ๒๕๔๕ ชุมชนยื่นฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนประทานบัตร ศาลปกครองชั้นต้นตัดสินให้ชนะ การต่อสู้ชะงักลงเพราะชาวบ้านเข้าใจว่าชนะเด็ดขาดแล้ว” ตามคำเล่าของเจ้าหน้าที่โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ (PPM) ที่รวบรวมข้อมูลลำดับการต่อสู้ “จนวันหนึ่งได้จดหมายว่า ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้เหมืองชนะชั้นอุทธรณ์ในปี ๒๕๕๓”
“เราชนะแล้วนะพ่อ
ฉันอยากบอกพ่อทองม้วนว่า
ฟื้นฟูป่าได้แล้ว เราก็จะสู้ต่อไป”
สอน คำแจ่ม
แต่ประทานบัตรหมดอายุลงพอดี บริษัทได้ขอต่อใบอนุญาตและขอเข้าใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเพื่อทำเหมืองแร่ต่อไปอีก
จากนั้นบริษัทก็ปักหมุดขอบเขตการได้รับประทานบัตรรอบพื้นที่ผาฮวก บางจุดหมุดเขตแดนของโครงการรุกล้ำเข้าไปในที่ทำกินของชาวบ้าน โดยเจ้าของพื้นที่ไม่ได้รับการแจ้งจากโครงการและไม่ได้ให้ความยินยอม
“ปี ๒๕๕๓ เราไปกรุงเทพฯ กันสองคันรถตู้ ขอดูเอกสารเห็นรายชื่อปลอม ๔๕ คน” เปี่ยม สุวรรณสนธ์ ที่คนในชุมชนเรียกแม่ต้อย เล่าเรื่องที่เธอมีส่วนร่วม และชื่อของเธอก็อยู่ในเรื่องเล่านั้นด้วย เพราะเมื่อไล่ดูรายชื่อปลอมเหล่านั้น นอกจากเป็นชื่อคนตาย คนที่ถูกหลอกให้เซ็นรับแจกหัวหอมยังมีชื่อแม่ต้อย ซึ่งอยู่ฝ่ายต้านเหมืองด้วย แต่ถูกสมาชิก อบต. ดงมะไฟคนหนึ่งแอบเอาชื่อไป “เขาปลอมชื่อใส่ให้ครบ ๑๒๐ รายชื่อ เราค้นเจอก็สู้เรื่องนี้”
มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อมมองว่าการใช้เอกสารเท็จนั้นผิดตั้งแต่เริ่ม จึงเข้ามาเป็นทนายให้ชาวบ้านดงมะไฟฟ้องต่อศาลปกครองอุดรธานีอีกครั้งในปี ๒๕๕๕
“แต่ภายหลังรัฐประหารปี ๒๕๕๗ ทหารเรียกชาวบ้านไปเจรจาให้เลิกค้าน แล้วเหมืองก็เริ่มระเบิดหินตั้งแต่ช่วงปลายปี ๒๕๕๙” ตามคำเล่าของ จุฑามาส ศรีหัตถผดุงกิจ
การระเบิดภูเขาหินปูนดงมะไฟเปิดฉากขึ้นที่ผาฮวก
“กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ เขาเข้ามาทำลายผาจนได้เอาอาวุธหนักเข้ามาปี ๒๕๕๙ วันที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ สวรรคต เขาเริ่มระเบิดวันนั้นเลย” เทิดพงษ์ อนุเวช เล่าลำดับเหตุการณ์
ตามข้อมูลจากรายงานศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการป้องกันแก้ไข ประกอบการขอต่ออายุประทานบัตรของบริษัทเหมือง ระบุว่า “จะใช้เครื่องเจาะระเบิดแบบตีนตะขาบร่วมกับ Jack Hammer วัตถุระเบิดที่ใช้เป็นแบบแอมโมเนียไนเตรตผสมกับน้ำมันดีเซล ใช้วัตถุระเบิดแรงสูงประเภท Dynamite ทำหน้าที่กระตุ้นการระเบิดและมีแก็ปไฟฟ้าแบบถ่วงเวลาเป็นตัวจุดระเบิด”
ทำการระเบิดวันละครั้ง “ช่วงเวลาประมาณ ๑๖.๐๐-๑๗.๐๐ น. โดยก่อนการระเบิดทุกครั้งจะจัดเจ้าหน้าที่ตรวจตราภายในรัศมี ๑๐๐ เมตร และให้สัญญาณเตือนให้ได้ยินในรัศมี ๕๐๐ เมตร”
หินที่ได้จากการระเบิด “จะทำการขนส่งโดยรถขุดดิน ร่วมกับรถบรรทุกท้าย ลำเลียงโดยตรงไปยังโรงโม่ บดและย่อยหินของบริษัทศิลาโชคชัยภัทร จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือและมีที่ตั้งอยู่ติดกับแนวเขตทางด้านทิศตะวันตกของเขตประทานบัตร ส่วนหินที่มีขนาดใหญ่เมื่อทำการกระแทกด้วย Hydraulic Breaker ให้มีขนาดเหมาะสมแล้วก็จะขนส่งไปยังโรงโม่ บดและย่อยหิน เพื่อทำการบดย่อยหิน คัดขนาด หรือเพื่อจำหน่ายตามความต้องการของตลาดต่อไป”
จากนั้นสภาพในชุมชนรอบผาฮวกก็เป็นไปตามเสียงร้องทุกข์ของผู้คน
“เวลาเขาจุดระเบิด เสียงมาก่อน แล้วแรงสะเทือนตามมา จากนั้นใช้รถแบ็กโฮกวาดเอาหินที่แตกออกมา ตั้งแต่ตอน ๕ โมงเย็น บางทีก็ทำจนดึก เสียงดังรบกวน”
สมร เบ้าทอง เจ้าของบ้านที่อยู่ใกล้เหมืองที่สุด บ้านเขาตั้งอยู่กลางทุ่งนาระหว่างผายากับผาฮวก
“ฝุ่นลอยตามลมมาเกาะตามบ้าน พ่อเห็นเหตุการณ์มาตลอด ช่วงทำนาเสร็จไปอยู่บ้านอีกหลังที่อำเภอนากลาง เพิ่งได้มาอยู่นี่ประจำ ๕-๖ ปีมานี้ หลังจากเหมืองเลิกไป ผมดีใจมาก”
ก่อนเหมืองจุดระเบิดจะมีการแจ้งเตือนก่อน ๓๐ นาที เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณชาวบ้านต้องรีบออกให้ไกลจากพื้นที่ภูเขา ป้องกันอันตรายจากเศษหินกระเด็น ร่วงใส่กว่าจะระเบิดเสร็จสิ้นต้องเสียเวลาในการทำมาหากินอย่างน้อย ๒ ชั่วโมงในแต่ละวันที่ทำการระเบิด ต่อมาเหมืองขุดลึกลงไปในภูเขา เศษหินกระเด็นออกน้อยลง แต่ชาวบ้านก็ยังคงกังวลใจต่ออุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นขณะทำงานอยู่ในพื้นที่เกษตรโดยรอบ
จากจุดระเบิดที่ผาฮวก เสียงระเบิดดังไปไกลถึงหมู่บ้านโดยรอบในรัศมี ๕ กิโลเมตร ทั้งบ้านนาไร่ บ้านโนนมีชัย บ้านนาเจริญ บ้านโชคชัย บ้านผาซ่อน โดยเฉพาะบ้านที่อยู่ใกล้โครงการฯ ระยะไม่เกิน ๑ กิโลเมตรจะได้รับผลกระทบมากด้านเสียง ซึ่งก่อความรำคาญไม่เฉพาะในช่วงจุดระเบิดหิน แต่หลังจากนั้นจะมีการบดหินภายในพื้นที่เหมืองและการขนหินออก ซึ่งกว่าจะเสร็จสิ้นบางครั้งก็ล่วงถึงตี ๔ ตี ๕
“บ้านปูนอาสิงห์ร้าว บ้านลูกแม่แดงสะเทือน เสียงระเบิดดังถึงผาซ่อน” สอน คำแจ่ม ชาวบ้านผาซ่อน “ช่วงที่ระเบิดหินป่าตายไปเยอะ ไม่รู้เพราะแรงระเบิดหรือเขาเอายาไปใส่ ตอนนี้เริ่มฟื้นขึ้นมา” คำเล่าของชาวบ้านผาซ่อน
การขนหินออกใช้รถบรรทุกขนาดสิบล้อและรถพ่วง จากเหมืองไปยังเส้นทางสาย นภ. ๔๐๐๔ ผ่านกลางบ้านโชคชัยไปทางบ้านต่างแคน ตำบลบุญทัน อำเภอสุวรรณ-คูหา แต่ละวันมีรถบรรทุกวิ่งผ่านหมู่บ้านไม่น้อยกว่า ๒๐ เที่ยว วิถีชีวิตที่เคยเป็นปรกติสุขของชาวบ้านกลายเป็นสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนนร่วมกับรถบรรทุกขนาดใหญ่ โดยเฉพาะความปลอดภัยของเด็ก ๆ ในหมู่บ้านที่ขี่จักรยานไปกลับโรงเรียนและสัตว์เลี้ยงที่เสี่ยงถูกรถบรรทุกชน
“ขับมอเตอร์ไซค์ในหมู่บ้านโดนรถขนหินเบียดล้มหินจากการระเบิดเหมืองกระเด็นมาตกใส่บ้าน ต้องเอาลูกหลานออกจากบ้านตอนระเบิดเหมือง บางบ้านร้าวโต๊ะคอมพ์ โต๊ะทีวีล้ม เสียงดัง เปิดทีวี เปิดเพลงฟังไม่ได้”
พนมวรรณ นามตาแสง รายงานสภาพหมู่บ้านเมื่อมีเหมือง “ไม่ใช่แต่ทรัพย์สินข้าวของในบ้านที่ได้รับความเสียหายจากเหมือง พอมีเหมืองมีฝุ่นยางไม่ออกเข้าป่าหาหน่อหาเห็ดไม่ได้ พื้นที่สาธารณะก็ได้รับผลกระทบจากเหมืองด้วย”
เหมือนความเป็นธรรมจะกลับคืนมา เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๑ ศาลปกครองอุดรธานีมีคำพิพากษาคดีที่กลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได ยื่นฟ้องเมื่อปี ๒๕๕๕ ให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเก่ากลอยและป่านากลาง และเพิกถอนใบอนุญาตต่ออายุประทานบัตรที่กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ออกให้กับบริษัททำเหมือง
แต่ทางบริษัทได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด
ระหว่างคดียังไม่เป็นที่สิ้นสุด ชาวบ้านยื่นขอให้ศาลมีคำสั่งบรรเทาทุกข์ คุ้มครองชั่วคราว แต่บริษัทก็ยังคงดำเนินกิจการเหมืองและโรงโม่หิน รวมทั้งขนหินออกเรื่อยมา
กระทั่งเมื่อได้รับใบอนุญาตเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติในปี ๒๕๖๒ เหมืองก็ยิ่งดำเนินการระเบิดหินอย่างเต็มที่
เกิดความเสียหายต่อภูเขาหนักขึ้น
“บัดนี้โรงโม่เขาก็ออกไปแล้ว ลูกหลานพ่อแม่ก็สิพาเฮ็ดไปข้างหน้า ตอนนี้กำลังเฮ็ดแหล่งท่องเที่ยว คนที่สู้มาด้วยกันก็ว่าสิเฮ็ดอนุสาวรีย์ไว้ ใครไปมาให้รู้ว่าคนผู้นี้เป็นผู้เสียสละรักษาไว้ให้ลูกให้หลานเบิ่งนั่นแหมะ”
ถ้ำบาดาล ที่ผาน้ำลอด ปากทางลงถ้ำเล็กแคบต้องเอียงตัวลง ภายในลึก มีโถงกว้างหลายห้องซึ่งตระการตาด้วยรูปทรง พื้นผิว การจัดเรียงตัวเองของมวลหินอย่างน่าอัศจรรย์
๒
“เหมืองใช้เอกสารปลอมระเบิดหินไป ๓ ปีแล้ว” ถ้อยคำจากความรู้สึกของชาวบ้าน กับมลพิษมลภาวะที่ทนรับอยู่ทุกวัน
กระทั่งประทานบัตรจวนจะครบอายุ ๑๐ ปี รอบที่ ๒ ในวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๓ คนท้องถิ่นคิดว่าเหมืองหินควรจะจบสิ้นไปจากดงมะไฟเสียที จึงคอยติดตามการประชุมสภา อบต. อยู่ตลอด ไม่ให้มีมติต่อใบอนุญาตประทานบัตรที่จะหมดอายุ
พอเข้าต้นเดือนสิงหาคมก็ชักชวนกันเดินเท้าเข้าตัวจังหวัดหนองบัวลำภูเพื่อเจรจากับส่วนราชการให้มีคำสั่งปิดเหมืองหินและโรงโม่ และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ เพราะการทำเหมืองของบริษัท ธ. ศิลาสิทธิ จำกัด ขัดต่อพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐
“เดินขบวนจากผาน้ำลอด บอกข่าวความทุกข์ยากของเราไประหว่างทาง หยุดพักค้างคืนตามวัด ๖ วันถึงศาลากลางจังหวัด ร้องเรียนให้หยุดอนุญาตเหมือง ผู้ว่าฯ บอกว่าผมไม่มีอำนาจ” แม่ขวัญเป็นหนึ่งในชาวบ้านหลายร้อยคนในขบวน
“เรื่องเหมืองหินดงมะไฟเกิดพร้อม ๆ กับการตั้งจังหวัดหนองบัวลำภูเมื่อปี ๒๕๓๖ ผู้ว่าฯ จะมาอยู่คนละปีสองปี พอชาวบ้านมาร้องก็มักจะบอกว่า ผมมาใหม่ไม่รู้เรื่องอะไร สามสิบกว่าปีผ่านมา ๑๑ ผู้ว่าฯ”
เมื่อระบบราชการไม่อาจเป็นที่พึ่ง ชาวดงมะไฟก็ตัดสินใจว่าจะหันมาพึ่งตนเอง
“กลับมาปิดเหมืองกันเอง ว่าจะปิด ๓ วัน แต่อยู่จริง ๓ ปีกว่า”
จากศาลากลางจังหวัดเมื่อกลับมาถึงตำบล ขบวนชาวบ้านดงมะไฟไม่ได้แยกย้ายกันกลับหมู่บ้านตัวเอง แต่พากันไปตั้งหมู่บ้านใหม่ตรงปากทางเข้าผาฮวก ซึ่งเป็นเส้นทางที่บริษัทใช้ขนหินออกจากเหมือง
ตั้งชื่อบ้านผาฮวกพัฒนาชาวประชาสามัคคี เป็นที่รวมตัวชุมนุมของชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได ที่เคลื่อนไหวคัดค้านการทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนและโรงโม่ของบริษัท ธ. ศิลาสิทธิ จำกัด บนผาฮวกในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเก่ากลอยและป่านากลาง
ปิดทางเฝ้าระวังไม่ให้เหมืองดำเนินงานและไม่ให้ขนหินออก
ทั้งยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐสามข้อ
ปิดเหมืองหินและโรงโม่
ฟื้นฟูภูผาป่าไม้
พัฒนาดงมะไฟเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมและอารยธรรมโบราณคดี
ตั้งแต่วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๓ ตามที่ พนมวรรณ นามตาแสง ซึ่งร่วมอยู่ในขบวนการด้วย บันทึกภาพการก่อตั้งหมู่บ้านไว้ว่า “ยางรถยนต์เก่าหลายเส้นถูกซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ เป็นแนวขวางถนน เพื่อกั้นเป็นแนวเขตชุมนุม โดยเว้นช่องสำหรับเดินเท้าและรถจักรยานยนต์วิ่งผ่านเท่านั้น เต็นท์ผ้าใบทรงโค้งที่หยิบยืมมาจากกองทุนหมู่บ้านต่าง ๆ ถูกกางตั้งเรียงรายเป็นแถวอยู่ริมถนนเพื่อใช้เป็นที่พักอาศัยชั่วคราว ประชุม และหลับนอน ตั้งโรงครัวชั่วคราวโดยอุปกรณ์ครัวที่ยืมจากกองทุนหมู่บ้านเพื่อประกอบอาหาร ทำห้องน้ำชั่วคราวด้วยการขุดหลุมวางท่อส้วม วางหัวส้วมนั่งยอง และล้อมผ้ายางลายริ้วน้ำเงินซึ่งในภายหลังได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นโครงสร้างที่มีความแข็งแรงคงทนมากขึ้น”
ส่วนในบันทึกการตรวจตราการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตามที่ผู้ชุมนุมได้แจ้งการตั้งหมู่บ้านต่อสถานีตำรวจภูธรสุวรรณคูหา ระบุว่า “การชุมนุมเป็นไปอย่างเรียบร้อย ปราศจากอาวุธ และชุมนุมบนพื้นที่สาธารณะตามกฎหมาย”
“การชุมนุมของชาวบ้านไม่ได้มุ่งแค่ให้หยุดทำเหมือง ตั้งหมู่บ้านผาฮวกฯ ไม่ใช่แค่นั่งเฝ้าไม่ให้ใครเข้าเหมือง แต่ทำหนังสือถึงทุกหน่วยงานให้เปลี่ยนวิสัยทัศน์เปลี่ยนนโยบายต่อผาเขาแถบนั้น ว่าจะเอามาทำเหมืองต่อไปไม่ได้ ต้องฟื้นฟู พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ชาวบ้านเองเข้าไปปลูกกล้าไม้เป็นหมื่นต้น” ข้อสังเกตของ เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ผู้อำนวยการโครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ (PPM) ที่ร่วมอยู่ในการชุมนุมของชาวบ้านด้วย “การประชุมสภา อบต. ชาวบ้านเข้าไปร่วมประชุมด้วยทุกครั้ง จับตาว่าสมาชิก อบต. จะพูดอย่างไรเกี่ยวกับภูผา การต่อสู้ของชาวบ้านได้เปลี่ยนความคิดของผู้นำชุมชนผู้ที่เคยเห็นด้วยกับเหมืองให้ถอนเรื่องนี้ออก”
ภาพเขียนสีโบราณที่ผายา ยุคใกล้เคียงกับภาพเขียนสีที่อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท
เดือนต่อมาหลังจากตั้งหมู่บ้านผาฮวกฯ ใบประทานบัตรของเหมืองหมดอายุ ผู้ชุมนุมยังเฝ้าระวังไม่ให้ขนหินออก โดยถือหลักการว่าผาหินถูกระเบิดโดยใช้เอกสารเถื่อน
กระทั่งวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นเมื่อปี ๒๕๖๑ ให้เพิกถอนใบอนุญาตเหมืองเข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนป่าเก่ากลอยและป่านากลาง และให้เพิกถอนใบอนุญาตต่ออายุประทานบัตรเพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน เนื่องจากวินิจฉัยว่ารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ของเหมืองหินเมื่อปี ๒๕๔๓ ไม่สอดคล้องกับบริบทของชุมชนและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ การต่ออายุประทานบัตรจึงถือเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
แต่ถัดมาในเดือนพฤษภาคม บริษัท ธ. ศิลาสิทธิ จำกัด ฟ้องศาลจังหวัดหนองบัวลำภูให้รื้อหมู่บ้านผาฮวกฯ โดยอ้างว่ากีดขวางเส้นทางการขนแร่และขัดขวางไม่ให้บริษัทขนย้ายกองแร่หินปูนที่อยู่ในเขตโรงโม่ ซึ่งศาลจังหวัดหนองบัวลำภูได้พิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๗
“ส่วนใบอนุญาตของโรงโม่ยังมีอายุจนถึง ๑๐ เมษายน
๒๕๖๗” ตามการตรวจสอบของชุมชน หมู่บ้านผาฮวกพัฒนาชาวประชาสามัคคีจึงปักหลักชุมนุมอยู่ต่อไป
ระหว่างนั้นชาวบ้านได้พากันกลับเข้าไปยังผาฮวกที่เคยคุ้น ทว่านับตั้งแต่มีการทำเหมืองหิน ผู้ประกอบการได้กั้นแนวเขต ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าไปในพื้นที่ทำเหมือง เป็นเวลาหลายสิบปีแล้วที่ชาวบ้านถูกจำกัดสิทธิ์จากการใช้ประโยชน์ทรัพยากรในชุมชนของตัวเอง
“เราก็ฟื้นฟูป่าไปก่อน เก็บเมล็ดพันธุ์มาเพาะ ถึงฤดูฝนก็นำขึ้นไปปลูกบนภูเขา ทำเส้นทางท่องเที่ยวถ้ำผาเหมืองเก่า นำรายได้เข้าชุมชน”
จนกระทั่งได้ประกาศปิดหมู่บ้านผาฮวกพัฒนาฯ ในวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๗
วันเดียวกับที่ใบอนุญาตของโรงโม่หมดอายุ
“เราชนะแล้วนะพ่อ” สอน คำแจ่ม กล่าวต่อผู้คนที่อยู่ในงาน “ปิดเหมืองหินแล้วจ้า ฮอดเวลาม่วนชื่น” ก้าวต่อไป...ดงมะไฟแห่งชัยชนะ เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๗ แฝงนัยถึงคู่ชีวิตของเธอที่จากไปกับการคัดค้านเหมืองเมื่อ ๒๔ ปีก่อน
“ฉันก็อยากจะบอกพ่อทองม้วนว่า ฟื้นฟูป่าได้แล้วเราก็จะสู้ต่อไปนะคะ”
๓
“บัดนี้โรงโม่เขาก็ออกไปแล้ว ลูกหลานพ่อแม่ก็สิพาเฮ็ดไปข้างหน้า ฟื้นฟูแล้ว ตอนนี้กำลังเฮ็ดแหล่งท่องเที่ยว คนที่สู้มาด้วยกันก็ว่าสิเฮ็ดอนุสาวรีย์ไว้ ใครไปมาให้รู้ว่าคนผู้นี้เป็นผู้เสียสละรักษาไว้ให้ลูกให้หลานเบิ่งนั่นแหมะ”
แม่ขวัญกลับไปที่หลุมฝังศพสามีอีกครั้งเพื่อบอกข่าวความสำเร็จของการต่อสู้ที่กำนันเดิมพันด้วยชีวิต จากนั้นหันมาพูดกับคนอื่น ๆ ที่มาร่วมคารวะหลุมศพวีรชนดงมะไฟด้วยกัน
“อยากให้เพิ่นฮู้ว่าพี่ ๆ น้อง ๆ ยังฮักเพิ่นอยู่ ยังอุ้มชูเพิ่นอยู่ จากที่เพิ่นพาสู้พาหยังมาแล้ว”
“กำนันเอ้ย ตายบ่ตายฟรี ตายมีศักดิ์ศรี มีเกียรติ ใครมองไม่เห็นก็ช่าง เขาเย้ยหยันว่าตายแล้วไม่ฟื้น แต่เราก็ไม่เสียใจ เราภูมิใจที่รักษาไว้ได้” เพื่อนที่ร่วมต่อสู้ด้วยกันมาพูดกับเพื่อนที่จากไป
“ใบต่ออายุเหมืองถูกจำหน่ายไปแล้ว ตอนนี้เราต่อสู้ให้เอาเขตแหล่งหินออก เพื่อป้องกันบริษัทอื่นเข้ามาขอประทานบัตรอีก ถ้ากฎหมายยังเปิดช่องว่าที่นี่เป็นแหล่งหินอุตสาหกรรม เขาก็เข้ามาทำเหมืองได้ สองเป้าหมายเฉพาะหน้า ต้องยกเลิกแหล่งแร่ กับขึ้นทะเบียนเป็นป่าชุมชนเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว”
ได้ผาเขากลับมาแล้ว ความต้องการของชุมชนคือพัฒนาส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ตอนตั้งหมู่บ้านผาฮวกพัฒนาฯ แล้วเช่นกัน ตามคำเล่าของ เปี่ยม สุวรรณสนธ์ “หลวงพ่อไปขอพระพุทธรูปจากวัดบวรฯ มาไว้ในถ้ำตั้งแต่ปี ๒๕๖๒ ให้คนมาเที่ยว มาสรงน้ำพระในถ้ำ”
เช่นเดียวกับกลุ่มเยาวชนนักอนุรักษ์น้อยนครผาดงมะไฟที่จัดการนำเที่ยวเล่าถึงถ้ำแห่งนี้ “ถ้ำศรีธนแต่เดิมยังไม่มีชื่อ จนมีคนชื่อศรีธนได้เข้าไปหามูลค้างคาวมาทำปุ๋ย แล้วถูกก้อนหินใหญ่หล่นลงมาทับเสียชีวิต คนจึงเรียกถ้ำตามชื่อคนตาย เมื่อก่อนยังไม่มีพระ หลวงพ่อซึ่งไม่เห็นด้วยกับเหมืองเหมือนกันอยากให้คนมาเที่ยว มาสนใจพื้นที่ เลยสร้างถ้ำพระพุทธรูป ๕,๐๐๐ องค์ขึ้นมา”
แหล่งท่องเที่ยวชุมชนอดีตที่ตั้งเหมืองหินยังมีอีกหลากหลาย ภาพเขียนสีโบราณอายุนับพันปี จุดชมวิวภูผายา แหล่งโบราณคดีถ้ำศรีธน หินงอกหินย้อย ถ้ำน้ำลอด ฯลฯ
ในชุมชนที่เติบโตมาจากการเคลื่อนไหวยังมีเรื่องราวประวัติศาสตร์การต่อสู้ กลุ่มเยาวชนยุคปัจจุบันซึ่งได้รับการหล่อหลอมมาตามเส้นทางต่อสู้ รอยซากเหมืองเก่า รวมทั้งหลุมศพกำนันที่ให้ความรู้สึกควรแก่การสักการะเหมือนหลุมศพลุงโฮ
“ภูเขาไม่ได้มีแต่หิน ยังมีแหล่งน้ำ เห็ด หน่อไม้ ฟืน สมุนไพร ไม่ได้ถูก
คำนวณออกมาเป็นตัวเลข ถ้าได้เทียบเคียงจะรู้ว่าควรเก็บภูเขาไว้มากกว่า”
เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์
นอกจากรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไว้ให้ชุมชน รายได้จากการท่องเที่ยวชุมชนยังมาสู่เยาวชนในท้องถิ่นด้วย
“นอกจากรายได้จากงานเล่นวงกลองยาวที่โอนเข้าบัญชีให้สมาชิก ส่วนหนึ่งให้ใช้จ่าย อีกส่วนหักเข้ากองกลางของกลุ่ม พอมีรายได้จากการท่องเที่ยวก็แบ่งแบบนั้น ทุกคนมีบัญชีของตัวเอง กลุ่มจะโอนให้ทั้งเงินใช้จ่ายเงินเก็บ” อานูวา หมินหวัง ลูกครึ่งสตูล-ดงมะไฟ วัย ๒๐ ปี แกนนำกลุ่มนักอนุรักษ์น้อยนครผาดงมะไฟเล่าเรื่องกลุ่มเยาวชนซึ่งมีสมาชิกอยู่ราว ๑๕ คน
“เด็ก ๆ ที่นี่จบมาก็ตัดอ้อย เลี้ยงวัว ไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไง เป็นเด็กบ้านนอก ถ้าไม่มีกิจกรรมทำก็อยู่บ้านเฉย ๆ พอมีกลุ่มนักอนุรักษ์น้อยฯ ขึ้นมาก็ได้มารวมตัวกัน ให้เด็กได้เรียนหนังสือและซ้อมดนตรี มีความคิดสร้างสรรค์ออกมา”
๔
สามสิบสองปีหลังการต่อสู้กับเหมืองหิน ชุมชนดงมะไฟได้ผาเขากลับคืนมา ส่วนสี่ชีวิตไม่อาจหวนคืน
สิทธิทำเหมืองของบริษัท ธ. ศิลาสิทธิ จำกัดถูกเพิกถอนแล้ว แต่เมื่อภูผาของตำบลดงมะไฟยังเป็นเขตแหล่งหิน ก็ยังเป็นไปได้ที่บริษัทอื่นจะเข้ามาทำเหมืองอีก
“ภูเขาลูกโดดที่แยกออกมาจากเขตป่าอนุรักษ์ หน่วยราชการที่รับผิดชอบก็เลือกขีดเอา เขาจะคอยดูว่าหินปูนในประเทศมีปริมาณสำรองเท่าใดสำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้างและอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ แล้วประกาศเป็นแหล่งหิน กำหนดลงไปว่ามีอยู่ในจังหวัดไหนกี่แห่ง ซึ่งภูเขาหลายแห่งในเลย หนองบัวลำภู ถูกประกาศเป็นแหล่งหิน” เลิศศักดิ์ให้ข้อมูล
ถ้าดงมะไฟและที่อื่น ๆ ต่อต้านการเป็นพื้นที่เหมืองกันหมด จะไม่กระทบอุปสงค์การใช้หินของประเทศหรือ
เลิศศักดิ์ตอบในนามผู้อำนวยการโครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ (PPM)
“ถ้าดูตามเส้นทาง ยังมีแหล่งหินมากมายที่จะป้อนเข้าสู่การใช้ประโยชน์ มีปริมาณหินสำรองอยู่เต็มไปหมดที่สามารถใช้ได้
“ปัญหาของคำถามนี้คือแหล่งหินนี้สำคัญต่อระบบอุตสาหกรรมก่อสร้างขนาดใหญ่อย่างไร ไม่ได้ให้ความสำคัญกับหินที่ใช้ก่อสร้างในชีวิตประจำวันของชาวบ้าน
“เหมืองหินเหล่านี้ไม่ได้สนใจป้อนการใช้หินสำหรับประชาชน แต่เพื่อไปป้อนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ หินไม่ใช่แค่อุปกรณ์ก่อสร้าง แต่เกี่ยวพันถึงห่วงโซ่อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ของทั้งประเทศ
“มุ่งแต่ให้ชาวบ้านเสียสละเพื่ออุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่ไม่ได้มองว่าภูเขาลูกนั้นไม่ได้มีแต่หิน ยังมีแหล่งน้ำ เห็ด หน่อไม้ ฟืน สมุนไพร เหล่านี้ไม่ได้ถูกคำนวณออกมาเป็นตัวเลข ถ้าได้เทียบเคียงจะรู้ว่าควรเก็บภูเขาไว้มากกว่าระเบิดเพื่อขนออกไปค้ำจุนระบบก่อสร้างขนาดใหญ่
“การที่เราปกป้องภูเขาลูกนี้ไว้ ไม่กลัวหรือว่าปริมาณหินสำรองจะขาดแคลน เราไม่อยากตอบคำถามนี้ เพราะไม่ได้ถูกคิดเพื่อค้ำจุนการใช้ในชีวิตประจำวันของชาวบ้าน แต่ต้องการเอาหินออกไปไกลจากชีวิตของชาวบ้าน”
กว่าจะรักษาภูผาไว้ได้
ภาพ : กลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชน
เขาเหล่าใหญ่-ผาจันได
๒๕๓๖
บริษัททำเหมืองหินเข้ามายื่นขอประทานบัตรที่ภูผายา ในพื้นที่ตำบลดงมะไฟ อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู คนในชุมชนไม่เห็นด้วยและรวมตัวกันคัดค้านสำเร็จ เนื่องจากภูผายาเป็นที่ตั้งสำนักสงฆ์และมีภาพเขียนสีโบราณอายุ ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ ปี
๒๕๓๗
บริษัททำเหมืองหินย้ายมายื่นขอประทานบัตรที่ภูผาฮวก ซึ่งอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเก่ากลอยและป่านากลาง ห่างจากภูผายาราว ๕๐๐ เมตร ซึ่งยังคงถูกคัดค้านจากชาวบ้าน
๒๕๓๘
แกนนำต่อต้านเหมืองถูกลอบยิงเสียชีวิตสองคน
๒๕๔๐
รัฐประกาศให้ผาฮวกกับผาอีดำเป็นแหล่งหินที่สามารถขอประทานบัตรได้
๒๕๔๑
บริษัทเริ่มรังวัดขอบเขตเหมือง โดยไม่สนใจเสียงคัดค้าน
๒๕๔๒
๒๒ เมษายน กำนันทองม้วน คำแจ่ม แกนนำการต่อสู้ ถูกลวงไปยิงทิ้งพร้อมที่ปรึกษา
๒๕๔๓
๒๕ กันยายน กรมทรัพยากรธรณีอนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่ ประเภทหินปูนบนผาฮวก ให้บริษัท ธ. ศิลาสิทธิ จำกัด เนื้อที่ ๑๗๕ ไร่ ๓ งาน ๖๕ ตารางวา เป็นระยะเวลา ๑๐ ปี (หลังปฏิรูประบบราชการ ๒๕๔๕ เรื่องนี้ไปอยู่ภายใต้
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่)
๒๕๔๔
ชาวบ้านยื่นฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนประทานบัตรทำเหมืองหิน
๒๕๔๗
ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนประทานบัตรของบริษัททำเหมืองหิน
๒๕๔๘
ภูผายาที่มีภาพเขียนสี ๓,๐๐๐ ปี ได้รับการขึ้นทะเบียนโบราณสถานของกรมศิลปากร
๒๕๕๓
ศาลปกครองสูงสุดกลับคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น คืนประทานบัตรให้บริษัททำเหมืองหิน
๒๕๕๕
๑๙ กันยายน ชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได ยื่นฟ้องศาลปกครองอุดรธานีให้สั่งเพิกถอนหนังสืออนุญาตเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และเพิกถอนใบอนุญาตต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินปูนของบริษัท ธ. ศิลาสิทธิ จำกัด ที่ประกอบกิจการ
เหมืองแร่หินชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ในท้องที่ตำบลดงมะไฟ
๒๕๕๘
กลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันไดได้รับพระราชทาน “ธงพิทักษ์ป่า เพื่อรักษาชีวิต” จากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี
พันปีหลวง ในโครงการราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า (รสทป.)
๒๕๕๙
บริษัทเริ่มดำเนินการระเบิดหิน
๒๕๖๑
๑๔ มีนาคม ศาลปกครองอุดรธานีมีคำพิพากษาให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเก่ากลอยและป่านากลาง รวมทั้งเพิกถอนคำสั่งต่ออายุประทานบัตรที่กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ออกให้ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองอุดรธานีต่อศาลปกครองสูงสุด
๒๕๖๒
เหมืองได้รับใบอนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและได้ดำเนินการระเบิดหินอย่างเต็มที่
๒๕๖๓
๑๓ สิงหาคม กลุ่มอนุรักษ์ฯ เข้าเจรจากับรองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภูและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่ ขอให้มีคำสั่งปิดเหมืองแร่และโรงโม่ แต่ไม่สำเร็จ จึงกลับมาปักหลักการชุมนุมปิดบริเวณทางเข้า-ออกเหมืองแร่หิน ตั้งหมู่บ้านผาฮวกพัฒนาประชาสามัคคีพร้อมยื่นข้อเรียกร้องสามข้อ
๒๕๖๖
๑๗ กุมภาพันธ์ ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้เพิกถอนใบอนุญาตการเข้าทำประโยชน์และเพิกถอนประทานบัตร
๒๕๖๗
๑๐ เมษายน ใบอนุญาตของโรงโม่หมดอายุ ชาวบ้านสลายการชุมนุม ปิดหมู่บ้านผาฮวกพัฒนาประชาสามัคคี
ปัจจุบัน
ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน โดยให้บทบาทกับกลุ่มนักอนุรักษ์น้อยนครผาดงมะไฟในการรับนักท่องเที่ยว และผลักดันให้ยกเลิกแหล่งแร่ในตำบลดงมะไฟ
อ้างอิง
พนมวรรณ นามตาแสง. “‘ผาฮวกพัฒนาชาวประชาสามัคคี’ หมู่บ้านปิดเหมือง”. (เอกสารยังไม่ตีพิมพ์)
ลมิตา เขตขัน และ เดชา คำเบ้าเมือง. (ม.ป.ป.). สรุปสถานการณ์ผลกระทบต่อชุมชน กรณีโครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ตำบลดงมะไฟ อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู.
ออนไลน์
ธนกร วงษ์ปัญญา. “๒๕ ปี รอยเลือด คราบน้ำตาของคนดงมะไฟ : การต่อสู้รอบใหม่เพื่อคัดค้านโรงโม่หินในถิ่นเกิด”. สืบค้นจาก https://thestandard.co/dong-mafai-conflict/
ธนกฤต แดงทองดี. “สรุปเหตุการณ์ ๒๙ ปีการคัดค้านเหมืองของกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได สู่คำพิพากษาเพิกถอนใบอนุญาต”. สืบค้นจาก https://www.seub.or.th/bloging/news/2023-56/
มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน. “เรื่องเล่าเร้าพลังของคนธรรมดาที่เปล่งประกายทุกวัน”. สืบค้นจาก https://www.facebook.com/profile/100064662312708/search/?q=เรื่องเล่าเร้าพลังของคนธรรมดา%20ที่เปล่งประกายทุกวัน&locale=th_TH