ที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัย ๔ ของมนุษย์ แต่ยังมีคนอีกมากเข้าไม่ถึงที่อยู่อาศัยที่มั่นคง
ที่ดินและที่อยู่อาศัย
เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน
ขบวนคนจนเพื่อสิทธิที่ดิน
และที่อยู่อาศัย
เรื่อง : ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล
ภาพ : เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง (IMN)
“จะแก้ไขปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยได้จริง ๆ ต้องทำให้เหมือนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คือเป็นกฎหมายของทุกคนที่สามารถเข้าถึงได้ ไม่ใช่แค่ ๑๑ องค์กรที่มาเรียกร้องเท่านั้น” เนืองนิช ชิดนอก ที่ปรึกษาเครือข่ายสลัม ๔ ภาค และกรรมการขบวนคนจนเพื่อสิทธิที่ดินและที่อยู่อาศัย กล่าวหน้าสำนักงานองค์การสหประชาชาติในประเทศไทย ถนนราชดำเนินนอก หลังเดินขบวนร่วมกับเครือข่ายมาจากลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร
ปัญหาที่ดินและที่อยู่อาศัยในประเทศไทยรุนแรงขึ้นทุกวัน สภาพปัญหาแบ่งเป็นสี่ประเด็นหลัก ได้แก่ ๑. ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงสิทธิที่ดิน ๒. ประชาชนเข้าถึงสิทธิในการใช้ที่ดิน แต่ไม่มั่นคง ๓. เกิดข้อพิพาทระหว่างรัฐกับประชาชน และ ๔. รัฐจัดการที่ดินซ้ำซ้อนขัดกันเองในแต่ละหน่วยงาน
จำแนกข้อจำกัดและปัญหาออกเป็นหมวดหมู่ดังนี้...
ปัญหาที่ดิน
การกระจุกตัวของการถือครองที่ดิน : คนส่วนน้อยถือครองที่ดินจำนวนมาก
ขาดแคลนที่ทำกิน : เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง
การทับซ้อนของแนวเขตที่ดิน : ที่ดินของรัฐ เช่น อุทยานแห่งชาติ เขตป่าสงวน ฯลฯ ทับซ้อนกับที่ดินเอกชนที่มีคนอาศัยหรือใช้ประโยชน์
การจัดการที่ดินของรัฐ : หน่วยงานรัฐจัดการที่ดินซ้ำซ้อนและขัดแย้งกันเอง
ปัญหาที่อยู่อาศัย
ขาดแคลนที่ดินในเมือง : ที่ดินในเมืองมีราคาสูงและถูกใช้เก็งกำไร
การเข้าถึงที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย : ครัวเรือนจำนวนมากยังไม่มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง
กฎหมายและนโยบาย : กฎหมายและนโยบายบางฉบับล้าสมัยและมีช่องโหว่
ประชาชนที่ประสบปัญหาเรื่องนี้มีอยู่ทั่วทุกภูมิภาคกลุ่มองค์กรและเครือข่ายต่าง ๆ จำนวน ๑๑ องค์กรหลัก ได้แก่ เครือข่ายสลัม ๔ ภาค, เครือข่ายชุมชนคนเมืองผู้ได้รับผลกระทบรถไฟ, เครือข่ายริมรางเมืองย่าโม, ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-move), เครือข่ายบ้านมั่นคงชุมชนริมรางรถไฟ, เครือข่ายที่อยู่อาศัยคลองเตย, เครือข่ายภาคประชาสังคม, เครือข่ายพัฒนาที่ดินและที่อยู่อาศัย ๕ ภาค, เครือข่ายพัฒนาชุมชนและสิ่งแวดล้อมคูคลอง, ขบวนสภาริมรางเมืองขอนแก่น และสมาพันธ์คนไร้บ้านไทย จึงรวมกันเป็น “ขบวนคนจนเพื่อสิทธิที่ดินและที่อยู่อาศัย” เพื่อร่วมขับเคลื่อนให้ “ที่ดิน” และ “ที่อยู่อาศัย” กลายเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ผลักดันให้เกิดการแก้ไขผ่านนโยบายต่าง ๆ เช่น การจัดการที่ดินสาธารณะ โฉนดชุมชน การแก้ไขปัญหาคนไร้บ้านและผู้เช่าห้องราคาถูก
เคลื่อนขบวนมายังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หนึ่งในประเด็นเรียกร้องใหญ่คือแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพิ่มสิทธิที่อยู่อาศัยเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน
แม้นวาด กุญชร ณ อยุธยา ที่ปรึกษาเครือข่ายริมรางเมืองย่าโม ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในจังหวัดนครราชสีมา มหานครแห่งภาคอีสานซึ่งมีพื้นที่ขนาดใหญ่ถึง ๓๒ อำเภอ ว่ากำลังเผชิญปัญหาเฉพาะหน้าหลายมิติ เช่น พื้นที่สาธารณะ ๕,๐๐๐ กว่าแห่งมีชุมชนอยู่อาศัยมาตั้งแต่เดิมถึง ๘๐๐ กว่าแห่ง พื้นที่ ๑๒ เทศบาลมีชุมชนแออัดถึง ๒๑๘ ชุมชน ตัวเลขเมื่อหลายปีก่อนระบุว่ามีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ ๒๐๔,๙๓๕ คน คิดเป็นเกือบร้อยละ ๑๐ ของประชากรทั้งจังหวัด มีพื้นที่ติดทางรถไฟกว่า ๕๐ ตำบล มีหมายศาลแจ้งให้ประชาชน ๑๙๓ ครัวเรือนออกจากพื้นที่อนุรักษ์ เช่น เขาใหญ่ ทับลาน รวมถึงบริเวณลำตะคอง นอกจากนี้ยังมีปัญหาเกี่ยวกับที่ดินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.)
“ปัญหาที่อยู่อาศัยในโคราชมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นในอนาคตจากปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยทำงานและแรงงานนอกระบบ ช่องว่างระหว่างคนมีที่อยู่อาศัยมั่นคงกับคนไม่มีบ้านหรือบ้านไม่มั่นคงกำลังขยายตัวขึ้น ราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ก็สูงจนเกินกำลัง การขาดระบบเช่าพื้นที่ระยะยาวราคาถูกทำให้คนรายได้ปานกลางถึงต่ำถูกผลักออกไปชานเมือง ที่ดินกระจุกตัวอยู่ในมือกลุ่มทุนขนาดใหญ่และนักเก็งกำไร”
แม้นวาดตั้งข้อสังเกตว่ารัฐธรรมนูญของประเทศไทยจำนวนสามฉบับ ตั้งแต่ปี ๒๕๔๐ ถึงปี ๒๕๖๐ ลดสถานะสิทธิเรื่องที่อยู่อาศัยจาก “สิทธิโดยตรงของประชาชน” ให้กลายเป็น “หน้าที่เชิงนโยบายของรัฐ” ซึ่งไม่ได้สะท้อนหลักความมั่นคงในที่อยู่อาศัย ทั้ง ๆ ที่เป็นฐานรากของชีวิต
ภาคประชาสังคมหลายองค์กรในจังหวัดนครราชสีมา เช่น เครือข่ายริมรางเมืองย่าโม เครือข่ายที่ดินที่อยู่อาศัยจังหวัดนครราชสีมา เครือข่ายบ้านมั่นคงเมืองและชนบทจังหวัดนครราชสีมา พยายามขับเคลื่อนให้เกิดการแก้ปัญหา ช่วยกันต่อสู้ เรียนรู้ เสนอร่าง รวมทั้งผลักดันให้รัฐธรรมนูญบัญญัติเนื้อหา “สิทธิในที่อยู่อาศัย” อย่างชัดเจนและบังคับใช้ได้จริง เพื่อให้ลูกหลานมีบ้านอยู่อย่างมั่นคง มีศักดิ์ศรี และมีอนาคตบนแผ่นดินนี้
...
รัฐธรรมนูญของประเทศไทยจำนวนสามฉบับ ตั้งแต่ปี ๒๕๔๐ ถึงปี ๒๕๖๐ ลดสถานะสิทธิเรื่องที่อยู่อาศัยจาก “สิทธิโดยตรงของประชาชน” ให้กลายเป็น “หน้าที่เชิงนโยบายของรัฐ”
ขึงแผ่นป้าย ณ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่อยู่อาศัยโลก ๒๕๖๘ คำขวัญประจำปีคือ การรับมือกับวิกฤตการณ์ในเมือง (urban crisis response)
ในแต่ละปีองค์การสหประชาชาติกำหนดให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมเป็นวันที่อยู่อาศัยโลก (World Habitat Day) ปีนี้ตรงกับวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๘ ภาคประชาสังคมองค์กรพัฒนาเอกชน รวมถึงภาคประชาชนทั่วโลกจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อเรียกร้องรัฐบาลของประเทศตนให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
โดยโครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ (UN-Habitat) ซึ่งมีพันธกิจหลักคือพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ให้มีความยั่งยืนทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม กำหนดคำขวัญหรือหัวข้อหลักประจำปีว่า การรับมือกับวิกฤตการณ์ในเมือง (urban crisis response) มุ่งเน้นให้เกิดการแก้ไขปัญหาวิกฤตต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเมือง เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมเครื่องมือและแนวทางรับมือกับวิกฤตที่มีประสิทธิภาพ
ขบวนคนจนเพื่อสิทธิที่ดินและที่อยู่อาศัยทั้ง ๑๑ องค์กร รวมตัวกันที่ลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานครตั้งแต่เช้า ประเมินว่ามีผู้เข้าร่วมราว ๕,๐๐๐ คนจากทั่วทุกสารทิศ
อรวรรณ หาญทะเล ชาวเลชาติพันธุ์มอแกลนจากชุมชนบ้านทับตะวัน ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา หนึ่งในผู้เข้าร่วมเล่าว่า ชาวเลกำลังเผชิญความยากลำบากด้านที่อยู่อาศัย พื้นที่ร้อยละ ๕ ของชุมชนมีข้อพิพาทกับเอกชน ร้อยละ ๙๐ มีข้อพิพาทกับหน่วยงานรัฐ เหลือร้อยละ ๕ เท่านั้นเป็นที่อยู่อาศัยอย่างสงบสุขของชาวเล
“ที่จริงชาวเลไม่ได้ต้องการเอกสารสิทธิมาครอบครอง เพียงแต่อยากมีหลักประกันว่าพวกเราและลูกหลานจะสามารถใช้ชีวิตในที่ดินดั้งเดิมของเราได้ โดยไม่มีใครบุกรุกหรือขับไล่ เหมือนอย่างที่หลายชุมชนชาวเลกำลังถูกดำเนินคดี”
ตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์จากหลากพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรม พวกเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ประสบปัญหาความไม่มั่นคงด้านที่อยู่อาศัยมากสุด
จรัสศรี จันทร์อ้าย กรรมการบริหารสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) ระบุว่า ปัจจุบันมีประชากรมากกว่า ๕ ล้านครัวเรือนที่ขาดความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย ปัญหาดังกล่าวไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่เป็นผลจากโครงสร้างการพัฒนาและกติกาทางการเมืองที่ไม่เป็นธรรม เน้นย้ำว่าต้องเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยยึดสองเงื่อนไขหลัก
“หนึ่ง รัฐบาลต้องจัดทำประชามติเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แล้วให้ประชาชนเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) โดยตรง สอง ต้องบัญญัติให้ที่อยู่อาศัยเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน เพื่อให้รัฐมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการจัดการที่อยู่อาศัยอย่างเท่าเทียม”
ขบวนรณรงค์เคลื่อนจากศาลาว่าการกรุงเทพมหานครไปตามถนนดินสอ มุ่งสู่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยก่อน เพื่อแสดงเจตนารมณ์เรียกร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และร่วมรำลึกเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ซึ่งเกิดขึ้นวันเดียวกันเมื่อ ๔๙ ปีก่อน
ประชาชนที่ประสบปัญหาความมั่นคงด้านที่ดินและที่อยู่อาศัยมีอยู่ทั่วทุกภูมิภาค กลุ่มองค์กรและเครือข่ายต่าง ๆ จึงรวมกันเป็น “ขบวนคนจนเพื่อสิทธิที่ดินและที่อยู่อาศัย”
ด้วยมีพื้นที่ติดทางรถไฟกว่า ๕๐ ตำบล ชุมชนในโคราชที่อาศัยอยู่ริมรางจึงสุ่มเสี่ยงว่าจะถูกไล่รื้อ ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นหลังรัฐบาลอนุมัติโครงการรถไฟรางคู่และรถไฟความเร็วสูง
ภาพ : ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล
หลังจากนั้นเดินมาทางสะพานผ่านฟ้าลีลาศ เข้าถนนราชดำเนินนอก ไปหยุดรวมกันหน้าสำนักงานองค์การสหประชาชาติในประเทศไทย เพื่ออ่านแถลงการณ์และข้อเสนอ
“ขบวนคนจนเพื่อสิทธิที่ดินและที่อยู่อาศัยต้องการให้รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย และไม่ดำเนินนโยบายที่ซ้ำเติมให้สถานการณ์การเข้าไม่ถึงที่อยู่อาศัยรุนแรงยิ่งขึ้น…” ตัวแทนอ่านส่วนหนึ่งของข้อเรียกร้อง
“การพัฒนาที่ไม่เท่าเทียม ไม่ยั่งยืน ส่งผลให้ไทยเป็นประเทศที่เผชิญปัญหาความเหลื่อมล้ำมากสุดเป็นลำดับต้น ๆ ของโลก โดยเฉพาะโครงการพัฒนาต่าง ๆ ล้วนสร้างผลกระทบ ทำให้คนจนต้องถูกไล่รื้อ ถูกขับออกจากที่ดิน หรือกระทั่งจะเข้าถึงที่ดินและที่อยู่อาศัยก็เกินกำลังความสามารถ เนื่องจากมีราคาสูง เพราะรัฐบาลปล่อยให้เป็นเรื่องกลไกตลาด ยังไม่มีรัฐบาลใดตระหนักถึงปัญหาและให้ความสำคัญที่จะกำหนดให้ที่อยู่อาศัยเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน เป็นหลักประกันที่ทุกคนต้องเข้าถึงได้”
ข้อเสนอมีทั้งหมดเจ็ดประเด็น ได้แก่ แก้ปัญหาที่อยู่อาศัยของชุมชนในย่านคลองเตย แก้ปัญหาที่อยู่อาศัยของชุมชนในที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย แก้ปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของประชาชนในที่ดินสาธารณประโยชน์ ขับเคลื่อนนโยบายโฉนดชุมชน แก้ปัญหาการรวมกลุ่มเพื่อแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย ที่ทำกิน ในรูปแบบสหกรณ์ แก้ไขปัญหาคนไร้บ้านและผู้เช่าห้องราคาถูก
โดยมีข้อเรียกร้องประเด็นแรก คือ การกำหนดกติกาประเทศ แก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มีรายละเอียดคือรัฐบาลต้องจัดทำประชามติเพื่อให้เกิดกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มาจากประชาชนโดยตรง และต้องบรรจุเนื้อหา “ที่อยู่อาศัยคือสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน” ไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย
Jing Yu รองหัวหน้าโครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ (UN-Habitat) เป็นตัวแทนออกมารับข้อเสนอ
ไม่เฉพาะประเทศไทย โลกกำลังเผชิญวิกฤตที่ดินและที่อยู่อาศัย หลายครอบครัวต้องจำใจออกจากบ้าน เด็กต้องเล่าเรียนในค่ายผู้ลี้ภัย และชุมชนจำนวนมากอยู่อาศัยโดยปราศจากไฟฟ้าและน้ำ
“ปี ๒๕๖๗ มีประชากรทั่วโลกกว่า ๑๒๓ ล้านคน ถูกบังคับให้ออกจากที่อยู่อาศัยของตน ส่วนอีก ๓ พันล้านคนเผชิญการมีที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสม และกว่า ๑.๑ พันล้านคนอยู่ในชุมชนแออัด” Jing Yu กล่าว
“วิกฤตไม่จำเป็นต้องหมายถึงความสิ้นหวังเสมอไป หลายชุมชนทั่วโลกสามารถฟื้นกลับมาได้ เมื่อรัฐให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัย ที่ดิน และบริการขั้นพื้นฐาน เพราะบ้านหลังใหม่คือการเสริมสร้างศักดิ์ศรีและความหวัง”
“บ้าน” และ “ที่ดิน” คือรากฐานของชีวิต เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ให้เราได้ใช้ชีวิตอย่างภาคภูมิ เพื่อส่งต่อแก่ลูกหลานในอนาคต
ภายหลังการยื่นหนังสือ แกนนำขบวนคนจนเพื่อสิทธิที่ดินและที่อยู่อาศัยเดินทางไปทำเนียบรัฐบาล เพื่อขอพบนายกรัฐมนตรี และเจรจากับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ฯลฯ เรียกร้องให้เร่งผลักดันนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินและที่อยู่อาศัยซึ่งเรื้อรังมานาน
ขอขอบคุณ
แม้นวาด กุญชร ณ อยุธยา, ณฐาภพ สังเกตุ, เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง (IMN), สหกรณ์เครือข่ายริมรางเมืองย่าโม จำกัด และชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม