Image

เรื่อง : วีระศักร จันทร์ส่งแสง
ภาพ : ฝ่ายภาพ สารคดี

การเร่งพัฒนาประเทศไปสู่อุตสาหกรรมเมื่อช่วงต้นทศวรรษ ๒๕๓๐  กอบโกยและทำลายฐานทรัพยากรของท้องถิ่น  จนถึงจุดหนึ่งผู้ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาเหล่านั้นจึงรวมตัวกันออกมาเคลื่อนไหวต่อสู้ ปกป้องสิทธิ์ และเรียกร้องการรับผิดชอบจากรัฐ ผู้กำหนดทิศทางการพัฒนาที่ผิดพลาด ด้วยยุทธวิธีเดินขบวนและชุมนุมประท้วง

เมื่อคนรากหญ้าลุกขึ้นมา
กำหนดอนาคตตนเอง

“ประชาชนต้องเป็นผู้กำหนดแนวทางการพัฒนา”

ข้อความบนอกเสื้อและป้ายผ้าในขบวนชุมนุมตั้งแต่ ปี ๒๕๓๘ เป็นทั้งวาทกรรมและปรากฏการณ์ที่เป็นหลักหมายความสัมพันธ์ระหว่างคนธรรมดาสามัญชนกับผู้กุมอำนาจรัฐก็ว่าได้

ชาวบ้านเหล่านั้นเป็นคนชนชั้นล่างหรือที่เรียกว่ารากหญ้า รวมตัวกันมาเรียกร้องต่อสู้ให้รัฐแก้ปัญหาความเดือดร้อน ในนามสมัชชาคนจน

ซึ่งต่อมาการปรากฏตัวของพวกเขาไม่เพียงทำให้รัฐต้องหันมองและร่วมโต๊ะเจรจาอย่างเท่าเทียม แต่ยังได้รับความสนใจจากคนในสังคม ทั้งนักวิชาการ สื่อมวลชน นักศึกษา คนเมือง ผู้สนใจประเด็นทางสังคม และผู้รักความเป็นธรรม

ทั้งสมัชชาคนจนเองก็มีส่วนขับเคลื่อนผลักดันประเด็นด้านสิทธิ การเมือง และความเป็นธรรมทางสังคม ซึ่งต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิตจริง ๆ ที่ไม่ใช่เพียงสำนวนเปรียบเปรย

ยอมแลกตัวเข้าสู้มือเปล่ากับสุนัขตำรวจ ซึ่งบางคนล้มลงด้วยคมเขี้ยว อีกหลายชีวิตล้มตายในที่ชุมนุมระหว่างต่อสู้ รวมถึงบนขบวนรถไฟระหว่างทางกลับบ้าน

ยังไม่นับแรงกดดันและการถูกกระทำต่อเนื่องจากการเผชิญหน้ากับหลากหลายฝ่ายต้าน

ชาวบ้านบางส่วนถูกนักการเมืองในรัฐบาลป้ายสีว่าเป็นต่างชาติ ด้วยนามสกุลพ้องกับชื่อเมืองหลวงของเพื่อนบ้าน  บางกลุ่มถูกเชื่อมโยงว่าเป็นการเกิดขึ้นใหม่ของกบฏผีบุญ เป็นคอมมิวนิสต์ หรือกระทั่งปล่อยสุนัขตำรวจให้ไล่กัดที่หน้าทำเนียบรัฐบาล

ทั้งหมดล้วนเป็นส่วนประกอบสร้างประวัติศาสตร์คลื่นขบวนการประชาชนนามสมัชชาคนจน องค์กรชาวบ้านที่นับเป็นปรากฏการณ์ของสังคมไทย ในช่วงรอยต่อทศวรรษ ๒๕๓๐-๒๕๔๐ ที่ใช้การเดินขบวนหรือชุมนุม โดยสันติวิธีเป็นยุทธศาสตร์ ซึ่งสร้างตำนานการต่อสู้จากการรวมกลุ่มกันจนสร้างพลังการเคลื่อนไหวทางสังคมได้

กล่าวกันว่าสมัชชาคนจนเป็นองค์กรชาวบ้านที่สามารถสร้างอำนาจต่อรองกับรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในประวัติศาสตร์การต่อสู้ของชาวบ้านสามัญ

เป็นขบวนการประชาชนที่เข้มแข็งจนนับได้ว่าเป็นหลักหมายหนึ่งของการเคลื่อนไหวต่อสู้ของชนชั้นรากหญ้า

ทั้งเป็นเครือข่ายองค์กรประชาชนที่ได้รับความร่วมมือจากนักวิชาการ เอ็นจีโอ เข้ามาเป็นพี่เลี้ยงและที่ปรึกษา และยังเป็นภาคสนามการศึกษาวิจัยและฝึกปฏิบัติการด้านกิจกรรมสังคมของนักศึกษา เยาวชนไทยและต่างประเทศ เป็นต้นแบบของขบวนการต่อสู้เรียกร้องโดยสันติวิธีที่กลายเป็นโมเดลในระดับโลก

Image

ชาวบ้านเรียกชื่อแม่น้ำ “มูน” ในความหมายมรดกที่สืบทอดกันมายาวนานแต่บรรพกาล  แต่การสร้างเขื่อนปากมูลทำให้วงจรชีวิตตามธรรมชาติของสัตว์น้ำถูกตัดขาด ซึ่งกระทบต่อผู้คนบนฝั่ง จึงเกิดการเรียกร้องยาวนาน ประจานความล้มเหลวของนโยบายการพัฒนาที่ผิดพลาดของรัฐไปทั่วโลก

ผู้ได้รับผลกระทบ
จากการพัฒนาที่ผิดพลาด

ก่อนเกิดขบวนการสมัชชาคนจน การเดินขบวนขอความเป็นธรรมของชาวบ้านก็มีมาต่อเนื่องนับสิบปีแล้ว

จุดตั้งต้นของปัญหาอาจเริ่มมาตั้งแต่ทิศทางการพัฒนากระแสหลักที่มุ่งสู่ความเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (NIC) ในสมัยรัฐบาล ชาติชาย ชุณหะวัณ (๔ สิงหาคม ๒๕๓๑-๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔) ทำให้ชนชั้นรากหญ้าที่ด้อยโอกาสถูกละเลยและถูกแย่งชิงทรัพยากร กลายเป็นเหยื่อของการพัฒนาที่หมดโอกาสจะใช้ชีวิตปรกติสุขอย่างที่เคยเป็นมา นำไปสู่การลุกขึ้นมาเรียกร้องต่อสู้ มีการจัดตั้งองค์กรร่วมกันในชื่อสมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน (สกย.อ.) เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๓๕ สมาชิกเริ่มต้นประมาณ ๕๐๐ คน จากเจ็ดเครือข่ายผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

สี่เดือนถัดมา สกย.อ. นัดรวมพลังมวลชนกว่า ๑ หมื่นคน เดินเท้าทางไกล ๘๐ กิโลเมตร จากศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา ถึงลานแคนใหญ่ อำเภอปากช่อง เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกโครงการจัดที่ดินทำกินให้กับราษฎรผู้ยากไร้ในพื้นที่ป่าสงวนเสื่อมโทรม (คจก.) ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เนื่องจากสร้างผลกระทบต่อชาวบ้านที่เคยอาศัยทำกินอยู่ในเขตป่าสงวน ต้องอพยพออกไปอยู่ในที่ใหม่ซึ่งดินเสื่อมโทรมไม่เหมาะกับการเพาะปลูก ซึ่งในที่สุดรัฐบาล อานันท์ ปันยารชุน มีมติให้ยกเลิกโครงการ

ในช่วงเวลาคาบเกี่ยวและภายใต้แนวนโยบายเดียวกัน โครงการเขื่อนหลายแห่งถูกกำหนดลงในแผนที่บนลำน้ำหลายสาย แห่งสำคัญที่สร้างกระแสความขัดแย้งร้อนแรงที่สุดคือเขื่อนปากมูล จังหวัดอุบลราชธานี ที่เริ่มขึ้นเมื่อปี ๒๕๓๔ ซึ่งได้กลายเป็นเหมือนจุดตั้งต้นและศูนย์กลางที่นำไปสู่การก่อตั้งสมัชชาคนจนในอีก ๔ ปีต่อมา

ตามแผนการ เขื่อนปากมูลเป็นเขื่อนเพื่อการผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กำลังการผลิต ๑๓๖ เมกะวัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เพียงหนึ่งแห่ง กั้นแม่น้ำมูนช่วงก่อนไหลลงบรรจบแม่น้ำโขงที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี งบประมาณก่อสร้าง ๓ พันล้านบาท แต่ในการก่อสร้างจริงบานปลายไปถึง ๖ พันล้านบาท เริ่มการก่อสร้างปี ๒๕๓๔

เขื่อนปากมูลถูกต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่ตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง มีการชุมนุมเรียกร้องค่าชดเชยจากผลกระทบที่ได้รับจากการสร้างเขื่อน เนื่องจากสันเขื่อนคอนกรีตที่กั้นแม่น้ำมูนช่วงก่อนไหลออกบรรจบแม่น้ำโขงราว ๕ กิโลเมตร ขวางการขึ้นลงของปลาจากแม่น้ำโขงที่จะว่ายทวนน้ำเข้ามาวางไข่ในแม่น้ำมูน  อีกทั้งการระเบิดแก่งระหว่างสร้างเขื่อนได้ทำลายระบบนิเวศที่อยู่อาศัยของปลาของแม่น้ำมูนตอนปลายเสียหายสิ้น

ส่วนในทางสังคม การมาของเขื่อนปากมูลได้สร้างความขัดแย้งและเกิดประเด็นวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดในประเทศและเป็นข่าวไปทั่วโลก 

ขบวนการประชาชนอ่อนแรงลงตั้งแต่ยุครัฐบาลประชานิยม แต่สมัชชาคนจนยังอยู่  ทำกิจกรรมและเคลื่อนไหวชุมนุมตามวาระโอกาส  ในภาพนี้เป็นกิจกรรมรณรงค์คนจนเขียนรัฐธรรมนูญ ที่ลานคนเมือง  ช่วงหนึ่งบนเวทีมีการสดุดีรำลึกถึงแกนนำมวลชนที่จากไปบนเส้นทางยาวนานของการต่อสู้
ภาพ : บันสิทธิ์ บุณยะรัตเวช

เขื่อนปากมูลถูกต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากสันเขื่อนคอนกรีตที่กั้นแม่น้ำมูนช่วงก่อนไหลออกบรรจบแม่น้ำโขงราว ๕ กิโลเมตร ขวางการขึ้นลงของปลาจากแม่น้ำโขงที่จะว่ายทวนน้ำเข้ามาวางไข่ในแม่น้ำมูน อีกทั้งการระเบิดแก่งระหว่างสร้างเขื่อนได้ทำลาย ระบบนิเวศที่อยู่อาศัยของปลาในแม่น้ำมูนตอนปลายเสียหายสิ้น

“ปากมูล” ที่โลกได้รู้จัก

เมื่อกล่าวถึงม็อบปากมูลและสมัชชาคนจน มักต้องมีนามของมด-วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ ปรากฏอยู่ด้วยเสมอ เธอเป็นนักกิจกรรมสังคมมาตั้งแต่เป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์ เข้าร่วมขบวนการปฏิวัติในป่าเขายุคหลัง ๖ ตุลาฯ กระทั่งคืนเมืองมาเป็นแอ็กติวิสต์ (activist) ด้านสิ่งแวดล้อมในยุคที่รัฐบาลนำบ้านเมืองไปสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่

ช่วงปี ๒๕๓๔ ขณะที่เขื่อนหลายแห่งถูกวางลงบนภูมิภาคต่าง ๆ ของไทย ตั้งแต่เขื่อนแก่งกรุง (คลองยัน) จังหวัดสุราษฎร์ธานี เขื่อนแก่งเสือเต้น จังหวัดแพร่ รวมทั้งเขื่อนปากมูล ที่จังหวัดอุบลราชธานี  วนิดาเดินทางไปยังโขงเจียม บริเวณที่ถูกกำหนดให้เป็นที่ตั้งสันเขื่อนปากมูล เมื่อได้คุยกับชาวบ้านที่กำลังหาปลาในแม่น้ำมูน เธอก็ “ตัดสินใจว่าต้องร่วมต่อสู้กับชาวบ้านเพื่อรักษาแม่น้ำมูนไว้ให้ได้”

เมื่อธนาคารโลกอนุมัติเงินกู้เพื่อสร้างเขื่อนปากมูลในปี ๒๕๓๖  กฟผ. ก็เริ่มการก่อสร้าง ทั้งที่ข้อเรียกร้องเรื่องค่าชดเชยยังไม่ได้รับการแก้ไข  ชาวบ้านหลายพันคนชุมนุมประท้วงทั้งที่หน้าศาลากลางจังหวัดและที่กรุงเทพฯ แต่ไม่เป็นผล

ต้นเดือนมีนาคม ชาวบ้านกว่า ๔๐๐ คนจึงเข้ายึดอุปกรณ์ก่อสร้างและนอนขวางการระเบิดแก่งในแม่น้ำมูน แล้วถูกสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงโดยเจ้าหน้าที่บ้านเมืองและกลุ่มชายฉกรรจ์ ชาวบ้านในพื้นที่พาวนิดาลงเรือหลบหนี

“เรากลัวมดโดนจับเอาไปฆ่า เลยพาหลบลงเรือพายหนีไปตามแม่น้ำมูน  หลังจากนั้นบางส่วนก็ขึ้นรถโดยสารเข้ามาประท้วงในกรุงเทพฯ เพื่อบอกว่าเกิดอะไรขึ้นที่ปากมูล” สมปอง เวียงจันทร์ หนึ่งในแกนนำชาวบ้านที่นำกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากเขื่อนปากมูลเข้าร่วมขบวนการสมัชชาคนจน

วันรุ่งขึ้น เมื่อไปแจ้งความที่โรงพักเรื่องคนร้ายลอบยิงใส่ผู้ชุมนุม วนิดากับกลุ่มชาวบ้านกลับถูกจับข้อหาก่อความไม่สงบ บุกรุกสถานที่ราชการ ที่ถูกตั้งข้อหามาก่อน รวมทั้งถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์

เขื่อนปากมูลสร้างเสร็จเมื่อปี ๒๕๓๗ ท่ามกลางการประท้วงคัดค้านของชาวบ้าน เกิดการปะทะกันหลายครั้ง ได้รับบาดเจ็บ ถูกจับกุมดำเนินคดี เป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน และได้แนวร่วมจากนักศึกษา นักวิชาการ เอ็นจีโอ ข้าราชการ นักธุรกิจ ฯลฯ อย่างกว้างขวาง  แม้สุดท้ายต่อต้านเขื่อนไม่สำเร็จ แต่ได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ขึ้นในสังคมไทย

ข้อเรียกร้องให้ชดเชยอาชีพประมงของชาวบ้านที่ต้องสูญเสียจากการสร้างเขื่อนได้รับการตอบสนอง โดย กฟผ. ยอมจ่ายค่าชดเชยการสูญเสียทรัพย์สินจากการถูกน้ำท่วมตามจริง และชดเชยการสูญเสียอาชีพประมงตลอด ๓ ปีของการสร้างเขื่อน ครอบครัวละ ๙ หมื่นบาท จำนวน ๓,๑๙๕ ครอบครัว

นับเป็นครั้งแรกที่รัฐยอมชดเชยความเสียหายที่เป็นต้นทุนทางสังคม

 แก่งหิน เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบนิเวศแม่น้ำ และเป็นที่อาศัยของปลา ถูกระเบิดทำลายจากการสร้างเขื่อน  ซึ่งระหว่างการระเบิดชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมานอนขัดขวางแต่ต้านไว้ไม่ได้  ภายหลังจึงพากันมาสืบชะตาแม่น้ำตามวัฒนธรรมความเชื่อของท้องถิ่น 

สมปอง เวียงจันทร์ ชาวประมงปากมูน ที่กลายเป็นแกนนำชาวบ้านต่อสู้คัดค้านเขื่อนปากมูลตั้งแต่ยุคเริ่มโครงการ จนปัจจุบันปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไขจบสิ้น และเธอก็ยังอยู่กับการต่อสู้

ก่อเกิดและการเคลื่อนไหว

ปัญหาราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ ปัญหาป่าไม้-ที่ดิน โครงการสร้างเขื่อนมากกว่า ๑๕ แห่ง โดยเฉพาะเขื่อนปากมูล และที่ยังไม่สร้าง ๖ แห่ง เช่น แก่งเสือเต้น โป่ง ขุนเพชร ลำโดมใหญ่ รับร่อ คลองกราย ล้วนถูกชุมนุมต่อต้านอย่างหนักต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลชาติชาย และรัฐบาลจากคณะรัฐประหาร รสช. จนถึงรัฐบาล ชวน หลีกภัย (ชวน ๑ : ๒๓ กันยายน ๒๕๓๕-๑๓ กรกฎาคม ๒๕๓๘) รัฐบาลต่าง ๆ มักเพียงแต่ส่งตัวแทนมารับข้อเสนอผู้ชุมนุม แต่ไม่ค่อยมีผลในทางปฏิบัติ

กระทั่งเข้าสู่รัฐบาล บรรหาร ศิลปอาชา (๑๓ กรกฎาคม
๒๕๓๘-๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๙) ในปี ๒๕๓๘ ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากแนวนโยบายการพัฒนาของรัฐมีมากขึ้นเรื่อย ๆ และได้บทเรียนที่สำคัญว่าหากไม่มีการรวมตัวจะไม่มีอำนาจต่อรอง

รัฐบาลจะยอมหันมารับฟังข้อเรียกร้องก็ต่อเมื่อมองเห็นจำนวนของผู้มาร้องทุกข์ ผู้ประสบปัญหาด้านต่าง ๆ จึงรวมตัวกันเป็นเครือข่าย

ต่อมาองค์กรประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการของรัฐทั้งในชนบทและในเมือง เช่น สมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน (สกย.อ.), เครือข่ายเกษตรกรรมภาคเหนือ (คกน.), เครือข่ายผู้ประสบภัยจากการสร้างเขื่อน, เครือข่ายผู้ป่วยจากการทำงาน, กลุ่มคนจนเมือง ฯลฯ จัดประชุมครั้งใหญ่ที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๔ ธันวาคม ๒๕๓๘ โดยมีกลุ่มคนจนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ๑๐ ประเทศมาร่วมแลกเปลี่ยนด้วย

สาระสำคัญจากการประชุมคือการได้ข้อสรุปร่วมกันว่าปัญหาต่าง ๆ ล้วนมาจากรากฐานเดียวกัน คือนโยบายการพัฒนาของรัฐที่มุ่งแต่ภาคอุตสาหกรรมและความเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้คนจนตกเป็นเหยื่อของการพัฒนา  การเรียกร้องต่อสู้จึงไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกพื้นที่หรือกรณีปัญหา 

จึงเกิดการรวมตัวกันเป็นสมัชชาคนจน (Assembly of the Poor) ประกาศก่อตั้งในวันสิทธิมนุษยชน ๑๐ ธันวาคม ๒๕๓๘

นิยามตัวเองว่าเป็นเครือข่ายของกลุ่มคนทุกข์ยากเดือดร้อนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายและการพัฒนาที่เหลื่อมล้ำ ผู้สูญเสียวิถีชีวิตปรกติสุขจากสงครามแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้ำ ป่า โดยรัฐและภาคธุรกิจที่กระทำต่อชาวบ้านสามัญทั้งในชนบทและในเมือง สิทธิในการดูแลใช้สอยจัดการทรัพยากรของชุมชนท้องถิ่นถูกละเมิดรุกราน

ทำหน้าที่เป็นองค์กรเชื่อมประสานกลุ่มประชาชนผู้ประสบปัญหาทั้งในชนบทและในเมือง ๖ กลุ่มเครือข่าย ๑๒๑ กรณีปัญหา และเป็นเวทีรวมพลังความร่วมมือสร้างความเข้มแข็งให้กับชาวบ้าน ตามคำขวัญ “ประชาชนต้องเป็นผู้กำหนดแนวทางการพัฒนา” ซึ่งเป็นวรรคหนึ่งในปฏิญญาปากมูล

ยุทธวิธีหลักที่ใช้ในการต่อสู้คือเดินขบวน หรือชุมนุมอย่างสันติ

วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๘ สมาชิกสมัชชาคนจนราว ๕๐๐ คน ได้ออกเดินขบวนเป็นครั้งแรก ไปตามถนนเจริญกรุง มุ่งหน้าสู่โรงแรมโอเรียลเต็ล ยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี บรรหาร ศิลปอาชา ในฐานะประธานอาเซียนซัมมิต ให้หันมาสนใจปัญหาสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม ความยากจน

ต่อมาวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๓๙ ระดมสมาชิกจากทั่วประเทศกว่า ๑ หมื่นคน มาชุมนุมใหญ่ครั้งแรกในกรุงเทพฯ เปิดเวที “มหกรรมทวงสัญญาสมัชชาคนจน” ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล

แต่ละวันของการชุมนุมตลอดเวลา ๒๘ วันต่อเนื่อง มีผู้อยู่ร่วมเวทีราว ๑,๕๐๐ คน

จากที่ก่อนหน้านั้นเคยชุมนุมครั้งละราว ๕๐๐ คน การชุมนุมคนจำนวนมากแบบปักหลักต่อเนื่อง เป็นเรื่องใหม่สำหรับองค์กรชาวบ้านจากต่างจังหวัดที่ต้องวางแผนและปรับตัว ซึ่งได้กลายเป็นโมเดลการจัดชุมนุมประท้วงรูปแบบหนึ่งต่อมาก็ว่าได้

ในที่ชุมนุมมีคณะ “พ่อครัวใหญ่” ที่เป็นตัวแทนชาวบ้านจากแต่ละกรณีปัญหา เป็นหัวขบวนผู้กำหนดทิศทาง ตัดสินใจ วางแผนการต่อสู้ โดยไม่มีใครเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด เพราะเสี่ยงต่อคำกล่าวที่ว่า “ผู้นำเดี่ยวไม่ตายก็ขายตัว” มีนักวิชาการ เอ็นจีโอ เป็นพี่เลี้ยงและที่ปรึกษา

Image

สมัยนั้นเขื่อนอาจนับเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของความเจริญทันสมัย  แต่ก็ถูกต่อต้านจากคนท้องถิ่นที่ต้องสูญเสียทรัพยากรให้กับคันคอนกรีต ยิ่งระดับการกักเก็บมากเพียงใด การสูญเสียพื้นที่ก็ยิ่งทวีคูณ

การกินอยู่ในที่ชุมนุมดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ประหยัดตามความเป็นอยู่ของผู้เข้าร่วม ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เสบียงอาหาร ผู้เข้าร่วมชุมนุมต้องเตรียมมาเองจากชุมชน รวมทั้งรับบริจาคจากองค์กรพันธมิตรในกรุงเทพฯ ในช่วงวันหลัง ๆ ของการชุมนุม  น้ำอาบน้ำใช้ในช่วงแรกสุดอาศัยผลัดเปลี่ยนกันไปอาบที่น้ำพุตามแยก อย่างที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ กระโจมอกนั่งอาบกันกลางแดด

กระทั่งเมื่อรัฐบาลบรรหารรับรองการแก้ปัญหาโดยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อ ๒๒ เมษายน ๒๕๓๙ การชุมนุมจึงสลายตัวชั่วคราว

นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่การเจรจาของขบวนการประชาชนผ่านการรับรองเป็นมติคณะรัฐมนตรี เพื่อให้มีผลสั่งการข้าราชการประจำ ซึ่งเป็นฝ่ายปฏิบัติ

แต่ก็แลกมาด้วยชีวิตของผู้ชุมนุมสองรายที่จากไปในที่ชุมนุม พ่อเหลว นาคูน จากเขื่อนสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี แม่แท่น จันทึก จากกรณีที่ดินอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา

แต่มติคณะรัฐมนตรีไม่เป็นจริงในทางปฏิบัติ การแก้ไขปัญหาถูกหน่วงเหนี่ยวให้ล่าช้าจากระบบราชการท้องถิ่น

ผ่านไป ๓ เดือน ที่ประชุมสมัชชาคนจนจึงเปิดเวที “ทวงสัญญา ๑๐๐ วัน สมัชชาคนจน” ที่หน้าทำเนียบฯ อีกครั้งเมื่อวันที่ ๑๓-๑๙ สิงหาคม ๒๕๓๙ ซึ่งได้ข้อตกลงในการเจรจา แต่ก็ยังคงไม่มีผลในทางปฏิบัติ

วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๓๙ ตัวแทนสมัชชาคนจนกว่า ๓,๐๐๐ คน จึงเข้ามาปักหลักชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาลในกรุงเทพฯ อีก ๒๖ วัน และย้ายไปตามกระทรวงและกรมที่เกี่ยวข้องกับการรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหา เพื่อเรียกร้องให้ข้าราชการปฏิบัติงาน

มีการเจรจาจากรัฐบาลอย่างเป็นทางการหลายครั้ง และมีการออกมติคณะรัฐมนตรี แต่ปัญหาได้รับการแก้ไขลุล่วงเพียงส่วนน้อย  กรณีอื่น ๆ ส่วนใหญ่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลก็ไม่ได้รับการสานต่อ โดยเฉพาะปัญหาเขื่อนปากมูล

๒๕ มกราคม ๒๕๔๐ สมัชชาคนจนกว่าหมื่นคนจัดชุมนุมแสดงพลังครั้งใหญ่และยาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์ ระดมสมาชิกราว ๒ หมื่นคนปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ๙๙ วัน จนถึงวันที่ ๒ พฤษภาคม

เรียกร้องการปฏิบัติที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมของ ๑๒๑ กรณีปัญหา ที่แยกเป็น ๖ กลุ่ม ได้แก่ ป่าไม้-ที่ดิน ๙๒ กรณี, ปัญหาเขื่อน ๑๕ กรณี, โครงการรัฐ ๕ กรณี, ปัญหาสลัม ๗ กรณี, แรงงานผู้ป่วย ๑ กรณี และเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก ๑ กรณี พร้อมเสนอให้รัฐบาลแก้ปัญหาระยะยาวในเชิงกฎหมายและนโยบาย เช่น พ.ร.บ. ป่าชุมชน, พ.ร.บ. ชุมชนแออัด, พ.ร.บ. สิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร, การจัดตั้งศาลปกครอง, นโยบายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมและการปฏิรูปการเมือง

รัฐบาล ชวลิต ยงใจยุทธ (๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๙-๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๐) มีมติให้ชดเชยความเสียหายจากอาชีพประมง จำนวน ๓,๐๘๔ ครอบครัว เนื่องจากหลังสร้างเขื่อนปากมูลปลาลดลงมากจนชาวบ้านไม่สามารถหาเลี้ยงชีพ ต้องสูญเสียอาชีพประมงอย่างถาวร โดยจัดสรรที่ดินให้ครอบครัวละ ๑๕ ไร่ แต่เมื่อไม่สามารถหาที่ดินได้ จึงมีมติให้จ่ายค่าชดเชยเป็นเงินไร่ละ ๓.๕ หมื่นบาท รวมประมาณ ๑.๖ พันล้านบาท

แต่ระหว่างรอค่าชดเชยจนถึงสมัยรัฐบาล ชวน หลีกภัย (ชวน ๒ : ๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๐-๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔) กลับออกมติใหม่ ไม่จ่ายค่าชดเชยให้กับเขื่อนที่สร้างแล้ว

รัฐบาลเคยมีมติ ให้ทดลองเปิดประตูเขื่อนปากมูล ๑ ปี ให้มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีศึกษาเรื่องปลา  ผลการศึกษาของคณะกรรมการกลางระบุว่า การเปิดเขื่อนทั้งปีจะทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม แต่รัฐบาลมีคำสั่งให้เปิดประตูน้ำเขื่อนเพียง ปีละ ๔ เดือน เป็นความผิดหวังครั้งใหญ่ของสมัชชาคนจน

การคัดค้านเขื่อนปากมูลเริ่มขึ้นในพื้นที่ตั้งแต่รู้ว่ามีโครงการเมื่อปี ๒๕๓๔  แต่ในที่สุดเขื่อนก็ถูกผลักดันจนสร้างเสร็จในปี ๒๕๓๗

ในเดือนมีนาคม ๒๕๔๒ ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากเขื่อนปากมูลและเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาของรัฐอีกอย่างน้อยหกกรณีปัญหา เช่น เขื่อนสิรินธรและเขื่อนห้วยละห้า จังหวัดอุบลราชธานี เขื่อนลำคันฉูและเขื่อนโป่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ เป็นต้น รวมกว่า ๒,๐๐๐ คน รวมตัวกันกลับมายึดเขื่อนปากมูลอีกครั้ง สร้างบ้านชั่วคราวราว ๓๐๐ หลัง ตั้งหมู่บ้านแม่มูนมั่นยืนบนสันเขื่อน เป็นชุมชนปฏิบัติการสันติวิธี และภาพสะท้อนความล้มเหลวของนโยบายการพัฒนาของรัฐ

เรียกร้องการเปิดประตูน้ำเขื่อน ให้ปลาในแม่น้ำโขงสามารถเข้ามาวางไข่ในแม่น้ำมูน เป็นการฟื้นฟูอาชีพประมงและวิถีชีวิตกลับคืนมา หากรัฐไม่ยอมจ่ายค่าชดเชย

ต้นฤดูฝนปี ๒๕๔๓ เข้ายึดโรงไฟฟ้าเขื่อนปากมูล เรียกร้องให้เปิดประตูทั้งแปดบานเพื่อให้ปลาขึ้นวางไข่ กระทั่งมีการตั้งคณะกรรมการกลางแก้ปัญหาสมัชชาคนจน ซึ่งมีมติเสนอให้เปิดประตูน้ำ ๔ เดือนเพื่อศึกษา แต่รัฐบาลไม่ปฏิบัติ

ต่อมาสมาชิกบางส่วนขึ้นรถไฟชั้นสาม “โดยไม่ซื้อตั๋ว” เดินทางมาปักหลักชุมนุมประท้วงยืดเยื้อที่หน้าทำเนียบรัฐบาลให้คนเมืองรับรู้ปัญหาเขื่อนปากมูล

วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๔๓ ปีนเข้าทำเนียบฯ เพื่อกดดันรัฐบาลให้แก้ปัญหาคนจน 

“ก่อนเอาไม้ไผ่พาดปีนทำเนียบฯ ก็เตรียมรังมดแดงไว้ไล่หมาของตำรวจ เพราะหมากลัวมดแดงที่สุด โยนรังมดแดงไปก่อน คนไปทีหลัง” ตามคำเล่าของ ทองเจริญ สีหาธรรม ผู้เฒ่าที่เป็นแกนนำอีกคนของกลุ่มชาวบ้านปากมูน

แต่อาจเพราะเป็นสุนัขพันธุ์ฝรั่งหรือเพราะได้รับการฝึกมาอย่างเข้มแข็ง เหตุการณ์คราวนั้นจึงนำไปสู่ความเศร้าสลดใจของผู้ที่ได้รับรู้  ชาวบ้านสมัชชาคนจนทั้งผู้หญิงผู้ชายหลายคนถูกสุนัขตำรวจกัดบาดเจ็บที่ทำเนียบรัฐบาล อีก ๒๒๖ คนถูกจับกุม

รัฐบาลถูกสังคมร่วมกดดันติเตียน จนนำมาสู่การจัดเวทีสาธารณะที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้คนจนผู้ทุกข์ยากได้พูดถึงปัญหาความเดือดร้อนของตัวเองต่อสาธารณชนอีกครั้ง โดยมีคนในคณะรัฐบาลนั่งแลกเปลี่ยนร่วมโต๊ะในเวทีเดียวกันนี้ด้วย

“ชาวบ้านที่เคยกลัวข้าราชการกล้าลุกขึ้นมาพูด กล้าเถียงได้แม้กระทั่งรัฐมนตรี” ประสบการณ์ของ สมปอง เวียงจันทร์ “เราพูดถึงตัวเองว่าเราอยู่ยังไง กินยังไง ทุกวันนี้เรามีปัญหาอะไร เราสูญเสียอะไร”

กระทั่งเข้าสู่ยุครัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร (๑๗ กุมภาพันธ์
๒๕๔๔-๑๙ กันยายน ๒๕๔๙) ที่มีคนเดือนตุลาฯ ซึ่งเคยมีอุดมการณ์ร่วมอยู่ในคณะรัฐบาล เป็นที่คาดหวังว่าจะช่วยแก้ปัญหาคนจน

ปี ๒๕๔๔ รัฐบาลทักษิณมีมติให้ทดลองเปิดประตูเขื่อนปากมูล ๑ ปี ให้มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีศึกษาเรื่องปลา

ผลการศึกษาของคณะกรรมการกลางระบุว่า การเปิดเขื่อนทั้งปีจะทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม

แต่รัฐบาลทักษิณที่เคยเป็นความหวังของคนจนมีคำสั่งให้เปิดประตูน้ำเขื่อนปากมูลเพียงปีละ ๔ เดือน เป็นความอกหักผิดหวังครั้งใหญ่ของชาวสมัชชาคนจน

ต่อมาวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๕ อันธพาลบุกเผาหมู่บ้านแม่มูนมั่นยืนบนสันเขื่อนปากมูลวายวอด

ต้นปี ๒๕๔๖ สมัชชาคนจนมาปักหลักชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล เรียกร้องให้รัฐบาลปฏิบัติตามผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ให้เปิดประตูน้ำเขื่อนปากมูลถาวร

แล้วในวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๖ ผู้ว่าฯ กทม. สมัคร สุนทรเวช ก็นำเจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุม แกนนำถูกฟ้องร้องดำเนินคดีหลายข้อหา

ชาวบ้านปากมูลต้องล่าถอยกลับถิ่นฐานไปแบบพ่ายแพ้ผิดหวังในข้อเรียกร้อง แต่ภายในใจพวกเขารู้ว่าการต่อสู้ทุกครั้งคือการสั่งสมประสบการณ์

เขื่อนปากมูลสร้างผลกระทบให้ชาวบ้านหลายพันครอบครัว  จากการชุมนุมคัดค้านกลายเป็นการเรียกร้องค่าชดเชย ซึ่งต้องยกขบวนกันเข้ามากรุงเทพฯ ในภาพหน้าขวาเป็นการชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาล

Image

หลักหมายสังคมไทย 
ประชาธิปไตยที่กินได้

“...เป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์การเมืองภาคประชาชนที่คนเล็ก ๆ ได้รวมพลังผ่าน ‘การเมืองบนท้องถนน’ การเมืองภาคประชาชนของสมัชชาคนจนคือการสร้างสรรค์และจรรโลง ‘ประชาธิปไตยที่กินได้ การเมืองที่เห็นหัวคนจน’ เปิดพื้นที่กลไกการมีส่วนร่วมในกระบวนนโยบายสาธารณะรับรองสิทธิชุมชน” ผศ.ดร. ประภาส ปิ่นตบแต่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่คลุกคลีอยู่กับการเคลื่อนไหวภาคประชาชนมาตลอด พูดถึงขบวนการสมัชชาคนจน

“เราอ่อนแอลงมากในสมัยรัฐบาลทักษิณ ซึ่งเขามองคนจนเป็นกลุ่มเป้าหมาย รัฐบาลนี้ได้ทำเรื่องบัตรทอง กองทุนหมู่บ้าน ซึ่งชาวบ้านได้ประโยชน์มาก ทำให้ชาวบ้านมีความหวังว่าเขาจะช่วยแก้ปัญหาให้ จึงได้ไปลงทะเบียนตามนโยบายของเขาและออกจากขบวนไป”

บารมี ชัยรัตน์ นักกิจกรรมสังคม ที่เป็นคนหนึ่งในทีมที่ปรึกษาสมัชชาคนจนตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงตอนนี้พูดถึงช่วงอ่อนแรงของสมัชชาคนจน

“ช่วงปลายรัฐบาลทักษิณเริ่มมีความขัดแย้งทางการเมืองเป็นเหลือง-แดง ในสมัชชาคนจนเองก็แบ่งเป็นสองฝ่าย แต่ที่ประชุม ‘พ่อครัวใหญ่’ มีมติไม่เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเรื่องที่พ่อครัวใหญ่ตัดสินใจกันเอง ผมเป็นที่ปรึกษาไม่ได้อยู่ในวงประชุม ได้แต่รับทราบมตินั้น  พอมีรัฐประหาร ๒๕๔๙ เราออกมาคัดค้านและไม่ร่วมร่างรัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ แต่ยังมีการเจรจากับรัฐบาล สุรยุทธ์ จุลานนท์ แต่ก็ไม่ได้อะไร พอมีรัฐบาลใหม่เราก็ไม่ได้ออกมาชุมนุมอีก เพราะเราวิเคราะห์แล้วว่าออกมาชุมนุมก็จะไม่ได้ผลอะไร มิหนำซ้ำยังอาจจะถูกกล่าวหาหรือถูกลากไปเป็นฝ่ายนั้นฝ่ายนี้อีก แต่ก็มีสมาชิกสมัชชาคนจนบางส่วนไปร่วมเคลื่อนไหวกับทั้งฝ่ายพันธมิตรฯ และฝ่ายแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พอรัฐประหารปี ๒๕๕๗ นี่ คสช. ใช้อำนาจเผด็จการเต็มรูปแบบ พวกเราประกาศไม่สังฆกรรมกับรัฐบาลเผด็จการทหารเลย เราหยุดเคลื่อนไหว หันมาค้านรัฐประหารเพียงอย่างเดียว  เริ่มเคลื่อนไหวอีกทีปี ๒๕๖๒ สมัยรัฐบาล ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มาจากการเลือกตั้ง”

บารมีให้ข้อสรุปความเป็นสมัชชาคนจนว่า “เป็นเครือข่ายของเครือข่าย” ที่รวบรวมปัญหาของคนจน เป็นการร่วมต่อสู้ที่นำเสนอหลายประเด็น ขณะเดียวกันแต่ละกลุ่มมีอิสระในการเคลื่อนไหวของตัวเอง

“ปัจจุบันสมัชชาคนจนปรับตัวหลายเรื่อง แต่เรายังเป็นองค์กรชาวบ้าน ไม่ใช่องค์กรล้มล้างรัฐบาล แต่เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาของเรา ไม่ว่าใครมาเป็นนายกฯ ถ้ามีประเด็นเราก็ต้องมาชุมนุม  ตอนนี้เหลืออีกประมาณ ๖๐ กรณีปัญหาที่รอการแก้ไข บางเรื่องผู้เดือดร้อนคนเดียวก็มี ที่เป็นกลุ่มใหญ่ ๆ คือเรื่องเขื่อนแก่งเสือเต้น ราษีไศล ปากมูล หัวนา”

เมื่อย้อนมองคุณูปการที่ส่งผลต่อภาพรวม บารมีมองว่าสมัชชาคนจนได้สร้างการเรียนรู้เรื่องสิทธิเสรีภาพ

รวมถึงในประเด็นที่เกี่ยวกับประโยชน์สาธารณะ

“การตื่นตัวเรื่องรัฐธรรมนูญสีเขียว ปี ๒๕๔๐ เรื่องสิทธิชุมชน ประชาชนต้องมีอำนาจในการจัดการทรัพยากร เรื่องการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐนี่ สมัชชาคนจนมีส่วนร่วมชูเรื่องนี้ขึ้นมา”

กับอีกเรื่อง

“สมัชชาคนจนบอกสังคมว่า การแก้ปัญหาหลาย ๆ เรื่องไม่ได้อยู่ที่สภา ที่รัฐบาลเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่อำนาจต่อรองของประชาชนด้วย ขบวนการประชาชนต้องเข้มแข็งพอ ไม่งั้นทำอะไรไม่ได้  สมัชชาคนจนเป็นเชื้อให้คนหลาย ๆ กลุ่มเห็นว่าการเรียกร้องต้องออกมาแสดงตัวบนถนน  ทุกวันนี้กำลังพลเราน้อยลง อีกอย่างเราชุมนุมยืดเยื้อเหมือนเดิมไม่ได้”

สอดคล้องกับความเห็นของ สมปอง เวียงจันทร์ แกนนำต่อต้านเขื่อนปากมูลที่เล่าถึงสิ่งที่เรียนรู้จากการร่วมอยู่ในขบวนการต่อสู้มากว่า ๓๐ ปี

จากปลายน้ำมูนในอุบลราชธานี ย้อนขึ้นไปทางศรีสะเกษ มีเขื่อนสำคัญบนลำมูนอีกสองแห่งที่สร้างปัญหาใหญ่หลวงให้คนท้องถิ่นไม่น้อยกว่าที่ปากมูล และกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบก็เข้าเรียกร้องต่อสู้ร่วมกับสมัชชาคนจน

“แม่เป็นเครือข่ายผู้เดือดร้อนราษีไศลตั้งแต่ปี ๒๕๓๖ เมื่อปี ๒๕๔๐ ได้รับค่าชดเชย ส่วนหนึ่งออกไป อีกส่วนยังอยู่กับเรา แล้วก็ยังมีคนที่ยังไม่ได้รับค่าชดเชย เราก็พาเรียกร้อง ได้รับชดเชยปีละ ๒๐-๓๐ คน ต้องติดตามให้พี่น้อง ตอนหลังรวมกับเขื่อนหัวนาด้วย”

Image

ภาพ : บันสิทธิ์ บุณยะรัตเวช

คำเล่าของ ผา กองธรรม หรือที่เรียกกันว่าแม่ใหญ่ผา ผู้นำเครือข่ายราษีไศล ซึ่งเป็นกรณีปัญหาหนึ่งในเครือข่ายเขื่อนในขบวนการสมัชชาคนจน

“ล่าสุดเดือนตุลาคม ๒๕๖๖ มาชุมนุมที่กรุงเทพฯ ตอนนี้ของสมัชชาคนจนเหลือ ๑๗๓ ราย ต้องติดตามให้พี่น้อง  เดิมกรมพัฒนาพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ บอกว่าเขื่อนราษีไศลท่วมที่นา ๓.๕ หมื่นไร่ แต่เมื่อเขื่อนมาอยู่กับกรมชลประทาน บอกว่าถึงตอนนี้จ่ายค่าชดเชยไปแล้ว ๙ หมื่นกว่าไร่ เป็นเงิน ๒ พันกว่าล้านบาท ตอนก่อสร้างเขื่อนลงทุน ๘๐๐ กว่าล้าน

“ปัจจุบันได้รับค่าชดเชยราว ๙๐ เปอร์เซ็นต์แล้วละ” แม่ผาพูดถึงการจ่ายค่าชดเชย

“เหลืออีกแค่ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าจ่ายครบปัญหาจบไหม”

“จบ แต่มีเรื่องค้างอยู่ ต้องศึกษาผลกระทบทางสังคม ควรประเมินความคุ้มค่าของเขื่อนทุก ๕ ปี  การสูญเสียอาชีพของพี่น้องเป็นมูลค่าปีละเท่าไร เขื่อนจะอยู่ยาวไปถึงไหน และควรฟื้นฟูชีวิตพี่น้องให้อยู่ดีกินดีในอนาคต สู้เรื่องนี้มา ๑๓ ปี กรมชลฯ ยังไม่ให้ เขาบอกไม่มีระเบียบ”

“รื้อเขื่อนเลยดีไหม ค่าก่อสร้าง ๘๐๐ ล้าน แต่ชดเชยไปแล้ว ๒ พันล้าน ยังไม่จบ”

“ถ้ารื้อได้ ดี สู้ครั้งแรกเราไม่เอาเขื่อน จะเอานาเราคืน เอาเขื่อนออกไป เอานาเรามา ต่อสู้มานับ ๓๐ ปี เราได้เรียนรู้ว่าผลกระทบไม่ใช่อยู่ชั่วครั้งคราว อยู่ไปชั่วลูกหลาน และความเสียหายใหญ่ที่สุดคือความแตกร้าวในชุมชน คนที่เห็นต่าง ขัดแย้งกัน มองผลประโยชน์แตกต่างกัน  ถ้าพ่อไม่สู้ ลูกไม่เรียกกินข้าว บางบ้านถ้าลูกไม่สู้ พ่อก็ไม่เห็นด้วย ญาติพี่น้องเห็นต่างกัน”

หลังได้ค่าชดเชยมาบ้างแล้ว ในปี ๒๕๕๓ กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากเขื่อนราษีไศลจึงจดทะเบียนเป็นสมาคมคนทาม

“ได้เงินมาแล้วทุกคนก็ไม่เหลือเงิน คนก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แผนการฟื้นฟู ทำกิจกรรมแล้วการแตกร้าวในชุมชนดีขึ้น มีการติดตามประเมินผล อาชีพ ปลูกป่า ทรัพยากร ประมง การอนุรักษ์วังปลา  อยากให้ประชาชนมีส่วนได้จากแผนการฟื้นฟู  เราทำนาปลอดสาร สร้างตลาดขึ้นมา ตอนนี้มีตลาดสีเขียว ขายของปลอดสาร อาหารปลอดภัย”

“ทางออกอย่างยั่งยืนควรเป็นอย่างไร”

“ตามที่วางแผนไว้ พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีวิสาหกิจชุมชนผลผลิต ไม่ต้องพึ่งตลาดทั้งหมด เราสร้างตลาดสีเขียวร่วมกับส่วนราชการในราษีไศล  ส่งเสริมการท่องเที่ยวเกษตรผสมผสาน การคัดเมล็ดพันธุ์  การทำนาหนีน้ำ นาแห้งสลับเปียก  เที่ยวป่าชุมชน วังปลา เรียนรู้กระบวนการต่อสู้ กินข้าวใหม่ปลามูน”

ยุทธวิธีและรูปแบบการจัดตั้งขบวนการเคลื่อนไหวรูปแบบหนึ่งอาจสอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์สังคมในยุคสมัยหนึ่ง ซึ่งเปลี่ยนผ่านและต่างก็มีการปรับตัวอยู่เสมอ สมัชชาคนจนขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชนที่เกรียงไกรเป็นหลักหมายหนึ่งของสังคมไทยในยุคส่งเสริมการพัฒนาที่ไม่เห็นหัวคนจน ถูกกร่อนกำลังให้อ่อนแรงลงมาตั้งแต่ยุคนโยบายประชานิยม รวมทั้งบางส่วนที่ข้อเรียกร้องได้รับการแก้ไขก็ออกจากขบวนไป ความไม่เป็นหนึ่งเดียวเหนียวแน่นทำให้การออกมาต่อสู้เรียกร้องไม่โดดเด่นมีพลังดังแต่ก่อน  ตามธรรมชาติของการเคลื่อนไหวภาคประชาชน ที่ความแข็งแกร่งและอำนาจต่อรองของขบวนขึ้นอยู่กับจำนวนมวลชนเป็นสำคัญ

ความหวังถึงการร่วมกำหนดแนวทางการพัฒนาในระดับประเทศของขบวนการประชาชนในยุคนี้เป็นภาพใหญ่ที่ต้องอาศัยปัจจัยหลากหลายและอาจมีช่วงเวลายาวนาน การกำหนดอนาคตตนเองในวิถีประจำวันของคนในชุมชนที่ทำได้ทันที และอาจโดยหนทางนี้ที่จะนำขบวนประชาชนคนชั้นรากหญ้าฝ่าวิกฤตการณ์ในยุคสมัยนี้ไปได้ทันทีในภาวะเฉพาะหน้า

อ้างอิง
บุญเลิศ วิเศษปรีชา. “กว่าจะเป็น ‘สมัชชาคนจน’” ใน สารคดี ฉบับที่ ๑๓๕ เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๙.

วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์. “วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ คนเล็ก ๆ ผู้ไม่ยอมจำนน” ใน สารคดี ฉบับที่ ๒๘๐ เดือนมิถุนายน ๒๕๕๑.

วันดี สันติวุฒิเมธี. “บนถนนนักสู้ ‘สมัชชาคนจน’” ใน สารคดี ฉบับที่ ๑๔๖ เดือนเมษายน ๒๕๔๐.

ออนไลน์
ปรัชญเกียรติ ว่าโร๊ะ. “มหากาพย์การต่อสู้เครือข่ายตาปี-พุมดวง สกัดผีดิบแก่งกรุง” สืบค้นจาก https://deepsouthwatch.org/th/dsj/2243

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต. “เขื่อนราษีไศล : ความจริง ความขัดแย้ง และทางออก” สืบค้นจาก https://www.livingriversiam.org/th/component/content/article/kheuxn-rasisil-khwam-cring-khwam-khad-yaeng-laea-thangxxk?catid=49&Itemid=101

Image

สมัชชาคนจน เป็นการรวมตัว
ของชาวบ้านผู้เดือดร้อนจาก

๑๒๑ กรณีปัญหา
แยกเป็น ๖ กลุ่ม ได้แก่

ป่าไม้-ที่ดิน ๙๒ กรณี ปัญหาเขื่อน ๑๕ กรณี
โครงการรัฐ ๕ กรณี ปัญหาสลัม ๗ กรณี
แรงงานผู้ป่วย ๑ กรณี
และเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก ๑ กรณี

เขื่อนปากมูล สร้างกั้นปากแม่น้ำมูน คำนวณ
งบก่อสร้าง ๓,๐๐๐ ล้านบาท แต่ใช้จริง

๖,๐๐๐ ล้านบาท
กำลังการผลิตไฟฟ้า ๑๓๖ เมกะวัตต์
พอใช้สำหรับห้างสรรพสินค้า
ขนาดใหญ่เพียง ๑ แห่ง

หลังเปิดใช้เขื่อนราว ๗ ปี ผลการศึกษาของคณะกรรมการกลางระบุว่าการเปิดเขื่อนทั้งปีจะเกิดประโยชน์กว่าการใช้เขื่อน  แต่รัฐบาลมีคำสั่งให้เปิดเพียงปีละ ๔ เดือน

จากการต่อสู้เรียกร้อง
ชาวบ้านปากมูน ๓,๑๙๕ ครอบครัว
ได้รับค่าชดเชยการสูญเสีย
อาชีพประมงครอบครัวละ

๙ หมื่นบาท

เขื่อนราษี ไศล สร้างกั้นแม่น้ำมูนตอนกลาง
ซึ่งบางช่วงกว้างถึง ๗-๘ กิโลเมตร ทำให้น้ำ
เอ่อท่วมขึ้นไปจากสันเขื่อนกว่า ๘๐ กิโลเมตร

ท่วมพื้นที่ทำกินของชาวบ้านกว่า ๙ หมื่นไร่  
จ่ายค่าชดเชยไปแล้ว
๒ พันกว่าล้านบาท  

ตอนสร้างเขื่อนใช้งบ ๘๐๐ กว่าล้าน

การชุมนุมใหญ่ครั้งแรก

“มหกรรมทวงสัญญา
สมัชชาคนจน”

๓๐ มีนาคม ๒๕๓๙ ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล สมาชิกกว่า ๑ หมื่นคน  ตลอดการชุมนุม ๒๘ วันต่อเนื่อง มีผู้อยู่ร่วมเวทีราว ๑,๕๐๐ คน

การชุมนุมครั้งใหญ่และยาวนานที่สุด

มวลชนราว ๒ หมื่นคน
ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ๙๙ วัน

ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม ๒๕๔๐

การชุมนุมปี ๒๕๔๓

ม็อบสมัชชาคนจนปีนรั้วเข้าทำเนียบฯ
๒๒๖ คนถูกจับกุม

อีกหลายคนถูกสุนัขตำรวจกัดได้รับบาดเจ็บ