เมื่อคนรากหญ้าลุกขึ้นมา
กำหนดอนาคตตนเอง
เรื่อง : วีระศักร จันทร์ส่งแสง
นับได้ว่าเป็นหลักหมายหนึ่งของยุคสมัย
การปรากฏตัวของขบวนการประชาชนคนรากหญ้าที่รวมตัวกันเคลื่อนไหวเรียกร้องตามสิทธิ์เสียงของตน ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ ๒๕๓๐
คงมาจากการบรรจบกันพอดีของปัจจัยเงื่อนไขแห่งยุคสมัย ซึ่งผ่านพ้นมาจากยุค “ป่าแตก” นักคิดนักกิจกรรมสังคมได้ออกมาเคลื่อนไหวสู้ต่อในบ้านในเมืองแบบเปิดเผย ขณะที่บ้านเมืองเพิ่งมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง หลังยุคนายกฯ “คนนอก” มายาวนาน
แต่รัฐบาลชุดนี้ก็ได้ร่วมกับกลุ่มทุนทั้งในประเทศจนถึงระดับโลก ตามที่กล่าวกันว่าเป็นยุคโลกานุวัตร วางแนวทางการพัฒนาประเทศไปสู่อุตสาหกรรม ซึ่งกอบโกยและทำลายฐานทรัพยากรของท้องถิ่น ทำให้ชาวบ้านรากหญ้า ผู้คนในท้องถิ่นที่ด้อยโอกาสกว่า ตกเป็นเหยื่อของการพัฒนา ถูกแย่งชิงทรัพยากรไปจากท้องถิ่นที่เคยเป็นแหล่งอาหารและรายได้ยังชีพ
จนถึงจุดหนึ่งผู้ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาเหล่านั้นจึงรวมตัวกันออกมาต่อสู้ ปกป้องสิทธิ์ และเรียกร้องการรับผิดชอบจากรัฐ ผู้กำหนดทิศทางการพัฒนาที่ผิดพลาด
การปรากฏตัวของสมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน (สกย.อ.) เมื่อปี ๒๕๓๕ นับเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่สังคมได้รู้จักคำว่า “ม็อบชาวบ้าน” แล้วติดตามมาด้วย “สมัชชาคนจน” ที่สร้างความสะเทือนทั้งต่อรัฐบาลและความรับรู้ของสังคม เกี่ยวกับชะตากรรมของชาวบ้านที่ถูกกระทำให้ทุกข์ยากเดือดร้อนจากการพัฒนาที่ไม่เคารพสิทธิ์เสียงของชุมชน
ขบวนร้องทุกข์ของคนรากหญ้าได้ความร่วมมือและการขานรับจากหลายฝ่ายที่เข้าใจปัญหาและเห็นอกเห็นใจชาวบ้าน ทั้งสื่อมวลชน เอ็นจีโอ นักวิชาการ ขณะเดียวกันในขบวนชุมนุมและพื้นที่เคลื่อนไหวก็เป็นภาคสนามให้หลายงานวิจัย และเป็นพื้นที่ศึกษาสังคมนอกห้องเรียนของบรรดานักศึกษา ในยุคที่กิจกรรมนักศึกษาเริ่มหันเหจากการสงเคราะห์ บำเพ็ญประโยชน์ มาสู่การศึกษาสังคมเพื่อร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลง
เข้าสู่ทศวรรษ ๒๕๔๐ สมัชชาคนจนเป็นเครือข่ายใหญ่ของกลุ่มชาวบ้านผู้เดือดร้อนมากกว่า ๑๐๐ กรณีปัญหา ยังไม่นับรวมอีกหลายกรณีปัญหาที่ไม่รวมอยู่ในสมัชชาคนจนซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ เช่น คลองด่าน จะนะ บ่อนอก บ้านกรูด กลุ่มชาติพันธุ์ ชาวประมงพื้นบ้าน เป็นต้น ซึ่งประกอบรวมกันเป็นขบวนการประชาชนที่สะท้อนภาพการลุกขึ้นมามีสิทธิ์เสียงของตน และร่วมกำหนดอนาคตของประเทศในภาพรวม มีพลังอำนาจต่อรองที่รัฐต้องรับฟัง รวมทั้งมีส่วนร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงและผลักดันการวางกรอบเกณฑ์กติกาสังคม แนวทางการพัฒนา ระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ ทรัพยากร โครงการการพัฒนา ฯลฯ
แล้วกลับราแรงลงในยุครัฐบาลประชานิยมเสียงข้างมาก ที่มองเห็นคนจนเป็นกลุ่มเป้าหมาย บางกรณีของกลุ่มผู้เรียกร้องได้รับการตอบสนอง แต่อีกน้อยถูกอำนาจเบ็ดเสร็จของรัฐทำให้ดูขาดความชอบธรรม
ขณะสถานการณ์ สภาพแวดล้อม เงื่อนไขทางสังคมเคลื่อนไหลไปตามยุคสมัย การใช้พลังมวลชนชุมนุมยืดเยื้อเรียกร้องกดดันการแก้ปัญหาความเดือดร้อน อาจไม่ใช่ยุทธวิธีที่ตอบโจทย์เบ็ดเสร็จเสมอไป
แต่การที่ชุมชนแสดงพลัง รวมพลังมวลชนเคลื่อนไหวต่อต้าน ก็ยังเป็นยุทธวิธีหนึ่งที่ใช้กันอยู่ในหมู่ชุมชนที่จำต้องแสดงพลังต่อต้านคัดค้านโครงการพัฒนาของรัฐที่รุกรานรบกวนชุมชนท้องถิ่น อย่างการคัดค้านโครงการแลนด์บริดจ์ข้ามคาบสมุทรที่กำลังเป็นกรณีร้อนแรงในขณะนี้
การก่อเกิดและดำเนินไปของขบวนการประชาชนตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ คงไม่ใช่องค์การขบวนการในลักษณะอริที่มุ่งแต่จะคัดง้างหรือล้มล้างรัฐ ทว่าเป็นการลุกยืนของคนยากไร้ ผู้เดือดร้อนที่ต้องการเรียกร้องหรือทวงคืนสิทธิของตน ซึ่งมักเชื่อมโยงส่งผลถึงสิทธิประโยชน์ของสังคมส่วนรวมด้วย โดยเฉพาะในหมู่คนธรรมดาสามัญซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ตามคำขวัญอันเป็นเจตนารมณ์ของสมัชชาคนจนที่ว่า “ประชาชนต้องเป็นผู้กำหนดแนวทางการพัฒนา”
อุดมการณ์ที่มุ่งหมายว่าจะนำไปสู่ประชาธิปไตยที่กินได้
ความเป็นธรรมในสังคมซึ่งเริ่มต้นจากการมีส่วนร่วม