Image

มองจากทางเดินเชื่อมระหว่างพระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์กับพระที่นั่งสมุทรพิมาน หันหน้าออกทางชายทะเล ขวามือในภาพคือพระที่นั่งสมุทรพิมานกับทางเดินไปศาลาลงสรงฝ่ายหน้า  ทางซ้ายมือของภาพคือต้นเกด (Manilkara hexandra) พันธุ์ไม้ดั้งเดิมของพื้นที่สันทรายชายหาด อยู่กลางพื้นถนนวงเวียน ซึ่งได้รับการขุดรื้อพื้นปูนที่ก่อสร้างทับในสมัยหลังออกจนหมด เพื่อให้เห็นระดับพื้นถนนเดิมของพระราชนิเวศน์มฤคทายวันตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖

พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน
พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

๑๐๐ ปี วันสวรรคต
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

เรื่อง : อิทธิกร ศรีกุลวงศ์ 
ภาพ : ประเวช ตันตราภิรมย์

เมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพร้อมคณะผู้ติดตามเดินทางออกจาก “พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน” พระราชฐานที่ประทับฤดูร้อน ณ ตำบลห้วยทรายเหนือ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี กลับกรุงเทพฯ หลังเสร็จสิ้นการเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปประทับแรมที่ดำเนินมาตั้งแต่เดือนเมษายน

ในวันนั้นจะมีใครทราบหรือไม่ว่านี่จะเป็นการเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปประทับแรมครั้งสุดท้ายของพระองค์ แม้พระราชนิเวศน์ฯ จะเพิ่งสร้างเสร็จเพียงปีเศษ ๆ เนื่องจากในเดือนกันยายนปีเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๔๖๘ เพียง ๑ วัน หลังจากพระประสูติการของสมเด็จฯ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี

แม้ในบันทึกลำดับเวลาทางประวัติศาสตร์ พระราชนิเวศน์มฤคทายวันอาจเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงสองฤดูร้อนจาก ๔๕ พรรษาของพระองค์ แต่ก็อาจเป็นหลักฐานที่เป็นรูปธรรมของวิธีคิด ความเชื่อ องค์ความรู้ หลักการอุดมการณ์ และเจตนารมณ์ ในช่วงท้ายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖

พุทธศักราช ๒๕๖๐ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน พระราชทานโฉนดที่ดินในค่ายพระรามหก
(ซึ่งอยู่ในเขตพระราชฐานพระราชนิเวศน์มฤคทายวันเดิม) อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี จำนวน ๒๓ แปลง เนื้อที่ ๑,๒๔๔ ไร่ ๒๔.๒ ตารางวา แก่แผ่นดิน ภายใต้การดูแลของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง เพื่อใช้เป็นสถานที่ทำงานของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนและพิพิธภัณฑ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

เนื่องในวาระ ๑๐๐ ปีวันคล้ายวันสวรรคต เรากลับไปเยือนพระราชนิเวศน์มฤคทายวันซึ่งปัจจุบันจัดตั้งเป็น “พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว” เพื่อแกะรอยอดีตว่าเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน ทรงริเริ่มก่อร่างสร้างสิ่งใดไว้ที่นี่ และคนในยุคสมัยนี้จะเรียนรู้และรักษามรดกนี้ไว้ได้อย่างไร

Image

พระราชนิเวศน์มฤคทายวันเป็นหมู่พระที่นั่งยกใต้ถุนสูงด้วยเสาปูนทั้งหมด ทำให้ชั้นล่างของเรือนโปร่งโล่งไร้กำแพง ชั้นบนเป็นไม้ หลังคามุงกระเบื้องว่าวซีเมนต์สีแดง  ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของมูลนิธิพระราชนิเวศน์มฤคทายวันในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี

scrollable-image
scrollable-image

ราวทางเดินไม้เชื่อมเรือนหมู่พระที่นั่งทาใหม่ด้วยสีเขียวมะกอก ซึ่งมาจากการศึกษาว่าเป็นสีดั้งเดิมของอาคาร ไม่ใช่สีเหลือง-ฟ้าที่ทาทับภายหลัง ลักษณะสถาปัตยกรรมเปิดโล่งให้ลมทะเลพัดผ่าน เพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวกและลดความชื้นสะสม เหมาะแก่การเป็นสถานที่ทะนุบำรุงสุขพลานามัยของรัชกาลที่ ๖ 

พิพิธภัณฑ์
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

หลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชนิเวศน์ฯ ก็ถูกละไว้โดยไม่มีหน่วยงานรับผิดชอบดูแลรักษาโดยตรง ต่อมาถูกใช้เป็นสถานฝึกอบรมกำลังพลตำรวจตระเวนชายแดนเพื่อปราบปรามการก่อการร้ายและการแผ่อิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ ตั้งแต่ปี ๒๔๙๐ เป็นศูนย์ฝึกอบรมข้าราชการตำรวจตามหลักสูตรการรบพิเศษ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และกองกำลังสนับสนุนทางอากาศ ส่วนหนึ่งของค่ายนเรศวร ปี ๒๕๐๘ และค่ายพระรามหกในปี ๒๕๒๓

“พระราชนิเวศน์ฯ ถูกปรับเปลี่ยนไปมาก ตามลักษณะการใช้สอยและโครงการต่าง ๆ  อาคารเดิมถูกรื้อออกเส้นทางถนนเดิมถูกปรับเปลี่ยน มีการก่อสร้างโครงสร้างแข็งบนหาดทราย ซึ่งในบันทึกมีกล่าวว่าหาดทรายที่นี่ขาวสะอาดสุดลูกหูลูกตา  ระบบนิเวศแบบสันดอนทรายชายฝั่งที่มีน้ำจืดเป็นน้ำซับอยู่ข้างใต้ มีสังคมพืชป่าชายหาดอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ ก็ถูกเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งในบันทึกของจมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช) ระบุว่ามีต้นข่อย มะนาวผี แจง กุ่มบก เป็นต้น และยังบันทึกว่า ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ทรงให้รักษาธรรมชาติของป่าดั้งเดิมในอาณาเขตพระราชฐานพระราชนิเวศน์มฤคทายวันไม่ให้แผ้วถางจัดแต่งภูมิทัศน์แต่อย่างใด” เกล้ามาศ ยิบอินซอย ผู้อำนวยการสำนักงานมูลนิธิพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เล่าถึงสภาพพระราชนิเวศน์ฯ ในวันที่เธอเข้ามาดูแลพื้นที่นี้เมื่อปี ๒๕๔๘

เกล้ามาศเล่าว่าการบูรณะพระราชนิเวศน์ฯ นั้นเริ่มจากกรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนหมู่พระที่นั่งพระราชนิเวศน์
มฤคทายวันเป็นโบราณสถานแห่งชาติในปี ๒๕๒๔ และในปี ๒๕๓๖ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนจัดตั้งมูลนิธิพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ในพระอุปถัมภ์ฯ ขึ้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์และบูรณะพระราชนิเวศน์ฯ ให้ดำรงไว้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์สืบไป  

“พระราชนิเวศน์มฤคทายวันเป็นรมณียสถานที่สงบและรื่นรมย์สำหรับสรรพชีวิตและเหมาะเป็นที่ศึกษาบ่มเพาะปัญญา เห็นได้จากพระราชกรณียกิจและสิ่งก่อสร้างที่ปรากฏเป็นหลักฐาน

Image

เกล้ามาศ ยิบอินซอย ผู้อำนวยการสำนักงานมูลนิธิพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ในพระอุปถัมภ์ฯ

 ห้องประดิษฐานพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว อยู่ติดกับส่วนบันไดเวียนเมื่อเดินขึ้นมาจากชั้นล่างของพระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์

“ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้บริหารงานในพระองค์ของสมเด็จฯ เจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ มอบโจทย์ให้เราว่าขอให้ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและสนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศ์ ในการสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ และเป็นพิพิธภัณฑ์ที่คนเข้ามาศึกษาเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตามอัธยาศัย”

โดยปรกติแล้วพิพิธภัณฑ์เป็นสถานที่รวบรวมวัตถุหลักฐานซึ่งเป็นตัวแทนองค์ความรู้แห่งยุคสมัย เก็บรักษาไว้และส่งต่อแก่คนรุ่นต่อ ๆ มา แต่ที่พระราชนิเวศน์มฤคทายวันวัตถุหลักฐานนั้นแทบจะไม่มีหลงเหลือ อาคารหมู่พระที่นั่งได้รับการบูรณะครั้งใหญ่โดยไม่มีเอกสารบันทึกรายละเอียดดั้งเดิม สีอาคารก็ไม่ทราบแน่ชัดเนื่องจากหลุดลอกตามกาลเวลาขณะถูกปล่อยทิ้งร้าง อาคารย่อยหลายหลังที่มีอยู่ในแบบแปลนถูกรื้อถอนออก แม้แต่สภาพพื้นที่ก็ถูกปรับโดยนำดินมาถมและการก่อสร้างใหญ่บริเวณริมชายทะเล

“ถึงแม้ว่าเราจะเรียนจบเรื่องการพิพิธภัณฑ์มา แต่ก็เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยซึ่งมีประเด็นเฉพาะการกำหนดหลักการ รูปแบบ และแนวทางพิพิธภัณฑ์ที่พระราชนิเวศน์ฯ ถือว่ายากมาก เพราะเป็นประวัติศาสตร์ในสมัยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ทั้งด้านสถาปัตยกรรม ภูมิศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม สังคม การเมือง การปกครอง ซึ่งเราไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ เรียกได้ว่าไม่รู้อะไรมากพอ ประกอบกับจำนวนวัตถุที่ทำทะเบียนไว้ว่าเป็นของดั้งเดิม มีเพียงแค่ ๒๓ ชิ้น และไม่ทราบแน่ชัดว่าของทั้ง ๒๓ ชิ้นนี้เดิมเคยวางอยู่ตรงไหนบ้าง อยู่ห้องไหน จัดวางอย่างไร ใช้เมื่อปีไหน ซ่อมไปหรือยัง เราไม่มีข้อมูล

พระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์ใช้เป็นสโมสรของข้าราชบริพาร ข้าราชการ ประกอบศาสนพิธี บำเพ็ญพระราชกุศล บางโอกาสใช้เป็นที่ทรงแบดมินตัน และโรงละคร ลักษณะอาคารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า เปิดโล่งถึงกันทั้งชั้นล่างและชั้นบนโดยไม่กั้นฝา ฝ้าเพดานทำเป็นช่องสี่เหลี่ยม เขียนสีลวดลายประดับ และตกแต่งด้วยช่อไฟ ทั้งสี่มุมของพระที่นั่งทั้งชั้นล่างและชั้นบนมีห้องควบคุมระบบไฟของเวทีละคร และเป็นห้องที่นักแสดงใช้รอพักเข้าฉาก 

Image
Image
Image

พระแท่นบรรทมในห้องพระบรรทม แสดงถึงความเรียบง่ายของรัชกาลที่ ๖ และเป็นหนึ่งในหลักฐานทางวัตถุในจำนวน ๒๓ ชิ้นที่มีการลงทะเบียนไว้ว่าเป็นของดั้งเดิม

ห้องแต่งพระองค์อยู่ติดกับโถงทางเดินหลัก มีตู้ไม้เก็บฉลองพระองค์ โต๊ะเครื่องพระสำอาง พร้อมพระฉาย มีประตูเชื่อมกับห้องสรง

“เราเรียนท่านผู้หญิงบุตรีว่าน่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เน้นการนำเสนอกระบวนการศึกษาค้นคว้าวิจัย เก็บรวบรวมข้อมูลและหลักฐานที่พบตลอดกระบวนการ”

เกล้ามาศนิยามพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ว่าเป็น Participatory Intergrated Process-Based Natural-Cultural Heritage Site Museum in Progress ซึ่งอาจถอดความเป็นไทยได้ว่าพิพิธภัณฑ์พื้นที่ ซึ่งจัดแสดงกระบวนการของการศึกษา การวิเคราะห์ การบันทึกรวบรวมข้อมูล รวมถึงขั้นตอนการอนุรักษ์และการบูรณะที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยการบูรณาการองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนและรอบด้าน พร้อมกับเปิดให้ผู้เข้าชมกลายเป็นผู้เรียนรู้มรดกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมอย่างมีส่วนร่วม

“เราพยายามทำให้เป็นพื้นที่สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ผ่านทุกประสาทสัมผัสอย่างรื่นรมย์ ไปพร้อม ๆ กับการศึกษา มีบทสนทนาแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่พบเห็น เพื่อสร้างความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ทำให้เกิดความชื่นชม เห็นความงามและคุณค่า ทำความเข้าใจพระราชวิสัยทัศน์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ว่าทรงวางรากฐานให้สังคมเราอย่างไร”

จากการอาศัยวัตถุ ๒๓ ชิ้นเท่าที่มี กับสถาปัตยกรรมที่หลงเหลือ รวมถึง “สถานที่ตั้ง” ของพระราชนิเวศน์ฯ เกล้ามาศชวนนักวิชาการและนักวิจัยมากมายมาร่วมวิเคราะห์และศึกษาแง่มุมต่าง ๆ ของที่นี่ ซึ่งเป็นแนวทางตั้งต้นของพิพิธภัณฑ์ที่เธอยึดมั่นตลอด ๒๐ ปี

Image

ตีความชัยภูมิที่ตั้ง

“ทางทิศตะวันออกตั้งแต่วัดบางควายเลียบไปตามริมชายทะเลจนจดปากคลองโคกเกลือ ทิศใต้ตั้งแต่ปากคลองโคกเกลือตัดตรงขึ้นไปจนจดเขาน้อย ทิศตะวันตกตั้งแต่เขาน้อยเลียบไปเขาลูกช้างเขาสามพระยา แล้วตัดตรงไปถึงเขาเสวยกะปิ และอ้อมไปตามนอกชายเขาเสวยกะปิ ทิศเหนือตั้งแต่เขาเสวยกะปิ ตัดตรงมาจนจดริมทะเลติดกับวัดบางควายประจบกับทิศตะวันออกตามที่ได้ขีดเส้นประมาณไว้ในแผนที่นั้นเป็นที่หลวงซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขนานนามพระราชทานว่า มฤคทายวัน ตามพระบรมราชโองการ ลงวันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๖”

ข้อความดังกล่าวมาจากประกาศขนานนามเปลี่ยนนามตำบลบางกรา แขวงจังหวัดเพชรบุรี และงดการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินในบริเวณที่กล่าวนี้ให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใด

“พื้นที่ทั้งหมด ๓๕ ตารางกิโลเมตร ๒ หมื่นกว่าไร่ ขณะที่ส่วนที่ประทับจริงตาม ตำนานวังเก่า พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ระบุว่า เขตพระราชฐานแท้ ๆ คือจากคลองบางกราน้อยถึงคลองบางกราใหญ่ ประมาณ ๔๕๐ ไร่ จึงมีคำถามตามมาเรื่องพื้นที่ ทำไมถึงประกาศขนาดเท่านี้ ทำไมเป็นที่ตรงนี้ ทำไมใช้ชื่อนี้” เกล้ามาศชวนเราตั้งคำถาม

จากบันทึกราชกิจรายวันก่อนจะมีการตั้งพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน พบว่าพระองค์ทรงพระประชวรด้วยโรครูมาติสซั่ม แพทย์หลวงจึงแนะนำให้เสด็จฯ แปรพระราชฐาน
ไปประทับแรมยังที่ที่อากาศแห้งและอบอุ่น ปลอดโปร่ง โดยเสนอเมืองชายทะเลหัวหินซึ่งขณะนั้นมีทางรถไฟสายใต้
เชื่อมถึง แต่เนื่องจากเป็นเมืองที่มีประชาชนจำนวนมาก จึงโปรดให้กระทรวงทหารเรือสำรวจหาที่ชายทะเลแห่งอื่นแทน และสร้างเป็นค่ายหลวงหาดเจ้าสำราญในเวลาต่อมา

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสพระตำหนักหาดเจ้าสำราญครั้งสุดท้ายในปี ๒๔๖๔ เนื่องจากพบปัญหาหลายอย่าง ทั้งขาดแคลนน้ำจืด ไม่เพียงพอต่อข้าราชบริพารตามเสด็จ ระยะทางที่ต้องตัดถนนมาจากจังหวัดเพชรบุรีไกลกว่า ๑๕ กิโลเมตร รวมถึงมีแมลงวันหัวเขียวจำนวนมากเนื่องจากอยู่ไม่ห่างหมู่บ้านชาวประมงนัก เมื่อมีการค้นพบหาดทรายที่มีแอ่งน้ำซับและลำห้วยตามธรรมชาติ อีกทั้งไม่ไกลจากสถานีรถไฟห้วยทรายเหนือ จึงรื้อพระตำหนักหาดเจ้าสำราญและย้ายมายังที่ตั้งของพระราชนิเวศน์มฤคทายวันในปัจจุบัน

Image

หลังจากการรื้อถอนรอดักทรายออกไป ชายหาดหน้าพระราชนิเวศน์มฤคทายวันค่อย ๆ ฟื้นคืนสภาพหาดทรายตามธรรมชาติที่ลาดยาวลงสู่ทะเล พร้อม ๆ กับการกลับมาของพืชไม้เลื้อยปกคลุมหน้าหาดอย่างผักบุ้งทะเลและถั่วคล้าทะเล 

เกล้ามาศเล่าว่าการทำงานร่วมกับนักนิเวศวิทยาทำให้ทราบว่าพื้นที่นี้เป็นสันดอนทรายชายฝั่งที่มีชั้นน้ำจืดเป็นน้ำซับอยู่ใต้ผืนทราย และซึมเอ่อล้นออกมาในพื้นที่ร่องต่ำหลังเนินสันทรายเป็นลำห้วยหรือคลอง ซึ่งก็คือคลองบางกราน้อยและคลองบางกราใหญ่

ชื่อ “มฤคทายวัน” มาจากชื่อป่า “อิสิปตนมฤคทายวัน”
สถานที่แสดงปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ทั้งห้า โดยมีความหมายว่า ป่าอันเป็นที่ชุมนุมของฤษี เป็นที่ซึ่งสัตว์ประเภทกวางอยู่อย่างไม่มีภัย

“พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปประทับแรมที่พระราชนิเวศน์ฯ ครั้งแรกปี ๒๔๖๗ ตั้งแต่วันที่ ๒๒ เมษายนจนถึง ๑๓ กรกฎาคม ในวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๔๖๗ ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา ทรงกำหนดเขตพระราชฐานพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ๓๕ ตารางกิโลเมตร พร้อมกับประกาศให้เป็นเขตอภัยทาน” เกล้ามาศตั้งข้อสังเกต

เอกสารการประกาศเขตต่าง ๆ มีหลงเหลือเป็นลายลักษณ์อักษร สิ่งที่ไม่ถูกเขียนไว้คือเจตนารมณ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แม้จะเป็นเพียงการตีความ แต่เธอตั้งสมมุติฐานว่าพระองค์มีพระราช-ประสงค์ให้สยามในรัชสมัยของพระองค์เป็นรัฐชาติที่อิงแนวคิดแบบพุทธศาสนาเพื่อสร้างสังคมที่สุขสงบ มีความมั่นคงทั้งทางสังคมและการปกครอง มีความเจริญดั่งอารยประเทศ ขณะเดียวกันก็ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม รู้จักใช้รู้จักรักษาทรัพยากรธรรมชาติ

“อาจมีคนบอกว่าเราตีความเข้าข้างตัวเอง แต่งานแบบที่เราทำคงต้องลองตั้งสมมุติฐานจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ทั้งเอกสารและคำบอกเล่าหลักฐานเชิงประจักษ์ เอาทั้งหมดมาบูรณาการกันว่าได้ภาพอะไรออกมา”

เกล้ามาศชวนเราย้อนกลับมาคำถามเดิมว่าการกั้นเขต ๓๕ ตารางกิโลเมตรนั้นทำเพื่อเหตุใด นอกจากน้ำจืดแล้ว มีเหตุผลอื่นไหมที่พระองค์ทรงเลือกชัยภูมิที่ตั้งเป็นที่นี่

“ถ้าเราคิดตามว่าจะสร้างความมั่นคงของประเทศชาติผ่านพื้นที่นี้ได้อย่างไร เราก็มองถึงความสัมพันธ์กับพื้นที่รอบ ๆ จากพระราชนิเวศน์ฯ ทางตะวันออกอีกฟากของอ่าวไทย คือฐานทัพเรือสัตหีบซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทรงสงวนไว้ให้กระทรวงทหารเรือ ส่วนทางบกก็ครอบคลุมทางรถไฟสายใต้ไว้อยู่ในเขตพระราชฐาน การกั้นเขตไปถึงเขาเสวยกะปิและเขาสามพระยาเหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว ได้ทั้งความมั่นคงทางการทหาร ได้อนุรักษ์ป่าธรรมชาติที่มีน้ำจืดอุดมสมบูรณ์ เขตอภัยทานที่เป็นเหมือนเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ สัตว์ต่าง ๆ อยู่อย่างปลอดภัย เป็นรมณียสถานที่สงบและรื่นรมย์สำหรับสรรพชีวิตและเหมาะเป็นที่ศึกษาบ่มเพาะปัญญา เห็นได้จากพระราชกรณียกิจและสิ่งก่อสร้างที่ปรากฏเป็นหลักฐาน”

Image

บ่อน้ำจืดเป็นประจักษ์พยานว่าลึกลงไปใต้สันทราย คือแหล่งน้ำจืดอันอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติของพื้นที่สันทรายชายฝั่งซึ่งอยู่ใกล้ทะเลและยังเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่รัชกาลที่ ๖ ทรงเลือกบริเวณนี้เป็นสถานที่แปรพระราชฐาน

อยู่ร่วมบนสันทราย

หลังเดินตามทางที่รายล้อมด้วยแมกไม้ใหญ่ ภาพที่รอต้อนรับผู้มาเยี่ยมชมคือหมู่อาคารสองชั้นยกใต้ถุนสูงเชื่อมต่อเป็นแนวยาวขนานกับชายทะเล ชั้นล่างเป็นปูนชั้นบนเป็นไม้ หลังคามุงกระเบื้องว่าวซีเมนต์สีแดง

สถาปัตยกรรมตรงหน้าคือหมู่พระที่นั่งสามหลังเรียงลำดับจากทิศเหนือไปใต้ ได้แก่ “พระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์” อาคารท้องพระโรงสำหรับแสดงละครและประกอบพิธีต่าง ๆ “พระที่นั่งสมุทรพิมาน” ที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นฝ่ายหน้า (บุรุษ) และอาคารกลุ่มสุดท้ายทางทิศใต้คือ “พระที่นั่งพิศาลสาคร” ของฝ่ายใน (สตรี)

“พระราชนิเวศน์ฯ มิได้เป็นเพียงที่พักผ่อนตากอากาศในฤดูร้อน ทรงแปรพระราชฐานมาครั้งละ ๒-๓ เดือนพร้อมด้วยข้าราชการจากทุกกรมกอง ทรงว่าราชการทรงงาน ทรงละคร ซ้อมกีฬา”

เกล้ามาศเล่าว่าจากแผนผังการก่อสร้างพระราชนิเวศน์ฯ
เมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน พ้นแนวกำแพงวังออกไปไม่ไกลยังมีอาคารเรือนพักและส่วนราชการอีกกว่า ๒๐ อาคาร ปัจจุบันมีตัวอย่างเพียงหลังเดียว คือเรือนพักเจ้าพระยารามราฆพ

“เรายังไม่พบข้อมูลที่บอกได้ว่าที่นี่มีคนอยู่มากน้อยเท่าไร รู้เพียงแค่จำนวนอาคารที่อยู่ในแปลนก่อสร้าง แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าอาคารทุกหลังถูกสร้างตามแปลนหรือไม่ การทำงานที่นี่เรามีหลักฐานน้อย ก็ตั้งคำถามกับหลักฐานที่มีไปเรื่อย ๆ” เกล้ามาศย้ำเตือนเราไม่ให้เผลอลืมความสงสัยใคร่รู้ตลอดการเยี่ยมชม

ก่อนขึ้นเรือนเธอชี้ชวนเราสังเกตฐานเสา กำแพง และเชิงบันไดชั้นล่าง ซึ่งเซาะร่องปูนไว้ขนาดประมาณ ๑-๒ นิ้ว สำหรับเป็นรางหล่อน้ำป้องกันมดแดงที่มีมากในพื้นทรายเพื่อจะอยู่ร่วมกับสันทรายริมทะเลที่นี่ ผู้อาศัยต้องเรียนรู้ที่จะโอบรับธรรมชาติและปรับตัวรับมือกับเงื่อนไขที่มาคู่กัน

สิ่งที่สะดุดตาของหมู่พระที่นั่ง คือการยกใต้ถุนสูงด้วยเสาปูนทั้งหมด ทำให้ชั้นล่างของเรือนโปร่งโล่งไร้กำแพง เกล้ามาศช่วยไขข้อสงสัยว่าหมู่พระที่นั่งนั้นใช้กระบวนการก่อสร้างแบบโมดูลาร์ ซึ่งมีรูปแบบซ้ำ ๆ โดยผลิตชิ้นส่วนที่มีขนาดเท่า ๆ กันไว้ล่วงหน้าแล้วนำมาประกอบกัน โครงสร้างของห้องต่าง ๆ รวมถึงโถงทางเดินจึงมีระยะเท่ากันทั้งหมด โดยวางตัวบนตารางกริดขนาดช่องละ ๓ x ๓ เมตร ระบบนี้ช่วยให้การก่อสร้างเป็นไปอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาสร้างเพียงแค่ ๗ เดือนเท่านั้น

การออกแบบเรือนที่โปร่งโล่งแสดงถึงความเข้าใจเรื่องทิศทางลมและสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวก สอดรับกับปัจจัยด้านสุขภาพของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  เกล้ามาศเสริมว่าลมที่พัดผ่านไม่เพียงดีต่อผู้อยู่อาศัย แต่ดีกับสถาปัตยกรรม และช่วยลดความชื้นสะสม 

ทว่าก็ซ่อนปัญหาบางอย่างไว้ตามกาลเวลา

โมเดลพระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์และพระที่นั่งสมุทรพิมานจัดทำโดยนักศึกษาจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร จัดแสดงในอาคารเก็บของ

เรือนไม้ชายทะเล

“ไอเกลือที่มากับลมทะเลนั้นก่อให้เกิดความชื้นสะสมตามจุดอับ ทำให้เกิดเชื้อราที่สร้างปัญหาให้เนื้อไม้  ในวันที่พระราชนิเวศน์ฯ ปิดการเยี่ยมชม เจ้าหน้าที่เท่าที่มีจะต้องช่วยกันเช็ดไอเกลือทะเลออกจากเรือนทุกจุดที่เช็ดได้”

ส่วนที่ผุมากที่สุดคือ “กันสาดไม้” ซึ่งช่วยบังแดดฝนไม่ให้สาดเข้ามาในโถงทางเดิน กันสาดไม้นี้ประกอบขึ้นจากไม้หลายชิ้นและมีช่องว่างระหว่างชิ้นไม้ ซึ่งไม่สามารถถอดมาเช็ดทำความสะอาดและกลายเป็นโจทย์ใหญ่มาถึงปัจจุบัน

“สถาปนิกเคยบอกว่าส่วนไหนไม้ผุก็ต้องเปลี่ยน แต่สำหรับงานพิพิธภัณฑ์ ต้องระวังเรื่องการรักษาความเป็นของแท้ดั้งเดิม ถ้าเปลี่ยนกันสาดใหม่เลย คนรุ่นต่อไปจะศึกษากันสาดไม้นี้ไม่ได้แล้ว เพราะวัสดุไม่ใช่ของเดิม เทคนิคการประกอบก็อาจไม่ถูกต้อง สีและสารเคลือบต่าง ๆ จะนำไปตรวจอายุก็อาจคลาดเคลื่อน  ถ้าเราซ่อมด้วยการเปลี่ยนชิ้นส่วนไปเรื่อย ๆ วันหนึ่งความเป็นของแท้ดั้งเดิมของเรือนหมู่พระที่นั่งจะหายหมด ไม่เหลือชิ้นส่วนเดิมไว้ให้ศึกษา”

พิพิธภัณฑ์นั้นเป็นเรื่องของการฝืนธรรมชาติ เพราะหลักการคือเก็บรักษาหลักฐานส่งต่อให้คนรุ่นต่อไปในฐานะองค์ความรู้  ในวันหน้าคนรุ่นต่อไปอาจมีวิธีตีความหรือเทคโนโลยีที่สามารถถอดสกัดความรู้ได้มากกว่าในรุ่นของเรา ดังนั้นการส่งต่อของพิพิธภัณฑ์จึงไม่อาจมีเพียงแค่คำอธิบายและรูปถ่าย

“ปัจจุบันเรากำลังทำงานร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) เพื่อหาสาเหตุและวิธีหยุดยั้งเชื้อราที่สร้างปัญหากับเนื้อไม้  มีการวิเคราะห์เรือนทั้งหลัง ศึกษาฤดูกาลที่เชื้อรามา เก็บข้อมูลทางวัสดุศาสตร์  เรากำลังดูว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างยั่งยืนได้อย่างไร”

เกล้ามาศอธิบายเพิ่มว่าขณะที่ต้องควบคุมเชื้อราบนอาคาร ก็ต้องระวังไม่ให้มีผลต่อราไมคอไรซา (mycorrhiza) ที่อยู่ร่วมแบบพึ่งพาอาศัยกับรากของพันธุ์ไม้ต่าง ๆ บนสันทราย เป็นราที่ทำหน้าที่ผลิตธาตุอาหารให้พืชเติบโตได้ในสภาพที่มีธาตุอาหารน้อยของพื้นที่แบบสันทรายชายฝั่ง

Image

ตัวอย่างเทคนิคงานช่างที่ใช้ในการก่อสร้างพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน จัดแสดงในอาคารเก็บของ

“เรามีโอกาสทำงานกับยูเนสโก (UNESCO) ในโครงการฝึกช่างไม้อนุรักษ์ โดยใช้ส่วนกันสาดของอาคารหมู่พระที่นั่งเป็นกรณีศึกษาสำหรับแนวทางการบูรณะและอนุรักษ์อาคารไม้ริมทะเลอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ขั้นตอนการตรวจสอบสภาพอาคาร การศึกษาเทคนิคงานช่างก่อสร้าง ทั้งวิธีการประกอบ ชนิดของไม้ ความรู้จากโครงการนี้ เราเก็บรวบรวมจัดแสดงไว้ในอาคารเก็บของซึ่งถือเป็นโบราณสถานตามสภาพ สร้างขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับพระที่นั่ง  ตอนนี้ถ้าจะบูรณะส่วนหลังคากันสาดเราก็ทราบเทคนิคแล้ว เหลือแต่น้ำยาเคลือบไม้และสีที่สามารถควบคุมเรื่องเชื้อรา และการระดมทุนเพื่อการศึกษาวิจัยและการบูรณะ”

ในระหว่างนั้นสถาปนิกอนุรักษ์และนักโบราณคดีของพระราชนิเวศน์ฯ ก็ได้ศึกษาเทคนิคและชิ้นส่วนต่าง ๆ เพื่อเข้าใจเรื่องขั้นตอนและกระบวนการของระบบโมดูลาร์ โดยการทดลองสร้างอาคารปฏิบัติการไม้ขึ้นมา ซึ่งภายหลังโรงไม้หลังนี้ได้รับรางวัล New Design in Heritage Context with Special Recognition for Sustainable Development จากยูเนสโกในปี ๒๕๖๔ เป็นหลักฐานการยอมรับถึงความพยายามต่อการสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนของพระราชนิเวศน์มฤคทายวันในระดับสากล

สำหรับเกล้ามาศ พระราชนิเวศน์ฯ นั้นเป็นที่เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และเธอหวังให้เป็นที่รวบรวมองค์ความรู้ของการสร้าง การบูรณะ และการอนุรักษ์อาคารไม้ริมทะเล ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์สูงสุดจากธรรมชาติ และเป็นมิตรกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน

“เราอยากให้คนมาที่นี่ได้เรียนรู้ ฝึกตั้งคำถาม มามองดู กันสาดที่ผุพังแล้วสงสัยว่าทำไมเราไม่ซ่อม ซึ่งเราก็จะมีข้อมูลให้เขาว่าซ่อมมาสามหน แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ไม้ชิ้นนี้ถ้าบูรณะอีกรอบจะไม่ใช่ไม้เดิมแล้ว ทิ้งให้พังอย่างนี้ดีกว่าเปลี่ยนจนสูญเสียหลักฐานของยุคสมัย  เราต้องศึกษาค้นคว้าว่าควรจัดการอย่างไรกับเชื้อรา แล้วหาวัสดุที่ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมมาซ่อมเพื่อรักษาไม้นี้ไว้ให้ได้ นั่นคืองานของเรา”

สีดั้งเดิม

จากบริเวณกลุ่มอาคารที่อยู่ติดกัน เมื่อเดินไปสุดโถงทางเดินยาว ก็จะมาถึงศาลาลงสรงฝ่ายหน้า ส่วนที่ใกล้ทะเลที่สุดของเรือน และใกล้กันนั้นจะเห็นบ่อน้ำ ซึ่งตรงกับตำแหน่งในแผนผังเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน เป็นหนึ่งในสามบ่อน้ำเก่าที่ยังหลงเหลือมาถึงปัจจุบัน ผลตรวจวัดค่าความเค็มบอกว่านี่เป็นบ่อน้ำที่จืดที่สุดในพระราชนิเวศน์ฯ แม้จะอยู่ใกล้ทะเลที่สุดก็ตาม

ขณะเดินกลับ เราสังเกตว่าโถงทางเดินและหอเสวยนั้นทาสีเขียวมะกอก ต่างจากห้องอื่น ๆ ที่ทาสีเหลือง-ฟ้า เกล้ามาศคลายความสงสัยว่าเกิดจากการเปรียบเทียบภาพถ่ายขาวดำของพระที่นั่งฯ ในรัชสมัยกับภาพถ่ายขาวดำของหมู่พระที่นั่งที่บูรณะหลังสุด พบว่าสีในภาพต่างกันมาก  ระหว่างบูรณะสถาปนิกอนุรักษ์และช่างสีจึงได้ขูดสีบางจุดออกเป็นชั้น ๆ เพื่อหาสีดั้งเดิม แล้วส่งตัวอย่างสีที่ขูดชั้นต่าง ๆ ให้สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนตรวจ พบว่าสีดั้งเดิมเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อนไม่ใช่สีเหลือง-ฟ้า แต่น่าจะเป็นสีเขียวมะกอก เหลืองมัสตาร์ด ขาวหม่น

“ทุกอย่างเริ่มจากความสงสัย ตั้งคำถาม เราทดลองแล้วเจอหลักฐานใหม่ไหม เราอ่านอะไรออกมาได้บ้าง นำมาประกอบกันแล้วเสนอความเห็นอย่างไร ถ้าเจอเรื่องอย่างนี้ เราตัดสินใจทำอย่างไร”

สำหรับเรื่องสี เกล้ามาศบอกว่าในอนาคตเมื่อมีงบประมาณมากพอจะดำเนินการทาสีภายนอกของหมู่พระที่นั่งให้เป็นสีเขียวมะกอกดั้งเดิมทั้งหลัง ส่วนสีภายในของแต่ละห้องน่าจะแตกต่างกัน ซึ่งยังไม่มีข้อมูลเปรียบเทียบมากพอว่าเป็นสีใดแน่ 

“วันนี้เราอาจซ่อมผิดก็ได้ แต่ถึงจะผิด อย่างน้อยเราก็มีบันทึกว่าวิเคราะห์ตามหลักฐานและข้อมูลอะไรที่มี และอย่างไรบ้าง ถ้าเราผิดข้อเท็จจริงจะถูกศึกษา วิเคราะห์ และบันทึกต่อไป

“ในพระราชนิเวศน์ฯ ยังมีหลายสิ่งเป็นประเด็นคำถามให้เราสงสัยอีกมาก ทั้งเรื่องทางวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ ทั้งเรื่องธรรมชาติและวัฒนธรรม ตลอดจนภูมิปัญญา ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อต่าง ๆ ที่มีบันทึก หรือเรื่องเล่าว่าเกิดขึ้นที่นี่ ยิ่งมีคนมาชม มาใช้ มาศึกษา ตั้งคำถาม มาแก้ปัญหามากขึ้นเท่าไร องค์ความรู้ก็จะเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้กระบวนการอนุรักษ์และบูรณะมรดกเหล่านี้เป็นพื้นฐานของการเติบโตไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน”

Image

ตัวอย่างการขูดสีเป็นชั้น ๆ ที่ถูกทาทับกันมาต่างเวลาเพื่อศึกษาสีดั้งเดิมที่สุดของอาคาร

ผู้ให้ ผู้ใช้ 
มรดกของชาติ

เริ่มต้นจากความพยายามตีความต้นตอของการประกาศพื้นที่กว่า ๓๕ ตารางกิโลเมตรให้กลายเป็นเขตอภัยทาน ศึกษาค้นคว้าและทำความเข้าใจพระราชวิสัยทัศน์ แนวพระราชดำริ ปรัชญา และวิธีการในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  เกล้ามาศอาศัยความพยายามตลอด ๒๐ ปีในการทำงานที่พระราชนิเวศน์ฯ นี้มากำหนดหลักการและทิศทางของพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ในฐานะพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

ปัจจุบันพระราชนิเวศน์ฯ มีโครงการร่วมกับนักวิชาการและนักอนุรักษ์มากมาย นอกเหนือจากงานวิจัยเรื่องเชื้อรากับเทคนิคงานช่างไม้ที่เธอเล่าให้ฟังก่อนหน้ายังมีโครงการทำสวนพฤกษศาสตร์ที่เก็บรวบรวมพรรณไม้จากสังคมพืชสันทรายชายฝั่งแห่งอื่น ๆ ไว้ผ่านกระบวนการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพนอกถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ (ex situ conservation) โครงการศึกษาวิจัยการกลับมาของธรรมชาติเมื่อมนุษย์ไม่เข้าไปรบกวนในพื้นที่สงวนริมชายหาด การเป็นกรณีศึกษาในการติดตามผลการเปลี่ยนแปลงของหาดทรายภายหลังการรื้อเขื่อนและกำแพงกันคลื่น

“การอนุรักษ์และบูรณะสภาพธรรมชาติและระบบนิเวศเดิมเป็นเรื่องหลักที่รอไม่ได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงและทำลายระบบนิเวศส่งผลกระทบต่อความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางธรรมชาติ และไม่เพียงก่อปัญหาภายในเขตพระราชฐานพระราชนิเวศน์ฯ เท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงบริเวณข้างเคียงต่อเนื่องไปไม่รู้จบ  เราจึงทยอยรื้อถอนสิ่งแปลกปลอมที่ก่อปัญหาที่เกิดจากโครงการต่าง ๆ ทั้งสิ่งก่อสร้างและพืชพันธุ์ต่างถิ่นรุกราน ตอนนี้มีเรื่องของสัตว์ต่างถิ่นรุกรานด้วย เช่น ปลาหมอคางดำ แต่ด้วยงบประมาณที่เรามีจำกัด คนที่มีจำกัด กระบวนการบูรณะนี้ก็จะดำเนินการไปอย่างช้า ๆ แต่มั่นคง”

ที่ผ่านมาการบูรณะพระราชนิเวศน์ฯ เกือบทั้งหมดดำเนินการด้วยงบประมาณที่มูลนิธิพระราชนิเวศน์ฯ จัดหาจากผู้สนับสนุนเงินบริจาคค่าบัตรเข้าชม การจำหน่ายสินค้า และการให้เช่าสถานที่

“เราอยากเชิญชวนผู้ที่เห็นด้วยและเชื่อมั่นกับแนวทางที่พระราชนิเวศน์ฯ ทำอยู่ ผู้ชมที่เข้าใจและเห็นคุณค่าของที่นี่ เข้ามามีส่วนร่วมรักษามรดกของชาติไปด้วยกัน”

เธอเริ่มนำระบบการเป็นสมาชิกเข้ามาใช้กับพระราชนิเวศน์มฤคทายวันเพื่อระดมทุน เรียกว่า “สมาชิกบูรโณปถัมภ์” ชึ่งเป็นสมาชิกแบบตลอดชีพ โดยสมาชิกและผู้ติดตามหนึ่งคนสามารถเข้าพื้นที่ ขึ้นชมหมู่พระที่นั่ง และใช้บริการห้องสมุดได้ในทุกวันที่สำนักงานพระราชนิเวศน์ฯ เปิดทำการ โดยไม่เสียค่าเข้าชม และสามารถเข้าใช้พื้นที่พระราชนิเวศน์ฯ พร้อมผู้ติดตามได้ไม่จำกัดครั้งตลอดชีวิต โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ ๑๐๙,๖๐๐ คน  รายได้ทั้งหมดนำมาใช้ดำเนินโครงการอนุรักษ์และบูรณะพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ทั้งมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ

“ในวันที่โครงการสมาชิกบูรโณปถัมภ์สำเร็จ ก็จะแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่น ความร่วมมือร่วมแรง ร่วมระดมความรู้ความเชี่ยวชาญ และร่วมลงทุนกับการอนุรักษ์มรดกของชาติไว้ได้ของประชาชน

“คุณทำสิ่งนี้คนเดียวไม่ได้ แต่คุณคนเดียวก็สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ ร่วมไปด้วยกัน”

หมายเหตุ
สมาชิกบูรโณปถัมภ์ ค่าสมาชิกท่านละ ๖,๙๑๐ บาท โดยสามารถแบ่งชำระ ๑๐ เดือน และสามารถนำใบเสร็จไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีได้เต็มจำนวน
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/share/19gCs3CGUP/?mibextid=wwXIfr