กับเข้าฝรั่ง
น้ำปลายี่ปุ่น
น้ำแดงน้ำเขียว
๑๐๐ ปี วันสวรรคต
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
รวบรวม : ศรัณย์ ทองปาน
เมื่อนึกถึงอดีตที่ล่วงผ่านมานานแล้ว หรือ “เวลาในประวัติศาสตร์” คำถามที่มักเกิดขึ้นในใจก็คือ พวกเขา-ผู้คนในยุคนั้น-เหมือนหรือแตกต่างจากเราอย่างไร ขนาดไหน
หนึ่งในคำถามยอดนิยมก็คือ คนสมัยก่อนเขากินอะไรกัน เหมือนที่เรากินสมัยนี้หรือไม่ หรือต่างกันขนาดไหน
บทความนี้คือการทดลองประกอบสร้าง “ภูมิทัศน์ทางอาหาร” ในกรุงเทพฯ ยุครัชกาลที่ ๖ ช่วง ๑๕ ปี ระหว่างปี ๒๔๕๓-๒๔๖๘ โดยรวบรวมข้อมูลจากหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร สารพัดชนิด ทั้งบทพระราชนิพนธ์ บทละคร หนังสือ บันทึกความทรงจำ หนังสืออนุสรณ์งานศพ ตลอดจนสิ่งพิมพ์ร่วมสมัย เช่น โฆษณาในหนังสือพิมพ์
แต่การค้นคว้าในเวลาจำกัดทำให้ยังขาดแคลนรายละเอียดเรื่องของกินสามัญชน เช่น อาหารที่มีขายตามร้านข้าวแกง หน้าโรงบ่อน หาบเร่แผงลอย หรือกับข้าวที่หุงหาทำกินกันในบ้าน
สิ่งที่จะนำเสนอต่อไปนี้คือรสนิยมด้านอาหารการกินของชาวกรุงเมื่อศตวรรษที่แล้ว ตั้งแต่เมนูบนโต๊ะเสวย อาหารฝรั่งในโฮเต็ล ร้านกุ๊กช็อปของกุ๊กจีน เครื่องปรุงรสนานาชนิดที่มีขายตามท้องตลาด น้ำหวานรสซ่ากับไอศกรีม การฟังดนตรีที่คาเฟ่ จนถึงความเฟื่องฟูของคอลัมน์ตำราอาหารในหน้านิตยสาร
เสวยต้น
จมื่นมานิตย์นเรศร์ (เฉลิม เศวตนันท์ ปี ๒๔๔๒-๒๕๑๐) อดีตคุณมหาดเล็กหนุ่มในราชสำนักพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเขียนเล่าไว้ในบทความ “พระราชนิยมบางประการของ ร. ๖” ตอนหนึ่งว่า
“แม้จะโปรดเสวยเครื่องฝรั่งเป็นปรกติ แต่ต้องมีเครื่องไทยเป็นประจำเสมอ ที่ขาดไม่ได้คือ น้ำพริก ผักดิบ ปลาทู ปลาดุกทอด ยำไข่ปลาดุก กระเพาะปลาทอด จิ้มน้ำพริกเผาหรือน้ำปลา เวลาเสวยกลางวันต้องเสวยอย่างแบบไทย คือประทับกับพื้น เสวยด้วยพระหัตถ์ (กินมือ) ไม่ทรงช้อนซ่อม เครื่องเทียบด้วยพระสุพรรณภาชน์จานเชิงตลอดเวลา สรุปว่าถ้ากินอย่างไทยต้องไทยแท้ อย่างฝรั่งก็ต้องฝรั่งจ๋า ผิดแบบไม่ได้ เช่นทรงเห็นใครกินมัสตาดกับนก เป็นต้องทรงทักทันที หรือใช้มีดตักถั่วเขียวหรือมันฝรั่งกิน ก็ทรงเคาะแคะดังนี้ ก่อนกินจะใส่ซ๊อล์ท เกลือ หรือเครื่องปรุงรสอื่น ๆ ก็ไม่ได้ ผิดระเบียบการกินของอังกฤษ”
จมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช ปี ๒๔๔๒-๒๕๒๔) อดีตคุณมหาดเล็กหนุ่มอีกท่านหนึ่ง ขยายความเรื่องการเสวยมื้อกลางวันแบบไทยของรัชกาลที่ ๖ หรือที่ท่านเรียกว่า “เสวยต้น” ไว้ในหนังสือ พระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าจะเริ่มเสวยตอนบ่ายสามโมง (๑๕ นาฬิกา) โดยประทับขัดสมาธิบนพระยี่ภู่ (ฟูก) ที่ปูบนพื้นพรมของพระที่นั่ง และเสวยด้วยพระหัตถ์ พระกระยาหารที่ห้องพระเครื่องต้นจัดขึ้นมาถวายในเวลาเสวยต้นจะเป็นอาหารไทยต่าง ๆ กันไปในแต่ละวัน ตัวอย่างเช่นวันอาทิตย์ มี
“๑. แกงเผ็ดเนื้อ ๒. ปลาเค็ม (ตัดเป็นชิ้นย่อม ๆ ชุบไข่ทอด) ๓. หมูหวาน ๔. แกงจืดเกาเหลา ๕. ปลาช่อน (แล่เอาแต่เนื้อทอดเหลือง) ๖. น้ำพริก ผักต้มกะทิ ๗. ผักสดชนิดต่าง ๆ ๘. ยำไข่ปลาดุก ๙. ไข่ฟูทรงเครื่อง ๑๐. กะเพาะปลาหรือแคบหมู (ทอดกรอบ) จิ้มน้ำพริกเผา (ปรุงรส)”
ส่วนวันจันทร์จะเป็น
“๑. แกงเผ็ดปลาดุก ๒. เนื้อเค็ม (ฉีกฝอยผัดหวาน) ๓. ปลาจาระเม็ดขาว (เจี๋ยน) ๔. แกงจืดลูกรอก ๕. ปลาทูนึ่ง (ทอดเหลือง) ๖. น้ำพริกมะขามสด ผักทอดต่าง ๆ ๗. ผักสดชนิดต่าง ๆ ๘. ยำไข่ปลาดุก ๙. ผัดเนื้อหมูกับยอดผัก ๑๐. ด้วงโสนทอดกรอบ”
จมื่นอมรดรุณารักษ์ยังเล่าด้วยว่า ในบรรดาเครื่องเสวยไทย ๆ แล้ว สิ่งที่โปรดเสวยมากจนชาวพนักงานพระเครื่องต้นต้องพยายามจัดหาไม่ค่อยขาดนั้นมีอยู่สองสามอย่าง ได้แก่ ยำไข่ปลาดุก ด้วงโสนทอดกรอบ น้ำพริก และผักสดหนึ่งจาน ซึ่ง
“จะต้องพยายามเก็บรักษาไว้ให้สดกรอบดีที่สุด ชาววรภาชน์จะเตรียมน้ำแข็งขูดเป็นฝอยด้วยเครื่องมือสำหรับขูดเอาไว้เสมอ พอจวนได้เวลาเสวยจึงจะนำมาโรยคลุมลงบนจานผักสดที่จัดประดับเตรียมไว้เพื่อทอดถวายในพระสุพรรณภาชน์เป็นจานหลังสุด แต่ไม่โปะลงไปจนปิดผัก จะโรยพอให้น่าดูและเย็นพอเท่านั้น ผักแช่น้ำแข็งนี้เป็นเครื่องเสวยอีกชนิดหนึ่งที่โปรดมากเป็นพิเศษจนขาดไม่ได้ทีเดียว ไม่ว่าเครื่องจิ้มจะเป็นชนิดใดก็ตาม ผักสดจะต้องมีด้วยทุกครั้งที่เครื่องเสวย”
ส่วนเครื่องหวานนั้นโปรดเสวยลูกตาลสดน้ำเชื่อม มะตูมสดกับน้ำกะทิ กระท้อนลอยแก้ว ลิ้นจี่สดกับเยลลี่ นอกจากนั้นก็คือผลไม้ปอกคว้านต่าง ๆ เช่น มะปราง เงาะ น้อยหน่า ซึ่งล้วนมีวิธีทำ “พิสดารและพิเศษยิ่ง” เช่น น้อยหน่าจะต้องคว้านเมล็ดออกทั้งหมด แล้วประกบเปลือกปิดไว้ดังเดิม
โครงแกะเย็น
“โต๊ะเย็น” หรือพระกระยาหารมื้อค่ำในราชสำนักยุครัชกาลที่ ๖ คือเวลาของเครื่องเสวยอย่างฝรั่ง
พระยาอนิรุทธเทวา (ม.ล. ฟื้น พึ่งบุญ ปี ๒๔๓๖-๒๔๙๔) จางวางมหาดเล็ก บันทึกพระราชานุกิจครั้งรัชกาลที่ ๖ ไว้ในหนังสือ พระราชานุกิจ ตอนหนึ่งว่า “๒๐.๓๐ น. เสด็จลงประทับโต๊ะเย็นพร้อมด้วยข้าราชบริพาร มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งในราชสำนักและนอกราชสำนักบางคน เสวยแล้วบางวันทรงบิลเลียดหรือไพ่บริดช์ บางวันมีซ้อมละคร”
ส่วนจมื่นอมรดรุณารักษ์ขยายความในหนังสือ มหาดเล็กในทำเนียบ สุนัขปริศนา นามแฝงของมหาบุรุษ อีกว่า
“จะเริ่มเสวยตั้งแต่ ๒๑.๐๐ น. เป็นต้นไป ประทับบนพระเก้าอี้ มีโต๊ะเสวยขนาดใหญ่ มีอาหารไทยและอาหารฝรั่ง
เริ่มต้นจากอาหารฝรั่ง ซึ่งมี ซุป, ปลา, เนื้อ เรียงตามลำดับพร้อมทั้งแก้วเหล้าครบชุด เมื่อผ่านอาหารคาวเครื่องฝรั่งแล้วถึงเครื่องไทยอย่างครบถ้วน เสร็จแล้วจึงเสวยเครื่องหวานแบบฝรั่ง แล้วต่อด้วยผลไม้ลุกจากโต๊ะเสวยประมาณ ๒๓.๐๐ น.”
เครื่องเสวยมื้อค่ำทั้งเมื่อประทับในพระบรมมหาราชวังหรือเมื่อเสด็จไปเสวยยังวังเจ้านาย บ้านข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ตลอดจนงานเลี้ยงฉลองเนื่องในวาระโอกาสต่าง ๆ ล้วนเป็นอาหารค่ำแบบฟูลคอร์ส (full course) เสิร์ฟต่อเนื่องกันครบครันตามแบบฉบับ เริ่มจากอาหารเรียกน้ำย่อย (appetizer) เช่น ซุปหรือสลัด อาหารจานหลัก (main course) ไล่ลำดับจากจานปลา จานเนื้อ จานสัตว์ปีก เช่น ไก่หรือนก ตามมาด้วย “เครื่องไทย” ปิดท้ายด้วยของหวาน (dessert) ได้แก่ ไอศกรีม ขนมหวาน และผลไม้
เครื่องเสวย “กับข้าวฝรั่ง” ในมื้อค่ำเช่นนี้เป็นธรรมเนียมราชสำนักสยามมาแล้วตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และยังคงถือปฏิบัติสืบเนื่องมาในราชสำนักยุครัชกาลที่ ๖ ด้วย
หลักฐานสำคัญในเรื่อง “โต๊ะเย็น” คือเมนู หรือรายการอาหารที่มีตั้งประจำโต๊ะในแต่ละคืน ตัวอย่างต่อไปนี้หยิบยกมาจากที่รวบรวมพิมพ์อยู่ในหนังสือ วิวัฒนาการและศิลปะการจัดโต๊ะอาหาร เครื่องดื่ม และเมนูอาหาร
เมนูคืนวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๖ ณ พระราชวังสนามจันทร์ (ตัวสะกดตามต้นฉบับ)
“ซุปไก่ซองเต ปลาเทโพแอดมิราล โครงแกะเย็น นกพิราบกับสลัด เครื่องไทย ไอสกรีมรูปผลแตงไทย กับขนมต่าง ๆ ผลไม้”
แม้แต่ระหว่างการซ้อมรบเสือป่า ราชสำนักก็ยังคงจัดเครื่องเสวยไม่ต่างจากเมื่อประทับในพระนคร เช่น เมนูจากค่ายหลวงบ้านโป่ง ราชบุรี วันที่ ๑ มีนาคม ๒๔๖๐
“สูปเปตติมามิต ปลาตะพงซอซมูเล สันโคโรซินี ไก่งวงสอดไส้ สลัดปาริเซียน เครื่องไทย ไอสครีมปลอมเบร์ ขนมต่าง ๆ ผลไม้”
ในระหว่างเวลา “โต๊ะเย็น” จะมีมหาดเล็กที่ได้รับคัดเลือกว่าร่างเล็กไปคอยนั่ง “ถวายงานอยู่ใต้โต๊ะ” ด้วย จมื่นเทพดรุณาทร (เปรื่อง กัลยาณมิตร ปี ๒๔๓๘-๒๕๑๐) อดีตคุณมหาดเล็กอีกท่านหนึ่งอธิบายว่า
“คนที่เป็นเวรใต้โต๊ะจะต้องเข้าไปประจำก่อน พอเสด็จลงประทับโต๊ะเสวย คนใต้โต๊ะนั้นจะนั่งขัดสมาธิถอดฉลองพระบาทออก เชิญพระบาทมาอยู่บนหน้าตักทำหน้าที่ไล่ยุง และถวายอยู่งานนวดทุกส่วนแห่งพระองค์แล้วแต่พระราชประสงค์ บางครั้งต้องถวายโถลงพระบังคลเบา คนเข้าใต้โต๊ะนี้เริ่มเวลาราว ๑ ยาม จนเสวยเสร็จ บางวันจนถึงตี ๓ บางครั้งบางคราวเสวยกับข้าวอะไรโปรดขึ้นมา ยังพระราชทานให้คนใต้โต๊ะกินด้วย”
ส่วนเหตุที่ว่า “บางวันจนถึงตี ๓” คงเป็นเพราะบางครั้งยังมี “เครื่องว่าง” ตอนดึกอีกมื้อหนึ่ง จมื่นอมรดรุณารักษ์บรรยายว่า “เครื่องว่างตอนดึก เป็นอาหารเบาอย่างไทย ๆ เรา เช่น บะหมี่, ก๊วยเตี๋ยว, ทอดมัน, หมูหรือเนื้อสะเต๊ะ, ขนมเบื้องต่าง ๆ ฯลฯ ตั้งเหล้าฝรั่งต่าง ๆ รวมไว้ด้วย ทรงเลือกเสวยตามพระราชอัธยาศัย”
กินเข้าโฮเตล
ในปี ๒๔๕๖ ต้นสมัยรัชกาลที่ ๖ โรงพิมพ์หนังสือพิมพ์ไทยเริ่มจัดพิมพ์และวางจำหน่าย นาครสงเคราะห์ อันเป็นหนังสือประจำปีที่รวบรวมรายนามและตำแหน่งของข้าราชการตามกระทรวงทบวงกรม ตลอดจนธุรกิจของบริษัทห้างร้าน
นาครสงเคราะห์ ประจำพุทธศก ๒๔๕๙ ระบุนามภัตตาคารในกรุงเทพฯ ไว้เกือบ ๑๐ แห่ง เกือบทั้งหมดเรียกว่า “โฮเตล” (Hotel) หรือ “เรสตุรองต์” (Restuarant) ได้แก่ โอเรียนเตลโฮเตล (บางรัก) สยามโฮเตล (ริมที่ว่าการกรมเจ้าท่า ตลาดน้อย) ยุโรปโฮเตล (บางรัก) บริสตอลโฮเตล (บางรัก) โตรกาเดโรเรสตุรองต์ (ถนนสุริวงษ์) คอมเมอร์เชียลโฮเตล (ถนนสี่พระยา) เว้นแต่ซิตีโฮเตลซึ่งตั้งอยู่ที่สี่กั๊กพระยาศรี ใกล้พระบรมมหาราชวัง
น่าสังเกตว่าโฮเต็ลส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในย่านบางรักและบริเวณใกล้เคียง อันเป็นย่านของฝรั่ง จึงเข้าใจว่าลูกค้าส่วนมากคงได้แก่ชาวตะวันตกในกรุงเทพฯ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือชาวกรุงเทพฯ ที่มีฐานะพอจะสามารถรับประทานอาหารตามโฮเต็ลได้
ตั้งแต่ปี ๒๔๕๗ เมื่อราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยามเริ่มต้นเรี่ยไรเงินเพื่อจัดซื้อเรือรบ พระร่วง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ข้อเขียนจำนวนมากเพื่อเชิญชวนให้ประชาชนร่วมบริจาค บทความ “ไชโย !”
ซึ่งทรงใช้นามปากกา “อัศวพาหุ” ตีพิมพ์ในนิตยสารรายเดือนของราชนาวีสมาคมฯ ชื่อ สมุทสาร ปีที่ ๑ เล่มที่ ๑ ประจำเดือนตุลาคม ๒๔๕๗ มีข้อความตอนหนึ่งว่า
“ผู้ที่ร้องขัดข้องว่าอัตคัดเกินที่จะออกเงินเข้าเรี่ยรายได้นั้นก็คงจะมีอยู่บ้าง ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ผู้ที่พูดเช่นนี้ว่าเชิญตรองดูอีกทีเถิด บางทีถ้ายอมเสียสละอะไรสักอย่าง ๑ หรือส่วน ๑ ก็จะพอมีเงินเข้าเรี่ยรายได้บ้าง เช่นท่านผู้มักมี ‘เมียเก็บ’ อยู่หลายบ้าน เลิกเสียสักบ้าน ๑ ก็จะออมสินได้ไม่น้อย หรือท่านที่มักชอบไปกินเข้าโฮเต็ลเสมอ ลองกินเข้าที่บ้านเสียสักเดือน ๑”
“โอเรียนเตลโฮเต็ล” ในตอนปลายรัชกาลที่ ๕ (บน) ด้านหน้าโฮเต็ล (กลาง) ห้องอาหาร (ล่าง) เลานจ์ หรือห้องรับรอง
ภาพ : หนังสือ Twentieth Century Impressions of Siam 1908
นอกจากผู้มีฐานะจะนิยมการ “กินเข้า” (กินข้าว) ตามโฮเต็ลแล้ว ยังสามารถเรียกทางโฮเต็ลให้มาทำอาหารในงานเลี้ยงที่บ้านได้ด้วย
บทละครพูดพระราชนิพนธ์เรื่อง ตบตา เป็นละครตลกที่มีสถานการณ์ว่าครอบครัวของชายหนุ่มและหญิงสาวที่ชอบพอกัน ต่างฝ่ายต่างพยายาม “ตบตา” ให้เห็นว่าตนเองร่ำรวยเป็นเศรษฐี ตัวละคร “นายซุ่นฮั้ว เตียวกุล” หัวหน้าบ๋อยเซ็นตรัลโฮเต็ล ผู้ซึ่ง “เปนจีน, แต่งตัว ‘โก้’ เทียมฝรั่ง, พูดสำเนียงไม่ใคร่ชัด” ถูกเรียกตัวมายังบ้านของนายรอดและนางผ่อง รตินันทน์ ทั้งสองกำลังวางแผนจัดงานเลี้ยง โดยสั่งอาหารจากโฮเต็ลให้ดูหรูหรา นายซุ่นฮั้วจึงนำเสนอเมนูให้ลูกค้าเลือกด้วยภาษาไทยสำเนียงจีน เช่น
ซุ่นฮั้ว
ปาตาเลียว ทอดน้ำมันเนย, บีบมะนาวนิดหน่อย---ลีมาก
ผ่อง
ปลาตาเรียวอะไร ? ไม่เคยได้ยินชื่อเลย
ซุ่นฮั้ว
ปาตาเลียว, มีตาเลียว---ไม่ใช่สองตา ลูปล่าง, แบง ๆ
รอด
อ๋อ ! ปลาตาเดียวน่ะฤ ๅ ?
ทั้งนี้เข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง “ขอยืม” ชื่อนายซุ่นฮั้วมาจากเจ้าของร้านปักจันเหลา หนึ่งในภัตตาคารจีนชื่อดังแห่งยุค ซึ่งปรากฏอยู่ในรายชื่อภัตตาคารของ นาครสงเคราะห์ ประจำพุทธศก ๒๔๕๙ ด้วย
โฆษณาร้านปักจันเหลาในปี ๒๔๕๙ กล่าวว่า
“ปักจันเหลา สี่แยกถนนเยาวราช โทรศัพท์ที่ ๕๐๗ ขายกับเข้าฝรั่งกับเข้าจีน ซึ่งทำโดยฝีมือผู้ชำนาญ ทั้งสถานที่ก็เปลี่ยนแปลงใหม่ เปนที่สอาดเรียบร้อยเหมาะแก่ท่านผู้ดีทุก ๆ ชั้น แลมีเครื่องดื่มเครื่องกระป๋องของดองต่างประเทศทุกชนิด บุหรี่ฝรั่งซิกาแรตต่าง ๆ จำหน่ายด้วย” (กรุงเทพฯ เดลิเมล์ ๒ พฤษภาคม ๒๔๕๙)
ทิพรสโอชา
ร้านปักจันเหลาก่อตั้งโดยนายซุ่นหัว (เอกสารราชการมักสะกดว่า “ซุ่นฮัว”) ผู้เคยทำงานเป็นพนักงานเดินเรือทะเลระหว่างสยามและประเทศจีนมาก่อน หากแต่อาศัยความขยันหมั่นเพียรเก็บหอมรอมริบและการประกอบการค้าเบ็ดเตล็ดของนางเปลี่ยน ผู้เป็นภรรยา จึงก่อตั้งภัตตาคารได้ในปี ๒๔๕๒ ช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
กับข้าวของปักจันเหลาคงถูกปากคนในวัง จนนายซุ่นหัวมีตำแหน่งราชการในกรมมหาดเล็ก และได้รับพระราชทานยศเป็น “รองหุ้มแพร” (เทียบเท่ายศนายร้อยโทของทหารบก) มีบรรดาศักดิ์เป็น “ขุนทิพรสโอชา”
ราชทินนามนี้ ใน ทำเนียบข้าราชการในกรมมหาดเล็กแลกรมขึ้น ยุครัชกาลที่ ๖ ระบุว่าเป็น “พนักงานครัวเข้าต้น” ในกองวรภาชน์ กรมมหาดเล็ก
ก่อนหน้านายซุ่นหัวเคยมีข้าราชสำนักที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์นี้มาก่อนแล้ว คือขุนทิพรศโอชา ผู้ที่มีชื่อตัวว่า ปีเตอร์ อันโตนิโอ รับราชการมาตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๕ ก่อนจะได้เลื่อนเป็นหลวงทิพรศโอชาเมื่อเดือนสิงหาคม ๒๔๕๖ เดือนถัดมาเขายังได้รับพระราชทานนามสกุล “อันตรนิยุกต์” หลวงทิพรศโอชา (ปีเตอร์อันโตนิโอ อันตรนิยุกต์) ป่วยเป็นไข้ถึงแก่กรรมในเดือนกรกฎาคม ๒๔๕๘ ขณะมีอายุเพียง ๔๔ ปี
หลังจากนั้น นายซุ่นหัว เจ้าของปักจันเหลา คงได้รับพระราชทานราชทินนาม “ทิพรสโอชา” สืบต่อมา รวมทั้งยังได้รับพระราชทานนามสกุลจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเช่นกัน ดังมีประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๔๕๙ ว่า “๓๑๘๙ รองหุ้มแพร ขุนทิพรสโอชา (ซุ่นฮัว) พระราชทานนามสกุลว่า ‘สิรินันทน์’ (Sirinandana)”
ต่อมายังได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็น “หลวงทิพรสโอชา” การรับราชการในกรมมหาดเล็กนี้ทำให้ “ต้องอยู่เวรเฝ้า และตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเนือง ๆ” จนต้องปล่อยให้ภรรยาเป็นฝ่ายดูแลปักจันเหลาแทน
ทั้งนี้เข้าใจว่าตามบ้านผู้ดีในกรุงเทพฯ ยุคนั้นคงจ้างพ่อครัวคนจีนกันทั่วไป ดังที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกล่าวถึงในบทพระราชนิพนธ์ที่ใช้นามแฝง “อัศวพาหุ” อีกเรื่องหนึ่งคือ เมืองไทยจงตื่นเถิด บทที่มีชื่อว่า “การที่เราอาศัยพวกจีน” ว่า “แม้แต่บ่าวในบ้านของเราก็เป็นจีน พวกเรามีกี่คนแล้วที่ใช้บ่าวและพ่อครัวจีน” เพราะการจ้างพ่อครัวหรือ “กุ๊ก” อาจเป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ชื่นชอบอาหารตามโฮเต็ล ดังมีกล่าวถึงในบทละครพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ ๖ อีกเรื่องหนึ่งคือน้อยอินทเสน ตัวละครหลวงราชภัตติ์จารัญ อายุราว ๒๕ ปี ผู้เป็นหนุ่มสำรวย บรรยายค่าใช้จ่ายรายเดือนให้พระสมานบริกร วัย ๔๐ ปี ฟังว่า
หลวงราชภัตติ์
แหม ! นั่นแหละสำคัญนักทีเดียว อ้ายเงินเดือนที่ผมได้น่ะ ชั่วแต่ใช้ค่ากินก็หมดเสียแล้ว แต่ลำพังเงินเดือนอ้ายกุ๊กก็เข้าไป ๓๐ บาทเสียแล้ว
พระสมาน
อ้อ คุณมีกุ๊กด้วยหรือ ?
หลวงราชภัตติ์
ครับ ข้อนี้คุณพระคงจะท้วงว่าไม่จำเป็น แต่ผมได้คิดตลอดแล้ว ผมได้ลองคิดไว้ว่าข้าวเย็นจะไปกินเสียที่โฮเต็ลทุก ๆ คืน แต่ลองคิดเลขดู มันกลับจะต้องเปลืองโสหุ้ย ยิ่งกว่าจ้างกุ๊ก การที่จะให้แม่ครัวทำกับข้าวฝรั่งนั้นมันก็กินไม่ได้เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นผมจึงต้องตกลงจ้างกุ๊กไว้คนหนึ่ง
พระสมาน
ถ้าเช่นนั้นผมก็เข้าใจ ถ้าจะกินกับข้าวฝรั่งแล้ว มันต้องมีกุ๊ก
กุ๊กช็อป
พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖ ซึ่งทรงใช้นามแฝง “อัศวพาหุ” เรื่อง โคลนติดล้อ บทที่ ๔ “ความนิยมเป็นเสมียน” ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ สยามออบเซอร์-เวอร์ เมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๔๕๘ เหน็บแนมชีวิตประจำวันของเสมียนระดับล่างในกรุงเทพฯ ว่า
“นึกไปก็น่าประหลาดที่สุด ที่คนจำพวกนี้สู้อดทนต่อความลำบากเพื่อแสวงหาและรักษาตำแหน่งเสมียนของเขา ในเงินเดือน ๑๕ บาทนี้พ่อเสมียนยังอุตส่าห์จำหน่ายจ่ายทรัพย์ได้ต่าง ๆ เช่น นุ่งผ้าม่วงสี ใส่เสื้อขาว สวมหมวกสักหลาด และในเวลาที่กลับจากออฟฟิศแล้วก็ต้องสวมกางเกงแพรจีนด้วย และจะต้องไปดูหนังอีกอาทิตย์ละ ๒ ครั้งเป็นอย่างน้อย ต้องไปกินข้าวตามกุ๊กช๊อป แล้วยังมิหนำซ้ำจะต้องเสียค่าเช่าห้องอีกด้วย”
หากภัตตาคารแบบฝรั่งเต็มยศมักตั้งอยู่ในโฮเต็ลย่านบางรักอันเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของฝรั่งในบางกอก ร้านอาหารของคนจีนที่ขาย “กับข้าวฝรั่ง” (รวมทั้งกับข้าวจีน) ซึ่งย่อมมีราคาย่อมเยาลงมา ก็ชุมนุมกันอยู่กลางชุมชนจีนของกรุงเทพฯ คือถนนเยาวราชและถนนราชวงศ์ ร้านอาหารที่เรียกกันเป็นภาษาอังกฤษว่า “กุ๊กช็อป” (cookshop) นี้ คงมีมาแล้วอย่างช้าก็ตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๕ เช่นแจ้งความโฆษณา “ยี่ห้อจงสี” ซึ่งเปิดร้านเมื่อกลางเดือนตุลาคม ร.ศ. ๑๒๙ (ปี ๒๔๕๓)
“ขอแจ้งความมายังท่านทั้งหลายทราบทั่วกัน ด้วยข้าพเจ้าได้ตั้งกุ๊กชอบขึ้นที่หัวแง่วัดตึก มีกับเข้าฝรั่งรับทาน จะรับทานปลีกก็ได้ มีพัดลมและที่ล้างหน้าอย่างพอใจของท่าน กำหนดจะเปิดร้านวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๑๒๙ ยี่ห้อของข้าพเจ้าคือจงสี ติดป้ายที่น่าร้าน ขอเชิญท่านมารับทาน เพื่อความสำราญดีกว่าที่อื่น” (จีนโนสยามวารศัพท์ ๑๖ พฤศจิกายน ร.ศ. ๑๒๙)
จงสีโฆษณาว่า “มีกับข้าวฝรั่งรับทาน” หรือ “จะรับทานปลีกก็ได้” ซึ่งคงหมายความว่าลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะสั่งอาหารฝรั่งแบบฟูลคอร์ส หรือสั่งจานปลีกจากเมนูที่เรียกว่าอะลาคาร์ต (a la carte) นอกจากนั้นสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย เช่น พัดลมและไฟฟ้า ยังถือเป็น “จุดขาย” ของร้านกับข้าวฝรั่งยี่ห้ออื่น ๆ ในยุคเดียวกันด้วย เช่น “ยี่ห้อเคียมฮั่วถ่าย” ที่มี “พัดลมและไฟฟ้า” กับ “ยี่ห้อปะจีนเหลา” ที่มีทั้งไฟฟ้ากับพัดลม “สว่างไสวเย็นดี”
“ยี่ห้อเคียมฮั่วถ่าย ตำบลถนนเจริญกรุงเยื้องบ้านหมอพลอยข้าม จะเปิดร้านวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๑๒๙ เชิญขอรับ เชิญลองรับประทานอาหารกับเข้าฝรั่ง ข้าพเจ้าได้จัดสฐานที่อย่างสอาดเรียบร้อย มีพัดลมแลไฟฟ้าที่นั่งที่พักสำหรับผู้มารับประทานจะได้รับความศุข แลข้าพเจ้าได้จัดหากุ๊กฝีมืออย่างดีมาทำกับเข้า หวังจะให้ผู้รับประทานพอใจ เชิญขอรับ เชิญ
ลองรับประทานดู” (จีนโนสยามวารศัพท์ ๑๖ พฤศจิกายน ร.ศ. ๑๒๙)
“สถานนี้ได้เปิดขายกับเข้าฝรั่งมา ๒ ปีแล้ว มีความดีเรียบร้อย ดีอย่างไร บรรดาที่ท่านเคยมาอุดหนุนคงทราบด้วยกันทุกคน บัดนี้สถานนี้ได้แก้ไขให้กว้างขวางขึ้น ทั้งต่อขึ้นไปอิกชั้นหนึ่ง แลได้จ้างพ่อครัวที่มีฝีมือทำกับเข้าจีนเพิ่มขึ้นอิกแพนกหนึ่ง เพื่อตามความต้องการของท่านที่จะรับประทาน ความสอาดหรือความศุขสำหรับท่านที่มาอุดหนุน เช่นไฟฟ้าหรือพัดลมสว่างไสวเย็นดี” (จีนโนสยามวารศัพท์ ๒๕ มกราคม ร.ศ. ๑๒๙)
“สพานหัน” รูปยาซิกาแรตชุดสถานที่ในกรุงเทพฯ ปี ๒๔๖๘ แถมมาในซองบุหรี่ ตรานกอินทรี ของบริษัทยาสูบอังกฤษ-อเมริกัน จำกัด
ยี่ห้อห้อยเทียนเหลา
ภัตตาคารจีนที่ขายกับข้าวฝรั่งแบบฟูลคอร์สทำนองเดียวกับที่เสิร์ฟบนโต๊ะเสวย อันเป็นที่นิยมในหมู่ “ผู้ดี” ชาวบางกอกที่พอมีฐานะ มีตัวอย่างได้แก่ “ยี่ห้อห้อย-เทียนเหลา” ซึ่งเอนก นาวิกมูล ค้นพบข้อมูลจากหนังสือ พิมพ์ไทย ว่าเริ่มเปิดดำเนินกิจการตอนต้นเดือนเมษายน ๒๔๖๑
ในยุคนั้นห้อยเทียนเหลาเสิร์ฟอาหารชุด “อิ่มละ ๑ บาท ๕๐ สตางค์” ครบครันด้วยซุป จานปลา จานเนื้อ จานไก่ มี “เครื่องไทย” เช่น แกงกะหรี่ พร้อมขนมปังและเนยแข็งเนยอ่อน ปิดท้ายด้วยไอศกรีมและผลไม้ เปลี่ยนเมนูทุกวัน โดยลงประกาศแจ้งรายการอาหารล่วงหน้าในหนังสือพิมพ์รายวัน ดังตัวอย่างเมนูวันอังคารที่ ๒๓ เมษายน ๒๔๖๑
“กับเข้าฝรั่งยี่ห้อห้อยเทียนเหลา รายชื่ออาหารรับประทาน อิ่มละ ๑ บาท ๕๐ สตางค์ เปลี่ยนกับเข้าทุก ๆ วัน ประจำวันอังคาร ๒๓/๑/๖๑ คือ ๑ ซุปไก่ ๒ ปลาทอด ๓ ไข่ดาว ๔ เนื้ออบ ๕ ไก่ยัดไส้ ๖ กะหรี่เป็ด ๗ ไอศกริม ขนม ๘ ขนมปัง เนยแข็ง ๙ ผลไม้ ๑๐ กาแฟหรือน้ำชา” (จีนโนสยามวารศัพท์ ๒๒ เมษายน ๒๔๖๑)
ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์ ปี ๒๔๔๐-๒๕๒๓) ซึ่งเคยกินอาหารชุดกลางวันที่ห้อยเทียนเหลา ยังคงจดจำรายละเอียดได้กระทั่งหลายสิบปีให้หลัง ดังที่ท่านเล่าในอัตชีวประวัติ ๘๐ ปี ในชีวิตข้าพเจ้า ว่าหลังจากแต่งงานเมื่อปี ๒๔๖๑ ได้ย้ายไปอยู่บ้านภรรยาที่สะพานหัน
“ข้าพเจ้ายังจำได้ว่าเมื่ออยู่บ้านสะพานหัน ได้ไปกินอาหารกลางวันกับเพื่อนที่ห้อยเทียนเหลา เป็นอาหารฝรั่ง เรียกว่าอาหารชุด ซึ่งมีซุปถ้วยหนึ่ง อาหารที่เป็นเนื้อ เช่น ปลา ไก่ หมู หรือเนื้อ ๓ อย่าง มีของหวานเป็นขนมชิ้นหนึ่ง มีลูกไม้จานย่อม ๆ จานหนึ่งและก็ไอศครีม หรือกาแฟแล้วแต่จะเลือกเอา มีขนมปังเป็นดุ้นสั้น ๆ ดุ้นหนึ่ง (ไม่เป็นอย่างขนมปังปอนด์แต่รสอย่างเดียวกัน) ขนมปังนี้ถ้าต้องการอีก
เรียกได้อีก กับมีเนย ห้องอาหารนี้จัดสะอาดหมดจด โต๊ะอาหารก็จัดประณีต ผ้าปูโต๊ะผ้าเช็ดมือขาวสะอาดถ้วยแก้ว ชามแก้ว (ใส่น้ำล้างมือ) ใสสะอาด ซ่อมช้อน มีดขึ้นเงาวาว จานต่าง ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของนอกทั้งนั้น บ๋อยเดินโต๊ะนุ่งกางเกงขาวขายาวเสื้อขาวเหมือนเสื้อกุยเฮงแต่รัดตัว แปลว่าไม่ว่าอะไรต่าง ๆ ดูสะอาดเอี่ยมทั้งนั้น อาหารชุดนี้เขาเปลี่ยนอยู่เสมอ ข้าพเจ้ากับเพื่อนไปกินเดือนละครั้งบ้าง ๒ ครั้งบ้างเสมอ เห็นแปลก ๆ ทุกครั้ง ท่านลองเดาคงเดาไม่ถูกว่าชุดละเท่าใด ขอบอกว่าชุดละ ๖ สลึง หรือ ๑ บาท ๕๐ สตางค์”
ภาพเครื่องใช้สำหรับโต๊ะอาหาร นอกจากช้อนส้อมมากมายและถ้วยแก้วสำหรับสุราแต่ละชนิดแล้ว สิ่งสำคัญอันจะขาดเสียมิได้ คือชามแก้วใส่น้ำล้างมือ
ภาพ : หนังสือ หลักของการเรือน ประเภทที่ ๑
เรื่องการครัว ของ ม.ล. ปอง มาลากุล ปี ๒๔๘๒
ในปี ๒๔๖๑ มื้อเที่ยงราคา ๑ บาท ๕๐ สตางค์ ต้องถือว่าหรูหรามาก เพราะขุนวิจิตรมาตราจำได้ด้วยว่าในเวลานั้น “รับราชการเป็นเสมียนเงินเดือนเดือนละ ๑๒ บาทบ้าง ๑๕ บาทบ้าง อย่างสูงสุด ๒๐ บาท คนใช้ในบ้านเดือนละ ๕-๖ บาท”
คำบอกเล่าของขุนวิจิตรมาตรามีสิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่ง คือแม้จะเป็น “อาหารฝรั่ง” แต่ยังคงต้องมีชามแก้วใส่น้ำมาไว้ให้ล้างมือในตอนท้าย อันดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่อนุโลมตามวัฒนธรรมการกินด้วยมืออย่างไทย ๆ ในบทละครพูดพระราชนิพนธ์เรื่อง ตบตา ที่กล่าวถึงมาแล้ว ช่วงท้ายของการปรึกษาหารือเรื่องเมนูงานเลี้ยง ระหว่างสมาชิกครอบครัวรตินันทน์ อันได้แก่ นายรอด นางผ่อง กับนายฤกษ์ บุตรชาย และนายซุ่นฮั้ว หัวหน้าบ๋อยจากเซ็นตรัลโฮเต็ล ก็ยังอดเยาะเรื่องนี้ไม่ได้
รอด
ช้าก่อนนาย. ยังมีอะไรอีกอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้, ฉันเห็นเขามีกันทุกแห่ง แต่ไม่รู้ว่าเขาเรียกว่ากระไร เขายกมาตั้งเมื่อหมดอาหารอื่น ๆ แล้วทีเดียว, เปนน้ำใส ๆ ใส่ขันแก้ว, มีดอกไม้สดลอย- - -
ซุ่นฮั้ว
อ๋อ ! น้ำล้างมือสิขอลับ
รอด
เอ๊ะ ! สำหรับล้างมือดอกฤ ๅ ? - - - หมายว่าสำหรับกิน
ฤกษ์
พุทโธ่ ! อะไรคุณพ่อ นึกว่าเปนของกินด้วยฤ ๅ ?
รอด
ยิ่งกว่านึก- - -เคยคว้าเข้าไปแล้วด้วยซ้ำ
ช่างทำกับเข้า
นอกจากโฮเต็ลของฝรั่ง กับร้านอาหารยี่ห้อต่าง ๆ ของคนจีนแล้ว ยังมีภัตตาคารของคนไทยด้วย ที่ปรากฏหลักฐานคือร้านสันธาโภชน์
“ในระหว่างเวลาที่ลครมาเล่นอยู่ที่สนามทหารบก ทหารเรือ ซึ่งเปนที่ใกล้กับสถานสันธาโภชน์นั้น สันธาโภชน์จะได้จัดอาหารค่ำ (สัปเปอร์) ทั้งอาหารไทย แลฝรั่ง ให้มีพร้อมอยู่เสมอทุกคืน เพื่อเวลาลครเลิกแล้วท่านจะมารับทานได้โดยสดวก เจ้าของสันธาโภชน์จะมีความขอบใจมากแก่ท่านผู้อุดหนุน กระจ่าง เจ้าของผู้จัดการ สันธาโภชน์” (จีนโนสยามวารศัพท์ ๒๒ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๙)
อย่างไรก็ดีชีวิตของร้านคนไทยเช่นนี้อาจไม่ยืนยาวนัก สันธาโภชน์เริ่มต้นธุรกิจราวต้นทศวรรษ ๒๔๔๐ ในฐานะผู้ผลิตและส่งออกผลไม้แปรรูป ก่อนจะขยายกิจการมาเปิดภัตตาคารเมื่อปี ๒๔๕๑ และต้องอวสานลงเมื่อมีคำสั่งศาลให้ล้มละลายในเดือนธันวาคม ๒๔๕๕ ทว่าร้านอาหารใหม่ ๆ
ในกรุงเทพฯ ก็ยังมีเปิดขึ้นตลอดเวลา
ร้านสันธาโภชน์
ภาพ : หนังสือ Twentieth Century Impressions of Siam 1908
“กับเข้าอร่อยเพราะกุ๊กชำนาญ เวลานี้ที่ร้านสรรพะนายมท่าช้าง พึ่งได้จัดการหากุ๊กที่มีฝีมือทำกับเข้าอย่างแบบใหม่ ซึ่งเปนกุ๊กที่ได้เคยทำเครื่องเสวยมาแล้วนั้น ทั้งเปนกุ๊กที่ท่านข้าราชการแลเสือป่าทั้งหลายพอใจชอบให้หาไปทำกับเข้าในการซ้อมรบเสมอ ๆ เพราะทำกับเข้ามีโอชารศซึ่งได้รับความชมเชยว่าอร่อยจริง” (กรุงเทพฯ เดลิเมล์ ๓๐ เมษายน ๒๔๕๙)
“ขอแจ้งความให้ท่านทั้งหลายทราบทั่วกันว่าข้าพเจ้ายี่ห้อทุ่งเสงได้เปิดสถานที่สำหรับขายอาหารฝรั่งแลจีนขึ้นใหม่ที่ตำบล ๔ แยกวัดตึก มีทั้งเครื่องกระป๋องแลอื่น ๆ พร้อม จะได้ลงมือเปิดขาย ณ วันที่ ๑๕ เดือนนี้ ขอเชิญท่านทั้งหลายไปลองไปชิม” (Bangkok Times 8th June 1920)
“โฮเต็ลไต้กวนหย่วน ตำบลถนนเยาวราช เลขที่ ๓๐๑ ตรงข้ามตลาดเก่า กำหนดจะขายกับเข้าจีนตรงกับวันที่ ๙ เดือนนี้ ข้าพเจ้าได้หาช่างทำกับเข้ามีฝีมืออย่างที่หนึ่งมาทำ ทั้งรสชาติแลวิธีทำ ๆ โดยปราณีตทุก ๆ อย่าง แลสถานที่ก็ระโหถานสอาดตาแลกว้างขวาง ได้แต่งไว้อย่างหรูหราทั้ง ๓ ชั้น แลมีห้องพิเศษสำหรับท่านบุรุษแลสัตรีทุก ๆ ชั้น เพราะฉนั้นเชิญท่านมาอุดหนุน” (จีนโนสยามวารศัพท์ ๒๕ ตุลาคม ๒๔๖๓)
สังคมชาวกรุงยุคนั้นมองว่าร้านอาหารที่เพิ่มขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของความก้าวหน้าทันสมัยของพระนคร ดังที่คอลัมน์ “น้ำพริกป่า-น้ำปลาหวาน” ของผู้ใช้นามปากกาว่า “เล็บสิงห์” พรรณนาว่า
“กรุงเทพฯ ในเวลานี้คงแปลกตากว่าแต่ก่อนนี้มากถนนหนทางก็มีมากสาย ตึกรามบ้านช่องก็หรูหรารถม้า รถยนต์ และยานพาหนะอย่างอื่นก็มีสารพัด...ร้านขายอาหารก็มีอยู่แทบทุกถนนสายใหญ่ ๆ มิหนำซ้ำแถมผู้หญิงไทยสรวมกะโปรงก็หรูหราน่าเอ็นดู ฯลฯ” (จีนโนสยามวารศัพท์ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๖๔)
น้ำปลายี่ปุ่น
ยังไม่พบหลักฐานยุครัชกาลที่ ๖ ว่ามีภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ หากแต่มีชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาทำมาหากินในพระนคร ทั้งหญิงโสเภณี ช่างถ่ายรูป ช่างทำฟัน นายแพทย์ มีแม้กระทั่งช่างตัดผมชาวญี่ปุ่น เช่น อาร์ โอโมดา (R. Omoda) ที่มีร้านอยู่ตรอกกัปตันบุช รวมทั้งมีห้างสรรพสินค้าของญี่ปุ่น เช่น ยี.ยามากูจี (G Yamaguchi & Co.) สี่แยกวัดตึก จำหน่าย ทั้งยายินตัง (ยาอมยินตัน) เบียร์กิริน (Kirin) และ “น้ำปลายี่ปุ่นอย่างดี ตราลูกโลก น้ำปลาญี่ปุ่นชนิดตราลูกโลกนี้ เปนอย่างดีกว่าน้ำปลาอื่น ๆ ทั้งหมด เพราะน้ำปลายี่ปุ่นมีหลายอย่าง ขอท่านทั้งหลายที่จะซื้อรับประทานเชิญจำเครื่องหมายสำคัญ คือตราลูกโลกนี้เองเปนอย่างแท้” (จีนโนสยามวารศัพท์ ๒ เมษายน ๒๔๖๑)
น้ำปลาญี่ปุ่นในที่นี้ย่อมได้แก่ซอสถั่วเหลืองหรือโชยุนั่นเอง เพราะในโฆษณามีภาพขวดผลิตภัณฑ์ พร้อมข้อความภาษาอังกฤษว่า BEST JAPANESE SOY
คนไทยรู้จักและใช้ “น้ำปลาญี่ปุ่น” ปรุงรสกันมานานแล้ว ถึงขนาดปรากฏอยู่ในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ว่า
“ยำใหญ่ใส่สารพัด
วางจานจัดหลายเหลือตรา
รสดีด้วยน้ำปลา
ญี่ปุ่นล้ำย้ำยวนใจ”
จนถึงยุคสมัยรัชกาลที่ ๕ น้ำปลาญี่ปุ่นก็ยังเป็นที่นิยม ในทศวรรษ ๒๔๕๐ ตำรา แม่ครัวหัวป่าก์ ของท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ใช้ซอสปรุงรสเค็มหลากชนิด แม้ตำราส่วนใหญ่ของท่านมักให้ใส่น้ำปลาดี แต่ก็ยังระบุถึงน้ำเคยดี (คือน้ำปลาที่ได้จากการหมักกุ้งเคยอย่างที่ใช้ทำกะปิ) น้ำปลาญี่ปุ่น และน้ำปลาร้า
เคยมีโฆษณาน้ำเคยหรือน้ำปลาดีทำจากเยื่อเคย ในหน้าหนังสือพิมพ์ยุครัชกาลที่ ๖ ด้วย เช่น โฆษณาร้าน เลขที่ ๑๗๙๐ ถนนมหาไชย
“น้ำปลาอย่างดีทำจากเยื่อเคยชั้นที่ ๑ นั้น ก็เปนยอดแห่งอาหาร จะเปนแกงจืดแกงเผ็ดหรือผัดอะไร ถ้าได้เหยาะน้ำปลาดีลงไปแล้วก็ทำให้มีโอชารสขึ้นเปนอันมาก ราคาขายขวดละ ๑ บาทเท่านั้น” (จีนโนสยามวารศัพท์ ๓๑ มีนาคม ๒๔๖๔)
ส่วน “น้ำปลาอย่างดี” ของนายชั้ว ตู้จินดา บ้านท่าฉลอม เมืองสมุทรสาคร ผลิตจากไตปลาทู
“ข้าพเจ้าได้พยายามปรุงด้วยน้ำไตปลาทูอย่างสอาจและดีแท้ เพื่อหวังสารประโยชน์แก่สินค้าไทยให้มีชื่อเสียงต่อไปภายหน้า เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจึงได้พยายามปรุงขึ้นด้วยรสอันโอชะจะให้เปนน้ำจิ้มอย่างดีของไทยชนิดหนึ่งซึ่งมีขายที่ร้านขายเข้าสาร เลขที่ ๒๗ ข้างร้านเจริญเกษากิจตอนหน้าโรงหวยถนนเจริญกรุง ๆ เทพฯ ขวดใหญ่ราคา ๔๐ สตางค์ ขวดเล็กราคา ๒๕ สตางค์” (กรุงเทพฯ เดลิเมล์ วันที่ ๑๑
มกราคม ๒๔๕๘)
นอกจากนั้นชาวกรุงยังนิยมเหยาะ “ซอสกระต่าย” คือวูสเตอร์ซอส (Worcester sauce) กระทั่งมีคนไทยพยายาม
ปรุงขึ้นเองให้ได้รสชาติทัดเทียมของฝรั่ง
“น้ำซอสกระต่ายอย่างดี ชื่อแขแอนซัน ซึ่งในเวลานี้กำลังมีผู้นิยมกันมาก แต่ก่อนมีแต่อย่างขวดไหญ่ ราคาขวดละ ๑ บาท โหลละ ๑๐ บาทนั้น เดี๋ยวนี้ได้มีอย่างขวดเล็กขึ้นแล้ว ราคาขวดละ ๖๐ สตางค์ ซื้อทั้งโหล ๆ ละ ๖ บาท รศชาติรับประกันได้ว่าไม่ผิดกับขวดใหญ่” (กรุงเทพฯ เดลิเมล์ ๑๒ สิงหาคม ๒๔๖๕)
น้ำแข็งแลน้ำโซดา
ของโปรดอย่างหนึ่งของชาวกรุงตั้งแต่ยุครัชกาลที่ ๕ คือ “น้ำแข็ง”
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเล่าไว้ในอัตชีวประวัติ ความทรงจำ ว่าน้ำแข็งจากสิงคโปร์มีเข้ามาถึงกรุงเทพฯ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔
“ของประหลาดอย่างหนึ่งนั้นคือ น้ำแข็ง ดูเหมือนจะเพิ่งทำได้ที่เมืองสิงโปร์ไม่ช้านัก มีผู้ส่งแท่งน้ำแข็งใส่หีบกลบขี้เลื่อยมาถวายเนือง ๆ ได้น้ำแข็งมาเมื่อใดก็มักโปรดให้แจกเจ้านายและข้าราชการผู้ใหญ่ พวกที่เพิ่งได้เห็นน้ำแข็ง ชั้นเด็ก ๆ เช่นตัวฉันชอบต่อยออกเป็นเล็ก ๆ อมเล่นเย็นเฉียบสนุกดี”
หลังจากนั้นช่วงต้นรัชกาลที่ ๕ จึงเริ่มมีโรงน้ำแข็งมาตั้งขึ้นในกรุงเทพฯ และเมื่อถึงปลายรัชกาลที่ ๕ ชาวกรุงจำนวนไม่น้อย “ติด” น้ำแข็งไปเรียบร้อย เช่นที่ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ เล่าไว้ในหนังสือ แม่ครัวหัวป่าก์ ว่าผู้ดีในเวลานั้นนิยมชมชอบการเติมน้ำแข็งลงในข้าวแช่ ถึงขนาด “บางท่านถ้าไม่มีน้ำแขงถึงรับประทานไม่ได้”
ดังนั้นเมื่อถึงยุครัชกาลที่ ๖ น้ำแข็งจึงกลายเป็นของจำเป็นอย่างหนึ่งในชีวิตชนชั้นสูง ดังคำบอกเล่าว่าด้วยการ “เสวยต้น” ของรัชกาลที่ ๖ ว่าผักดิบที่แนมกับน้ำพริกยังต้องกลบน้ำแข็งมา
แม้ยุคนั้นยังไม่มีตู้เย็นไฟฟ้าที่จะผลิตน้ำแข็งได้ในครัวเรือน แต่ “หีบน้ำแข็ง” คือหีบไม้ภายในบุสังกะสีสำหรับใส่น้ำแข็งเพื่อใช้เป็นตู้แช่อาหาร ได้กลายเป็น “เครื่องใช้สำหรับบ้าน” อย่างหนึ่ง เช่นโฆษณาร้านของจีนจงเฮ ช่วงต้นรัชกาลที่ ๖
“ข้าพเจ้าจีนจงเฮ อยู่ตำบลวัดม่วงแค ถนนเจริญกรุง ขอแจ้งความให้ท่านทั้งหลายทราบทั่วกัน ด้วยที่ร้านข้าพเจ้ามีโต๊ะตู้สำหรับใส่เครื่องรัปทาน แลหีบน้ำแข็ง กับเครื่องใช้สำหรับบ้านซึ่งทำด้วยไม้มีขายพร้อม” (จีนโนสยามวารศัพท์ ๘ กุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๒๙
(ซ้ายบน) ห้องเย็น (ซ้ายล่าง) โรงงานผลิตน้ำอัดลม (ขวาบน) โรงน้ำแข็ง (ขวาล่าง) ก๊อกน้ำดื่มสาธารณะหน้าโรงงาน ซึ่งเป็นน้ำบาดาล
ภาพ : หนังสือ Twentieth Century Impressions of Siam 1908
ผู้ผลิตน้ำแข็งรายใหญ่ของกรุงเทพฯ รายหนึ่งในยุครัชกาลที่ ๖ คือบริษัทบางกอกมันนูแฟกเจอริง (Bangkok Manufacturing Co., Ltd.) หรือ บี.เอ็ม.ซี. (B.M.C.) ก่อตั้งขึ้น เมื่อปี ๒๔๔๔ เพื่อผลิตน้ำแข็งและน้ำอัดลม (น้ำโซดาและน้ำมะเน็ด) ในทศวรรษ ๒๔๕๐ กิจการของบริษัทกำลังเจริญก้าวหน้า ดังคำบรรยายในหนังสือ รายงานการแสดงกสิกรรมแลพานิชการ ครั้งที่ ๑ (ปี ๒๔๕๓) ว่าทางบริษัท
“มีเครื่องทำน้ำแข็งสองเครื่อง ทำน้ำแข็งได้วันละ ๒๐ ตัน เครื่องหนึ่ง ๖ ตัน เครื่องหนึ่ง และทั้งมีเครื่องทำน้ำโซดาได้วันละ ๒๐๐๐ ขวดอีกเครื่องหนึ่ง เครื่องจักร์ทำน้ำแข็ง เปนเครื่องจักร์อย่างชั้นที่หนึ่งที่มีอยู่ในแถบประเทศตวันออก เปนเครื่องอเมริกันของบริษัทพริช ใช้แอมโมเนียให้เกิดความหนาวเย็น เครื่องจักร์สำหรับทำน้ำโซดานั้นเปนเครื่องอย่างใหม่ที่สุด มีเครื่องอาไหล่ครบบริบูรณ์ ส่งมาจากบริษัทแบร็ตบีแอนฮินชคลิฟ เมืองแมนเชสเตอร์ (อังกฤษ) น้ำของบริษัทนี้ใช้น้ำใต้บาดาล ขุดลึกลงไปใต้ดิน ๗๐๐ ฟิต
“นอกจากการทำน้ำแข็งแลน้ำโซดา ซึ่งเปนสินค้าอันสำคัญของบริษัทนี้ บริษัทยังขยายการต่อออกไปอีกในเมื่อเร็ว ๆ นี้ คือมีห้องเย็นสำหรับไว้ของสด แลทำไอสครีมแผ่นขาย ห้องเย็นไว้ของสดนั้นสอาดสอ้างมาก ปูด้วยหินอ่อนและกระเบื้องขาวตลอดทั้งสามห้อง”
โรงน้ำแข็งของ บี.เอ็ม.ซี. ที่เชิงสะพานพิทยเสถียร ปากคลองผดุงกรุงเกษม น่าจะเป็นโรงน้ำแข็งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ โฆษณาระบุว่าห้างนี้ “ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และ “มีน้ำหวานต่าง ๆ เช่นโรซวอเตอร์ แพร์เรดแลน้ำหวานอย่างอื่น ๆ กับอาหารแช่น้ำแข็งเปนต้นเนื้อชนิดต่าง ๆ” (กรุงเทพฯ เดลิเมล์ ๑๕ มกราคม ๒๔๕๖)
แต่ในปี ๒๔๖๒ กิจการของ บี.เอ็ม.ซี. ก็ต้องเปลี่ยนมือ กลายเป็นบริษัทในเครือห้างฮุนซุยโห ของนายโกศล ฮุนตระกูล
โรงงานของบริษัทบางกอกมันนูแฟกเจอริง (Bangkok Manufacturing Co., Ltd.) หรือ บี.เอ็ม.ซี.
ภาพ : หนังสือ Twentieth Century Impressions of Siam 1908
ฮุนซุยโห vs ห้างนายเลิศ
นายโกศล ฮุนตระกูล (ปี ๒๔๒๖-๒๕๐๒) เป็นบุตรของนายอุ่นตุ้ยและนางคำ ฮุนตระกูล จบการศึกษาชั้นมัธยมฯ จากโรงเรียนอัสสัมชัญ บิดามีกิจการโรงทำขนมปังและธุรกิจอื่น ๆ อีกหลายอย่าง นายอุ่นตุ้ยมีโอกาสรับใช้ใกล้ชิดในวงราชสำนักยุครัชกาลที่ ๕ เช่น ได้เป็นผู้จัดพระกระยาหารฝรั่งถวายในการพระราชทานเลี้ยงแก่คณะทูตานุทูตและชาวต่างประเทศในงานพระราชพิธีอยู่เนือง ๆ จึงชักนำบุตรชายคือนายโกศล ให้รู้จักการ “เข้าเจ้าเข้านายและผู้หลักผู้ใหญ่” และเริ่มฝึกหัดให้กำกับพระสุธารส (น้ำชา) บ่าย และเครื่องว่างถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แทนบิดา รวมถึงยังให้เป็นผู้กำกับอาหารในการพระราชทานเลี้ยงแขกชาวต่างประเทศเนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาหลายครั้ง
หลังจากบิดาถึงแก่กรรมในปี ๒๔๔๖ ช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ นายโกศลจึงเริ่มต้นกิจการห้างฮุนซุยโห (H. Swee Ho) ทำโรงงานผลิตน้ำอัดลมที่เรียกกันทั่วไปว่า “น้ำมะเน็ด” (กร่อนมาจากคำว่า lemonade คือน้ำมะนาว) และหัวเชื้อน้ำหวานชนิดต่าง ๆ โดยอาศัยความรู้วิชาภาษาอังกฤษที่เคยร่ำเรียนจากโรงเรียนอัสสัมชัญ สั่งซื้อตำราทำน้ำอัดลมและหัวเชื้อน้ำหวานจากอังกฤษ แล้วมาทดลองผลิตออกจำหน่าย จนกระทั่งสามารถส่งหัวเชื้อน้ำหวานรสสละเข้าประกวดและได้รับเหรียญทองเป็นรางวัลจากงานนิทรรศการนานาชาติประจำ ค.ศ. ๑๙๑๑ (ปี ๒๔๕๔) ที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี ซึ่งห้างฮุนซุยโหก็ใช้รางวัลนี้เป็น “จุดขาย” เรื่อยมา ดังปรากฏโฆษณาในหนังสือพิมพ์
“เชื้อน้ำสละของห้างฮุนซุยโห ได้รับรางวัลเหรียญทอง กรุงตุริน พ.ศ. ๒๔๕๔ ในรดูร้อน จงดื่มน้ำลูกสละอันมีโอชารศ แลหอมเย็นชื่นใจ มีรศเช่นเดียวกับผลสละสดซึ่งคั้นกับน้ำตาล ทำได้แต่เชื้อน้ำสละของห้างฮุนซุยโห เชิงสพานพิทยเสถียร กรุงเทพฯ” (จีนโนสยามวารศัพท์ ๑๖ กรกฎาคม ๒๔๖๑)
ต่อมาในราวปี ๒๔๕๗ นายโกศลยังเริ่มต้นกิจการใหม่คือโรงน้ำแข็ง ซึ่งเจริญก้าวหน้ามาเป็นลำดับ กระทั่งในปี ๒๔๖๒ ห้างฮุนซุยโหสามารถซื้อกิจการ บี.เอ็ม.ซี. ต่อจากเจ้าของ คือนายแพทย์เฮย์ส (Thomas Heyward Hays,
1854-1924) ชาวอเมริกัน
หนังสืออนุสรณ์พิธีฝังศพนายโกศลเล่าว่า การตัดสินใจซื้อกิจการ บี.เอ็ม.ซี. เกิดขึ้นเนื่องจาก
“ได้เล็งเห็นการณ์ไกลในการที่ได้ว่าจ้างผู้จัดการซึ่งเป็นฝรั่งให้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการต่อไป โดยให้เงินเดือนรวมทั้งค่าเช่าบ้านถึงเดือน ๑,๓๐๐ บาท อันนับว่าเป็นเงินมิใช่น้อยในสมัยนั้น เพราะจะต้องดำเนินกิจการแข่งกับบริษัทเฟรเซ่อร์ แอนด์ นี้ฟ ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่และเงินทุนมาก เพื่อที่จะมีความรู้กว้างขวางทันกับกิจการค้าที่ขยายออกไป”
พันธมิตรสำคัญในกรุงเทพฯ ของเฟรเซอร์แอนด์นีฟ (Fraser&Neave Ltd.) บริษัทผลิตเครื่องดื่มจากสิงคโปร์ ได้แก่ห้างนายเลิศ ของพระยาภักดีนรเศรษฐ (เลิศ เศรษฐบุตร) เจ้าของกิจการโรงน้ำแข็งใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ยุครัชกาลที่ ๖
พระยาภักดีนรเศรษฐ (ปี ๒๔๑๕-๒๔๘๘) เป็นบุตรนายชื่นและนางทิพย์ จบการศึกษาจากโรงเรียนสวนอนันต์ เริ่มฝึกหัดการค้าด้วยการเป็นเสมียนห้างฝรั่ง แล้วย้ายไปทำงานที่โรงภาษี ต่อมาไปเป็นครูโรงเรียนสวนสุนันทา แล้วมาเป็นเสมียนห้างสิงคโปร์สเตรต (ชื่อเดิมของเฟรเซอร์แอนด์นีฟ) อีกหลายปี ระหว่างนั้นเริ่มทำการค้าส่วนตัวไปด้วย พยายามหาทางค้าขายสินค้าต่างประเทศหลายอย่าง ต้องล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด จนในที่สุดได้ตั้งโรงแรมขึ้น กิจการก้าวหน้าไปด้วยดี จึงขยายธุรกิจมาสู่โรงน้ำแข็งในปี ๒๔๔๘
ตอนต้นทศวรรษ ๒๔๕๐ ช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ โฆษณาของห้างนายเลิศในหนังสือ รายงานการแสดงกสิกรรมแลพานิชการ ครั้งที่ ๑ บรรยายธุรกิจของห้างนายเลิศไว้ แทบไม่แตกต่างจาก บี.เอ็ม.ซี. ว่า “เจ้าของโรงน้ำแขงเอกซ์เซลซีเออร์ แลทำไอสกรีมขาย มีบ่อน้ำใต้บาดาล ห้องเย็น ห้างขายของ เปนเอเยนต์ขายน้ำหวาน น้ำมะเนด โซดาย่อยของห้างเฟรเซอร์แอนนีฟ”
พระยาภักดีนรเศรษฐ (เลิศ เศรษฐบุตร) เจ้าของห้างนายเลิศ
น้ำแดงน้ำเขียวและไอศกรีม
พร้อมกับความเฟื่องฟูของน้ำแข็งในสังคมชาวกรุง คือการขยายตัวของรสนิยมน้ำหวานรสซ่า เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ ๖ น้ำอัดลมหรือ “น้ำมะเน็ด” อย่างที่เรียกกันว่า “น้ำแดง น้ำเขียว” กลายเป็นที่นิยมแพร่หลาย จนมีสถานะเป็นเครื่องดื่มที่มีไว้รับรองแขกเหรื่อ เช่น ในเดือนธันวาคม ๒๔๕๓ เมื่อเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) จัดการประชุมระดมความคิดเห็นเรื่องการตั้งโรงเรียนสตรีของท่านผู้หญิงตลับ “มีการเลี้ยงน้ำชาขนมผลไม้หมากพลูบุหรี่ น้ำแดงน้ำเขียวบริบูรณ ซ้ำแจกผ้าเช็ดปากแก่ท่านที่เปนผู้หญิงด้วยอีกคนละ ๓ ผืน รวมสิ้นผ้าเช็ดปากหลายร้อยผืน ท่านชั่งมีน้ำใจอารีอารอบเอื้อเฟื้อเสียจริง ๆ” (“การประชุมที่บ้านเจ้าพระยายมราช” จีนโนสยามวารศัพท์ ๓๑ ธันวาคม ร.ศ. ๑๒๙)
รสนิยมในน้ำแข็งและน้ำหวานนี้ยังแพร่หลายออกไปสู่หัวเมืองด้วย เช่นที่มีผู้ไปเปิดโรงน้ำแข็งและโรงงานน้ำหวานที่นครสวรรค์ (“แหละ” ในที่นี้ คงสะกดผิดจาก “และ”-ศรัณย์)
“ขอแจ้งความให้ท่านทั้งหลายทราบว่า โรงทำน้ำแข็งที่เมืองนครสวรรค์แหละยังมีเครื่องทำน้ำโซดาแหละน้ำหวานต่าง ๆ ด้วยพร้อมบริบูรณ์ ถ้าท่านผู้หนึ่งผู้ใดจะต้องการเช่าทำ หรือจะซื้อเครื่องทั้งหมดก็ได้ ขอให้ไปตกลงกับข้าพเจ้าตำบลหลังหอทะเบียฬที่ดินกลาง ห้องเลข ๙ บ้านหม้อ กรุงเทพฯ (ลงนาม) นายปุ๋ย” (กรุงเทพฯ เดลิเมล์ ๑๕ ตุลาคม ๒๔๕๘)
ของเย็นอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมควบคู่มากับน้ำแข็งและน้ำแดงน้ำเขียว คือไอศกรีม
ในยุครัชกาลที่ ๖ ไอศกรีมกลายเป็นของหวานปิดท้ายมื้ออาหารตั้งแต่ในรั้วในวัง เช่นที่ปรากฏในเมนู “โต๊ะค่ำ”
จากเมนูที่ลงพิมพ์ไว้ในหนังสือ วิวัฒนาการและศิลปะการจัดโต๊ะอาหาร เครื่องดื่ม และเมนูอาหาร ไอศกรีมที่เสิร์ฟปิดท้ายพระกระยาหารมื้อค่ำของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีสารพัดชนิด เช่น (ตัวสะกดตามที่ปรากฏในเมนู) เช่น ไอสครีมเนลูซโก ไอสครีมปีชเมลบา ไอสครีมมลิลา ไอสครีมปลอมเบร์ ไอสครีมมาราเชล ไอสครีมเอกลอง ไอสครีมเครโอล์ หรือบางครั้งก็มีการอัดไอศกรีมลงในพิมพ์รูปร่างต่าง ๆ ก่อนนำมาขึ้นโต๊ะเสวย เช่น ไอสกรีมรูปผลแตงไทย และไอสครีมรูปผลสัปรศ
จนถึงตามภัตตาคาร เช่น อาหารประจำวันของยี่ห้อห้อยเทียนเหลาก็มีไอศกรีม รวมถึงบริษัทที่มีกิจการโรงน้ำแข็ง เช่น บี.เอ็ม.ซี. และห้างนายเลิศ ต่างผลิตไอศกรีมออกจำหน่าย
เมื่อถึงกลางทศวรรษ ๒๔๖๐ กรุงเทพฯ เริ่มมีร้านไอศกรีมที่แยกตัวต่างหากจากร้านอาหาร พร้อมกับจำหน่าย “ของว่าง” เช่น ผลไม้ ดังโฆษณา “ลอนดอนไอสกริม” และ “ว่าหมุ่นยุ่น” ถนนราชวงษ์ ในปี ๒๔๖๕
“นั่นแน่ ! เปิดใหม่ !! ไอสกริมโอชารส ร้านเปิดใหม่ ผสมได้ดีเหมือนไอสกริมเมืองนอก โปรดเชิญท่านแวะชมที่ ‘ลอนดอนไอสกริม กำปนี’ ตำบลถนนราชวงษ์ (กรุงเทพฯ เดลิเมล์ ๑๒ สิงหาคม ๒๔๖๕)
“น่าร้อนแล้วขอรับ ท่านอยากรับประทานไอสกริมที่มีรศโอชาหวานกล่อมไหม ? ท่านอยากรับประทานผลไม้ถูกต้องตามฤดูไหม ? ถ้าท่านอยาก ขอเชิญมารับประทานที่สถานว่าหมุ่ยยุ่น ถนนราชวงษ์ ด้วยสถานนี้ได้จัดไว้เปนที่สอาดสอ้านสมแก่ท่านสุภาพบุรุษย์สัตรีทั้งหลายจะมาพักผ่อนในยามร้อน ทั้งมีเครื่องว่างต่าง ๆ ไว้คอยรับรองท่านเสมอด้วย ถ้าท่านผ่านมาทางนี้แล้วจงอย่าได้ลืมแวะบ้างนะครับ”
(จีนโนสยามวารศัพท์ ๒๘ มีนาคม ๒๔๖๕)
สถานกาแฟนรสิงห์
ในปี ๒๔๖๕ มีการเปิดร้านกาแฟนรสิงห์ขึ้นที่สนามเสือป่า ข้างพระลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อจำหน่ายน้ำชากาแฟและเครื่องดื่ม ตั้งแต่เวลา ๒ ล.ท. (คือ 2 pm หรือ ๑๔ นาฬิกา)
“สถานที่ ๆ มีนามว่ากาแฟนรสิงห์นี้ตั้งอยู่ที่สวนดุสิต มุมสโมสรเสือป่า ข้างพระลานด้านถนนอยุธยาจะได้กำหนดเปิดตั้งแต่วันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๕ เปนต้นไป มีเครื่องดื่มต่าง ๆ ตลอดจนน้ำชา จำหน่ายตั้งแต่เวลา ๒ ล.ท. ทุกวัน” (กรุงเทพฯ เดลิเมล์ ๒๕ กันยายน ๒๔๖๕)
กาแฟนรสิงห์เป็นกิจการของทางราชสำนัก ดำเนินการโดยกรมมหรศพ (ตัวสะกดในยุคนั้น) ซึ่งเพิ่งตั้งใหม่ตอนต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นตรงต่อกรมมหาดเล็ก
กรมมหรศพมีหน่วยงานในสังกัดคือ กรมโขนหลวง กรมพิณพาทย์หลวง กรมช่างมหาดเล็ก และกรมดนตรีฝรั่งหลวง ผู้บัญชาการกรมมหรศพถือ “พระราชลัญจกรพานรสิงห์รำ” ซึ่งใช้เป็นตราประจำกรมด้วย ดังนั้นสิ่งต่าง ๆ อันเนื่องด้วยกรมมหรศพจึงมักใช้ชื่อ “นรสิงห์” ไม่ว่าจะเป็น “บ้านนรสิงห์” คฤหาสน์ของผู้บัญชาการกรมมหรศพ คือพระยาประสิทธิ์ศุภการ (ม.ล. เฟื้อ พึ่งบุญ ปี ๒๔๓๓-๒๕๑๐ ภายหลังเป็นเจ้าพระยารามราฆพ) หรือร้านถ่ายรูปฉายานรสิงห์ ซึ่งกรมช่างมหาดเล็กเปิดดำเนินการต่อจากร้านถ่ายรูปโรเบิร์ต เลนซ์ (Robert Lenz & Co.) เมื่อเดือนเมษายน ๒๔๖๑
“ด้วยห้างถ่ายรูปรอเบิดเลนด์ตั้งอยู่ถนนเจริญกรุงสพานถ่านที่เลหลังให้กรมช่างมหาดเล็กนั้น กรมช่างมหาดเล็กเปิดรับจ้างถ่ายรูปเขียนรูปแล้วณะสถานที่ตั้งนั้นตั้งแต่วันที่ ๑ เดือนนี้ และเปลี่ยนยี่ห้อใหม่ว่า ‘ห้องนรสิงห์’ ชื่อนี้ละม้ายคล้ายคลึงกับบ้าน ‘นรสิงห์’ ของเจ้าคุณประสิทธิศุภการ หวังว่าเจ้านายและข้าราชการตลอดพ่อค้าราษฎรคงไปอุดหนุนสถานที่นี้เพราะเปนของไทยแท้ ทั้งน้ำมือที่ทำก็ดีพร้อมทุกอย่างสู้ฝรั่งเจ้าของเดิมได้” (จีนโนสยามวารศัพท์ ๖ เมษายน
๒๔๖๑)
พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร ปี ๒๔๒๖-๒๕๑๑) ผู้เคยรับราชการในกองดนตรีฝรั่งหลวงของกรมมหรศพยุครัชกาลที่ ๖ บันทึกบรรยากาศของกาแฟนรสิงห์ (Cafe Norasingh) ไว้ในตอนหนึ่งของอัตชีวประวัติ “๓๕ ปีของชีวิตในการดนตรี (พ.ศ. ๒๔๖๐-๒๔๙๕)” ว่า
“สถานที่นี้พระมงกุฎเกล้าฯ ได้ทรงสร้างขึ้นเพื่อให้ประชาชนได้อาศัยเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ และได้ทรงมอบกิจการของสถานที่นี้ให้เป็นหน้าที่ของกรมมหรศพ นอกจากสถานที่ Cafe Norasingh ซึ่งเป็นสถานที่ขายเครื่องว่างและเครื่องดื่มแล้ว ยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างกระโจมแตรถาวรขนาดใหญ่ขึ้นในที่ใกล้เคียงกันอีกด้วย เพื่อใช้สำหรับเป็นที่ตั้งทำการบรรเลงดนตรีให้ประชาชนฟัง มีทั้งวงดุริยางค์สากลและวงปี่พาทย์สลับรายการกันทุก ๆ วันอาทิตย์ตอนเย็น เริ่มแต่เวลา ๑๗.๐๐ น. ถึง ๑๙.๐๐ น. ตามบริเวณหน้ากระโจมมีโต๊ะและเก้าอี้ จัดไว้รับรอง สำหรับประชาชนประมาณ ๓๐๐ ถึง ๔๐๐ คน การเข้านั่งฟังการบรรเลงนี้ไม่ต้องเสียเงินค่าผ่านประตูเป็นแต่มีกฎเกณฑ์ไว้ว่าผู้ที่เข้ามานั้นต้องแต่งกายสุภาพเรียบร้อยเท่านั้น - การบรรเลงเริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงเดือนมิถุนายน เพราะหลังจากนั้นเข้าเขต
ฤดูฝน การบรรเลงกลางแจ้งเช่นนี้ไม่สะดวกด้วยเหตุหลายประการ วงดุริยางค์และวงปี่พาทย์ได้ทำการบรรเลงเป็นงานประจำจนสิ้นรัชชสมัยของพระองค์ข้าพเจ้ายังระลึกได้ว่า ทุก ๆ คราวที่มีการบรรเลง ลานพระบรมรูปทรงม้ามุมถนนศรีอยุธยานั้น คับคั่งไปด้วยรถยนตร์ประดุจมีงานมโหฬาร ซึ่งส่วนมากเป็นชาวต่างประเทศที่พากันมาฟังเฉพาะในวันที่มีการบรรเลงดนตรีสากล”
เจ๊กหาบขาย
ในบทพระราชนิพนธ์ กันป่วย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ “เพื่อประโยชน์แห่งทหารและเสือป่า” เมื่อปี ๒๔๕๖ ทรงตักเตือนเพื่อนทหารและเสือป่าเกี่ยวกับการรักษาสุขอนามัยต่าง ๆ เรื่องหนึ่งที่ได้รับการเน้นย้ำคือให้ระวังอาหารและเครื่องดื่มที่ “เจ๊กหาบขาย” เพราะมักจะโสโครก เช่น
“จงระวังน้ำต่าง ๆ ที่พวกเจ๊กเที่ยวหาบขาย เพราะโดยมากมักทำด้วยน้ำโสโครก ซึ่งตักจากในท่อริมถนนหรือที่ใด ๆ แล้วแต่ที่อยู่ใกล้มือ และที่มีรสหวานก็เพราะปนน้ำตาล ที่มีสีมักปนสีสวรรค์ หรืออะไร ๆ สักแต่ให้เปนสี อีกประการ ๑ พวกเจ๊กที่ทำเครื่องดื่มนั้นเขาไม่ใคร่รู้สึกความจำเปนในการที่จะล้างมือก่อนที่จะจับของ และร่างกายก็ไม่สู้จะสอาด เพราะฉนั้นสิ่งโสโครกอาจจะติดมือลงไปปนอยู่ในเครื่องดื่มซึ่งเขาทำนั้นก็ได้ ก็คนเราไม่มีใครเลยที่พอใจกินน้ำล้างมือของคนอื่น เหตใดจะไปยอมกินน้ำล้างมือเจ๊ก...
“จงระวังการซื้อของกินที่ตั้งขายตามร้านริมถนนหรือซึ่งเจ๊กหาบขาย เพราะประการที่ ๑ อาจจะทำโดยใช้ของที่ไม่สอาด หรือโดยอาการอันโสโครกประการที่ ๒ อาจจะเปนของค้างมานานแล้ว คือของที่เขาทำไว้วัน ๑ ขายไม่หมด เขาก็ขายต่อไปจนหมดเช่นเนื้อหมูที่จีนร้องขายว่า ‘เสียโป’ นั้นเปนต้น โดยมากมักเปนเนื้อค้างนาน ๆ จึงต้องเอาสีแดงทาไว้เพื่อให้ดูน่ากิน และมิให้เห็นว่าเน่าเสีย ประการที่ ๓ ของที่ตั้งเปิดอยู่ริมทาง หรือที่หาบเร่เช่นนั้น ย่อมจะต้องถูกฝุ่นและลออง และแมลงวันตอมอยู่วันยังค่ำแล้ว”
ประเด็นว่าด้วยเรื่องความสะอาดของอาหารในฐานะเครื่องป้องกันโรคปรากฏชัดเจนแล้วในยุคนี้ เช่นเมื่ออหิวาตกโรคเกิดระบาดขึ้น น้ำหวานและไอสกรีมที่โปรดปรานกันกลับกลายเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังในการบริโภค จีนโนสยามวารศัพท์ ฉบับวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๔๖๒ ลงพิมพ์ประกาศกระทรวงนครบาล แพนกป้องกันโรคร้าย ว่าบัดนี้เกิดอหิวาตกโรคระบาดตามจังหวัดต่าง ๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเหนือกรุงเทพฯ ขึ้นไปหลายแห่ง และเริ่มพบผู้ป่วยในกรุงเทพฯ ดังนั้น
“...เพื่อการศุขาภิบาล จำจะต้องป้องกันมิให้เกิดลุกลามไป การป้องกันเฉภาะคน ควรปฏิบัติดังแจ้งต่อไปนี้
๑ น้ำที่ใช้บริโภค ให้ใช้แต่เฉภาะน้ำประปา
๒ ถ้าหาน้ำแต่ประปาการใช้ไม่ได้ก็ให้เอาน้ำที่จะใช้นั้นต้มเสียก่อน
๓ อย่ากินอาหารที่ไม่ได้หุงต้มให้สุก
๔ อย่ากินอาหารที่แมลงวันได้จับ อาหารทั้งสิ้นให้ระวังอย่าให้แมลงวันเกาะได้
๕ อย่ากินน้ำหวานผสมสี ขนม ไอสกริม แลอาหารอย่างอื่นซึ่งไม่สอาดที่มีผู้เร่แลตั้งขาย...”
ทว่าในยามปรกติ ประเด็นทำนองนี้ก็อาจมิได้รับความสนใจไยดีเท่าใดนัก บทบรรณาธิการเรื่อง “อาหารที่บริโภค” ของ กรุงเทพฯ เดลิเมล์ ฉบับวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๔๖๕ จึงเรียกร้องให้ “ฝ่ายนคราภิบาล” มาช่วยสอดส่องดูแล
“ตามร้านแลตลาดต่าง ๆ ย่อมมีผู้ขายอาหารที่ไม่บริสุทธิ์มาคละปะปนกับอาหารที่ดีเสมอ เมื่อบุคคลผู้ใดซื้อบริโภค ก็ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บอย่างสาหัสหรืออาจถึงแก่ความตายได้ เช่นร้านขายเข้าแกงใช้วิธีหุงต้มด้วยชามอ่างเคลือบขนาดใหญ่ เมื่อต้มแกงแล้วก็ตั้งขายเรียงรายอยู่น่าร้าน วันนั้นขายไม่หมด พรุ่งนี้มะรืนก็ขายเรื่อยไปจนหมด แลโดยมิได้มีผ้าหรือสิ่งไร ปิดครอบงำต้มแกงเหล่านั้นไว้ ตั้งอย่างเปิดเผยเพื่อ
ล่อใจผู้บริโภคให้เห็นถนัด ระหว่างเวลาที่ขายยังไม่หมดนี้ นอกจากแมลงต่าง ๆ อันนำมาซึ่งเชื้อโรคจะไต่ตอมแล้ว ยังมีลอองฝุ่งผงคลีปลิวมาตกลงในอาหารนั้นอีก ถ้าได้ลองลิ้มดูรสชาตอย่างพินิจพิเคราะห์ก็จะออกรู้สึกว่ามีกลิ่นบูดเปรี้ยวปะปนอยู่ด้วย ไม่มากก็น้อย”
“เจ๊กขายห่อหมก” รูปยาซิกาแรตชุดอาชีพในพระนคร แถมมาในซองบุหรี่ตราไชโยของบริษัทยาสูบ อังกฤษ-อเมริกัน จำกัด เมื่อปี ๒๔๖๓
หลานแม่ครัวหัวป่าก์
ตำราอาหารเริ่มปรากฏในหน้าสิ่งพิมพ์รายเดือนมาแล้วตั้งแต่ในรัชกาลที่ ๕ เช่นในวารสาร ประติทินบัตรแลจดหมายเหตุ รายเดือน ของบางกอกประสิทธิการกอมปนีลิมิเต็ด ซึ่งเริ่มวางจำหน่ายใน ร.ศ. ๑๐๘ (ปี ๒๔๓๒) ปรากฏว่าได้รับความนิยมจนต้องพิมพ์เฉพาะส่วนที่เป็นตำราหุงต้มทำกับข้าวของหวานอย่างไทยอย่างฝรั่ง ซึ่งเรียบเรียงโดยท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภรรยาเจ้าพระยาภาสกร-วงศ์ (พร บุนนาค) ให้เป็นฉบับปลีก ออกจำหน่ายรายสัปดาห์ต่างหาก ทว่า ประติทินบัตรแลจดหมายเหตุ ตีพิมพ์ออกมาได้เพียงครึ่งปีก็ล้มเลิกไป อย่างไรก็ดีต่อมาตำราอาหารอย่างไทยที่เคยลงพิมพ์นี้ยังถูกนำไปรวมไว้ในตำรับ แม่ครัวหัวป่าก์ อันเลื่องชื่อในตอนต้นทศวรรษ ๒๔๕๐
จากนั้นเมื่อถึงทศวรรษ ๒๔๖๐ คือเวลาที่ “หลานแม่ครัวหัวป่าก์” จะมาสร้างปรากฏการณ์การบรรจบกันระหว่างปากศิลป์และวรรณศิลป์ คือเมื่ออาหารถูกแปรรูปเป็นตัวอักษรอีกครั้งหนึ่ง
คอลัมน์ “อันตวาที” ท้ายเล่ม (อันตะ แปลว่าปลายทาง ตอนจบ หรือที่สุด) นิตยสารรายเดือน ไทยเขษม ฉบับเดือนตุลาคม ๒๔๖๗ “ช. บุญโญปถัมภ์” กล่าวถึงคอลัมน์ใหม่ในฉบับนี้ด้วยสำบัดสำนวนทีเล่นทีจริงว่า
“อาศัยเหตุที่เกรงว่า จะมีความจืดหรือปร่าปรากฏอยู่ในความเนิ่นนานของไทยเขษม ข้าพเจ้าจึงเอาศอกกระตุ้นท่านบรรณาธิการให้ไปทาบทาม ‘หลานแม่ครัวหัวป่าก์’ มาปรุงรส บรรณาธิการก็_ดี๊_ดี ไม่ขัดขวางอย่างไร และก็เห็นจะเปนเพราะ ดาวของไทยเขษมยังรุ่งเรืองสุกใสอยู่ ‘หลานแม่ครัวหัวป่าก์’ จึงยินดีรับปากบรรณาธิการว่าจะมาทำครัวให้ และยิ่งกว่านั้น ยังกรุณาที่จะปรุงให้ในเล่มน่า ณ โอกาศอันควรอีก นึก ๆ ก็รู้สึกเปนพระคุณพิลึก ในเล่มนี้ ท่านปรุงคาวให้ ๕ อย่าง หวาน ๒ อย่าง ยังของว่างอีก ๒ อย่าง ทั้ง ๙ อย่างนี้ปรุงด้วยจำนวนมาก อาจจะเลี้ยงแขกได้ร่วม ๑๐๐๐ คน”
“หลานแม่ครัวหัวป่าก์” คือนางสมรรคนันทพล จีบ บุนนาค (ปี ๒๔๓๒-๒๕๐๗) หลานป้าของท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ เริ่มต้นคอลัมน์ “ครัวของไทยเขษม” ครั้งแรกด้วย “บาญชีอาหาร” คือ “คาว แกงจืดลูกชิ้นเต้น แกงเผ็ดตะพาบน้ำเทียม เดียงอาชาพี ผัดวุฒิวาร น้ำพริกซาร์ดีนหลน หวาน น้ำลำใยวิเศษ ขนมราชินี ของว่าง เข้าโภชน์ทรงเครื่อง ทองหยิบตงฮั้ว”
ในที่นี้จะขอคัดลอกตำรา “ผัดวุฒิวาร” มาลงพิมพ์ไว้พอให้เห็นสำนวนของ “หลานแม่ครัวหัวป่าก์”
“ผัดวุฒิวาร เครื่องปรุง เมล็ดถั่วลันเตาอ่อน (เป็ต-ตีปัว) ก้านคะน้า ถั่วแขกหรือถั่วฝักยาว ต้นหอม (ตัดหัวตอนขาวออกเสีย) กุ้ง ไก่ หมู น้ำซ่ม น้ำเคยดี น้ำตาลทราย กะเทียม น้ำมันหมู พริกไทย แป้งสาลีน้ำปลาญี่ปุ่นอย่างดี
“วิธีปรุง ปอกกุ้ง ทำไก่ และเนื้อหมู ล้างน้ำให้สอาด หั่นกุ้งเอาแต่เนื้อ หั่นไก่เอาแต่เนื้อเปนชิ้นสี่เหลี่ยม ตับและกะเพาะแข็งหั่นจักให้งาม เนื้อหมูแล่บาง ๆ แล้วจึงหั่นผักอย่าให้ชิ้นยาวนัก (คะน้าหั่นแฉลบ ๆ) เอากะทะใส่น้ำมันหมูอย่าให้มากนัก จะเลี่ยน คะเนพอควรตั้งไฟพอร้อน ทุบกะเทียมใส่ลง
เจียวให้หอมจึงเอาไก่กับหมูที่หั่นไว้ผัดพอแข็งตัวจึงค่อยใส่กุ้ง เอาน้ำปลาญี่ปุ่นอย่างดี น้ำซ่ม น้ำตาลผสมลงในถ้วย ชิมดูพอเหมาะแล้ว ตักแป้งสาลีละลายลงด้วยแต่น้อยเตรียมไว้ จึงเอาผักที่หั่นไว้ใส่ลงในกะทะ ปิดฝาพอมีน้ำ แล้วจึงเทน้ำปลาที่ผสมไว้ลงคนให้เข้ากัน พอแป้งสุกยกกะทะลงจากเตา โรยพริกไทยตักใส่จาน (ต้องการสีผักให้เขียวสดจึงใช้ฝาปิดกะทะ และอย่าทิ้งผักไว้นาน สีจะตกไม่สวย)”
“เมล็ดถั่วลันเตาอ่อน (เป็ตตีปัว)” ในที่นี้เรียกเป็นภาษาฝรั่งเศสคือ petit pois อันมีความหมายว่า “ถั่วจิ๋ว” และพึงสังเกตด้วยว่าน้ำซอสรสเค็มที่ตำรานี้เลือกใช้คือ “น้ำปลาญี่ปุ่นอย่างดี”
แม้ยังไม่อาจยืนยันได้ว่า ไทยเขษม เป็นนิตยสารยุครัชกาลที่ ๖ เพียงฉบับเดียวที่มีคอลัมน์ตำรากับข้าว แต่ “ครัวของไทยเขษม” โดย “หลานแม่ครัวหัวป่าก์” คงได้รับความนิยมไม่แพ้ตำรับของ “แม่ครัวหัวป่าก์” ดังปรากฏว่ามีลงพิมพ์ใน ไทยเขษม มาต่อเนื่องยาวนาน จนสามารถรวมเป็นเล่มหนังสือได้ในปี ๒๔๗๘