Image

“ก้าวหน้าทันนิยมของโลก”
ของใหม่และคำใหม่
สมัยพระมงกุฎเกล้าฯ

๑๐๐ ปี วันสวรรคต
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

รวบรวม : ศรัณย์ ทองปาน
ภาพ : ประเวช ตันตราภิรมย์

“ขอให้นึกดูให้ดี เราทั้งหลายรู้สึกน้อยหน้า รู้สึกน้อยใจมานานแล้ว อย่างไรในการที่ใคร ๆ เขาเห็นเราเปนชาติเล็กน้อยไม่เสมอหน้าเขาได้ ในคราวนี้เปนโอกาสอันดีที่เปิดให้แก่เราทั้งหลาย ที่จะได้แสดงให้เห็นชัดปรากฎแก่ตาโลกว่ามหาประเทศเขารับเราเท่าประเทศทั้งหลายแล้ว”

พระราชดำรัสในการเลี้ยงพระราชทานทหาร ผู้จะไปงานพระราชสงคราม
๒๖ เมษายน ๒๔๖๑

ความรู้สึกอย่างหนึ่งของสังคมสยามในยุคพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว คือความต้องการที่จะทัดหน้าเทียมตาบรรดาชาติที่เจริญแล้ว อันจะสังเกตได้ชัดเจนจากพระราชดำรัสตลอดรัชสมัย ไม่ว่าจะเป็นความหวังที่จะให้ต่างประเทศยอมรับนับถือว่าสยามเป็นชาติอารยะ มีความเจริญมาแต่ดึกดำบรรพ์ เช่น พระราชดำรัสเมื่อคราวเสด็จฯ ไปทรงเปิดหอพระสมุดสำหรับพระนคร วันที่ ๖ มกราคม ๒๔๕๙

“เหตุนี้จึงได้พยายามจัดตั้งหอพระสมุดขึ้นเปนหลักฐาน ให้แลเห็นเปนพยานปรากฎ เพื่อชาวต่างประเทศที่มีอยู่แล้วในกรุงสยามก็ดี หรือที่จะมาใหม่ก็ดี ได้แลเห็นเปนพยานหลักฐานว่ากรุงสยามไม่ใช่เมืองป่า ได้เจริญมาแล้ว มีหนังสือแลตำนานอยู่แล้วเปนอันมาก สมควรแก่ที่เจริญแล้วทุกประการ” 

หรือความพยายามขับเคลื่อนให้สยามรัฐก้าวไปข้างหน้า เคียงบ่าเคียงไหล่กับนานาอารยประเทศ เช่น พระราชดำรัสตอบในการเสด็จฯ โรงเรียนมหาดเล็กหลวง ทอดพระเนตรการรื่นเริง และทูลเกล้าฯ ถวายฉลองพระองค์อาจารย์ วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๔๕๖

“เราจำต้องก้าวไปข้างหน้าเสมอ ยิ่งก้าวไปได้ไกลเพียงใดก็ยิ่งดี เราต้องไม่ถอยหลังเลยเปนอันขาด แม้แต่หยุดอยู่ที่ก็ไม่ได้ เพราะการหยุดก็เสมอด้วยการถอยหลัง ใคร ๆ เขาก้าวเลยไปแล้ว เราหยุดอยู่เราก็ต้องล้าหลังเขาไกลออกไปทุกที นั่นเองที่เท่ากับถอยหลังไม่ใช่อื่น”

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวถึงกับทรงสรุปพระราชภาระสำหรับพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์เช่นพระองค์ไว้ว่า “ส่วนข้าพเจ้าเองได้รู้สึกอยู่แล้วว่า กรณียเบื้องต้นของข้าพเจ้าก็คือการทนุบำรุงประชาชนให้อยู่เย็นเปนสุข ให้ก้าวหน้าทันนิยมของโลก” (พระราชดำรัสตอบพระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายใน ในงานเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๑ มกราคม ๒๔๖๓)

ตัวอย่างอันเป็นรูปธรรมของการ “ก้าวหน้าทันนิยมของโลก” ได้แก่ การประกาศสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลางคือเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรใน “มหายุทธสงคราม” (The Great War) หรือสงครามโลกครั้งที่ ๑ (ปี ๒๔๖๐), พระบรมราชโองการประกาศเปลี่ยนให้เริ่มนับวันใหม่หลังเที่ยงคืนตามแบบที่ “ใช้อยู่ทั่วไปแล้วในประเทศยุโรปแลอเมริกา” (ปี ๒๔๖๐), เปลี่ยนธงชาติใหม่เป็นธงไตรรงค์ “ให้เปนสามสีตามลักษณธงชาติของประเทศที่เปนสัมพันธมิตรกับกรุงสยามได้ใช้อยู่โดยมากนั้น” (ปี ๒๔๖๐), ส่งกองทหารอาสาเข้าร่วมงานพระราชสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรจนได้เป็นผู้ชนะร่วมกับประเทศมหาอำนาจ ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา (ปี ๒๔๖๑) แล้วจึงได้เป็น “สมาชิกผู้ก่อตั้ง” สันนิบาตชาติ (League of Nations), การเชื่อมต่อรถไฟหลวงสายใต้ข้ามพรมแดนไปสู่หัวเมืองมลายูของอังกฤษ (ปี ๒๔๖๑), ประกาศใช้เวลาอัตราสำหรับกรุงสยามทั่วพระราชอาณาจักร เป็น ๗ ชั่วโมงก่อนเวลามาตรฐานกรีนิชในอังกฤษ หรือ GMT+7 (ปี ๒๔๖๓), สันนิบาตกาชาดยินยอมรับสภากาชาดสยามเข้าเป็นสมาชิก (ปี ๒๔๖๓), ประกาศใช้พระราชบัญญัติชั่งตวงวัด ตามวิธีเมตริก (ปี ๒๔๖๖) ฯลฯ

นอกจากนั้นแล้วพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงเอาพระราชหฤทัยใส่ในด้านภาษาและวรรณคดีเป็นพิเศษ ทรงได้รับการเทิดพระเกียรติว่าเป็นผู้บัญญัติศัพท์ภาษาไทยขึ้นใหม่หลายคำเพื่อใช้ทดแทนศัพท์ภาษาอังกฤษ มีทั้งที่อิงจากคำบาลี-สันสกฤต เช่น นามสกุล บรรณาธิการ วิศวกรรมศาสตร์ และที่ทรงคิดประดิษฐ์ด้วยการประสมคำไทยให้คนทั่วไปเข้าใจได้ง่าย เช่น กาชาด เพาะช่าง ออมสิน  นอกจากนั้นแล้วในระหว่างรัชสมัยยังเกิดคำไทยใหม่ ๆ ขึ้นอีกมากมาย เป็นศัพท์บัญญัติของท่านผู้อื่นบ้าง เช่น สถิติ สหกรณ์ หรืออีกหลายคำยังไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นต้นคิดก็มี  คำเหล่านี้จำนวนไม่น้อยยังคงใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน

กรมมหรศพ

ตั้งแต่ตอนต้นรัชกาล ราวปี ๒๔๕๔ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมมหรศพ (ตัวสะกดตามเอกสารราชการยุคนั้น) ขึ้นกับกรมมหาดเล็กหลวง มีกรมย่อยในสังกัด ได้แก่ กรมโขนหลวง กรมปี่พาทย์หลวง กรมช่างมหาดเล็ก และกรมดนตรีฝรั่งหลวง (ยกฐานะจากกองเครื่องสายฝรั่งหลวงในเดือนเมษายน ๒๔๖๓) โดยมีที่ทำการอยู่ ณ วังจันทรเกษม (ภายหลังคือที่ตั้งกระทรวงศึกษาธิการ) เจ้ากรมมีตำแหน่งเรียกว่า “ผู้บัญชาการ” คือเจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล. เฟื้อ พึ่งบุญ) ถือตราพระราชลัญจกรพานรสิงห์รำ

จากนั้นในปี ๒๔๕๗ โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนทหารกระบี่หลวงเพื่อฝึกหัดนักเรียนเข้ารับราชการในกรมมหรสพ ต่อมาเมื่อมีการโอนนักเรียนโรงเรียนทหารกระบี่หลวงมาสังกัดเสือป่าพรานหลวงรักษาพระองค์ จึงพระราชทานนามโรงเรียนใหม่ว่า “โรงเรียนพรานหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์” โรงเรียนแห่งนี้มีหลักสูตรคือ ครึ่งเช้าจัดการเรียนการสอนวิชาสามัญเหมือนโรงเรียนทั่วไป ครึ่งบ่ายให้นักเรียนแยกย้ายไปฝึกหัดวิชามหรสพต่าง ๆ เช่น ปี่พาทย์ โขน หรือเครื่องสายฝรั่ง

Image

พระราชลัญจกรพานรสิงห์รำ

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเอาพระราชหฤทัยใส่กับกิจการของกรมมหรสพเป็นอย่างยิ่ง ดังปรากฏว่าได้ทรงคิดราชทินนามใหม่สำหรับพระราชทานแก่ข้าราชการกรมมหรสพโดยเฉพาะ ทั้งให้มีความหมายตรงตามทักษะหน้าที่ และเป็นถ้อยคำสละสลวยคล้องจอง เช่น รำถวายกร-ฟ้อนถูกแบบ-แยบเยี่ยงคง-ยงเยี่ยงครู (กรมโขนหลวง), ศรีวาทิต-สิทธิ์วาทิน-พิณบรรเลงราช-พาทย์บรรเลงรมย์ (กรมปี่พาทย์หลวง), ประสมสีสมาน-ประสานเบญจรงค์-บรรจงลายเลิศ-บรรเจิดลายลักษณ์ (กรมช่างมหาดเล็ก) เป็นต้น

กรมมหรสพและโรงเรียนพรานหลวงฯ ยุบเลิกไปภายหลังสิ้นรัชกาลที่ ๖ ทว่าศิษย์เก่าโรงเรียนพรานหลวงฯ หลายคนได้กลายเป็นบุคคลสำคัญในวงการนาฏดุริยางค์ไทยต่อมา เช่น นายรงคภักดี [เจียร จารุจรณ ปี ๒๔๔๒-๒๕๓๑ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นาฏศิลป์) พ.ศ. ๒๕๒๙], นายมนตรี ตราโมท [ปี ๒๔๔๓-๒๕๓๘ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย) พ.ศ. ๒๕๒๘] และนายเอื้อ สุนทรสนาน (ปี ๒๔๕๓-๒๕๒๔ นักแต่งเพลงและหัวหน้าวงดนตรีสุนทราภรณ์) เป็นต้น

น่าเสียดายที่ไม่หลงเหลือเอกสารจดหมายเหตุเกี่ยวกับกรมมหรสพมากนัก เมื่อครั้งที่นายธนิต อยู่โพธิ์ (ปี ๒๔๕๐-๒๕๔๗) อดีตอธิบดีกรมศิลปากร เรียบเรียงหนังสือเรื่อง โขน (พิมพ์ครั้งแรกในงานพระราชทานเพลิงศพพระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล เมื่อปี ๒๕๐๐) เล่าว่า ได้พบแฟ้ม “เบ็ดเสร็จกรมมหรสพ” อยู่ในกลุ่มเอกสารที่กรมศิลปากรได้รับมาจากกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี รู้สึกดีใจ เพราะคิดว่าจะได้ข้อมูลเรื่องการก่อตั้งและกิจการต่าง ๆ ของกรมมหรสพสมัยรัชกาลที่ ๖ “แต่แล้วก็ผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีแต่เปลือกแฟ้ม ไม่ทราบว่าใครฉุดเอาเรื่องข้างในไปเสียตั้งแต่เมื่อไร”

ดังนั้นเรื่องราวของกรมมหรสพที่ปรากฏในปัจจุบันส่วนใหญ่จึงอาศัยเพียงบันทึกปากคำของผู้อยู่ร่วมเหตุการณ์เท่านั้น

กาชาด

“ข้าพเจ้ามีความยินดีที่จะกล่าวได้อีกว่า สภากาชาดสยามซึ่งได้เจริญขึ้นรวดเร็วเปนลำดับ จนกรรมการสภากาชาดระหว่างประเทศที่เจเนวาได้รับรองสภาของเราเข้าไว้ในสมาคมกาชาดระหว่างประเทศแล้ว”

พระราชดำรัสตอบพระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายหน้าในงานเฉลิมพระชนมพรรษา ๑ มกราคม ๒๔๖๓

Image

ไปรษณียบัตรกาชาด ราวทศวรรษ ๒๔๗๐

เมื่อสยามกับฝรั่งเศสปะทะกันที่ปากน้ำเจ้าพระยาใน “กรณี ร.ศ. ๑๑๒” ปี ๒๔๓๖ สตรีผู้ดีสมัยรัชกาลที่ ๕ เคยร่วมกันจัดตั้งองค์กรบรรเทาทุกข์เพื่อช่วยเหลือทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ทำนองเดียวกับ Red Cross เรียกว่า “สภาอุณาโลมแดง” มีเครื่องหมายเป็นอุณาโลม (“อุณาโลม” เป็นสัญลักษณ์คล้ายเลข ๙ หมายถึงพระพุทธเจ้า) ทักษิณาวรรต บนยันต์สี่เหลี่ยมสีขาววางทาบบนกากบาทสีแดง 

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ สยามต้องปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ ๒ จึงเปลี่ยนมาใช้เครื่องหมายองค์กรอย่างสากล 

ครั้งแรกมีการแปลคำ Red Cross ตรงตัวว่า “กากะบาทแดง” เช่น พระราชบัญญัติห้ามใช้เครื่องหมายกากะบาทแดง ร.ศ. ๑๓๐ (ปี ๒๔๕๔) ภายหลังจึงเปลี่ยนใหม่เป็น “กาชาด” ดัง “ประกาศกระแสพระบรมราชโองการ เรื่องตั้งผู้อำนวยการสภากาชาดสยาม” (๓ เมษายน ๒๔๕๗)

คำว่า “กาชาด” มีความหมายเดียวกันกับ Red Cross คือ “กา” หมายถึงเครื่องหมายกากบาท ส่วน “ชาด” แปลว่าสีแดง

เครื่องบิน
และนักบินไทย

“ในปลายเดือนมกราคม, พ.ศ. ๒๔๕๓, ได้มีเครื่องบินเข้ามาถึงกรุงเทพฯ เปนครั้งแรก ผู้ที่จัดการนำเครื่องบินเข้ามาแสดงในนี้เปนบริษัทฝรั่งเศสชื่อ ‘บริษัทการบินแห่งปลายบุรพเทศ’ (‘Societe d’Aviation de L’ Extreme Orient’) และนักบินชื่อวันเด็นบอร์น (Van den Born). ได้ขออนุญาตเก็บเงินคนดูโดยปิดถนนสนามม้า, ปะทุมวัน, และใช้สนามม้าของราชกรีฑาสโมสรเปนสนามบิน. การบินมี ๕ วัน, คือวันที่ ๑, ที่ ๒, ที่ ๔, ที่ ๕, ที่ ๖ มีผู้รับให้รางวัลทุกวัน, และของกระลาโหมมีเปนประจำทุกวัน, เพราะเขารับฝึกหัดนายทหารของเราให้ใช้เครื่องบินด้วย. เครื่องที่นำเข้ามาครั้งแรกเปนเครื่องปีก ๒ ชั้น ไม่มีที่คนโดยสารขึ้น, ฉนั้นถ้าใครอยากจะโดยสารก็ต้องยืนเกาะไปข้างหลังคนขับ, ออกจะน่าเสียวใส้อยู่บ้าง. ได้มีคนไทยลองขึ้นกันหลายคน, เจ้านายมีกรมอดิศร, กรมกำแพงเพ็ชร์ และกรมสรรควิสัยนรบดี, พวกเหล่านี้กล่าวว่าไม่น่ากลัวกว่าขึ้นรถยนตร์, แต่ในเวลานั้นออกจะมีคนเห็นด้วยน้อยทีเดียว.”

ประวัติต้นรัชกาลที่ ๖
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

เครื่องบินแบบอ็องรี ฟาร์มัง ๔ เข้ามาสาธิตการบินที่สนามม้าราชกรีฑาสโมสร ช่วงปลายปี ๒๔๕๓
ภาพ : ๙๐ ปี นภานุภาพ. กองทัพอากาศ, ๒๕๔๗.

ปีแรกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ช่วงปลายเดือนมกราคมต่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๕๓ (ตามปฏิทินเก่าซึ่งขึ้นปีใหม่เดือนเมษายน ถ้านับแบบปัจจุบันคือเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ๒๔๕๔) มีเหตุการณ์ที่เป็นข่าวครึกโครมของพระนคร นั่นคือการเข้ามาของ “เรือเหาะ” หรือ “โพยมยาน” (โพยม แปลว่าท้องฟ้า)

นายว็อง แด็ง บอง (Charles van den Born) หรือที่เอกสารไทยส่วนใหญ่อ่านเป็นภาษาอังกฤษว่า แวน เดน บอร์น ชาวเบลเยียม ที่ถือเป็นนักบินยุคบุกเบิกของโลก นำเครื่องบินแบบอ็องรี ฟาร์มัง ๔ (Henry Farman IV) ผลิตโดยโรงงานอ็องรี ฟาร์มัง ประเทศฝรั่งเศส ที่เขาถอดชิ้นส่วนบรรทุกลงระวางเรือเดินทะเลเข้ามาสู่ราชอาณาจักรสยามเป็นลำแรก  

ระหว่างสาธิตการบินกว่าสัปดาห์ที่สนามม้าราชกรีฑาสโมสรหรือสนามม้าสระปทุม เปิดให้มีผู้โดยสารไปด้วยครั้งละหนึ่งคน เก็บค่าโดยสารเที่ยวละ ๕๐ บาท ก่อนจะขึ้นราคาเป็น ๑๐๐ บาทในวันท้าย ๆ  การณ์นี้มีพลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ได้รับการเทิดพระเกียรติว่าทรงเป็น “คนไทยคนแรกที่ขึ้นเครื่องบิน”

Image

ภาพลายเส้นของเครื่องบินแบบอ็องรี ฟาร์มัง ๔

Image

บุพการีทหารอากาศ-พระยาเฉลิมอากาศ พระยาเวหาสยานศิลปสิทธิ์ และพระยาทะยานพิฆาต
ภาพ : ๙๐ ปี นภานุภาพ. กองทัพอากาศ, ๒๕๔๗.

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรการบินหลายครั้งด้วยความสนพระราชหฤทัยยิ่ง ขณะเดียวกันวงการทหารทั่วโลกต่างสนใจเครื่องบินในฐานะยุทโธปกรณ์ชนิดใหม่  กระทรวงกลาโหมของสยามจึงส่งนายทหารบกไปศึกษาวิชาการบิน ณ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อเดือนมกราคม ๒๔๕๔ (นับแบบปัจจุบันจะเป็นมกราคม ๒๔๕๕)

จากนั้น ๓ ปีต่อมา เมื่อนายทหารบกของสยามสามนาย อันประกอบด้วย หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ (สุนี สุวรรณ-ประทีป ภายหลังเป็นพระยาเฉลิมอากาศ), หลวงอาวุธสิขิกร (หลง สินศุข ต่อมาเป็นพระยาเวหาสยานศิลปสิทธิ์) และ ร.ท. ทิพย์ เกตุทัต (พระยาทะยานพิฆาต) กลับจากไปเรียนวิชาการบินที่ฝรั่งเศส พบว่ามีการใช้คำว่า “เครื่องบิน” แทน “เรือเหาะ” หรือ “โพยมยาน” เช่น “ข่าวในพระราชสำนัก” (๑๓ มกราคม ๒๔๕๖) กล่าวว่า “เสด็จพระราชดำเนินยังโรงเรียนนายหมวดประทุมวัน ทอดพระเนตร์นายทหารบกใช้เครื่องบิน” เข้าใจว่าคำนี้อาจแปลมาจาก flying machine

นายทหารบกทั้งสามถือเป็นนักบินไทยหมายเลข ๑-๒-๓ ตามลำดับ และได้รับการยกย่องในบัดนี้ว่าเป็น “บุพการีแห่งกองทัพอากาศ”

ชั่งตวงวัด

“อนึ่ง วิธีชั่งตวงวัดของประเทศสยามนั้น ควรอนุโลมตามวิธีแห่งนานาประเทศ สุดแต่จะสมกับความประสงค์ภายในพระราชอาณาจักร์ และวิธีเมตริกนั้น ปรากฏว่าได้ใช้กันไพศาลแล้ว จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าฯ สั่งว่า วิธีชั่งตวงวัดของประเทศสยามนั้นให้เปนวิธีเมตริกกับให้รวมจำนวนหน่วยที่เปนประเพณีบางอย่าง ซึ่งได้ดัดแปลงเข้าหาวิธีเมตริกแล้วนั้น เพิ่มขึ้นชั่วกาลที่จำเปนยังจะต้องใช้...”

พระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด
พุทธศักราช ๒๔๖๖

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประชุมเสนาบดีมีความเห็นพ้องต้องกันว่าสยามควรรับเอาวิธีการชั่งตวงวัดตามวิธีเมตริกมาใช้ เพื่อให้สอดคล้องกับนานาอารยประเทศ  ทางกระทรวงเกษตราธิการในสมัยที่พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงเป็นเสนาบดี จึงให้สยามสมัครเข้าเป็นภาคีสมาชิกอนุสัญญาเมตริก (The International Metric Convention) ในปี ๒๔๕๔ และได้รับฐานะเป็นรัฐสมาชิกในปีถัดมา รวมทั้งยังได้เข้าเป็นสมาชิกสำนักงานมาตราชั่งตวงวัดระหว่างประเทศ (International Bureau of Weights and Measures ชื่อ ภาษาฝรั่งเศสคือ Bureau International des Poids et Mesures เรียกย่อ ๆ ว่า BIPM) แล้วจึงมีการจำลอง “แบบประถมตัวมาตรา” (Prototype) จาก BIPM รวมทั้งถ่ายทอดความเที่ยงจากแบบประถมตัวมาตราลงมายังชั้นความเที่ยงต่ำกว่า หรือที่เรียกว่า “แบบมาตรา” (Standard) นำมาเก็บรักษาไว้ ณ กระทรวงเกษตราธิการ แต่ยังมิได้มีการดำเนินงานใด ๆ เพื่อผลักดันการใช้มาตราชั่งตวงวัดสากลในสยาม

Image

แบบมาตรา (Working Standards) ที่เก็บรักษาไว้ในกระทรวงพาณิชย์
ภาพ : Siam Nature and Industry. Bangkok Ministry of Commerce and Communications, 1930.

ต่อมาในปี ๒๔๖๓ มีการยกฐานะกรมพาณิชย์แลสถิติพยากรณ์ขึ้นเป็นหน่วยงานระดับกระทรวง พร้อมกับมีการมอบหมายภารกิจด้านการชั่งตวงวัดนี้ให้แก่กระทรวงใหม่ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์จึงทรงออกแบบเครื่องหมายกระทรวงพาณิชย์ โดยใช้รูปเครื่องมือชั่งตวงวัด ได้แก่ รูปลูกตุ้ม (น้ำหนักมาตรฐานสำหรับเครื่องชั่ง), ไม้วัด (เครื่องมือวัด) และทนาน (ที่ตวงข้าว) ผูกเข้าด้วยกันเป็นลาย เพื่อสื่อความหมายว่าอำนาจและหน้าที่ของหน่วยราชการแห่งนี้วางอยู่บนหลักการ อันได้แก่ความเที่ยงตรงเป็นมาตรฐาน เป็นวิทยาศาสตร์ และสามารถตรวจสอบ ชั่ง-ตวง-วัด ได้

ในปี ๒๔๖๖ จึงมีการตราพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัดขึ้น แม้จะกำหนดให้ใช้วิธีเมตริก เช่น เมตร์ กรัม ลิตร์ แต่ก็ยังอนุโลมให้ใช้ “วิธีประเพณี” ในการชั่งตวงวัด โดยเทียบเคียงกับวิธีเมตริก นี่จึงเป็นครั้งแรกที่มีการกำหนดให้ เส้น เท่ากับ ๔๐ เมตร์ วา เท่ากับ ๒ เมตร์ ศอก เท่ากับครึ่งเมตร์ และ คืบ เท่ากับหนึ่งในสี่ของเมตร์ รวมทั้งยังกำหนดให้ ไร่ เท่ากับ ๑,๖๐๐ เมตร์ตรางเหลี่ยม (ตารางเมตร) งาน เท่ากับ ๔๐๐ เมตร์ตรางเหลี่ยม และ วาตรางเหลี่ยม (ตารางวา) เท่ากับ ๔ เมตร์ตรางเหลี่ยม

ไชโย

“ในขณเมื่อร้องสรรเสริญบารมีนั้น รู้สึกความบกพร่องแห่งคำที่ใช้ร้อง ๆ กันอยู่ คือคนต่างเหล่าต่างมีคำร้องต่าง ๆ กัน เพราะฉนั้นเมื่อร้องขึ้นจึ่งเถียงกันอยู่ในตัว เสียงยุ่งไม่เฃ้าทีเลย กรมพระดำรงและผู้อื่นจึ่งพากันอาราธนาให้เราแต่งคำแก้ใขให้เรียบร้อย เพื่อให้ใช้ได้สำหรับคนทั่ว ๆ ไปมิให้เปนสำหรับเฉภาะพวกใดหมู่ใด เราก็ตกลงรับ เพราะได้รู้สึกรำคาญอยู่บ้างแล้ว และมีคำที่ต้องแก้ใขโดยแท้ คือคำสุดท้ายที่ส่งว่า ‘ฉนี้’ ร้องมักเปน ‘ชนี’ ไปโดยมาก ยากที่จะแก้ให้หายได้นอกจากแปลงคำเสียใหม่ทีเดียวฯ” 

จดหมายเหตุรายวัน ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๑ มกราคม ๒๔๕๖

คำว่า “ไชโย” ในภาษาไทยมีมาแต่เดิม ดังที่ อักขราภิธานศรับท์ พจนานุกรมของหมอบรัดเลที่พิมพ์ขึ้นเมื่อ ปี ๒๔๑๖ ตอนต้นรัชกาลที่ ๕ เก็บคำนี้ไว้ โดยอธิบายว่า “แปลว่ามีไชยชะนะ, อนึ่งเปนชื่อตำบลบ้านแห่งหนึ่ง, มีอยู่ในแขวงเมืองพรหมบุรีนั้น” หากแต่การนำคำนี้มาใช้เป็นคำอุทานแสดงความเป็นสิริมงคล ต้องนับว่าเริ่มต้นจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

Image

“ไชโย” เป็นคำทันสมัยที่อยู่ในกระแสสังคมยุคนั้น จนถูกนำไปใช้เป็นยี่ห้อสินค้า เช่น ยาซิกแกแรต (บุหรี่) ไชโย ! ซึ่งใช้ตรารูปธงไตรรงค์ ภาพด้านหลังรูปยาซิกาแรตของบริษัทยาสูบบริติช-อเมริกัน

จดหมายเหตุรายวันในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว บันทึกเหตุการณ์ข้างต้นไว้ในระหว่างเสด็จฯ นำเสือป่าและทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์เดินทางไกลจากพระราชวังสนามจันทร์ไปบวงสรวงสังเวยพระเจดีย์ที่ทรงเชื่อว่าเป็นเจดีย์ยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่หนองสาหร่าย เมืองสุพรรณบุรี  ในเวลานั้น แต่ละหมู่เหล่า เช่น ทหารและเสือป่า ต่างมีเนื้อร้องเพลง “สรรเสริญพระบารมี” เฉพาะของตนเอง เมื่อร้องพร้อมกันจึง “เถียงกันอยู่ในตัว” ดังนั้นวันรุ่งขึ้น ๒๒ มกราคม ๒๔๕๖ จึงพระราชทานคำร้องเพลง “สรรเสริญพระบารมี” ฉบับใหม่ โดยทรงปรับจากคำร้องเดิมของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ที่วรรคสุดท้ายร้องว่า “ดุจะถวายไชย ฉะนี้” มาเป็น “ดุจะถวายไชย ชโยฯ”

ในหนังสือชุด สาส์นสมเด็จ ปรากฏลายพระหัตถ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๘๑ เล่าย้อนไปว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบมาว่าแขกยามชาวอินเดียในกรุงเทพฯ ชอบเล่นโขนเรื่องรามเกียรติ์ มีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตร จึงให้ไปชักชวนมาเล่นโขนถวายเมื่อครั้งมีพระราชพิธีเฉลิมพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน (คือช่วงกลางเดือนสิงหาคม ๒๔๕๖)

“พวกแขกยามก็ปีติยินดีรวบรวมฝึกซ้อมกันมาเล่นถวายทอดพระเนตร เล่นเรื่องรามเกียรติ์ตอนหนุมานเผาลงกา หม่อมฉันก็ได้ไปดูในวันนั้น สังเกตกระบวนเล่น เมื่อตัวละครเข้าไปหากัน เช่น เสนาเข้าเฝ้าทศกัณฐ์ เป็นต้น ออกอุทานเสียงดังเหมือนว่า ‘ยะโว’ ก่อนแล้วจึงเจรจาทุกครั้ง สมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงสังเกตว่าคำอุทานนั้นมิใช่อื่น คือ ‘ชโย’ นั่นเอง ใช้เป็นอุทานอวยพรเสียก่อนจึงพูดกันต่อไป ใคร ๆ ก็เห็นพ้องด้วยพระบรมราชาธิบายทั้งนั้น คำโขนแขกนั้น เป็นมูลให้ทรงพระราชดำริต่อมาว่าเราควรจะใช้คำ ‘ชโย’ แทนโห่ฮิ้ว เพราะคนมากอาจจะออกอุทานได้พร้อมกันในทันที และดังก้องกังวาลดีกว่า ‘ฮิ้ว’ โปรดให้เสือป่าใช้ว่า ‘ชะโย’ ก่อน แล้วผู้อื่นก็เอาอย่างใช้จนเป็นประเพณีทั่วไปทั้งประเทศ”

ทั้งเนื้อร้องวรรคสุดท้ายของเพลง “สรรเสริญพระบารมี” และการที่คนไทยนิยมอวยชัยให้พรกันด้วยการเปล่งเสียง “ไชโย ! ไชโย ! ไชโย !” จึงล้วนเป็นสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

ธงไตรรงค์

“ได้ทรงพระราชคำนึงถึงการที่กรุงสยามได้ประกาศสงครามต่อชาติเยอรมัน แลออสเตรียฮังการี เข้าเปนสัมพันธไมตรีร่วมศึกกับมหาประเทศในยุโรปอเมริกา แลอาเซีย ผู้ทรงไว้ซึ่งธรรมาธิปไตยครั้งนี้ นับว่าชาติสยามได้ก้าวขึ้นสู่ความเจริญถึงคั่นอันสำคัญยิ่งแล้ว สมควรจะมีอภิลักขิตวัตถุเพื่อเปนเครื่องเตือนให้ระลึกถึงอภิลักขิตสมัยนี้ไว้ให้ปรากฎอยู่ชั่วฟ้าแลดิน

“จึงทรงพระราชดำริห์ว่า ธงสำหรับชาติสยามซึ่งได้ประดิษฐานขึ้นตามพระราชบัญญัติแก้ไข
พระราชบัญญัติธง พระพุทธศักราช ๒๔๕๙ นั้น ยังไม่เปนสง่างามพอสำหรับประเทศ สมควรจะเพิ่มสีน้ำเงินแก่เข้าอีกสีหนึ่ง ให้เปนสามสีตามลักษณธงชาติของประเทศที่เปนสัมพันธมิตรกับกรุงสยามได้ใช้อยู่โดยมากนั้น เพื่อให้เปนเครื่องหมายให้ปรากฏว่า ประเทศสยามได้เข้าร่วมสุขทุกข์ แลเปนน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับสัมพันธมิตรหมู่ใหญ่ ช่วยกันกระทำการปราบปรามความอาสัตย์อาธรรมในโลกย์ ให้พินาศประลัยไป 

“อีกประการหนึ่งสีน้ำเงินนี้เปนสีอันเปนศิริ
แก่พระชนมวาร นับว่าเปนสีเครื่องหมายฉเภาะพระองค์ด้วย จึงเปนสีที่สมควรจะประกอบไว้ในธงสำหรับชาติด้วยประการทั้งปวง”

พระราชบัญญัติแก้ไขพระราชบัญญัติธง พระพุทธศักราช ๒๔๖๐

Image

“ธงสยาม” รูปยาซิกาแรตชุดลูกเสือตีธงสัญญาณ
ของบริษัทยาสูบบริติช-อเมริกัน จำกัด เมื่อปี ๒๔๗๑

จมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช ปี ๒๔๔๒-๒๕๒๔) อดีตมหาดเล็กราชสำนักยุครัชกาลที่ ๖ เล่าไว้ในหนังสือ พระราชกรณียกิจสำคัญในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเล่ม ๖ ว่าหลังจากรัชกาลที่ ๖ ทอดพระเนตรเห็นว่ามีชาวบ้านรับเสด็จด้วยการชักธงชาติสยามรูปช้างเผือกบนพื้นแดง แต่ธงกลับหัว ช้างนอนตีลังกาหงายท้อง เอาเท้าชี้ฟ้า คงทำให้ทรงพระราชดำริว่าธงชาติที่เป็นรูปช้างไม่เหมาะสม อีกทั้งต้องสั่งผ้าพิมพ์เข้ามาจากต่างประเทศ ทรงเห็นว่าธงชาติน่าจะเป็นแบบที่ราษฎรตัดเย็บกันเองได้ ใช้ง่าย และมีความหมาย

ในช่วงแรกจึงมีการออกแบบธงชาติใหม่ให้เป็นธงห้าริ้วสองสี ประกอบด้วยแถบสีแดง-ขาว-แดง-ขาว-แดง แล้วให้ทดลองใช้ดูระยะหนึ่ง โดยมิได้มีการประกาศ คนทั่วไปจึงไม่ทราบ เช่น รายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ กรุงเทพฯ เดลิเมล์ ฉบับวันที่ ๙ กันยายน ๒๔๕๘ 

“ผ้าริ้วแดงขาวซึ่งเรากล่าวในรายงานฟุตบอลระหว่างสปอตคลับกับกองพรานหลวง ว่ามีแขวนที่ประตูทางจะเข้าไปในสนามฟุตบอลด้านหน้าพระบรมรูปนั้น บัดนี้ได้ทราบว่า ผืนผ้านั้นคือธงไทยกับธงอังกฤษ ที่ผูกไว้เช่นนั้นก็เพื่อแสดงความสามัคคี ธงที่เปนริ้ว ๆ นั้นเปนธงไทยอย่างใหม่ สำหรับราษฎรแล พวกพ่อค้าจะได้ไช้ทั่วกัน แทนธงช้างซึ่งจะเก็บไว้ใช้แต่เฉภาะทางราชการเท่านั้น เราเข้าใจว่าในไม่ช้ารัฐบาลคงจะได้ประกาศให้ใช้ธงใหม่นี้ให้ราษฎรทราบทั่วกัน”

ในเดือนพฤศจิกายน ๒๔๕๙ จึงมีการออกประกาศเพิ่มเติมแลแก้ไขพระราชบัญญัติธง รัตนโกสินทรศก ๑๒๙ กำหนดให้มีธงชาติใหม่ เป็นรูปช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่น สำหรับใช้ในทางราชการ กับธงแดงขาวห้าริ้ว เป็นธงค้าขาย สำหรับราษฎรใช้ ทว่าธงแบบใหม่นี้ก็ยังไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัย ประจวบกับการที่สยามประกาศเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในมหายุทธสงคราม (สงครามโลกครั้งที่ ๑) จึงมีพระราชดำริให้แก้แบบธงชาติสยาม เป็นธงแถบสีแดง-ขาว-น้ำเงิน-ขาว-แดง ตามแนวทางของธงชาติฝ่ายสัมพันธมิตร “ให้เรียกว่าธงไตรรงค์ สำหรับใช้ชักในเรือพ่อค้าทั้งหลาย แลในที่ต่าง ๆ ของสาธารณชนบรรดาที่เปนชาติสยามทั่วไป” ดังปรากฏในพระราชบัญญัติแก้ไขพระราชบัญญัติธง พระพุทธศักราช ๒๔๖๐ ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๔๖๐

เกือบ ๑๐๐ ปีต่อมา ในปี ๒๔๕๙ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงมีมติเห็นชอบให้วันที่ ๒๘ กันยายนของทุกปี เป็นวันพระราชทานธงชาติไทย โดยให้เริ่มต้นในวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๐

นางสาว 
และ นาง

Image

“แม่ค้าหมากพลูบุหรี่” รูปยาซิกาแรตชุดอาชีพในพระนคร แถมมาในซองบุหรี่ตราไชโยของบริษัทยาสูบบริติช-อเมริกัน จำกัด เมื่อปี ๒๔๖๓

จากหลักฐานเอกสารยุคโบราณ มีการกำหนดให้ใช้คำว่า “อำแดง” นำหน้าชื่อของหญิงสามัญชนที่มีสามีแล้ว เช่น “ประกาศว่าด้วยลักษณะที่จะใช้ถ้อยคำในฎีกาทูลเกล้าฯ ถวาย” เมื่อปี ๒๓๙๗ สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ระบุว่า “ถ้าผู้หญิงที่ไม่มีบรรดาศักดิ์ มีผัวแล้วอยู่กับผัวก็ดี เป็นม่ายก็ดี จึงให้เรียกว่าอำแดง ถ้ายังไม่มีผัวเรียกว่าอำแดงไม่ได้ ให้ออกชื่อเปล่า ๆ เถิด”

จนถึงในสมัยรัชกาลที่ ๖ จึงมี “พระราชกฤษฎีกาให้ใช้คำนำนามสัตรี” (๑๒ กรกฎาคม ๒๔๖๐) กำหนดให้สตรีทั่วไป ถ้ายังไม่มีสามี ให้ใช้คำว่า “นางสาว” เป็นคำนำชื่อและนามสกุล ส่วนสตรีที่มีสามีแล้วแต่สามีไม่มีบรรดาศักดิ์ ใช้คำว่า “นาง” เป็นคำนำนาม โดยใช้นามสกุลสามี  ต่อมาในปี ๒๔๖๖ จึงมีภาพยนตร์เรื่องแรกที่เป็นเรื่องไทยและนำแสดงโดยคนไทย (แต่ชาวอเมริกันเป็นผู้สร้าง) ใช้ชื่อว่า นางสาวสุวรรณ นำแสดงโดยนางสาวเสงี่ยม นาวีเสถียร (คุณหญิงอนินทิตา อาขุบุตร ปี ๒๔๔๘-๒๕๐๗) 

นามสกุล

“การมีชื่อตระกูลเปนความสดวกมากอย่างต่ำ ๆ ที่ใคร ๆ ก็ย่อมจะมองแลเห็นได้ คือชื่อคนในทะเบียฬสำมโนครัวจะได้ไม่ปนกัน แต่อันที่จริงจะมีผลสำคัญกว่านั้น คือจะทำให้เรารู้จักรำฤกถึงบรรพบุรุษของตน ผู้ได้อุสาหก่อร่างสร้างตัวมา และได้ตั้งตระกูลไว้ให้มีชื่อในแผ่นดิน เราผู้เปนเผ่าพันธุ์ของท่านได้รับมรฎกมาแล้ว จำจะต้องประพฤติตนให้สมกับที่ท่านได้ทำดีมาไว้ และการที่จะตั้งใจเช่นนี้ ถ้ามีชื่อที่ต้องรักษา
มิให้เสื่อมทรามไปแล้ว ย่อมจะทำให้เปนเครื่องยึดเหนี่ยวหน่วงใจคนมิให้ตามใจตนไปฝ่ายเดียวจะถือว่า ‘ตัวใครก็ตัวใคร’ ไม่ได้อีกต่อไป จะต้องรักษาทั้งชื่อของตัวเอง ทั้งชื่อของตระกูลด้วยอีกส่วน ๑”

จดหมายเหตุรายวันในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
มกราคม ร.ศ. ๑๓๐ (ปี ๒๔๕๔)

ภาพ : https://www.reurnthai.com

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขนานนามสกุล พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ ขึ้นเมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๖ โดย “ทรงพระราชดำริห์เห็นว่า สมควรจะมีบัญญัติวิธีจดฐะเบียรคนเกิดคนตายแลทำงานสมรส ให้เปนการมั่นคงชัดเจนสืบไป แลวิธีจดฐะเบียรอันนี้ย่อมอาศรัยสอบสวนตำหนิรูปพรรณสัณฐานบุทคนแลเทือกเถาเหล่ากอสืบมาแต่บิดามารดาใด ให้ได้ความแม่นยำก่อนจึงจะทำได้  เพื่อจะให้เปนผลสำเร็จดังพระราชประสงค์นี้ทรงพระราชดำริห์ว่าบุทคนทุก ๆ คน จำต้องมีทั้งชื่อตัวและเชื้อสกุล แลวิธีขนานนามสกุลนั้น ควรให้ใช้แพร่ลายทั่วถึงประชาชนพลเมืองตลอดทั้งพระราชอาณาจักร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติโดยบทมาตราไว้ต่อไปดังนี้...”

นอกจากนั้นพระองค์ยังได้ทรงคิดนามสกุลพระราชทานให้แก่ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พ่อค้า ประชาชน ตลอดจนลูกเสือและนักเรียน เป็นจำนวนถึงกว่า ๖,๐๐๐ นามสกุล โดยนามสกุลชุดแรกที่พระราชทานเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม
๒๔๕๖ ได้แก่ “สุขุม” พระราชทานเจ้าพระยายมราช (ปั้น) เสนาบดีกระทรวงนครบาล, “มาลากุล ณ กรุงเทพ” พระราชทานพระยาวิสุทธิสุริยศักดิ์ (ม.ร.ว. เปีย) เสนาบดีกระทรวงธรรมการ และพระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร (ม.ร.ว. ปุ้ม) เสนาบดีกระทรวงวัง, “พึ่งบุญ ณ กรุงเทพ” พระราชทานพระยาประสิทธิศุภการ (ม.ล. เฟื้อ) จางวางมหาดเล็กห้องพระบรรทม, “ณ มหาไชย” พระราชทานพระยาเทพทวาราวดี (สาย) อธิบดีกรมมหาดเล็ก และ “ไกรฤกษ์” พระราชทานพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ (นพ) อธิบดีกรมชาวที่ และพระยาจักรปาณีศรีศีลวิสุทธิ์ (ลออ) กรรมการศาลฎีกา

บรรณาธิการ

ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เคยมีความพยายามบัญญัติศัพท์ภาษาไทยสำหรับคำว่า editor มาแล้ว เช่น สาราณีย-กร แต่โดยทั่วไปยังคงนิยมเรียกทับศัพท์ว่า “เอดิเตอร์”

ในหนังสือ อักษรวรรณนา-ธีรราชาธิบาย ตีพิมพ์ลายพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงใช้นามปากกา “อ.พ.” ส่งไปลงหนังสือ พิมพ์ไทย โดยเสนอแนะว่า “อยากจะใคร่ใช้ว่า ‘บรรณาธิการ’ คือ ‘บรรณ’ จากคำสันสกฤต ‘ปรณัม์’...ประกอบกับคำ ‘อธิการ’...แปลว่า ‘ผู้กระทำ’ แปลรวมคำ ‘บรรณาธิการ’ ว่า ‘ผู้กระทำการหนังสือ’ ดูก็กินความได้หมดจดดีอยู่” 

คำนี้ยังคงใช้มาตราบจนปัจจุบัน

ประปา

“ท่านทั้งหลายที่ได้ช่วยเราทำการอันนี้ให้สำเร็จไปได้ ควรรู้สึกปลื้มใจว่าได้ทำการอันเปนประโยชน์แลกุศลอย่างยิ่ง เพราะน้ำซึ่งใสสอาดบริสุทธิ์ ใคร ๆ ย่อมรู้อยู่แล้วทั้งในโบราณแลบัดนี้ว่าเปนของจำเปนเพื่อประโยชน์ แลเพื่อความศุขสำหรับป้องกันโรคันตรายของมนุษย์น้ำใสสอาดย่อมเป็นเครื่องบำบัดโรคได้ดีกว่าโอสถหรือเภสัชช์ทั้งหลาย...

“ขอน้ำใสอันจะหลั่งไหลจากประปานี้จงเปนเครื่องประหารสรรพโรคร้าย ที่จะเบียดเบียฬให้ร้ายแก่ประชาชนผู้เปนผศกนิกรของเรา ขอน้ำอันนี้ที่ได้รับพรแล้วโดยพระสงฆ์ได้สวดมนต์ แลโดยเราได้ตั้งใจให้พร จงบันดาลให้เปนน้ำมนต์ 
ทำให้ประชาชนมีความศุขสวัสดิ์ผ่องแผ้วเจริญถ้วนทั่วทุกตัวคน ตั้งแต่วันนี้เปนต้นไป” 

พระราชดำรัสตอบในการเปิดการประปากรุงเทพฯ
๑๔ พฤศจิกายน ๒๔๕๗

Image

“รับจ้างหาบน้ำประปา” รูปยาซิกาแรตชุดอาชีพในพระนคร แถมมาในซองบุหรี่ตราไชโย ของบริษัทยาสูบบริติช-อเมริกัน จำกัด เมื่อปี ๒๔๖๓

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำหนดสุขาภิบาลและจัดตั้งกรมสุขาภิบาลสำหรับพระนครและธนบุรีขึ้น สังกัดกระทรวงนครบาล เมื่อปี ๒๔๔๐ หน้าที่สำคัญประการหนึ่งของกรมสุขาภิบาลคือจัดหาน้ำดื่มน้ำใช้ให้แก่ราษฎร ในการนี้จึงมีการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญชาวตะวันตกเข้ามาวางแผนงานจัดหาน้ำสะอาด นำไปสู่ข้อเสนอทางเลือกต่าง ๆ เช่น เจาะฝังท่อส่งน้ำจากตำบลพระปฐมเจดีย์เข้ามาบ้าง ให้ขุดคลองส่งน้ำจากชัยนาทเข้ามากรองในพระนครบ้าง จนถึงปี ๒๔๔๙ จึงมีโครงการขุดคลองชักน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณตำบลเชียงราก ปทุมธานี ซึ่งน้ำเค็มขึ้นไม่ถึงในฤดูแล้ง มาเข้าโรงสูบน้ำที่ตำบลสามเสนในกรุงเทพฯ  โครงการนี้ได้รับพระบรมราชโองการให้ดำเนินการในปี ๒๔๕๒ 

ในปีเดียวกันนั้น กิจการน้ำสำหรับพระนครยังได้รับพระราชทานนามว่า “การประปา” อันเป็นภาษาสันสกฤต แปลว่าที่จำหน่ายน้ำ ตามที่ประกาศใน “แจ้งความกรมราชเลขานุการ” ลงวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๒๘ (ปี ๒๔๕๒) ว่า “คำบางคำที่เรียกตามภาษาอังกฤษ ยังไม่มีกำหนดเรียกในคำไทยนั้น บัดนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กำหนดเรียก ดังต่อไปนี้” คือ ประปา แทนคำว่า วอเตอสับไปล, สถานี แทนคำว่า สเตชั่น, รถยนตร์และเรือยนตร์ แทนคำว่ารถมอเตอร์คาร์กับเรือมอเตอร์

ทั้งนี้ผู้ที่คิดบัญญัติศัพท์ “ประปา” เพื่อใช้แทน water supply คือสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส 

โครงการประปาดำเนินการจนแล้วเสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ และเริ่มเปิดจ่ายน้ำให้แก่ประชาชนตั้งแต่วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๔๕๗

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี ผู้เคยทรงดำรงพระอิสริยยศพระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี เมื่อครั้งที่ภาพนี้ตีพิมพ์ในนิตยสาร ดุสิตสมิต ฉบับพิเศษ เดือนมกราคม ๒๔๖๓ มีคำบรรยายว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถ่าย”

ผ้าซิ่น

“ในเวลานี้สินค้าพื้นเมืองทางมณฑลฝ่ายเหนือที่กำลังเฟื่องฟู ดูเหมือนจะไม่มีสินค้าชนิดใดจะสู้ผ้าซิ่น ด้วยเมื่อก่อนเดือนธันวาคมศกนี้ซึ่งเปนเวลาที่ความนิยมใช้ผ้าซิ่นทางกรุงเทพฯ ยังไม่แพร่หลายนั้น ซิ่นไหมสำหรับผู้ใหญ่อย่างชนิดดี ที่จังหวัดเชียงใหม่หรือลำปาง จำหน่ายเพียงผืนละ ๙-๑๐ บาทเปนอย่างสูง แต่ในเวลานี้มีราคาถึงผืนละ ๒๐ บาทแล้ว ถึงกระนั้น ถ้าจะซื้อใช้แต่เพียงผืน ๑ หรือ ๒ ผืนก็ยังหาซื้อได้ยาก การที่เปนเช่นนี้ก็เพราะมีพวกพ่อค้าทางกรุงเทพฯ ได้ขึ้นไปกว้านซื้อเอาเสียหมด และบางรายยังได้นำเงินไปวางมัดจำแก่ผู้ที่ทำซิ่นจำหน่ายด้วย” 

บทบรรณาธิการ “สมัยอันเปลี่ยนแปลง” จีนโนสยามวารศัพท์  ๒๐ ธันวาคม ๒๔๖๓

๙ พฤศจิกายน ๒๔๖๓ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการประกาศพระราชประสงค์จะทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงวัลลภาเทวี พระธิดาในกรมพระนราธิป-ประพันธ์พงศ์ พร้อมกันนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหม่อมเจ้าหญิงวัลลภาเทวีขึ้นเป็นพระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี  ชาววังถึงกับออกพระนามพระคู่หมั้นอย่างลำลองว่า “เสด็จที่บน” ทำนองเดียวกับที่เคยออกพระนามสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ ๕ ว่า “สมเด็จที่บน”

ในช่วงนั้นทั้งสองพระองค์เสด็จออกงานสังคมเคียงข้างกันเสมอ  วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๔๖๓ พระยาประสิทธิ์ศุภการ (ม.ล. เฟื้อ พึ่งบุญ ภายหลังได้เป็นเจ้าพระยารามราฆพ) ผู้สำเร็จราชการมหาดเล็ก กราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระวรกัญญาปทานไปเสวยพระกระยาหารค่ำที่บ้านนรสิงห์ พระวรกัญญาปทานทรงฉลองพระองค์ผ้าซิ่นออกงานเป็นครั้งแรก สร้างความฮือฮาจนถึงขนาดหนังสือพิมพ์ประกาศว่าวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๔๖๓ จะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นวันเปลี่ยนแปลงแบบแผนการแต่งกายสตรีสยาม จาก “ผ้านุ่ง” (โจงกระเบน) มาเป็น “ผ้าซิ่น” (Ladies’ Dress in Siam Bangkok Times 27th November 1920)

ช่วงปลายปี ๒๔๖๓ ผ้าซิ่นจากเชียงใหม่จึงกลายเป็นความทันสมัยที่สาว ๆ ชาวกรุงต่างต้องขวนขวายหามาครอบครองจนขาดตลาด ขณะเดียวกันพระวรกัญญาปทานทรงกลายเป็น “ผู้นำแฟชั่น” ที่สังคมคอยจับจ้อง รายงานข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์จึงต้องพรรณนาฉลองพระองค์อย่างละเอียดเสมอ เช่น เมื่อเสด็จไปร่วมงานเต้นรำของกระทรวงการต่างประเทศเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาสหทัยสมาคม คืนวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๔๖๓

“พระวรกัญญาปทานทรงฉลองพระองค์สีน้ำเงินทำด้วยชีฟอง มีดอกเปนกำมะหยี่ติดลูกไม้เงินและไข่มุก ผ้าคาดทำด้วยต่วนปักด้วยเลื่อมเงินเหมือนกัน ผ้าทรงเปนสีน้ำเงินติดลูกไม้เงินที่เบื้องล่าง ฉลองพระบาทแลถุงพระบาทเปนสีน้ำเงินเข้าชุดกัน ทรงเครื่องชุดไข่มุข” (การเต้นรำของกระทรวงต่างประเทศ Bangkok Times 5th January 1921)

แต่แล้วในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๔๖๓ (ขณะนั้นสยามขึ้นปีใหม่ในเดือนเมษายน เดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคมจึงยังนับเป็นปีเดียวกับเดือนธันวาคมก่อนหน้า) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศเลิกพระราชพิธีหมั้น “เพราะเหตุที่พระราชอัธยาศัยของพระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีมิได้ต้องกัน” พร้อมกับโปรดเกล้าฯ ให้ออกพระนามเสียใหม่ว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี

แม้พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีจะทรงมีเวลาที่ได้อยู่ในความสนใจของสาธารณชนเพียงไม่ถึง ๕ เดือน ทว่ามรดกสำคัญอย่างหนึ่งที่ทรงทิ้งไว้ให้แก่สตรีไทย คือการเปลี่ยนแบบแผนการแต่งกาย และความนิยม “ผ้าซิ่น” ที่ยังคงอยู่ต่อมาอีกนาน

หลังจากทรงถอนหมั้นพระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีแล้วเพียง ๒ สัปดาห์ วันที่ ๔ เมษายน ๒๔๖๔ 
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาหม่อมเจ้าหญิงลักษมีลาวัณ พระธิดาอีกองค์หนึ่งในกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ขึ้นเป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักษมีลาวัณ ต่อมาทรงประกาศจะทำการราชาภิเษกสมรสด้วย และสถาปนาขึ้นเป็นพระนางเธอลักษมีลาวัณ ในปี ๒๔๖๕ ก่อนจะตกลงพระทัยแยกกันอยู่ในที่สุด

พุทธศักราช

“ศักราชรัตนโกสินทร ซึ่งใช้อยู่ในราชการเดี๋ยวนี้ มีข้อบกพร่องสำคัญอยู่ คือเปนศักราชที่สั้นนักจะกล่าวถึงเหตุการณใด ๆ ในอดีตภาคก็ขัดข้อง ด้วยว่าพอกล่าวถึงเรื่องราวที่ก่อนสร้างกรุงขึ้นไปแล้วก็ต้องหันไปใช้จุลศักราชบ้าง มหาศักราชบ้างและในฃ้างวัดใช้พุทธศักราช  ฝ่ายคนไทยสมัยใหม่ที่อยากจะกล่าวถึงเหตุการณ์อันมีมาก่อนสร้างกรุงรัตนโกสินทรนี้ ก็มักหันไปใช้คฤสตศักราช ซึ่งดูเปนการเสียรัศมีอยู่ จึ่งเห็นว่าควรใช้พุทธศักราชจะเหมาะดีด้วยประการทั้งปวง เปนศักราชที่คนไทยเรารู้จักซึมทราบดีอยู่แล้ว ทั้งในประกาศใช้พุทธศักราชอยู่แล้ว และอีกประการ ๑ ในเวลานี้ ก็มีแต่เมืองไทยเมืองเดียวที่มีพระเจ้าแผ่นดินถือพระพุทธศาสนา ดูเปนการชอบมาพากลอยู่มาก”

จดหมายเหตุรายวัน ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ธันวาคม ร.ศ. ๑๓๑ (ปี ๒๔๕๕)

แต่เดิมมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาสืบเนื่องมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ในทางราชการจะใช้ปีจุลศักราช (จ.ศ.) ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนมาใช้รัตนโกสินทรศก (ร.ศ.) ที่นับจากปีก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์และเริ่มต้นยุคของราชวงศ์จักรีแทน ดังที่บางเหตุการณ์ในรัชสมัยจึงเป็นที่รู้จักจดจำตามเลขปีรัตนโกสินทรศก เช่น “กรณี ร.ศ. ๑๑๒”  ทว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริเห็นความขัดข้องในการใช้ ร.ศ. ดังปรากฏในจดหมายเหตุรายวันข้างต้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนไปใช้พุทธศักราชเป็นศักราชในทางราชการ ตามความในพระบรมราชโองการประกาศวิธีนับวันเดือนปี ลงวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๓๑ โดยให้เริ่มต้นปีในเดือนเมษายน ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๔๕๖ เป็นต้นไป 

เพาะช่าง 

“ได้เคยปรารภกับเจ้าพระยาพระเสด็จ แลผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องด้วยการศึกษา ที่จะให้วิชาช่างไทยของเราตั้งขึ้นใหม่จากพื้นเดิมของเราแล้ว แลขยายให้แตกกิ่งก้านสาขางอกงามยิ่งขึ้น เปรียบเหมือนเอาพรรณพืชของเราเองมาปลูกลงในพื้นแผ่นดินของเรา แล้วบำรุงให้เติบโตงอกงาม ดีกว่าจะเอาพรรณไม้ต่างประเทศมาปลูกลงในพื้น
แผ่นดินของเราอันไม่เหมาะกัน  โดยความประสงค์ เช่นนี้ เมื่อเจ้าพระยาพระเสด็จมาขอชื่อโรงเรียนเราระฦกผูกพันอยู่ในความเปรียบเทียบกันต้นไม้ ดังกล่าวมานี้ เราจึงได้ให้ชื่อโรงเรียนนี้ว่า โรงเรียนเพาะช่าง”

พระราชดำรัสตอบในการเปิดโรงเรียนเพาะช่าง
๗ มกราคม ๒๔๕๖

เมื่อปี ๒๔๕๕ ต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กระทรวงธรรมการได้ริเริ่มจัดงานแสดงศิลปหัตถกรรมนักเรียนขึ้นเป็นครั้งแรก คำกราบบังคมทูลในวันเปิดงานของเสนาบดีกระทรวงธรรมการ คือพระยาวิสุทธิ-สุริยศักดิ์ (ม.ร.ว. เปีย มาลากุล ปี ๒๔๑๐-๒๔๖๐ ภายหลังเป็นเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี) ตอนหนึ่ง คือ “ความประสงค์แห่งการแสดงศิลปหัตถกรรมนี้ เพื่อจะแนะนำชักจูงให้เด็กชายหญิงในปัจจุบันนี้ เอาใจใส่ฝึกหัดศิลปการหัตถกรรมซึ่งเป็นทางเลี้ยงชีพต่าง ๆ เพื่อจะกันการที่เด็กทั้งหลายพากันนิยมในการเป็นเสมียนให้น้อยลง” ทัศนะทำนองนี้จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้กระทรวงธรรมการต้องจัดหลักสูตรสามัญศึกษาใหม่ โดยบรรจุเอาวิชากสิกรรม พานิชยกรรม และหัตถกรรม แทรกเข้าในวิชาสามัญ ทั้งในระดับประโยคประถมศึกษาและประโยคมัธยมศึกษา ตั้งแต่ปี ๒๔๕๔  ดังนั้นจึงต้องมีสถาบันที่ทำหน้าที่จัดการฝึกหัดครูสำหรับสอนวิชาการฝีมือด้วย นั่นจึงเป็นที่มาของโรงเรียนแห่งใหม่ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทรงทำพิธีเปิด และพระราชทานนามว่า “โรงเรียนเพาะช่าง” เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๔๕๖

ยาเสพย์ติดให้โทษ

“รัฐบาลของข้าพเจ้าย่อมไฝ่ใจและตั้งหลักอยู่เสมอที่จะดำเนินการให้ทันเทียมสมัยนิยมทุกอย่าง ให้สมควรแก่ที่ได้ยินยอมเข้าชื่อเปนสมาชิกแห่งสันนิบาตชาติ เพื่อเหตุนี้จึงได้ตกลงลงนามและจัดการปฏิบัติตามสัญญาหรือความตกลงระหว่างนานาชาติเปนอเนกประการ...และได้รับรองตามความตกลงของสันนิบาตชาติในเรื่องการปราบปรามฝิ่นและโทษที่เกิดจากการติดฝิ่น และเพื่อจะควบคุมการซื้อขายและการใช้ยาที่ประดิษฐขึ้นด้วยฝิ่น ฯลฯ เหล่านี้ จึงได้ให้ตราพระราชบัญญัติยาเสพย์ติดให้โทษขึ้น และให้ใช้ตั้งแต่บัดนี้เปนต้นไป” 

พระราชดำรัสตอบพระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายหน้าในงานเฉลิมพระชนมพรรษา ๑ มกราคม ๒๔๖๕

Image

เข้าใจว่าพระราชบัญญัติยาเสพย์ติดให้โทษ พ.ศ. ๒๔๖๕ คงตราขึ้นโดยอนุโลมตามสนธิสัญญาฝิ่นระหว่างประเทศ (The First International Opium Convention) ค.ศ. ๑๙๑๒ (ปี ๒๔๕๕) ซึ่งสยามส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุม ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ด้วย สนธิสัญญานี้มามีผลบังคับใช้ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ ในฐานะส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาสงบศึกแวร์ซายส์ (Treaty of Versailles) โดยสันนิบาตได้จัดตั้งหน่วยงานควบคุมกิจการด้านนี้ขึ้นโดยเฉพาะ เรียกว่า The Advisory Committee on the Traff ic in Opium and other Dangerous Drugs ดังนั้นคำว่า “ยาเสพย์ติดให้โทษ” จึงเกิดขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ ๖ โดยคงแปลมาจาก dangerous drugs นั่นเอง

วันเวลานาที

“เมื่อเดือนกรกฎาคมศกก่อน นานาประเทศได้แต่งผู้แทนไปประชุมที่ลอนดอน ว่าด้วยอุทกศาสตร์ กรุงสยามได้เข้าประชุมด้วยปฤกษาตกลงกันว่า การคำณวนเวลายังต่าง ๆ กันอยู่ จนชั้นในประเทศเดียวกันก็ยังผิดกัน เพื่อจะปลดเปลื้องความลำบากนี้ ได้กำหนดอัตราใช้เวลาให้เปนระเบียบเดียวกัน เพราะเหตุนี้ทหารเรือไทยได้ทำการติดต่อกับสากลอุทกศาสตร์นิยมเหมือนกับประเทศอื่น ๆ และเพื่อจะให้ถูกต้องตามสัญญานั้น ข้าพเจ้าจึงได้ออกพระราชกฤษฎีกา กำหนดอัตราที่ตกลงกันไว้นั้นตั้งแต่ต้นปีนี้แล้ว” 

พระราชดำรัสตอบพระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายหน้าในงานเฉลิมพระชนมพรรษา ๑ มกราคม ๒๔๖๓

พระราชกฤษฎีกาให้ใช้เวลาอัตราได้กำหนดเวลามาตรฐานของประเทศใหม่ “ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๓ สืบไป ให้ใช้เวลาอัตราสำหรับกรุงสยามทั่วพระราชอาณาจักร์เปน ๗ ชั่วโมงก่อนเวลากรีนิชในเมืองอังกฤษ” หรือเร็วขึ้นกว่าที่เคยใช้กันมา ๑๘ นาทีกับ ๒.๗ วินาที โดยเวลามาตรฐานเดิมนั้นกำหนดจากการคำนวณ ณ ตำแหน่งของพระปรางค์ประธาน วัดอรุณราชวราราม ทั้งนี้การที่สยามใช้เวลามาตรฐาน ๗ ชั่วโมงก่อนเวลากรีนิชในอังกฤษ (หรือ GMT+7) เป็นผลมาจากการส่งนายทหารเรือเข้าร่วมการประชุมอุทกศาสตร์นานาชาติ (International Hydrographic Conference) ณ กรุงลอนดอน ช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๑๙ (ปี ๒๔๖๒) ซึ่งมีข้อตกลงร่วมกันที่จะให้แต่ละประเทศอ้างอิงเวลามาตรฐานกรีนิช (Greenwich Mean Time) จากจุดเริ่มต้น ณ หอดูดาวหลวงกรีนิช (Royal Observatory Greenwich) โดยให้นับห่างกันทุก ๆ ครึ่งหรือ ๑ ชั่วโมงเท่านั้น

ก่อนหน้านี้เมื่อปี ๒๔๖๐ สยามเคยเปลี่ยนวิธีนับเวลาในทางราชการให้เป็นแบบสากลนิยมมาก่อนแล้ว ตามพระบรมราชโองการประกาศนับเวลาในราชการ ซึ่งเดิมเคยนับวันใหม่ตอนย่ำรุ่งหรือ ๖ โมงเช้า 

“ตั้งแต่นี้ต่อไป, เพื่อความสดวกแก่กิจการโดยทั่วไป, การนับเวลาในราชการให้ใช้อย่างวิธีโหราศาสตร์, ซึ่งในราชการกรุงสยามได้เคยใช้มาแล้วในโบราณสมัยแลในประจุบันนี้ได้ใช้อยู่ทั่วไปแล้วในประเทศยุโรปแลอเมริกา, คือนับวันใหม่ตั้งแต่เที่ยงคืน, ระยะทุ่มโมงให้เรียกว่า นาฬิกา; ตามภาษาที่เคยใช้มาในทางราชการแต่โบราณ)...”

ตัวอย่างหนึ่งที่จะทำให้เข้าใจความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ชัดเจนที่สุด คือเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต ราชกิจจานุเบกษา ฉบับวันที่ ๓๐ ตุลาคม ร.ศ. ๑๒๙ (ปี ๒๔๕๓) ระบุว่า “ถึงวันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๙ เวลา ๒ ยาม ๔๕ นาที เสด็จสวรรค์คต ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังสวนดุสิต...” เนื่องจากขณะนั้นเวลาหลังเที่ยงคืนยังนับเป็นวันเดียวกับวันก่อนหน้า เวลาเที่ยงคืน ๔๕ นาที ของคืนวันที่ ๒๒ ตุลาคม จึงยังคงนับเป็นวันที่ ๒๒ ตุลาคม ทว่าภายหลังจากมีพระบรมราชโองการประกาศนับเวลาในราชการแบบใหม่แล้ว วันปิยมหาราชหรือวันที่ระลึกวันสวรรคตของสมเด็จพระปิยมหาราช จึงกลายเป็นวันที่ ๒๓ ตุลาคม ดังที่รับรู้กันทั่วไปในปัจจุบัน 

วิทยุ

มีการแปลคำ telegraph ว่า “โทรเลข” มาตั้งแต่ต้น รัชกาลที่ ๕  มาในยุครัชกาลที่ ๖ สยามได้รับเทคโนโลยีใหม่ สำหรับการส่งข้อความโดยไม่ต้องใช้สาย (wireless telegraphy หรือ radiotelegraphy) แต่ช่วงแรกที่เปิดใช้งานยังเรียกกันว่า “ราดิโอโทรเลข” เช่น “เสด็จพระราชดำเนิรยังห้องราดิโอโทรเลข ทรงกดสัญญาเรียกขานตัวแรกด้วยฝีพระหัตถ์” (ข่าวในพระราชสำนัก ๑๓ มกราคม ๒๔๕๖) ไม่กี่เดือนต่อมาจึงมีการบัญญัติศัพท์ “วิทยุ” ขึ้นเพื่อใช้แทน radio อันเป็นที่มาของพระราชบัญญัติวิทยุโทรเลข (๒๔ เมษายน ๒๔๕๗) คำว่า “วิทยุ” มาจากคำภาษาสันสกฤต แปลว่าฟ้าแลบ หรือสายฟ้า

Image

สถานีวิทยุโทรเลขของทหารเรือที่ศาลาแดง
ภาพ : Siam Nature and Industry. Bangkok : Ministry of Commerce and Communications, 1930.

วิศวกรรมศาสตร์

เมื่อจะมีการยกฐานะโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงไม่พอพระราชหฤทัยกับนาม “คณะยันตรศาสตร์” ที่จะจัดตั้งขึ้นจากโรงเรียนยันตรศึกษาที่สอนวิชาช่างกล ดังมีพระราชหัตถเลขาตีพิมพ์ในหนังสือ อักษรวรรณนาธีรราชาธิบาย ว่า 

“๑. ศัพท์ ‘Faculty of Engineering’ แปลไว้ว่า ‘คณะยันตรศาสตร์’ นั้น ดูยังไม่เหมาะ เพราะยันตร แปลว่า ‘สิ่งที่กระดิกหรือเดินได้’ (Any Mechanical contrivance Engine, Machine, see Monier - Williams, Sanskrit Dictionary) ...ดูจะตรงกับ Mechanical Engineering มากกว่า

๒. สำหรับ ‘Faculty of Engineering’ ถ้าใช้ว่า ‘คณะ
วิศวกรรมศาสตร์’ ดูเหมือนจะขำดี เพราะนอกจากเป็นนามเทวดาผู้เป็นครูสารพัดช่าง ศัพท์ยังแปลได้พอฟังคือ ‘วิศว’ - ทั่วไป ‘กรรม’ - ‘งาน’...” 


นาม “คณะวิศวกรรมศาสตร์” จึงถือกำเนิดขึ้นเป็นแห่งแรก ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยเหตุฉะนี้

สยามรัฐพิพิธภัณฑ์
และ สวนลุมพินี

“งานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ครั้งนี้ มีขึ้นด้วยเดชพระบารมีและพระปรีชาญาณอันสุขุมแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระราชดำหริการในทางชอบด้วยรัฐประศาสโนบายยิ่ง กล่าวคือ จำเดิมแต่เสด็จพระราชดำเนินประพาศชายพระราชอาณาเขตทางจังหวัดสิงคโปร์ครั้งนั้น ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นวิถีการแห่งความเจริญหลายอย่าง เปนที่ต้องพระราชหฤทัย ถูกพระราชประสงค์อย่างยิ่ง ทำให้ทรงรู้สึกโดยพระมหากรุณาธิคุณใคร่จะโปรดเกล้าฯ พระราชทานลัทธิวิธีการดำเนินแบบนั้นให้มีขึ้นในสยามรัฐสิมาอาณาจักร์ ประจวบกับนักขัตตสมัยที่เวียนมาบรรจบ คือ กาลพิเศษนับแต่เถลิงถวัลยราชสมบัติมาจนบัดนี้ล่วงได้ ๑๕ ปีบริบูรณ์ เปนมหุตมฤกษ์อันสมควรจะมีพิธีฉลองมงคลวารดิถี เปนงานมโหฬารอย่าง ๑ จึงทรงพระราชปรารภให้มีงานอันนับเนื่องในส่วน ๑ แห่งการสมโภชสยามรัฐ เปนการแสดงหรือเผยแผ่กิจการที่ได้เปนไปแล้ว และกำลังเปนอยู่ในพระราชอาณาจักร์ยุครัชกาลแห่งพระองค์ เปนงานมหะกรรมที่ระคนปนด้วยความร่าเริงบรรเทิงใจของประชาชน”

“ปฐมการแห่งสยามรัฐพิพิธภัณฑ์” ที่ระลึกสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ สวนลุมพินี
พระพุทธศักราช ๒๔๖๘

พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ด้านหน้าสวนลุมพินี
ภาพ : ประเวช ตันตราภิรมย์

ในปี ๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชดำริให้ดำเนินการโครงการ “สยามรัฐพิพิธภัณฑ์” (The Siamese Kingdom Exhibition)
อันเป็นทั้งงานแสดงสินค้านานาชาติและนิทรรศการครั้งสำคัญเพื่อนำเสนอความก้าวหน้าของราชอาณาจักรสยามในช่วงเวลาแห่งรัชสมัย และแสดงให้ปรากฏแก่โลกถึง “ภาพแห่งความกระทำสำเร็จของประเทศซึ่งอยู่ใต้ร่มราชาธิปตัย” รวมทั้งยังเป็นการเฉลิมฉลองวาระที่ทรงครองราชย์ครบ ๑๕ ปี โดยมีกำหนดเปิดงานในช่วงฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่วันที่ ๒๓ มกราคม ๒๔๖๘ แล้วจัดแสดงต่อไปอีก ๖๐ วัน จนถึงช่วงเดือนมีนาคม ปลายปี ๒๔๖๘

ในการนี้ได้พระราชทานที่นาบริเวณตำบลศาลาแดงของกรุงเทพฯ ให้ใช้เป็นสถานที่จัดงาน โดยทรงพระราชดำริ
ว่าภายหลังจากเลิกงานแล้วจะพระราชทานที่ดินบริเวณนี้ให้เป็นสวนสาธารณะสำหรับประชาชน พร้อมกับพระราชทาน
นามไว้ว่า “สวนลุมพินี” ตามนามสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า คือลุมพินีวัน

ระหว่างนั้นได้เริ่มขุดดิน ถมที่ จัดแบ่งบริเวณ ปลูกต้นไม้ ตัดถนน และสร้างอาคารบางแห่งแล้ว ทว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตอย่างกะทันหันในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๔๖๘ งานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์จึงมีอันต้องล้มเลิกไป

รัฐบาลในสมัยต่อมาได้ดำเนินการปรับปรุงให้สวนลุมพินีเป็นสวนสาธารณะสำหรับพระนคร ตามที่ได้พระราชทานพระราชดำริไว้แต่เดิม อันเป็นเหตุให้มีการประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ของรัชกาลที่ ๖ ไว้เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติที่ด้านหน้าทางเข้าในยุคทศวรรษ ๒๔๘๐

ถาวรวัตถุอันเป็นอนุสรณ์จากงานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ที่ยังหลงเหลือตกค้างจนถึงปัจจุบัน ได้แก่หอนาฬิกาทรงเก๋งจีนในสวนลุมพินี ซึ่งออกแบบโดย มาริโอ ตามานโญ (Mario Tamagno) กับทีมสถาปนิกอิตาลี และสนับสนุนค่าใช้จ่ายโดยคณะพ่อค้าจีน รวมถึงหนังสือที่ระลึกซึ่งจัดทำขึ้นเนื่องในวาระนั้นอีกจำนวนหนึ่ง ปัจจุบันค้นพบแล้วสามเล่ม ได้แก่ สมุดราชบุรี หนังสือว่าด้วยหัวเมืองมณฑลราชบุรีในแง่มุมทางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และกลุ่มชาติพันธุ์ กับ ที่ระลึกสยามรัฐพิพิธภัณฑ์สวนลุมพินี พระพุทธศักราช ๒๔๖๘ และ จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๖ เสด็จพระราชดำเนินประพาสประเทศมะลายู พ.ศ. ๒๔๖๗ ของพระยาสมบัติบริหาร (เอื้อ ศุภมิตร) ทั้งสามเล่มล้วนจัดเตรียมต้นฉบับไว้ก่อน แต่กว่าจะได้ตีพิมพ์ก็ล่วงเลยรัชสมัยไปแล้ว

สถิติ

“มีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าฯ สั่งว่า การสำแดงสถิติของบ้านเมือง โดยวิธีรวบรวมหัวข้อแห่งบรรดาทะเบียนแลรายงานของกระทรวงทบวงการ ขึ้นเปนพยากรณ์สำหรับประโยชน์ทั่วไปนั้น บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่ควรจัดขึ้น จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เรียกผู้ชำนาญการสถิติพยากรณ์ (General Statistics) จากประเทศไอยคุปต์เข้ามาเริ่มการแลแนะนำเจ้าน่าที่ในกระทรวงทบวงการในแบบระเบียบที่ควรปฏิบัติ  บัดนี้ผู้ชำนาญได้เข้ารับน่าที่เริ่มทำการแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมสถิติพยากรณ์มีน่าที่กระทำกิจดังกล่าวมาแล้วนี้ ขึ้นในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พระพุทธศักราช ๒๔๕๘ เปนต้นไป”

เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๕๘ มีการตั้งกรมสถิติพยากรณ์ขึ้นในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ทั้งนี้เข้าใจว่ากรมพระจันทบุรีนฤนาท เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ น่าจะทรงบัญญัติศัพท์ “สถิติพยากรณ์” จากคำภาษาอังกฤษ General Statistics ด้วยพระองค์เอง เพราะทรงเชี่ยวชาญทั้งภาษาอังกฤษและภาษาบาลี-สันสกฤต เนื่องจากทรงสำเร็จการศึกษาวิชาบูรพคดีศึกษา (Oriental Studies) สาขาวิชาภาษาบาลีและสันสกฤต จากวิทยาลัยเบลเลียล (Belliol College) มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด 

คำว่า “สถิติ” จึงนับเป็นคำใหม่ของยุครัชกาลที่ ๖ ก่อนหน้านั้นคำนี้ยังไม่มีในภาษาไทย เมื่อหลวงรัตนาญัปติ (สงบ) เลขานุการสถานอัครราชทูตสยามที่กรุงลอนดอนจะแปลคำว่า statistics ใน ดิกชันนารี ภาษาอังกฤษแปลเปนไทย ฉบับ ร.ศ. ๑๒๐ (ปี ๒๔๔๔) จึงต้องอธิบายยืดยาวว่า “ความรวบรวมแห่งอาการของบ้านเมือง, ของราษฎร, ของการค้าขาย, ของการทำมาหากิน, แห่งความเกิดความตาย, แห่งโรคไภย, แห่งอายุศม์ แลอื่น ๆ”

กรมสถิติพยากรณ์นี้ คือต้นกำเนิดของกระทรวงพาณิชย์ในเวลาต่อมา

สหกรณ์

“งานใหม่แพนกหนึ่ง ซึ่งได้เริ่มจัดขึ้นพร้อมกับเริ่มกรมพาณิชย์ก็คืองานสหกรณ์  สหกรณ์ในตอนนั้นมุ่งหมายอยู่แต่เพียงที่จะยกฐานะของชาวนาขึ้นให้พ้นหนี้สิน หรือช่วยคนใหม่ที่จงใจจะช่วยตัวเองจริง ๆ เราใช้คำกล่าวเป็นแบบในเวลานั้นว่า ‘ช่วยชาวนาให้ช่วยตัวเอง’...”

กรมหมื่นพิทยาลงกรณ
“การสหกรณ์จะเป็นหรือตายอยู่ที่การเลือกตั้งเจ้าพนักงาน”

Image

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส

ในเดือนกันยายน ๒๔๕๘ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขยายงานกรมสถิติพยากรณ์ขึ้นเป็นกรมพาณิชย์แลสถิติพยากรณ์ ในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ พร้อมกับโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายกรมหมื่นพิทยาลงกรณ อธิบดีกรมตรวจและกรมสารบาญชี มาดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพาณิชย์แลสถิติพยากรณ์พระองค์แรก

ภารกิจสำคัญอย่างหนึ่งของกรมใหม่นี้คือการเริ่มต้นงาน Cooperative Society Movement ขึ้นในสยาม ทว่าคำนี้ยังไม่มีชื่อเรียกในภาษาไทย  กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ (ปี ๒๔๓๔-๒๕๑๙) ผู้ทรงมีชื่อเสียงด้านการบัญญัติศัพท์ บันทึกในบทความ “การบัญญัติศัพท์ภาษาไทย” ตอนหนึ่งว่า 

“เสด็จในกรมพิทยาลงกรณ์ต้องพระประสงค์คำสำหรับ Cooperative และได้กราบทูลถามสมเด็จพระมหาสมณะว่าจะใช้ ‘สหการ’ ได้ไหม ทรงแนะนำว่าใช้ ‘สหกรณ์’ ดีกว่า จึงได้ใช้คำนี้ และใช้เป็นการถาวร”

หากเป็นจริงตามนี้ ย่อมสมควรเทิดพระเกียรติสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ว่าทรงเป็นผู้บัญญัติศัพท์ “สหกรณ์” ขึ้นใช้ในภาษาไทย โดยนำมาจากคำภาษาสันสกฤต อันมีความหมายว่ากระทำร่วมกัน (สห คือร่วมกัน  กรณะ แปลว่าการกระทำ) ทว่าดูเหมือนกรมหมื่นพิทยาลงกรณ ผู้ทรงได้รับการยกย่องในภายหลังให้เป็น “พระบิดาแห่งการสหกรณ์ไทย” ยังทรงเสียดายคำ “สหการ” อยู่  ราชทินนามของข้าราชการผู้รับผิดชอบงานด้านนี้ในยุคเริ่มต้นจึงใช้ทั้งสองคำ เช่น พระประดิษฐ์สหการ พระประกาศสหกรณ์ 

เสือป่า
และ ลูกเสือ

“การที่ตั้งเสือป่าขึ้นก็ด้วยความมุ่งหมายจะให้คนไทยทั่วกันรู้สึกว่า ความจงรักภักดีต่อผู้ดำรงรัฐสีมาอาณาจักร์โดยต้องตามนิติธรรมประเพณีประการ ๑ ความรักชาติบ้านเมืองแลนับถือพระสาสนาประการ ๑ ความสามัคคีในคณะแลไม่ทำลายซึ่งกันแลกันประการ ๑ ทั้ง ๓ ประการนี้เปนมูลรากแห่งความมั่นคง จะทำให้ชาติเราดำรงอยู่เปนไทยได้สมนาม มิให้เสียทีที่บรรพบุรุษของเราทั้งหลายได้สู้ก่อสร้างปลูกฝังชาติเราไว้ในแว่นแคว้นแดนสยามนี้ ถึงการที่ได้คิดจัดให้มีลูกเสือขึ้น ก็โดยความปราถนาที่จะให้เด็กไทยได้ศึกษาแลจดจำข้อสำคัญทั้ง ๓ ประการอันกล่าวมาแล้วนั้น ให้ฝังมั่นอยู่ในดวงจิตรตั้งแต่มีอายุอยู่ในประถมวัย เพื่อว่าเมื่อเติบใหญ่ขึ้นแล้วก็จะได้คงรู้สึกเช่นนั้นจนตลอดชีวิต”

พระราชดำรัสตอบประชาราษฎร ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช ๓ ธันวาคม ๒๔๕๔

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนากองเสือป่าขึ้นเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๓๐ (ปี ๒๔๕๔) โดยมีจุดมุ่งหมายคือการฝึกหัดพลเรือนให้เรียนรู้วิชาทหาร ไว้เป็นกำลังของชาติทั้งในยามสงบและยามศึกสงคราม 

คำว่า “เสือป่า” ทรงชี้แจงไว้ในหนังสือ จดหมายเหตุเสือป่า ฉบับปฐมฤกษ์ ว่าเป็นคำเก่า ตรงกับคำฝรั่งว่า scout

“เสือป่านั้น คือทหารที่ท่านใช้ไปสืบข่าวข้าศึกเพื่อแม่ทัพจะได้รู้พอเปนเลา ๆ ว่าข้าศึกนั้นจะยกมาทางใด มีกำลังเพียงเท่าใด ท่าทางจะรบพุ่งอย่างไร ตรงกับที่ในกองทัพบกทุกวันนี้เรียกว่า ‘ผู้สอดแนม’หรือเรียกตามภาษาอังกฤษว่า ‘สเค๊าต’...”

Image

นายชัพน์ บุนนาค
ภาพ : อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพเสวกตรี นายลิขิตสารสนอง (ชัพน์ บุนนาค) ลูกเสือไทยคนแรก และนคราภิบาลคนสุดท้าย

สองเดือนต่อมา ทรงประกาศจัดตั้งกองลูกเสือขึ้นเมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ปีเดียวกัน นับว่าไทยเป็นประเทศที่ ๓ ของโลกที่ตั้งกองลูกเสือ นับตั้งแต่ พล.ท. ลอร์ด บาเดน-เพาเวลล์ (The Lord Baden-Powell) ชาวอังกฤษ ให้กำเนิดลูกเสือเมื่อ ๒๔๕๑ พอปีถัดมาสหรัฐอเมริกาก็จัดตั้งเป็นประเทศที่ ๒

ลูกเสือไทยคนแรกชื่อนายชัพน์ บุนนาค อายุ ๑๖ ปี เป็นนักเรียนโรงเรียนมหาดเล็กหลวง

ในหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพนายชัพน์ (ปี ๒๔๓๘-๒๕๒๔) ซึ่งภายหลังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นนายลิขิตสารสนอง เล่าว่า ก่อนประกาศจัดตั้งลูกเสือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรว่าเครื่องแต่งกายลูกเสือที่ทรงคิดขึ้นจะเหมาะสมกับเด็กไทยหรือไม่เพียงใด นายชัพน์ซึ่งเป็นมหาดเล็กข้าหลวงเดิมที่ทรงคุ้นเคย ทั้งยังเป็นนักเรียนเรียนดี จึงได้รับเลือกจากอาจารย์ใหญ่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงให้แต่งเครื่องแบบถวายเพื่อทอดพระเนตร

เมื่อทอดพระเนตรจนเป็นที่พอพระราชหฤทัยแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้นายชัพน์ท่องกฎของลูกเสือสามข้อ เมื่อสิ้นคำปฏิญาณ ทรงรับสั่งว่า “ในนามของข้าผู้ให้กำเนิดลูกเสือ ข้ารับเจ้าเป็นลูกเสือไทยคนแรกตั้งแต่บัดนี้”  นายชัพน์จึงได้รับการจารึกนามว่าเป็น “ลูกเสือไทยคนแรก”

ในเวลาต่อมา นายลิขิตสารสนอง (ชัพน์ บุนนาค) ยังได้เป็นชาวเมืองดุสิตธานีคนหนึ่ง และได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งจากทวยนาครให้เป็น “นคราภิบาล” ของดุสิตธานีเป็นคนสุดท้าย

ภาพ : ประเวช ตันตราภิรมย์

ออมสิน

ปลายเดือนมีนาคม เดือนสุดท้ายของปี ๒๔๕๕ มีการตรา “พระราชบัญญัติคลังออมสิน พุทธศักราช ๒๔๕๖” ขึ้น “เพื่อประโยชน์การรับรักษาเงินที่ประชาชนจะนำมาฝากเปนรายย่อย แลรับภาระจัดให้เงินนั้นเกิดผลแก่ผู้ฝากตามสมควร” อันเป็นต้นกำเนิดของธนาคารออมสินในเวลาต่อมา  ทั้งนี้คำว่า “คลังออมสิน” คงแปลมาจาก Savings Bank ส่วนคำว่า “ออมสิน” ใช้กันในความหมายของการประหยัด รู้จักเก็บหอมรอมริบ ไม่ใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่าย ดังที่ในคำปรารภของพระราชบัญญัติคลังออมสินกล่าวว่า “การที่ประชาชนออมสินไว้เพื่อประโยชน์การยืดยาวข้างน่า ไม่จับจ่ายเพื่อความเพลินใจชั่วขณะนั้น เปนสิ่งควรอุดหนุนอย่างยิ่ง” 

Image

ภาพ : Facebook : พิพิธภัณฑ์ธนาคารออมสิน, Facebook : 77PPP

อินทร์ธนู

Image

โดยรูปคำ “อินทร์ธนู” แปลว่าคันธนูของพระอินทร์ เดิมเคยใช้หมายถึงสายรุ้งบนท้องฟ้า ส่วนศัพท์นาฏศิลป์ไทยใช้เรียกเครื่องประดับบนบ่าสองข้างของตัวพระและยักษ์ในโขนละคร  สมัยรัชกาลที่ ๖ มีพระบรมราชโองการ “ประกาศให้เรียกแผ่นทาบบ่ายศเครื่องแต่งตัวว่าอินทร์ธนู” (๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๗) คือให้เรียก “แผ่นทาบบ่ายศ” (หรือ “บ่า” “บ่ายศ” “แผ่นกำมหยี่ติดบ่า”) ของเครื่องแต่งกายข้าราชการทหาร ตำรวจ เสือป่า และข้าราชการพลเรือนว่า “อินทร์ธนู” ทั้งหมด

เข้าใจว่าบางทีการเลือกใช้คำนี้อาจต้องการล้อกับคำเรียกอย่างฝรั่งว่า epaulette (เอโปเล็ตต์) ด้วยก็เป็นได้

หมายเหตุ : พระราชบัญญัติ พระราชดำรัส และประกาศทางราชการ
ที่ตีพิมพ์ลงใน ราชกิจจานุเบกษา
สามารถสืบค้นได้จากเว็บไซต์ https://ratchakitcha.soc.go.th/
ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

Image