Image

รักเราไม่เท่ากัน

วิทย์คิดไม่ถึง

เรื่อง : ดร. นำชัย ชีววิวรรธน์ namchai4sci@gmail.com
ภาพประกอบ : นายดอกมา

เคยสงสัยไหมว่า เวลาพูดถึง “ความรัก” แต่ละคนรู้สึกแตกต่างกันหรือไม่ ? แท้จริงแล้วความรักมีกี่แบบ ? แตกต่างกันทุกแบบ หรือมีแค่เพียงแบบเดียว ความรักก็คือความรัก ?

ไม่ว่าคำตอบจะเป็นเช่นไร เราคงต้องยอมรับว่าความรักเป็นบ่อเกิดเรื่องราวโรแมนติก บทกวี กาพย์กลอนไพเราะเสนาะหู วีรกรรมความกล้าหาญ และการเสียสละครั้งใหญ่  ความรักยังอาจหวานแหวว ละมุนละไม หรือเร่าร้อนดังไฟสุมทรวงได้เช่นกัน

ชาวกรีกโบราณแบ่งความรักออกเป็นแปดประเภท ความรักในสี่ประเภทแรก คือ (๑) อีรอส (Eros) ความรักโรแมนติก ชวนวาบหวามใจ หลงใหลร้อนแรงในแบบหนุ่มสาว (๒) อะกาเป (Agape) ความรักที่เสียสละและไม่มีเงื่อนไข (๓) สตอร์จ (Storge) ความรักในครอบครัว (๔) ฟิเลีย (Philia) ความรักระหว่างมิตรสหาย เต็มไปด้วยความไว้วางใจ ความเคารพนับถือ และมีประสบการณ์ร่วมกัน

ความรักอีกสี่ประเภทได้แก่ (๕) แพร็กมา (Pragma) ความรักที่ยืนยาวผ่านกาลเวลา มีความยอมรับนับถือ ความเข้าใจ และประนีประนอม แบบคู่รักหรือเพื่อนร่วมงานที่อยู่ด้วยกันมานาน (๖) ลูดัส (Ludus) ความรักแบบสนุกสนาน กระเซ้า
เย้าแหย่ ออกอาการเจ้าชู้ มักเป็นความสัมพันธ์ในช่วงแรกของการคบกันของหนุ่มสาว (๗) แมเนีย (Mania) ความรักแบบคลั่งไคล้ใหลหลงราวต้องมนตร์ คิดถึงทุกลมหายใจ อยากอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา จนอาจเลยเถิดแสดงความเป็นเจ้าของ เกิดความหวาดระแวงหรืออิจฉาริษยา แบบที่คนไทยว่า “ความรักดังโคถึก” นั่นเอง และสุดท้าย (๘) ฟิลาวเทีย (Philautia) ความรักตัวเอง เห็นคุณค่าและดูแลเอาใจใส่ทั้งกายและใจ ฟังดูเหมือนง่าย เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ น่าจะรักตัวเองได้ทุกคน แต่ในความเป็นจริง บางคนก็มีประสบการณ์หรือปมชีวิต บางอย่างที่ทำให้รักตัวเองยากเหลือเกิน

จะเห็นได้ว่าบางแบบแลดูซ้อนเหลื่อมกันอยู่บ้าง

ขณะที่นักจิตวิทยา โรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก ตั้งทฤษฎีสามเหลี่ยมแห่งความรัก (Triangular Theory of Love) ตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๘๖ ใจความหลักคือความรักประกอบด้วยองค์ประกอบดังรูปสามเหลี่ยม ได้แก่ ความใกล้ชิด (intimacy) ความเสน่หา (passion) และความผูกมัด (commitment)

เมื่อนำมาพิจารณาประกอบกัน เกิดรูปแบบความรักแปดแบบเช่นกัน ได้แก่ (๑) ไม่มีความรัก (Non-love) (๒) รักที่ว่างเปล่า (Empty Love) มีแต่ความผูกมัด (๓) ความชอบ (Liking) มีแต่ความใกล้ชิด (๔) รักแบบหลงใหล (Infatuation) มีแต่ความเสน่หา

ขณะที่ (๕) รักแบบมิตรภาพ (Companionate) มีความใกล้ชิดและความผูกมัด (๖) รักแบบไร้สติ (Fatuous Love) มีความเสน่หาและความผูกมัด (๗) รักแบบโรแมนติก (Romantic Love) มีแต่ความใกล้ชิดและความเสน่หา และแบบสุดท้ายคือ (๘) รักสมบูรณ์แบบ (Consummate Love) ประกอบด้วยความใกล้ชิด ความเสน่หา และความผูกมัด จะหาครบทั้งสามอย่างนี้น่าจะไม่ง่ายทีเดียว

การจัดประเภทความรักแบบกรีกและแบบจิตวิทยาสมัยใหม่ข้างต้น มีความรักบางรูปแบบโดดเด่นเห็นได้ชัดเหมือนกัน เช่น รักแบบโรแมนติก

มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Cerebral Cortex ใน ค.ศ. ๒๐๒๔ ใช้เครื่องสร้างสนามแม่เหล็ก fMRI (functional Magnetic Resonance Imaging) สแกนการทำงานของสมองขณะที่เกิดอารมณ์รักแบบต่าง ๆ  นักวิจัยชาวฟินแลนด์ กลุ่มนี้ออกแบบการทดลองได้น่าสนใจ คือ รับอาสาสมัคร ๕๕ คน แต่ละคนได้รับมอบหมายให้อ่านเรื่องราวเจ็ดประเภท คือเรื่องราวความรักของพ่อแม่-ลูก คู่รัก มิตรสหาย คนแปลกหน้า สัตว์เลี้ยง และธรรมชาติ และเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับความรักซึ่งใช้เป็นตัวควบคุมเพื่อเปรียบเทียบ

จากนั้นให้ผู้เข้าร่วมการทดลองจินตนาการว่าตัวเองเป็นตัวละครในเรื่องราวเหล่านี้และให้คิดถึงคนอื่น สัตว์เลี้ยง หรือธรรมชาติในชีวิตจริง  ขณะที่ทำเช่นนี้นักวิจัยก็ใช้เครื่อง fMRI วัดการทำงานของสมองควบคู่ไปด้วย ถ้าส่วนไหนทำงานจะพบการไหลเวียนของเลือดมากขึ้น ภาพสมองส่วนนั้นก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย

นักวิจัยชี้แจงว่าการที่เลือกศึกษาและแบ่งความรักออกเป็นหกแบบดังเรื่องที่ให้อ่าน เพราะเจาะจงเลือกความรักมาตรฐานสองแบบที่มีการศึกษากันมากที่สุด คือ ความรักระหว่างคู่รัก และความรักของพ่อแม่-ลูก  เท่านั้นยังไม่พอ ยังตั้งใจเลือกความรักแบบเจาะจงน้อยกว่า แต่ก็โดดเด่นเช่นกัน โดยขึ้นกับวัฒนธรรมและภาษาด้วย ได้แก่ ความรักของมิตรสหาย ความรักต่อคนแปลกหน้าที่อาจมองว่าเทียบได้กับความรักต่อเพื่อนบ้านตามความเชื่อแบบคริสเตียน 

นักวิจัยยังมองไกลไปถึงความรักที่เกินกว่าความรักระหว่างมนุษย์ด้วยกัน จึงรวมความรักต่อสัตว์เลี้ยงและต่อธรรมชาติที่งดงามเอาไว้ด้วย อันหลังสุดนี้หลายคนจัดว่าเป็นความรักแบบไม่เกี่ยวข้องกันทางสังคมหรือหมู่คณะ (nonsocial love)

ผลลัพธ์จากงานวิจัยนี้น่าสนใจทีเดียว ความรักแต่ละแบบกระตุ้นสมองคนละส่วนแตกต่างกันอย่างชัดเจน

โดยเฉลี่ยความรักระหว่างมนุษย์ด้วยกันจะกระตุ้นการทำงานส่วนต่าง ๆ ของสมองมากกว่าและกระจายไปทั่วสมองหากเทียบกับความรักสัตว์เลี้ยงและธรรมชาติ  ยิ่งเป็นความรักระหว่างคนใกล้ชิดมากจะเกิดการกระตุ้นการทำงานของ “สมองส่วนให้รางวัล” มากเป็นพิเศษอย่างเห็นได้ชัดเจน

สมองส่วนที่ทำงานเหมือนกันในความรักทุกแบบมีสามส่วน คือ กลีบขมับเทมพอรัล (temporal lobes) อยู่ใกล้ขมับและหู ปรกติแล้วสมองส่วนนี้ประมวลข้อมูลที่ได้ยิน ทำความเข้าใจภาษา เก็บและดึงข้อมูลความจำออกมาใช้ และจัดการอารมณ์  ซีรีบรัลคอร์เทกซ์ (cerebral cortex) หรือเปลือกสมองชั้นนอกที่มีสีเทา ใช้คิด จำ จัดการภาษา และรับรู้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ และส่วนสุดท้ายคือซีรีเบลลัม (cerebellum) หรือ “สมองน้อย” ด้านหลังศีรษะ โดยรับผิดชอบการเคลื่อนไหว เช่น เดิน วิ่ง เขียน ทรงตัว รวมถึงเรียนรู้ทักษะการเคลื่อนไหว

ความรักที่กระตุ้นการทำงานของเซลล์ประสาทมากที่สุด ได้แก่ ความรักแบบพ่อแม่-ลูก ตามมาด้วยความรักแบบคู่รักและมิตรสหาย นอกจากนี้ยังพบอีกด้วยว่าความรักพ่อแม่-ลูกเป็นแบบเดียวที่กระตุ้นสไตรเอตัม (striatum) ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในสมองส่วนให้รางวัล

รูปแบบการทำงานของสมองเมื่อเกิดความรักระหว่างมนุษย์ด้วยกันจะแตกต่างค่อนข้างชัดเจนจากเมื่อมนุษย์แสดง
ความรักต่อสัตว์และธรรมชาติ  ในกรณีของสัตว์เลี้ยงมีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือมีสมองส่วนที่ทำงานซ้อนทับอยู่บ้างกับสมองบางส่วนที่ทำงานขณะแสดงความรักแบบพ่อแม่-ลูกหรือคู่รัก

นักวิจัยตีความเรื่องนี้ว่ามนุษย์มักรู้สึกว่าสัตว์เลี้ยงเป็นเสมือนสมาชิกของครอบครัว

โดยสรุปหลักฐานจากงานวิจัยนี้ชี้ชัดว่า ความรักมีหลายแบบจริง หากมองจากการทำงานของสมอง และความรักต่อมนุษย์ด้วยกันแตกต่างจากความรักต่อสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์