รัชกาลที่ ๖ ในพระราชพิธี
บรมราชาภิเษกสมโภช ปี ๒๔๕๔
รัชกาลที่ ๖ ฉลองพระองค์
เครื่องแบบทหารเรือ
ประวัติต้นรัชกาลที่ ๖ พระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ ๖ ระบุว่า ยุค “หัวเลี้ยวหัวต่อ” เริ่มมาตั้งแต่ปี ๒๔๕๓ ช่วงสุดท้ายของรัชกาลที่ ๕ ด้วยถึงแม้พระองค์จะอยู่ในฐานะรัชทายาท แต่ก็ทรงพบว่า “ผู้ใหญ่บางคน” แสดงตนเป็นศัตรู และบางคนก็มองว่าพระองค์ “บกพร่องในคุณสมบัติ”
ในระดับ “พี่น้อง” พระองค์ทรงมีพระราชวิจารณ์ “น้องชายเล็ก” (สมเด็จฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ) ไม่พอพระราชหฤทัยที่รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้ส่งพระอนุชาองค์นี้ไปร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระเจ้าจอร์จที่ ๕ ที่อังกฤษแทนพระองค์ แต่ในพระราชหัตถเลขาที่รัชกาลที่ ๕ มีไปถึงพระราชโอรสนั้น ทรงอธิบายว่า “พ่อก็เจ็บ ๆ ไข้ ๆ ไม่สู้มั่นคง” ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกว่า “ไม่ให้ฉันได้เถียงได้อีกต่อไป” และต้องประทับในราชอาณาจักรเผื่อเหตุอันไม่คาดคิด
ย้อนกลับไปวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๒๓ (นับตามปฏิทินเก่า) พระองค์ประสูติในฐานะพระราชโอรสลำดับที่ ๒๙ ในรัชกาลที่ ๕ กับพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี (ต่อมาสมัยรัชกาลที่ ๖ เฉลิมพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ) ทรงเป็น “เจ้าฟ้าชายพระองค์ที่ ๒” ซึ่งประสูติจากพระมเหสี
แต่เดิมทรงไม่กังวลเรื่องราชบัลลังก์ ด้วยพระเชษฐา คือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร (ในสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี) ทรงดำรงตำแหน่งอยู่แล้ว
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนเทพทวาราวดี/เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ หรือ “ลูกโต” ของรัชกาลที่ ๕ จึงเสวยบรรทม เรียนหนังสือ กับ “เจ้าพี่เจ้าน้อง” รุ่นเดียวกัน คือ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศฯ, ทูลกระหม่อมเล็ก (ต่อมาคือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ), พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ (ต่อมาคือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์), พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ (ต่อมาคือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์), เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ (ต่อมาคือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต) อย่างไม่มีกังวล
เจ้าพี่เจ้าน้องรุ่นนี้เผชิญเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ มาด้วยกัน เมื่อฝรั่งเศสส่งเรือปืนเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยา ทอดสมอหน้าสถานกงสุลฝรั่งเศสย่านบางรัก เอาปืนจ่อพระนคร จนสยามต้องยอม “สละการอ้างสิทธิ์” ในดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง จ่ายค่าเสียหาย ๓ ล้านฟรังก์ (ร้อยละ ๑๐ ของงบประมาณแผ่นดินขณะนั้น)
ด้วย “บาดแผล” นี้ พระราชบิดาจึงทรงตัดสินพระราชหฤทัยส่งเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธฯ พระชันษา ๑๒ ปี กับพระเชษฐาต่างพระมารดาคือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสด็จไปทรงศึกษาด้านทหารเรือในยุโรปเพื่อเตรียมกลับมาควบคุมทัพเรือแทนที่ชาวตะวันตกที่ไม่อาจไว้วางใจได้
เรือรบของสยามออกไปส่งเสด็จที่สิงคโปร์ ทรงลงเรือเดินสมุทรที่นั่น เดินทางผ่านศรีลังกา คลองสุเอซ ขึ้นฝั่งที่เมืองท่าเนเปิลส์ (อิตาลี) หลังเดินทาง ๖๙ วัน ทรงใช้ทางบกขึ้นรถไฟต่อไปยังฝรั่งเศสจนถึงอังกฤษในที่สุด เป็นครั้งแรกที่ทรงเห็นผู้คนต่างบ้านต่างเมือง ที่สำคัญคือลอนดอน สมัยนั้นเป็นศูนย์กลางจักรวรรดิที่มีอำนาจมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ที่นี่เอง พระราชภาระหนักอึ้งตกใส่บ่าของพระองค์
ทรงฉายพระรูปที่พลับพลาปากแพรก คราวเสด็จประพาสไทรโยค กาญจนบุรี ปี ๒๔๓๑ จากซ้าย คือ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ, รัชกาลที่ ๖, รัชกาลที่ ๕, เจ้าฟ้าจักรพงษ์ และเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ
มกราคม ๒๔๓๖ (นับตามปฏิทินเก่า) สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธฯ เสด็จประทับที่พระตำหนักนอร์ทลอดจ์ (North Lodge) เมืองแอสคอต ห่างกรุงลอนดอนไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ ๓๐ กิโลเมตร
ที่นี่ ทรงสนิทกับพระเจ้าลูกยาเธอที่มาศึกษาในอังกฤษด้วยกันอย่างรวดเร็ว เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (ม.ร.ว. เปีย มาลากุล/ขณะเป็นพระยาวิสุทธสุริยศักดิ์) ผู้อภิบาล ทูลเกล้าฯ ถวายรายงานรัชกาลที่ ๕ ว่าพี่น้องหกพระองค์ “...ปราศรัยเล่นหวัวได้...กลัวเกรงกันโดยนับวัยและศักดิ์...” แต่ไม่นานแผนการเรียนด้านทหารเรือก็ต้องยกเลิก เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศสวรรคตด้วยพระชนมายุ ๑๗ พรรษา รัชกาลที่ ๕ จึงโปรดเกล้าฯ สถาปนาเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธฯ พระชันษา ๑๔ ปี เป็นองค์รัชทายาททันทีในเดือนเดียวกัน
สยามจัดพระราชพิธีสถาปนาสยามมกุฎราชกุมารนอกราชอาณาจักรเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เกิดขึ้น ณ สถานอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอน เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๓๖ (นับตามปฏิทินเก่า) โดยเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธฯ ทรงมีพระราชดำรัสว่า เมื่อเสด็จนิวัตพระนครจะทรง “เป็นไทยยิ่งกว่าเมื่อตอนที่เสด็จจากเมืองไทยมา”
หลังจากนี้ผู้อภิบาลทูลเกล้าฯ ถวายรายงานต่อมาอีกหลายฉบับ ในภาพรวมคือองค์รัชทายาททรงไม่ต่างจากวัยรุ่นทั่วไป ทรงดื้อบ้างเป็นปรกติ บางครั้งนายทอมสัน (เจ้าของบ้านที่ประทับ) ก็เป็นห่วงว่าราชองครักษ์เอาพระทัยเกินไป
ส่วนการเรียน ทรงสนพระราชหฤทัยด้านอักษรศาสตร์ ออกหนังสือพิมพ์ The Screech Owl รายสัปดาห์ ลงเรื่องเบ็ดเตล็ดสำหรับเด็กเวียนกันอ่านในหมู่พระสหาย ทรงไม่ถนัดบางเรื่อง เช่น “วิชาที่จะทรงกระทำด้วยพระหัตถ์” อย่างงานไม้ การออกพระกำลังทำได้ปานกลาง แต่ทรง “...รู้จักน้ำใจคน เพื่อจะใช้คน” และ “โปรดในการบรรทมดึก ตื่นสาย (ซึ่งแก้ยากเพราะเป็นความเคยของไทย และไทยไม่รังเกียจ)”
ระยะนี้ทรงพระประชวรด้วยพระโรคในพระอันตะ (ลำไส้) นายแพทย์อังกฤษต้องตัดสินใจถวายการผ่าตัดด่วน
ในยุคที่เทคนิคการผ่าตัดเปิดหน้าท้องเพิ่งเริ่มต้น ทรงเป็นคนไข้รายแรก ๆ ที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้ในอังกฤษ เมื่อทราบข่าว รัชกาลที่ ๕ ถึงกับมีพระราชดำรัสว่า “ถ้าลูกโตตาย เป็นเลิกตั้งมกุฎราชกุมารเด็ดขาด เพราะอาถรรพณ์เสียแล้ว”
แต่ก็ทรงรอดพ้นและฟื้นฟูพระพลานามัยได้อย่างรวดเร็ว
ปีต่อมา (๒๔๓๘) ทรงย้ายไปประทับที่บ้านเกรตนีย์ (Graitney) ตำบลแคมเบอร์ลี (Camberly) ในเมืองเดิม เริ่มเรียนภาษาฝรั่งเศสและศึกษาวิชาทหารบกกับพันโทฮูม (C.V. Hoom) ระยะนี้ยังเสด็จฯ เยือนประเทศในยุโรปคือ เบลเยียม ฝรั่งเศส (พฤษภาคม, กรกฎาคม ๒๔๓๙) เข้าเฝ้าฯ พระราชาธิบดี พบผู้นำประเทศ และดูงาน ยามว่างทอดพระเนตรละคร เช่น ในเบลเยียม “ทอดพระเนตรละครในตอนค่ำทุกคืน”
เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ
ฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารราบเบาเดอรัม
เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ
ฉลองพระองค์แบบผู้ดีอังกฤษ
เหตุการณ์สำคัญครั้งหนึ่งคือทรงร่วมรับเสด็จพระราชบิดา (รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก ปี ๒๔๔๐) ที่ท่าเรือเมืองเวนิส (อิตาลี)
ปี ๒๔๔๑ หลังทรงศึกษาวิชาทหารขั้นพื้นฐานแล้ว ก็ทรงศึกษาต่อในโรงเรียนนายร้อยทหารบกแซนด์เฮิร์สต์ (Royal Military Academy Sandhurst) ราว ๑ ปีก็ทรงสำเร็จการศึกษา ติดยศร้อยตรี เข้าประจำที่กรมทหารราบเบาเดอรัม (Durham Light Infantry) กองพันที่ ๒ ที่นี่ทรงศึกษาเรื่องปืนใหญ่ ปืนเล็กยาว ฯลฯ
นอกจากนี้ยังทรงแสดงพระราชประสงค์อาสาไปร่วมรบใน “สงครามบัวร์” (Boer War) ที่อังกฤษต่อสู้กับขบวนการต่อต้านในแอฟริกาใต้ แต่รัฐบาลอังกฤษยับยั้งด้วยเกรงเรื่องความปลอดภัย
การเตรียมพร้อมรัชทายาทยังคงดำเนินต่อไป พระองค์เสด็จฯ ไปทรงศึกษาวิชาพลเรือน คือ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และภูมิศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ระยะนี้ทรงมีพระราชนิพนธ์ สงครามสืบราชสมบัติโปลันด์ ซึ่งน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์ที่มีพระราชดำริจะทำ ทว่าหลังจากนั้นปีเดียว รัชกาลที่ ๕ มีพระราชกระแสให้เสด็จนิวัตพระนคร
อาจารย์ ดร. เทพ บุญตานนท์ อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้เขียนหนังสือ การเมืองในการทหารไทย สมัยรัชกาลที่ ๖ อธิบายว่า เรื่องสำคัญคือเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธฯ ทรงมีภูมิหลังการศึกษาหลากหลาย “ทรงมี ‘งานอดิเรก’ คืออ่านวรรณกรรมทอดพระเนตรละคร ที่ทั้งหมดเป็น ‘ความได้เปรียบ’ เมื่อครองราชย์เป็นกษัตริย์ในโลกยุคต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ ที่ ‘คนต้องถกกันด้วยเหตุผล’ ลองคิดดูว่าในสยามตอนนั้น พระโอรสของรัชกาลที่ ๕ แทบทั้งหมดจบจากต่างประเทศ ในสยามมีจำนวนปัญญาชนมีมากขึ้น มีหนังสือพิมพ์หลายหัว สิ่งที่ทรงเรียนรู้ในยุโรป จะทันใช้งานในยุคสมัยที่ทรงขึ้นครองราชย์พอดี”
เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ รัชทายาท ทรงฉายพระรูปกับชาวต่างประเทศ (ไม่ทราบนาม)
อาจารย์เทพอธิบายว่า สิ่งที่รัชกาลที่ ๕ ทรงคาดไม่ถึงคือ มีการแข่งขันกันระหว่างพี่น้อง ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีจุดอ่อนคือต้องการกษัตริย์ที่ปรีชา รัชกาลที่ ๕ ครองราชย์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ บริหารราชการแผ่นดินกับพระโอรสและพระอนุชา แต่รัชกาลที่ ๖ ทรงทำงานกับพระเชษฐาและญาติผู้ใหญ่
ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป
ยังมีประเด็นการ “คุมกำลังทหาร” ด้วยองค์รัชทายาทเสด็จนิวัตพระนครแล้วทรงรับตำแหน่งพันโท ผู้บังคับการกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ และตำแหน่งจเรทหารบก ซึ่ง “ไม่ได้คุมกำลัง ต่างจากเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถที่เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ เสนาธิการทหารบก ดูแลโรงเรียนนายร้อยหรือกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ที่ทรงมีอำนาจในโรงเรียนนายเรือ ก่อนขึ้นครองราชย์จึงไม่ทรงมีงานเป็นรูปธรรม” ส่วนตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินระหว่างรัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๒ (ปี ๒๔๔๙-๒๔๕๐) ที่ทรงได้รับก็เป็นเพียงประธานในที่ประชุม
แต่อีกด้านหนึ่งตำแหน่งเหล่านี้ช่วยให้ทรงเห็นภาพใหญ่ของระบบราชการ การเสด็จประพาสหัวเมืองระยะนี้ยังทำให้ทรงสัมผัสภาพจริงของสยามมากขึ้น เช่น การเสด็จประพาสหัวเมืองเหนือ (ปี ๒๔๕๐ พระราชนิพนธ์ เที่ยวเมืองพระร่วง) หัวเมืองภาคใต้ (ปี ๒๔๕๒ พระราชนิพนธ์ จดหมายเหตุประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้)
ส่วนเรื่องที่จะกลายเป็นระเบิดเวลาคือปี ๒๔๕๑ เกิด “กรณีเฆี่ยนหลังนายทหารชั้นสัญญาบัตร” ขึ้น
เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ
ขณะทรงผนวชที่วัดบวรนิเวศวิหาร
ร.อ. ขุนทวยหาญพิทักษ์ (เหล็ง ศรีจันทร์) เขียนใน หมอเหล็งรำลึก ภาคปฏิวัติครั้งแรกของไทย ร.ศ. ๑๓๐ ว่าเกิดจาก “ผู้หญิงขายหมากสมัดคนหนึ่ง แถวบริเวณสะพานมัฆวาน...” ที่เนื้อหอมจนมีทหาร “มหาดเล็ก สมเด็จพระบรมฯ” และทหารประจำการไปเกี้ยวพาราสีอยู่เสมอจนขัดใจกัน
ค่ำวันหนึ่งมหาดเล็กใช้ไม้ตีศีรษะ “นายดาบ ราบ ๒” นายดาบจึงวิ่งหนีเข้าไปในกรมทหาร รายงานผู้บังคับกองร้อย ขณะที่มหาดเล็กยังยืนท้าทายอยู่หน้ากรม ผลคือร้อยเอกโสม ผู้บังคับกองร้อยทนไม่ได้จึง “วิ่งนําหน้านายร้อยตรีผู้บังคับหมวดผู้หนึ่ง พร้อมกับนายดาบผู้ถูกรุมตี ตรงไปยังหน้ากรม...มีกิ่งก้ามปูที่ถูกรานทิ้งไว้ตามโคนต้น ต่างก็ตรงเข้าหักได้คนละท่อน พุ่งเข้าตีโดยฉับพลันทันที ฝ่ายพวกมหาดเล็ก...วิ่งหนีร่นไปทางวังปารุสก์ ทันใดนั้น นายสิบพลทหารอีก ๒ คนเพิ่งกลับจากเป็นกองตรวจ พอดีพบเหตุการณ์เข้า จึงสมทบกับนายของตนไล่ติดตามไปด้วย รวมเป็น ๕ คนด้วยกัน ครั้นไล่ไปถึงวังปารุสก์ พวกมหาดเล็กก็หลบเข้าประตูวังไป พวกทหารก็พากันกลับกรมหาได้รุกติดตามเข้าไปไม่”
ต่อมาเรื่องลุกลามเพราะสมเด็จพระบรมฯ ทรงให้ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ ๒ สอบสวนผู้ก่อเหตุจนรับสารภาพและกราบบังคมทูลรัชกาลที่ ๕ “...ให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนหลังทหารเหล่านั้น ตามประเพณีจารีตนครบาล...” แต่รัชกาลที่ ๕ ทรงค้าน เช่นเดียวกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ที่ทรงเห็นว่าควรใช้ประมวลกฎหมายอาญาที่ประกาศแล้ว
รัชกาลที่ ๖ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช (พระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ ๒) ปี ๒๔๕๔
แต่สมเด็จพระบรมฯ ยังทรง “ยืนกรานจะให้เฆี่ยนหลัง เพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่าง...มิเช่นนั้นพระองค์จะทรงลาออกจากตําแหน่งพระรัชทายาท...” การเฆี่ยนจึงเกิดขึ้นจน “...สะเทือนจิตใจนักเรียนนายร้อยทหารทั่วไปทั้งฝ่ายบกและเรือ ผู้ซึ่งจะออกรับราชการเป็นนายทหาร ของชาติไทยสืบไป”
วรชาติ มีชูบท นักค้นคว้าประวัติศาสตร์ เสนอว่า ผู้ที่ยืนกรานให้เฆี่ยนไม่ใช่พระยุพราช ด้วยก่อนเกิดเหตุ ๒ เดือนเศษทรงออก ประกาศกระแสพระราชดำริห์ในเรื่อง เป็นลูกผู้ชาย ความตอนหนึ่งว่า “จะลงพระราชอาญาด้วยอาการใด ๆ มีตีและขังเป็นต้น...ไม่เป็นประโยชน์ เพราะลูกผู้ดีไม่ใช่สัตว์เดียรฉาน...”
เรื่องนี้สอดคล้องกับ ประวัติต้นรัชกาลที่ ๖ ที่ระบุถึงคดีนี้ว่า การเฆี่ยน “ไม่ใช่โดยความขอร้องของฉันเลย” แต่เป็นคำขอจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ เพราะทรงเห็นเป็น “ความผิดทางวินัยทหาร” ต้องลงโทษทันทีเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร รอยร้าวระหว่างกองทัพกับองค์รัชทายาทเกิดขึ้นแล้ว โดยเหตุการณ์ลักษณะนี้ ยังเคยเกิดขึ้นกับทหารเรือ ลูกศิษย์กรมหลวงชุมพรฯ ในปี ๒๔๕๐ มาแล้วด้วย
รัชกาลที่ ๖ เสด็จฯ เลียบมณฑลปักษ์ใต้ เมืองสายบุรี ปี ๒๔๕๘ (ปัจจุบันคือเขตจังหวัดปัตตานี) ประทับบนพลับพลาจตุรมุข ข้าราชการและราษฎรประชุมเฝ้าฯ รับเสด็จ
รัชกาลที่ ๖ เสด็จฯ ยังวิหารพระมงคลบพิตร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ถ้าเร่งเวลาย้อนไปดูเหตุการณ์หลังผลัดแผ่นดิน ๑ ปี จะพบว่าในรัชกาลที่ ๖ มีการจัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช (พระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ ๒) ในเดือนพฤศจิกายน ๒๔๕๔ เป็นครั้งแรก มี “พยาน” เป็นพระราชวงศ์จากต่างแดนมาร่วมจำนวนมาก
แต่ในบรรยากาศเฉลิมฉลองก็มีคลื่นใต้น้ำ ด้วยระยะนี้ ทรงต้องบริหารขุนนางสองกลุ่ม คือ กลุ่มแรก พระอนุชารัชกาลที่ ๕ เช่น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย) สมเด็จฯ กรมพระยาเทววงศ์วโรปการ (เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ) กลุ่มที่ ๒ พระโอรสรัชกาลที่ ๕ ที่คุมงานความมั่นคง เช่น กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (ผู้ช่วยเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ) กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ (เสนาธิการทหารบก) ทำให้ทรงหันมาสร้างพรรคพวกจากมหาดเล็กและข้าราชบริพาร สนับสนุนให้คนกลุ่มหลังนี้เข้ารับราชการในตำแหน่งต่าง ๆ
ความไม่ราบรื่นยังอาจเห็นได้จากการที่ทรงปรับเปลี่ยน ตำแหน่งเสนาบดีระหว่างปี ๒๔๕๓-๒๔๖๓ ถึง ๙ ครั้ง กรณีใหญ่คือการปลดกรมหลวงชุมพรฯ ก่อนพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช
เรื่องนี้ลือกันถึงต้นเหตุสามเรื่อง
เรื่องแรก ย้อนกลับไปก่อนทรงขึ้นครองราชย์ เกิดความขัดแย้งระหว่างมหาดเล็กกับทหารเรือ ศรัณย์ ทองปาน ผู้เขียน ให้โลกทั้งหลายเขาลือ : เสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรฯ เล่าว่า เรื่องนี้มีหลายสำนวน แต่เส้นเรื่องหลักเกิดขึ้นที่ร้าน “สันธาโภชน์” ถนนบ้านหม้อ พระนคร โดยเกิดการกระทบกระทั่งระหว่างมหาดเล็กและผู้บังคับการเรือ ตอร์ปิโด ๒ เพราะโต๊ะมหาดเล็กส่งเสียงดัง เรื่องบางสำนวนเล่าว่าผู้บังคับการเรือโกรธจนพูดว่า “ต้องเป็นลัทธิบอลเชวิคจะดี จะได้ไม่มีมหาดเล็กมาเก่งกับทหารได้”
ที่ร้ายแรงคือ “บอลเชวิค” หมายถึงกลุ่มคนที่ยึดอำนาจจากพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซียและเปลี่ยนรัสเซียให้กลายเป็นรัฐคอมมิวนิสต์
เรื่องที่ ๒ เกิดในงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำที่พระราชวังเดิม ฝั่งธนบุรี เมื่อนักเรียนนายเรือคนหนึ่งลุกขึ้น ถอดมีดเหน็บจากฝักแล้วรำ ร้องเพลงพระนิพนธ์กรมหลวงชุมพรฯ หน้าพระที่นั่งรัชกาลที่ ๖ ซึ่งถือว่าอุกอาจ
เรื่องที่ ๓ มีข่าวลือว่ากรมหลวงชุมพรฯ วางแผนกับสมเด็จฯ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ จะชิงราชบัลลังก์
กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
(เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ)
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
(เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย)
ทั้งยังมีเค้าว่า รัชกาลที่ ๖ ไม่ไว้วางพระราชหฤทัยกรมหลวงชุมพรฯ ตั้งแต่เริ่มครองราชย์ เห็นได้จากทรงไม่ตั้งเป็นราชองครักษ์พิเศษเมื่อคราวยกฐานะกรมทหารเรือเป็นกระทรวงทหารเรือ กรมหลวงชุมพรฯ ที่เป็นรองผู้บัญชาการกรมทหารเรือก็ทรงถูกย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเสนาบดีกระทรวงทหารเรือที่ไม่มีอำนาจแต่อย่างใด
เรื่องนี้วรชาติอ้างถึง ประวัติต้นรัชกาลที่ ๖ เล่ม ๒ (ยังไม่เผยแพร่) ว่า ในพระราชดำริรัชกาลที่ ๖ นั้น กรมหลวงชุมพรฯ “ตีตนห่างออกจากฉันไปทุกที” หลังเกิดกรณีหม่อมเจ้าหญิงทิพยสัมพันธ์ พระชายาในกรมหลวงชุมพรฯ ปลงพระชนม์พระองค์เองในปี ๒๔๕๑ นอกจากนี้กรมหลวงชุมพรฯ ยังมีปัญหากับพระยาราชวังสรรค์ (ฉ่าง แสงชูโต) ที่ “ไปมาหาสู่ฉัน (รัชกาลที่ ๖) อยู่เสมอ” โดยพระราชหัตถเลขาถึงเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ลงวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๔๕๔ ระบุชัดเจนว่าทรงไม่พอพระราชหฤทัยหลายเรื่อง เช่น มีผู้รายงานว่ากรมหลวงชุมพรฯ “เปนหัวโจกของทหารหนุ่ม ๆ” ไม่ห้ามปรามทหารที่กล่าววาจาไม่สมควรเรื่องค่าเดินทะเล (เงินเพิ่มสำหรับทหารที่มีความรู้เฉพาะทาง) ที่ค้างมาหลายปี โดยนายทหารเรือคนหนึ่งพูดว่า รัชกาลที่ ๖ ทรงยอมเพราะกลัวพวกเขา “เอาเรือไปลอยเสียที่ปากน้ำ” (ประท้วง)
พระองค์ “จึ่งทำใจว่าต้องให้กรมชุมพรออกจากประจำการ...เพื่อกำราบให้ละพยดลง”
เสนาบดีอีกองค์หนึ่งที่ทรงปลดคือสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เพราะมีท่าทีคัดค้านการระดมเงินจัดซื้อเรือรบหลวง พระร่วง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ ซึ่งต้องใช้เงินประมาณ ๒ ล้านบาท ในระยะนั้นรัชกาลที่ ๖ ทรงจริงจังถึงขั้นใช้ “ย่าเหล” สุนัขทรงเลี้ยงในการรณรงค์ด้วย โดย พระมหาธีรราชเจ้า สารคดีการเมืองที่เรียบเรียงโดย ทวี มุขธระโกษา เขียนถึงความเข้มข้นในการรณรงค์ที่ผู้คนยังจำได้ถึงการปิดป้ายโฆษณาว่า “ใครไม่ออกเงินสร้างเรือรบหลวง ก็สู้หมาของฉันไม่ได้ หมาของฉันออก ๑,๐๐๐ บาท”
รัชกาลที่ ๖ (ประทับยืน ยกพระหัตถ์ชี้) ขณะทรงแสดงละครเรื่อง พระร่วง
รัชกาลที่ ๖ ขณะทรงแสดงละครเวที
รัชกาลที่ ๖ ขณะทรงแสดงละครเป็น “นายมั่น ปืนยาว”
พระนิพนธ์ สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น สมัยรัชกาลที่ ๖ ของ ม.จ. พูนพิศมัย ดิศกุล พระธิดาในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เล่าว่า เหตุเกิดจากพระบิดาตรัสเชิงเตือนกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ ซึ่งมีตำแหน่งราชการในกรมมหาดเล็ก ว่าจะซื้อเรือต้องใช้ “เงินจำนวนไม่ใช่น้อย” ทรงหวังว่า “เจ้าพระยาอภัยราชา (เจ้าพระยาอภัยราชามหายุติธรรมธร เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ประธานระดมทุน) จะได้คิดรอบคอบแล้ว !”
เรื่องน่าสังเกตคือ ต่อมาราชนาวีสมาคมซึ่งระดมเงินบริจาคออกแถลงโจมตีกระทรวงมหาดไทย จนสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพตัดสินพระทัยลาออกด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ หลังจากนั้นรัชกาลที่ ๖ ทรงตั้งเจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐศักดิ์ (เชย กัลยาณมิตร) ที่เคยรับราชการกรมมหาดเล็กในรัชกาลที่ ๕ ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยแทน
เวทีละครร้องเรื่องหนามยอกเอาหนามบ่ง
ช่วงต้นรัชกาลที่ ๖ ยังมีปมทางการเมืองอีกเรื่องคือ “เสือป่า”
รัชกาลที่ ๖ ทรงตั้ง “กองเสือป่า” ในเดือนพฤษภาคม ๒๔๕๔ ทรงอธิบายว่าชื่อมาจากกองทหารโบราณที่ใช้สืบข่าวคือ “เสือป่า แมวมอง” ต่อมายังทรงตั้ง “กองลูกเสือ” อาสาสมัครรุ่นเด็ก (อายุต่ำกว่า ๒๐ ปี)
ในบันทึก จดหมายเหตุเสือป่า มีพระราชดำริว่า คนจำนวนมากปรารถนาฝึกหัดทหารแต่เกรงจะกลายเป็นคิดมิชอบ (โดนข้อหาซ่องสุมผู้คนก่อกบฏ) ทรงเห็นว่าเป็นประโยชน์ในการฝึกคน ส่งเสริมความสามัคคีในหมู่พลเมืองจึงจะทรงรับทำเสียเองในรูปแบบเสือป่า
ทั้งนี้การเสือป่ามีลักษณะเป็นสมาคม ผู้เข้าร่วมต้องสมัคร มีผู้รับรองและประกาศเปิดเผย เริ่มจากเป็นสมาชิกสำรอง จากนั้นเป็นสมาชิกประจำการหลังผ่านพิธีดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาที่ทำร่วมกับข้าราชการซึ่งจัดขึ้นทุกปี โครงสร้างเสือป่านั้นยังคล้ายกองทัพ คือมี “กองประจำการ” แบ่งเป็นกองพันพาหนะ กองพันกรมม้าหลวง ฯลฯ สมาชิกที่ฝึกหัดพอควรแล้วก็ลดชั้นเป็น “กองหนุน” ที่พร้อมถูกเรียกยามฉุกเฉิน ส่วน “กองนอก” คือผู้ที่มีเหตุให้อยู่ในกองประจำการไม่ได้ ทั้งนี้เสือป่ายังมีฐานะเป็นผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย
พระบรมรูปหุ่นขี้ผึ้งรัชกาลที่ ๖ ขณะทรงออกซ้อมรบเสือป่า จัดแสดงในหอวชิราวุธานุสรณ์ กรุงเทพฯ
ภาพ : สุเจน กรรพฤทธิ์
คำบรรยายภาพเก่าระบุว่า “ขณะซ้อมรบเสือป่า (จากซ้าย) นายพลเสือป่า พระยาประสิทธิ์ศุภการ (ม.ล. เฟื้อ พึ่งบุญ), นายกองตรี (ไม่ทราบชื่อ), นายกองเอก (ไม่ทราบชื่อ), นายพลเสือป่า รัชกาลที่ ๖ (ทรงเครื่องปรกติเสือป่างานหลวงรักษาพระองค์) และนายกองตรี (ไม่ทราบชื่อ)”
อาจารย์เทพวิเคราะห์ว่าเสือป่าทำให้เกิดผลสองอย่าง คือ “หนึ่ง เป็น ‘รัฐซ้อนรัฐ’ เพราะเจ้ากระทรวงมักกดดันให้ข้าราชการเป็นเสือป่า พอมีการฝึกซ้อม ข้าราชการไม่ไป
ก็อาจโดนไล่ออก เกิดสภาพสองรัฐ คือ รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ทรงคุมได้ไม่เต็มที่ แต่พอข้าราชการเข้าร่วมเสือป่าก็ทำให้พระองค์ควบคุมได้โดยอ้อม ฝั่งทหารก็อยากเข้าร่วม ‘พระราชนิยม’ ด้วย จึงทรงให้ทหารเป็นเสือป่าวิสามัญได้ แต่ไม่ต้องรับการฝึก”
ส่วนด้านที่ ๒ “ดูแผนของกรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช เสนาบดีกลาโหม ซึ่งชนชั้นนำสยามสมัยนั้นรับรู้ทั่วกันจะพบความต้องการกำลังสำรองหนึ่งแสน จะหาจากไหนคำตอบคือเสือป่า นี่คือการฝึกวิชาทหารขั้นพื้นฐานที่ดีกว่าหลักสูตรของกรมรักษาดินแดนปัจจุบัน ฝึกกับกระสุนจริง ซ้อมรบจริง มีเหล่าทหารราบ ทหารปืนใหญ่ ไม่ต่างจากกองทัพ เมื่อเกิดสงครามมันช่วยเสริมได้ เพียงแต่ที่ผ่านมาโดนวิจารณ์จนลืมเรื่องนี้ไป”
เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรโรงงานของกรมอากาศยานทหารบก
ทรงฉายพระรูปกับหมู่เสือป่า
แต่เสือป่าก็สร้างปัญหา เช่น การขอยกเว้นการเกณฑ์ทหารให้เสือป่าชั้นสัญญาบัตร ข้าราชการบางคนจึงสมัครเพราะต้องการใช้ช่องทางนี้ ยังปรากฏกรณีนายทหารบางคนไม่พอใจที่พอมาเป็นเสือป่าต้องรับคำสั่งจากเสือป่าที่มีตำแหน่งราชการต่ำกว่าแต่มียศในกองเสือป่าสูงกว่า และกรณีเสือป่าทำหน้าที่แทนตำรวจ จับทหารที่ไม่จ่ายค่ารถโดยสาร ฯลฯ จนทำให้ทหารรู้สึกว่าเสือป่าข่มทหาร
มุมมองหนึ่งจากหนังสือ นายใน สมัยรัชกาลที่ ๖ ของ ชานันท์ ยอดหงษ์ เสนอภาพ “ราชสำนักฝ่ายใน” รัชกาลที่ ๖ ที่มีผู้ชายเป็นองค์ประกอบสำคัญ มองว่ากิจการเสือป่าได้ต้นแบบจากลูกเสือ (Scout) อังกฤษที่ก่อตั้งโดย โรเบิร์ต สตีเฟนสัน สมิท บาเดน-โพเวลล์ (Robert Stephenson Smyth Baden-Powell) ซึ่งถูกสงสัยเรื่องรสนิยมทางเพศในอังกฤษ “Scout จะเป็นเพียงคณะที่ดึงดูดเด็กหนุ่มเข้ามาเล่นสนุกร่วมกันเพื่อกีดกันเด็กหนุ่มทำความรู้จักหรือออกไปไหนกับหญิงสาว...มากกว่าจะมีบทบาทสำคัญในการฝึกหัดระเบียบวินัยและวิชาทหาร” ส่วนของสยามยังมีการสร้าง “กองเสือป่าหลวง” และ “กองนักเรียนเสือป่า” (ระดับกองลูกเสือ) ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้การดูแลมากกว่ากองเสือป่าสำหรับพลเรือนและข้าราชการทั่วไป
คำบรรยายภาพเก่าระบุว่า “ติดเข็มข้าหลวงเดิม มหาดเล็กรัชกาลที่ ๖ (ซ้าย) พระยาบำเรอภักดี (สนิท จารุจินดา) (ขวา) ห้อยเข็มนักเรียนโรงเรียนมหาดเล็กหลวง รังดุมเม็ดที่ ๒”
ชานันท์ยังอ้างว่า อัตชีวประวัติของพระยาสัจจาภิรมย์ อุดมราชภักดี อดีตเจ้าเมืองราชบุรี สมัยรัชกาลที่ ๖ ซึ่งวิจารณ์การซ้อมรบเสือป่าที่จัดทุกปีที่นครปฐมและราชบุรี โดยสรุปความมาว่า “เป็นเพียงการละเล่นสนุกสนาน ส่วนพระองค์ร่วมกับนายใน เสมือนการแสดงละครในบทของทหารออกรบเช่นเดียวกับการแสดงละครในกองเสือป่าที่มีบ่อยครั้ง มากกว่าจะเป็นความพยายามในการฝึกหัดวิชาทหารเพื่อออกรบจริงจัง”
แต่ก็น่าสนใจว่าขุนนางท่านนี้เป็นอดีตเจ้าเมืองซึ่งต้องเตรียมสถานที่ซ้อมรบให้เสือป่าติดต่อกันหลายปี บางครั้งต้องนำนักโทษมาเป็นแรงงานจนเกิดความขัดแย้งกับกระทรวงมหาดไทยที่มองว่าเจ้าเมืองไม่มีอำนาจ นอกจากนี้ยังต้องเผชิญปัญหาเรื่องงบประมาณที่มักจะไม่ได้รับด้วย ดังนั้นมุมมองของขุนนางท่านนี้จึงย่อมมีแนวโน้มเป็นไปในทางลบ
ขณะที่อาจารย์เทพมองว่าด้วยจำนวนคนนับแสนที่เข้ามาร่วมกิจกรรมนี้ ถ้านี่เป็นการ “เล่นสนุกระหว่างชายหนุ่ม” ก็คงไม่จำเป็นต้องให้คนมาเกี่ยวข้องขนาดนี้ “ที่สำคัญคือมีกลุ่มผู้หญิงและคนจำนวนมากที่เกี่ยวกับกิจกรรมเสือป่า ไม่ได้มีแค่ผู้ชายเท่านั้น”
คำบรรยายภาพเก่าระบุว่า “กีฬา-ฟุตบอล” สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นทีมที่มีสมาชิกส่วนหนึ่งเป็นข้าราชบริพารในรัชกาลที่ ๖ ในรัชกาลนี้ฟุตบอลเริ่มได้รับความนิยมในหมู่ชนชั้นสูงและข้าราชการสยามมากขึ้น
ปลายปี ๒๔๕๓ ในที่สุดความไม่พอใจต่าง ๆ ก็ระเบิดขึ้น เมื่อนายทหารกลุ่มหนึ่งตั้งสมาคม “อานาคิช” หรือ “คณะพรรค ร.ศ. ๑๓๐” เตรียมเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ทางการคาดว่าคนกลุ่มนี้มีแนวร่วมประมาณ ๘๐๐-๑,๐๐๐ คน
รัฐบาลในรัชกาลที่ ๖ ปฏิบัติการจับกุมระลอกแรกในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๔๕๔ (นับตามปฏิทินเก่า) และต่อมาอีกหลายวันหลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่ปีใหม่ ๒๔๕๕ ในเดือนเมษายน
แถมสุข นุ่มนนท์ เขียนใน ยังเติร์กรุ่นแรก : กบฏ ร.ศ. ๑๓๐ ว่า มีทหารถูกจับ ๑๐๖ คน การจับกุมเป็นไปอย่างเงียบ ๆ ผู้เห็นเหตุการณ์อย่าง สง่า กาญจนาคพันธุ์ (ขุนวิจิตรมาตรา) เล่าใน กรุงเทพฯ เมื่อ ๗๐ ปีก่อน ว่า สมัยอยู่บ้านบนถนนแพร่งนรา ใน ร.ศ. ๑๓๐ เคยไปยืนดูการจับทหารนายหนึ่งที่ตึกบนถนนแพร่งภูธร มีผู้คนมุงดูราว ๒๐ คน คนทั่วไปอาจเห็นเป็นเพียงเหตุการณ์เล็ก ๆ เท่านั้น แต่การปิดกั้นข่าวสารกลับทำให้เกิดข่าวลือไปไกลว่าเกิดจากเหตุลอบยิงรถพระที่นั่ง จนในที่สุดรัฐบาลก็ออกมาให้ข่าวเพียงเล็กน้อย
ผู้ถูกจับส่วนมากมียศร้อยตรี สูงสุดคือพันตรีซึ่งมีเพียงคนเดียวและเป็นแพทย์ทหาร คนอายุมากที่สุดคือ ๓๙ ปี น้อยที่สุดคือ ๑๘ ปี ส่วนมากมีอายุระหว่าง ๒๐-๒๕ ปี จบโรงเรียนนายร้อยทหารบก บางคนก็กำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนเสนาธิการทหารบก บางส่วนก็เป็นข้าราชการพลเรือน ถ้าหากดู “รุ่น” จะพบว่าส่วนหนึ่งยังมีความทรงจำกรณี “เฆี่ยนนายทหารสัญญาบัตร” ช่วงปลายรัชกาลที่ ๕
ใน คำพิพากษาโทษ เรื่อง นายทหารบก นายทหารเรือและบุคคลพลเรือน ซึ่งก่อการกำเริบ ร.ศ. ๑๓๐ ทำให้รู้ว่าผู้ก่อการเริ่มคุยกันตั้งแต่เดือนมกราคม แต่เพียง ๖ สัปดาห์ก็ถูกจับ เพราะร้อยเอกขุนยุทธ กาจกำจร (ยุทธ คงอยู่/ต่อมาคือพระยากำแพงรามภักดี เข้าร่วมกับกบฏบวรเดชและผูกคอตายในคุกสมัยรัฐบาลคณะราษฎร) ที่เพิ่งเข้าร่วมคุยครั้งเดียว ไปทูล ม.จ. พันธุประวัติ เกษมสันต์ ผู้บังคับการกรมทหารที่ ๑ รักษาพระองค์ เรื่องจึงไปถึงกรมหลวงพิษณุโลกฯ นำมาสู่การจับกุมในที่สุด
รายงานของร้อยเอกขุนยุทธระบุว่า เมื่อรับสมาชิกใหม่ ร้อยเอกขุนทวยหาญพิทักษ์และร้อยโทจรูญจะบรรยายเรื่องเสือป่า การใช้เงินในราชสำนัก และชี้แจงถึงแผนอื่น ๆ พระมหาธีรราชเจ้า สารคดีการเมืองที่เรียบเรียงโดย ทวี มุขธระโกษา ยังให้ข้อมูลว่าจะมีการลงมือในช่วงต้นเดือนเมษายน ในพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ณ วัดพระแก้ว เอาสนามหลวงเป็นที่ชุมนุมพล จับกุมพระบรมวงศานุวงศ์ ทั้งยังมีแผน ๒ คือลอบปลงพระชนม์ด้วย
อาจารย์เทพยังชวนสังเกตว่า หากลงรายละเอียดจะพบว่าผู้ก่อการมีความย้อนแย้งหลายเรื่อง เช่น “ถ้าเปลี่ยนเป็นระบอบรัฐธรรมนูญ จะให้กรมหลวงพิษณุโลกฯ ที่จบจากรัสเซีย หรือกรมหลวงนครสวรรค์ฯ ที่จบจากเยอรมนี เป็นกษัตริย์ ดูไม่สมเหตุผล จะมองว่า ร.ศ. ๑๓๐ เป็นต้นทางของ ๒๔๗๕ ก็คงยาก เพราะกลุ่มผู้ก่อการ ๒๔๗๕ มีข้อเสนอชัดเจนเกี่ยวกับหน้าตาของระบอบใหม่ ต่างจาก ร.ศ. ๑๓๐ ที่มองตัวบุคคลมากกว่า”
คณะ ร.ศ. ๑๓๐
มีการพิจารณาคดีกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ ในเดือนพฤษภาคม ๒๔๕๔ คำพิพากษามีตั้งแต่จำคุกตลอดชีวิตจนถึงต่ำสุดคือ ๑๒ ปี รัชกาลที่ ๖ ทรงขอให้เว้นโทษประหาร ด้วยทรงไม่ได้คิดพยาบาท
ถึงแม้จะก่อการไม่สำเร็จ แต่ผลที่เกิดขึ้นคือกรมหลวงพิษณุโลกฯ ทรงเปลี่ยนหลักสูตรโรงเรียนนายร้อย จากเดิมที่สอนระบอบการปกครองแบบต่าง ๆ หันมาเน้นเรื่องการจงรักภักดี ทรงรับเป็นประธานอำนวยการพิจารณาโทษเพื่อแสดงความบริสุทธิ์และทูลขอลาออก แต่รัชกาลที่ ๖ ทรงยับยั้งไว้
เรื่องนี้ยังลามไปเดือดร้อนกรมหลวงราชบุรีฯ นอกราชการด้วย สันนิษฐานกันว่าต่อมาที่ต้องทรงรับตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการซึ่งทรงไม่ถนัดก็เพราะถูกเพ่งเล็ง แต่ก็มีข้อมูลว่าทรงกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเอง เนื่องจากช่วงไม่ได้รับราชการทรงมีกิจการโรงสีและการค้า และต้องการดูแลกิจการเหล่านี้
แรงสะเทือนทางการเมืองยังส่งผลให้ในเดือนที่เกิดเรื่อง รัชกาลที่ ๖ ทรงมี พระราชบันทึก เรื่อง “คอนสติตูชั่น” วิจารณ์ระบอบรัฐธรรมนูญว่า “ประชาชนยังไม่มีความรู้พอที่จะปกครองตนเองได้” จึงอาจใช้อำนาจในทางที่ผิด ทรงกล่าวถึงการโน้มน้าวผู้คนด้วยสินบนต่าง ๆ ของพรรคการเมือง และปัญหาของ “นักการเมือง” แต่น่าสนใจว่าในพระราชบันทึกนี้ทรงยอมรับว่าระบบที่ “มอบอำนาจ
ไว้ในมือพระเจ้าแผ่นดินก็มีโทษเหมือนกัน” และในอนาคต “ไทยก็คงจะต้องมี ‘คอนสติตูชั่น’ อัน ๑ เปนแน่แท้”
กรมหลวงพิษณุโลกฯ เองก็กราบบังคมทูลรัชกาลที่ ๖ ตรง ๆ หลังเกิดเหตุ (๘ มีนาคม) ว่าวิธีรุนแรงที่ผู้ก่อการคิดนั้นผิด แต่ในแง่ “เหตุผล” ถ้าฟังเสียงคนทั่วไป “ไม่มีใครเห็นผิดเลย”
อาจารย์เทพยังชี้ว่า หลังเหตุการณ์ รัชกาลที่ ๖ ทรงทำงานกับกองทัพมากขึ้น เช่น เอาเสือป่ามาซ้อมรบกับกองทัพ “กองเสือป่าเริ่มหาเงินจากการบริจาค เปิดรับสมาชิกสมาคมบำรุงเสือป่าที่ต้องเสียค่าบำรุงรายปี หาเงินจากการประกวดภาพ เล่นละคร ปัญหาการกระทบกระทั่งก็ลดลงมาก”
ก่อนหน้านี้เสือป่าใช้งบประมาณจากพระคลังข้างที่ตกปีละ ๗ แสนบาท ซ้อมรบแต่ละครั้งใช้ ๓ แสนบาท (หนึ่งในสามเป็นเบี้ยเลี้ยง) ที่สำคัญพอมีช่องบริจาคก็เท่ากับเปิดทางให้คนได้แสดงความจงรักภักดี เช่น กรม-พระนครสวรรค์ฯ “ทรงใช้การบริจาคเงินเพื่อทรงแสดงให้เห็นว่า ทรงสนับสนุนกิจการของรัชกาลที่ ๖”
หลังเหตุการณ์ รัชกาลที่ ๖ ยังทรงตั้ง “กรมทหารรักษาวัง” โดยยกระดับกรมวังนอกมาเป็นกองทหาร เพื่อทำหน้าที่ป้องกันรอบพระบรมมหาราชวัง ป้องกันอัคคีภัย และเป็นกองเกียรติยศ แต่ก็เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าทรงต้องการให้ “ถวายความปลอดภัยส่วนพระองค์แทนกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ อันเป็นผลพวงจากการที่ทหารจำนวนมากในกรม...เข้าร่วมก่อการกบฏ”
เดิมนั้นกรมนี้เคยรับหน้าที่ดูแลพระบรมมหาราชวังในสมัยรัชกาลที่ ๕ แต่พอเข้าสู่รัชกาลที่ ๖ ถูกเปลี่ยนมาทำหน้าที่เหมือนกรมทหารอื่น ทรงให้กองเสือป่าเสนาหลวงรักษาพระองค์แทน กรมทหารมหาดเล็กฯ จึงเหลือเพียงหน้าที่ดูแลรอบเขตวัง ยังไม่นับว่าทรงมอบตำแหน่งผู้บัญชาการให้กรมหลวงพิษณุโลกฯ ซึ่งผิดจากสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งเอง
เรื่องเหล่านี้น่าจะส่งผลต่อความรู้สึกจนบางคนเข้าร่วมกบฏ ร.ศ. ๑๓๐
อีกส่วนหนึ่งก็สันนิษฐานได้ว่าทรงไม่ไว้วางพระราชหฤทัย เพราะนายทหารในกรมนี้ส่วนมากจบจากโรงเรียนทหารบกที่กรมหลวงพิษณุโลกฯ บังคับบัญชาและทรงสนิทสนมด้วย
รัชกาลที่ ๖ ฉลองพระองค์เครื่องทรงมหาพิชัยยุทธ ขณะทรงประกาศเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ ๑
สองปีหลังเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๓๐ สถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ยุโรปเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ ๑ รบกันระหว่างฝ่าย “สัมพันธมิตร” นำโดยฝรั่งเศส อังกฤษ รัสเซีย กับฝ่าย “มหาอำนาจกลาง” ได้แก่ เยอรมนี จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี
สยามรักษา “ความเป็นกลาง” อยู่ระยะหนึ่ง จนถึงปี ๒๔๖๐ รัชกาลที่ ๖ จึงทรงประกาศสงครามกับมหาอำนาจกลาง ซึ่งส่งผลต่อการเมืองภายในประเทศอย่างลึกซึ้ง
ก่อนเข้าสงคราม คณะเสนาบดีสยามส่วนใหญ่ประกอบด้วยพระราชวงศ์ที่ทรงจบการศึกษาจากประเทศคู่สงคราม เช่น รัชกาลที่ ๖ ทรงเป็นนักเรียนอังกฤษ กรม-หลวงพิษณุโลกฯ ทรงเป็นนักเรียนรัสเซีย กรมพระนครสวรรค์ฯ ทรงเป็นนักเรียนเยอรมนี
เมื่อสยามเป็นกลาง ทูตของคู่สงครามก็ทำสงครามข่าวสาร เช่น เมื่อชาวอิตาลีผู้ทำงานในกระทรวงคมนาคมเขียนบทความ “อิตาลีประกาศสงครามกับออสเตรีย-ฮังการี” ลงหนังสือพิมพ์ กรุงเทพฯ เดลิเมล์ อุปทูตออสเตรีย-ฮังการีก็รีบประท้วง จนรัฐบาลสยามต้องตักเตือนและห้ามทำอีก
รัชกาลที่ ๖ ทรงทราบดีว่าคนสยามรู้สึกไม่ดีต่อฝรั่งเศสและอังกฤษจากเหตุการณ์สูญเสียดินแดน มองเยอรมนีในแง่ดีกว่าเพราะไม่เคยคุกคาม แต่ก็ทรงพระราชดำริว่าควรเข้าข้างฝ่ายสัมพันธมิตร เพราะสยามจะมีโอกาสแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมและได้รับการยอมรับในเวทีนานาชาติ ดังนั้นเพื่อโน้มน้าวมติมหาชนจึงทรงมีพระราชนิพนธ์จำนวนมาก เช่น ทรงใช้นามปากกา “รามจิตติ” เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย ตอบโต้ชาวเยอรมันในสยามเรื่องสงคราม บริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์ให้ครอบครัวทหารอังกฤษในกรมทหารราบเบาเดอรัมที่เสียชีวิต
เรื่องหลังสุดก่อเสียงวิจารณ์จากนักการทูตต่างชาติในกรุงเทพฯ มาก แต่ก็ทรงอธิบายว่าเป็น “เรื่องส่วนพระองค์”
ธงชัยเฉลิมพลกองทหารบกรถยนต์ของสยาม
ในคราวสงครามโลกครั้งที่ ๑
แน่นอนว่าอังกฤษมองเป็นโอกาสดี กลางปี ๒๔๕๗ พระเจ้าจอร์จที่ ๕ แห่งสหราชอาณาจักรทรงรีบโทรเลขมาพระราชทานยศนายพลเอกพิเศษแห่งกองทัพบกอังกฤษ
แด่รัชกาลที่ ๖ ทรงระบุว่า “เพื่อเปนพยานแห่งความไมตรีของหม่อมฉันและเพื่อเปนที่รฤกในการที่พระองค์ได้ทรงเกี่ยวข้องอยู่กับกองทัพอังกฤษ...” โดยรัชกาลที่ ๖ พระราชทานยศนายพลเอกแห่งกองทัพบกสยามตอบแทน ทั้งยังทรงอธิบายว่านี่ถือเป็นเกียรติยศของชาติ
เมื่อเวลาผ่านไปสยามเอียงข้างสัมพันธมิตรมากขึ้น ยอมให้อังกฤษใช้ระบบบัญชีดำกับร้านค้าในสยามที่ค้าขายกับเยอรมัน ทำให้ร้านเหล่านี้ค้าขายกับอังกฤษไม่ได้ ยอมให้อังกฤษจัดส่งธนาณัติ (ตั๋วเงิน) ในต่างประเทศแทนเยอรมนี
ในปี ๒๔๖๐ ทูตรัสเซียขอเข้าเฝ้ากรมหลวงพิษณุโลกฯ และโน้มน้าวว่า หากสยามเข้ากับฝ่ายสัมพันธมิตรอาจทำให้แก้ไขสนธิสัญญาที่เสียเปรียบได้ แต่เมื่อทูตรัสเซียไปคุยกับอังกฤษและฝรั่งเศส อังกฤษกลับสงวนท่าที มองว่าสยามที่เป็นกลางแต่เอียงข้างสัมพันธมิตรก็ถือว่าดีและไม่ได้ทำให้อังกฤษเสียประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องดึงสยามเข้าร่วมสงคราม
ดังนั้นเป็นสยามเองที่ลงมือ เพราะในที่สุดรัชกาลที่ ๖ และคณะเสนาบดีก็มีมติร่วมกันนำสยามเข้าสู่สงคราม เพื่อไม่ให้หลุดจากระเบียบโลกใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
การประกาศสงครามในวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๔๖๐ พัฒนาเป็นการส่งกำลัง “ทหารอาสา” ไปร่วมรบในยุโรป หลังฝรั่งเศสมีคำขอหน่วยพยาบาล คนขับรถยนต์ และนักบิน ทั้งนี้สยามมีข้อแม้ว่าฝรั่งเศสต้องฝึกนักบินและจัดหายุทโธปกรณ์ให้ และในฐานะชาติเอกราช ทหารสยามต้องได้รับการปฏิบัติดีกว่าทหารจากอาณานิคม มีฐานะเท่าเทียมกับทหารของสัมพันธมิตร ซึ่งอาจารย์เทพระบุว่าเรื่องนี้คือ “ความกังวลหลัก” ของรัฐบาลสยามเวลานั้น