คลองบางพระครูและผืนป่าที่ราบน้ำท่วมถึง (riparian-floodplain forest) หรือผืนป่าริมน้ำ (riverine forest) สภาพดั้งเดิมแต่โบราณกาลที่เหลืออยู่ไม่มากแล้วในลุ่มน้ำเจ้าพระยา
คลองบางพระครู
คลองในตำนาน สายน้ำในนิทาน
Hidden Paradise
ก่อนธรรมชาติจะสูญหาย
เรื่อง : ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล
ภาพ : จิตรทิวัส พรประเสริฐ
ชั่วโมงเศษ ๆ จากกรุงเทพมหานคร...
เมื่อเรือลำเล็กแล่นออกจากฝั่ง ห่างชานคลองแคมป์ไปตามคลองบางพระครูเพียงชั่วอึดใจ พ้นหัวโค้งแรก ผืนป่าริมน้ำที่ซ่อนตัวอยู่หลังม่านต้นไม้ก็เผยความยิ่งใหญ่ของภูมิทัศน์โบราณ (archaeo landscape)
“อยากให้มีคนทำวิทยานิพนธ์เรื่องนี้มาก ๆ ก่อนที่ภูมิทัศน์โบราณจะสูญสิ้น พร้อมกับข้อมูลทางธรรมชาติวิทยาและพัฒนาการทางวัฒนธรรมทั้งหลาย”
สองปีมานี้ รศ.ดร. กิติเชษฐ์ ศรีดิษฐ นักพฤกษศาสตร์ด้านอนุกรมวิธานและนิเวศวิทยาของพืช เดินทางมาตำบลตาลเอน อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไม่ต่ำกว่า
สี่ถึงห้าครั้ง
นอกจากมาดูสายน้ำอันสง่างามกับป่าริมน้ำ อดีตอาจารย์สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ยังสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ผูกพันกับความทรงจำ
นี่คือเรื่องราวของลำน้ำและป่าที่ราบน้ำท่วมถึงหรือป่าชายน้ำ (riparian-floodplain forest) ที่น่าจะสมบูรณ์ที่สุด--คงอยู่ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา
ชาวบ้านหาอยู่หากินในคลองบางพระครู
ซึ่งไหลเชื่อมแม่น้ำลพบุรีกับแม่น้ำป่าสัก
ความทรงจำและตำนาน
“สมัยผมเป็นเด็ก ลำประโดงเล็ก ๆ แถวบ้านก็แบบนี้ พ่อพาพายเรือไปบ้านญาติ เราเข้าไปในคลองเล็ก ๆ ที่มีป่าชายน้ำ มีพืชพรรณทนน้ำท่วม (rheophyte) ขึ้นอยู่ตามน้ำไหล ซึ่งพืชชนิดอื่นไม่สามารถอยู่รอดได้ สองฝั่งของลำน้ำมีบริเวณเขตน้ำท่วมถึง (flood area)” นักพฤกษศาสตร์วัยเกษียณถ่ายทอดเรื่องราวครั้งอาศัยอยู่ย่านบางขุนนนท์ ริมคลองบางกอกน้อย ฝั่งธนบุรี กรุงเทพมหานคร
ปลายเดือนตุลาคมช่วงน้ำหลาก สองฝั่งคลองบางพระครูที่เรือลำเล็กแล่นผ่านมีน้ำเอ่อท้นตลิ่งเข้าไปถึงใต้ถุนบ้าน
มีคนเคยบอกว่าคลองบางพระครูเป็นคลองขุดตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยา เพื่อร่นลัดระยะทางจากแม่น้ำลพบุรีมายังแม่น้ำป่าสัก แต่หลังจากอาจารย์กิติเชษฐ์นั่งเรือแล้วเห็น “โค้งน้ำ” เด่นชัด จึงคิดว่านี่น่าจะเป็นลำน้ำธรรมชาติ
“คลองบางพระครูไม่น่าจะเป็นคลองขุด น่าเชื่อว่าเป็นทางน้ำธรรมชาติ ดูจากความคดเคี้ยว เราจะมองเห็นโค้งน้ำเด่นชัด”
ในทางภูมิศาสตร์ “โค้งน้ำ” (meander) คือทางน้ำโค้งตวัดหรือเส้นโค้งของลำน้ำ เกิดจากกระแสน้ำกัดเซาะตลิ่งด้านนอกและทับถมตะกอนตรงตลิ่งด้านใน ทำให้ลำน้ำคดเคี้ยวบนที่ราบน้ำท่วมถึง ซึ่งยังคงเปลี่ยนสภาพอยู่เสมอ
คำว่า “meander” มาจากชื่อแม่น้ำเมแอนเดอร์ (Meander River) ในประเทศตุรกี ที่คดเคี้ยวเลี้ยวลดมาก ศัพท์คำนี้ยังใช้เรียกการเคลื่อนที่ไม่ตรงทาง จนถึงการพูดจาวกวนเหมือนคนไม่มีหลักการแน่ชัด
ด้วยสถานะทางลัดหรือ “ชอร์ตคัต” (short cut) ที่เชื่อมแม่น้ำป่าสักกับแม่น้ำลพบุรี ลำน้ำนี้จึงน่าจะเคยมีความสำคัญยิ่ง
“คงเป็นเส้นทางน้ำที่ใช้เดินทางคับคั่งในอดีต เพราะน้ำป่าสักไหลมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งศรีเทพที่เป็นเมืองโบราณบนตะพักลำน้ำป่าสักโบราณ แม้ปัจจุบันฝั่งน้ำป่าสักจะห่างจากเมืองศรีเทพโบราณพอสมควร ก็ยังมีทะเลสาบรูปแอกโบราณ (oxbow lake) หลงเหลือให้เห็น
“คลองบางพระครูที่คดเคี้ยวนี้น่าเชื่อว่าในอดีตเคยสำคัญมากสำหรับคนที่อยู่เหนือแม่น้ำป่าสัก อาจเป็นเส้นทางที่คนจากอาณาจักรละโว้ ลพบุรี ศรีเทพ ใช้เดินทางมาออกทะเลก็ได้ คงจะพลุกพล่าน มีคนสัญจรเยอะ”
เบญจพล อุดมสุวรรณ คนขับเรือกล่าวเสริมความเห็นข้างต้นว่า “ที่เรียกว่า ‘คลอง’ จริง ๆ บางช่วงกว้างกว่าแม่น้ำลพบุรี” นอกจากเป็นประธานชมรมผู้สูงอายุตำบลตาลเอน เขายังเป็นคนจัดตั้งกลุ่มคนรักษ์คลองบางพระครูด้วย
เบญจพล อุดมสุวรรณ ประธานชมรมผู้สูงอายุ ตำบลตาลเอน และผู้จัดตั้งกลุ่มคนรักษ์คลองบางพระครู
“แมลงไม่กินเลยนะ มันกินแต่ผลไม้ แต่ละคืนบินไปกลับร่วมร้อยกิโลเมตร เอาเมล็ดพันธุ์ไปกระจายตามที่ต่าง ๆ ทั้งระบบนิเวศ ไปไกลถึงโคราช ทำให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพ และรักษาประชากรพืช”
ศศิน เฉลิมลาภ
ผืนป่ารกชัฏริมลำน้ำที่คนทั่วไปมองเห็นเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่า เป็นถิ่นอาศัยของค้างคาวแม่ไก่ สัตว์ป่าคุ้มครองซึ่งชอบอยู่รวมกันฝูงใหญ่ มีบทบาทช่วยผสมเกสรและกระจายเมล็ดพันธุ์พืชในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา
ตามข้อวินิจฉัยของพระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) ในรายงานของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) บทที่ ๕ เรื่องเกี่ยวกับแม่น้ำลำคลอง ระบุว่า “คลองบางพระครูเคยเป็นแม่น้ำลพบุรีสายเก่า”
เนื้อหาช่วงหนึ่งอธิบายว่า “แควแม่น้ำเจ้าพระยาที่แยกไหลลงทางบางพุทรา (สิงห์บุรี-ท่าวุ้ง) ผ่านลพบุรีมาออกที่บางพระครู เป็นแม่น้ำเก่า บรรจบกับแม่น้ำป่าสักที่เหนือวัดพระนครหลวง” และอีกช่วงหนึ่งระบุว่า “แลเวลานั้น สายน้ำแควลพบุรีเดิมลงมาทางบางพระครู ผ่านหน้าพระนครหลวง มาเลี้ยวลงคลองข้ามน้ำหันตรา ออกปากน้ำแม่เบี้ยที่บางกะจะ”
รายงานเล่มเดียวกันบันทึกข้อความของพระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) ที่อธิบายความถวายรัชกาลที่ ๖ เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๔๖๔ โดยกล่าวถึงการเดินทางจากกรุงศรีอยุธยาไปลพบุรีในสมัยกรุงศรีอยุธยาว่าต้องผ่านบางพระครู
“มาทางเพนียดแล้วไปพักที่นครหลวง แล้วจึงขึ้นไปลพบุรี ข้าพระพุทธเจ้าจึงสันนิษฐานว่าพระราชดำเนินในสมัยนั้น คงขึ้นทางลำน้ำโพธิ์สามต้นออกปากน้ำประสบที่หน้าวัดเขาดิน ขึ้นทางบางเดื่อไปออกปากจั่นซึ่งอยู่ใต้พระนครหลวงลงมาประมาณ ๑๐๐ เส้น
“ประทับร้อนที่พระนครหลวงแล้วเข้าบางพระครู มาประทับแรมที่บ้านมหาราชแลทะเลมหาราชนี้ คงจะได้เป็นที่ประพาส จึงได้ใช้ศัพท์ ‘มหาราช’ เข้าเป็นชื่อทะเลต่อจากบ้านมหาราชขึ้นไปอีกระยะหนึ่งจึงเสด็จถึงลพบุรีใช้พายใช้เวลาวันเดียวคงไม่ถึง”
ค้างคาวแม่ไก่กับทิวไม้ริมน้ำ
“ดูนั่น ค้างคาวแม่ไก่ !” คนบนเรือร้องบอก ชี้นิ้วและมองไปยังทิวไม้ใหญ่ริมน้ำ
“ที่พักของพวกมันละแถวนี้” เบญจพลบอกขณะบังคับเรือให้แล่นช้าลง ทิ้งระยะไม่ให้เข้าใกล้ตลิ่งซึ่งอาจรบกวนฝูงค้างคาว
พ้นหัวโค้งหักศอกรูปตัว S มองขึ้นสูงราวตึกสามถึงสี่ชั้น เห็นร่างสีดำนับพันเกาะบนต้นไม้ที่เบียดแน่นอยู่ตามแนวตลิ่ง แต่ละตัวห้อยหัวลงมาโดยใช้เท้าเกี่ยวกิ่งไม้ไว้ ไม่มีสัตว์อันเป็นสัญลักษณ์แห่งรัตติกาลตัวไหนอยู่นิ่ง บ้างไซ้ขน กระพือปีก โผบินจากกิ่งไม้หนึ่งสู่อีกกิ่งไม้หนึ่ง
ค้างคาวแม่ไก่เป็นสัตว์สังคมที่ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ จำนวนสมาชิกขึ้นอยู่กับชนิดและความอุดมสมบูรณ์ของถิ่นอาศัย หากพื้นที่ใดมีแหล่งอาหาร ต้นไม้ใหญ่ ก็อาจรวมฝูงได้หลักร้อยถึงหลายพันตัว
ในเมืองไทยพบค้างคาวแม่ไก่สามชนิด ได้แก่ ค้างคาวแม่ไก่ป่าฝน (Pteropus vampyrus), ค้างคาวแม่ไก่เกาะ (Pteropus hypomelanus) และค้างคาวแม่ไก่ภาคกลาง (Pteropus lylei)
ชนิดที่เราพบริมคลองบางพระครูเป็นค้างคาวแม่ไก่ภาคกลาง ซึ่งอยู่ในวงศ์ค้างคาวกินผลไม้ (Pteropodidae)
ตอนกลางวันค้างคาวแม่ไก่รวมฝูงเพื่อหลบภัยและพักผ่อน ตอนกลางคืนจึงออกหาอาหาร กระจายตัวไปหลายทิศทาง
ค้างคาวเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกลุ่มเดียวของโลกที่บินได้ ด้วยใบหน้าคล้ายสุนัขจิ้งจอก ค้างคาวแม่ไก่จึงมีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า f lying fox เป็นสัตว์กินพืชที่กินผลไม้เป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นมะม่วง กล้วย เงาะ มะเดื่อ ลางสาด ฯลฯ รวมถึงน้ำหวานและเกสรดอกไม้ เช่น ดอกทุเรียน ดอกมะพร้าว
ศศิน เฉลิมลาภ อดีตประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร นักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่มีบ้านเกิดอยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้ก่อตั้ง “ดอกกุ่ม สตูดิโอ แอนด์ เลิร์นนิง เซนเตอร์” ริมแม่น้ำลพบุรี กล่าวถึงพฤติกรรมของค้างคาวแม่ไก่ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่ช่วยผสมเกสรและกระจายเมล็ดพันธุ์พืชว่า
“แมลงไม่กินเลยนะ มันกินแต่ผลไม้ แต่ละคืนบินไปกลับร่วมร้อยกิโลเมตร เอาเมล็ดพันธุ์ไปกระจายตามที่ต่าง ๆ ทั้งระบบนิเวศ ไปไกลถึงโคราช ทำให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพและรักษาประชากรพืช”
ศศิน เฉลิมลาภ นักอนุรักษ์และอดีตประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร
ค้างคาวแม่ไก่ภาคกลางเป็นสัตว์หากินกลางคืน ปัจจุบันประชากรลดลงอย่างต่อเนื่องจนมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์
ปีกค้างคาวเป็นพังผืดบาง ๆ ยึดระหว่างนิ้วมือ ทำให้บินได้ต่อเนื่องและคล่องตัวสูง ในค่ำคืนหนึ่ง ๆ ค้างคาวแม่ไก่บินได้ถึง ๑๐๐ กิโลเมตร บางครั้งก็พักค้างแรมตามสถานที่ต่าง ๆ ทำให้เกิดการผสมพันธุกรรมระหว่างพื้นที่
อาจารย์กิติเชษฐ์ให้รายละเอียดว่า “พฤติกรรมการบินของค้างคาวช่วยทำให้พันธุกรรมของพืชที่เป็นพอลลิเนเตอร์ (pollinator plant) หรือพืชผสมเกสรมีความหลากหลาย พืชที่อยู่ห่างกัน ๕๐-๖๐ กิโลเมตรก็ผสมพันธุ์กันได้ ค้างคาวเหล่านี้จึงมีความสำคัญมาก”
ค้างคาวบางชนิดยังช่วยควบคุมปริมาณแมลง แต่วันนี้ค้างคาวกำลังอยู่ในภาวะวิกฤตรุนแรง บางชนิดลดลงหรือสูญหาย โดยมีสาเหตุหลักจากที่อยู่อาศัยถูกคุกคามจากการขยายตัวของพื้นที่บ้านเรือน เขตอุตสาหกรรมพื้นที่เกษตรกรรม การใช้ยาปราบศัตรูพืช รวมถึงถูกล่าเป็นอาหาร
“ค้างคาวแม่ไก่ภาคกลางที่พบริมคลองบางพระครูอาจเป็นประชากรกลุ่มสุดท้ายที่ใหญ่ที่สุดในระบบนิเวศภาคกลาง” ศศินให้ความเห็นหลังสังเกตพฤติกรรมและติดตามดูค้างคาวแม่ไก่ใกล้บ้านมานาน
ปัจจุบันค้างคาวแม่ไก่ภาคกลางเป็นสัตว์ป่าที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์และเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕
“ป่าน้ำท่วมที่น่าจะสมบูรณ์ที่สุดในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ถ้าอยากรู้ว่าในหรือรอบ ๆ กรุงเทพฯ สมัยโบราณมีสังคมพืชแบบไหน ก็น่าจะไม่ต่างจากสังคมพืชตามรายคลองบางพระครู”
รศ.ดร. กิติเชษฐ์ ศรีดิษฐ
เพชรยอดมงกุฎ
“สวยมาก สวยมากจริง ๆ”
ด้วยสายตานักพฤกษศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศวิทยาของพืช ผืนป่าน้ำท่วมถึงริมคลองบางพระครูเปรียบเป็นเพชรยอดมงกุฎในระบบนิเวศของพื้นที่ลุ่มน้ำภาคกลาง
“ตลอดลำน้ำเท่าที่นั่งเรือผ่าน ริมฝั่งคลองยังมีพื้นที่น้ำท่วมถึงและพรรณไม้มากมาย บางบริเวณมีหย่อมป่าขนาดใหญ่ที่มีค้างคาวแม่ไก่อาศัย”
พรรณไม้ชายน้ำ (riparian) ที่พบมากริมคลองบางพระครูช่วงที่ไหลผ่านตำบลตาลเอน อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เช่น สีเสียดน้ำหรือแพงพวยบก [Mallotus plicatus (Müll.Arg.) Airy Shaw], ก้านเหลืองหรือ กระทุ่ม (Anthocephalus chinensis), กระทุ่มน้ำ (Mitragyna diversifolia), มะกอกน้ำ (Elaeocarpus hygrophilus Kurz.), กุ่มน้ำ (Crateva magna), กางหรือคาง (Albizia lebbekoides), จิกนา [Barringtonia acutangula (L.) Gaertn.] ฯลฯ
“มะกอกน้ำขึ้นตามชายน้ำที่คลองบางพระครู บางปะหันที่บ้านริมคลองบางกอกน้อยของผมสมัยก่อนมีมากเช่นกัน แต่ปัจจุบันในกรุงเทพฯ นนทบุรี เหลือพบตามบ้านและสวนเก่าริมน้ำเท่านั้น”
อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอนุกรมวิธานพืชอธิบายต่อไปอีกว่า “มะกอกน้ำนี้ทางเมืองจันท์ ระยอง เรียกว่าสมอพิพ่าย พืชชนิดนี้อาจเป็นที่มาของชื่อบางกอกหรือบางมะกอก ชื่อเดิมของกรุงเทพฯ วัดอรุณฯ ยังเคยมีชื่อเดิมว่าวัดมะกอกนอก คู่กันกับวัดมะกอกใน (ปัจจุบันคือวัดนวลนรดิศ)”
ผืนป่าริมน้ำเป็นพื้นที่รักษาพันธุกรรมของพืชพรรณท้องถิ่นนานาชนิด และเป็นถิ่นอาศัยสำคัญของนกและปลาน้ำจืดหลากหลาย ระบบนิเวศแบบ riparian-floodplain ที่หลงเหลืออยู่ของลุ่มน้ำเจ้าพระยาแห่งนี้ ยังไม่ถูกโครงการของรัฐทำลายไปดังที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ
เรือแล่นผ่านพืชพรรณท้องถิ่นนานาชนิด มีต้นก้ามปูหรือจามจุรีซึ่งเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่น (introduced species) ปะปนอยู่บ้าง ก้ามปูเป็นไม้โตเร็ว มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ ถูกนำเข้ามาปลูกในประเทศไทยราวปี ๒๔๔๓
อาจารย์กิติเชษฐ์เล่าว่า เมื่อครั้งนั่งเรือล่องคลองบางพระครูครั้งแรกนั้นพบต้นไม้หลายต้นที่นึกชื่อไม่ออกทันที เพราะความตื่นเต้น ตื้นตัน ระคนตกใจในความงามของสายน้ำและผืนป่าที่แทบไม่ถูกรบกวนจากภายนอก
“จิกนาต้นใหญ่มาก สีเสียดน้ำ (แพงพวยบก) ก็มีมากเช่นกัน แถวบางปะหันเรียกว่ากำทวย น่าสังเกตว่าแถบแม่น้ำลพบุรีที่อยู่ใกล้กันไม่ค่อยมี แต่มีมากตามชายแม่น้ำป่าสัก ทางฝั่งธนฯ ก็ไม่มีครับ”
ป่าที่ราบน้ำท่วมถึงหรือป่าชายน้ำ ริมคลองบางพระครู บางปะหัน แสนงดงาม อาจารย์กิติเชษฐ์บอกว่าน่าชื่นใจที่ได้เห็นทิวทัศน์เดียวกันกับที่บรรพชนล่องเรือผ่านมาในลุ่มน้ำภาคกลางซึ่งก่อกำเนิดอารยธรรมตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์
“เป็นป่าน้ำท่วมที่น่าจะสมบูรณ์ที่สุดในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ถ้าอยากรู้ว่าในหรือรอบ ๆ กรุงเทพฯ สมัยโบราณมีสังคมพืชแบบไหน ก็น่าจะไม่ต่างจากสังคมพืชตามรายคลองบางพระครู” อาจารย์จากกรุงเทพฯ ผู้ไปสอนหนังสือที่สงขลามากว่าครึ่งค่อนชีวิตให้ความเห็น
“ระบบนิเวศแบบที่หลงเหลืออยู่นี้เป็นเสมือนเพชรยอดมงกุฎแห่งลุ่มน้ำภาคกลางที่ยังไม่ถูกโครงการต่าง ๆ ของทางการแคะออกไปจากมงกุฎอารยธรรมอันล้ำค่าของลุ่มน้ำนี้ นี่คือ mother nature แม่ที่ให้กำเนิดวัฒนธรรมของเมืองในลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก-ลพบุรี ที่กำลังถูกทำลายด้วยการพัฒนา”
สีเสียดน้ำ (Mallotus plicatus) ยืนต้นเด่นริมตลิ่งคลองบางพระครู เติบโตสมบูรณ์แม้ในสภาพน้ำท่วมขังเป็นประจำช่วงน้ำหลาก
ผู้รุกรานต่างถิ่น
สองปีที่ผ่านมามีความคืบหน้าเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำป่าสักบริเวณหมู่ที่ ๒ ตำบลบางพระครู อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีงบประมาณก่อสร้างราว ๒๒.๗ ล้านบาท แนวเขื่อนป้องกันตลิ่งริมน้ำอยู่ไม่ห่างจากปากคลองบางพระครูที่ไหลลงสู่แม่น้ำป่าสัก
โครงการลักษณะเดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นตามลำน้ำต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย โดยก่อโครงสร้างอย่างแข็งแรง ในรูปกำแพงปูน พนังหิน ตลิ่งคอนกรีต แนวถนนเลียบน้ำ หรือแม้แต่ทางจักรยานเพื่อการท่องเที่ยว
ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๙ โครงการที่กระทรวงมหาดไทยตั้งงบประมาณไว้สูงสุดคือโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำภายในประเทศ คิดเป็นมูลค่าสูงถึง ๖๙,๔๗๐,๗๐๗,๒๖๗ บาท (ราว ๗ หมื่นล้านบาท) โดยมีรายการสูงสุด ๑๘๐ ล้านบาท คือเขื่อนป้องกันตลิ่งริมลำน้ำก่ำ จังหวัดสกลนคร ความยาวไม่น้อยกว่า ๑.๒ กิโลเมตร
ส่วนที่ตั้งงบประมาณรองลงมาคือโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งเพื่อป้องกันการสูญเสียดินแดนของประเทศ งบประมาณ ๑๕,๒๒๑,๘๕๔,๑๐๐ บาท (ราว ๑.๕ หมื่นล้านบาท) โดยมีรายการสูงสุดราว ๑๖๘ ล้าน คือเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโขง ห้วยตาหลุง จังหวัดอุบลราชธานี ความยาว ๕๕๐ เมตร
โค้งคลองบางพระครูช่วงที่ไหลผ่านวัดตาลเอนมาทางชานคลองแคมป์ ความยาวประมาณ ๒๐๐-๓๐๐ เมตร โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งลักษณะเดียวกันก็กำลังคืบคลานเข้ามา...
“ป่าที่อยู่ริมน้ำเป็นเหมือนตัวกลางของน้ำใต้ดิน (ground water table) ที่อยู่ในแผ่นดินกับน้ำท่าหรือน้ำที่อยู่ในลำน้ำ (river channel) หน้านี้เราอาจเห็นไม่ชัดเพราะมีน้ำเหนือเอ่อมา แต่หน้าแล้งจะเห็นชัดเลยว่าต้นไม้พวกนี้เป็นตัวคุมระดับน้ำใต้ดินกับน้ำท่า มีความสำคัญมาก ลำน้ำที่ถูกต้องมันต้องเป็นแบบนี้ ต้องมีป่าชายน้ำ มีตลิ่งให้น้ำเอ่อท้น
“ผมคิดว่าคลองสายนี้เป็นภูมิทัศน์ของระบบนิเวศลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะบริเวณที่ห่างจากปากแม่น้ำหรือชะวากทะเล มีแควเล็กแควน้อยจำนวนมาก เมื่อก่อนที่ราบภาคกลาง รวมถึงกรุงเทพฯ ก็น่าจะมีภูมิทัศน์แบบนี้” ชั่วโมงเศษ ๆ จากคลองบางพระครู…
“ย้อนกลับไปดูรูปแล้วก็ยังปลื้มใจ ตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุด ไม่น่าเชื่อว่าห่างกรุงเทพฯ แค่ ๑ ชั่วโมงเศษจะได้เห็นสายน้ำที่เป็นลำน้ำจริง ๆ เป็นอยุธยาที่ข้ามเวลามาถึงเราอย่างแท้จริง ไม่ได้ล่มสลายไปไหนเลย”
ในอดีตข้าศึกอาจเคยทำลายสิ่งก่อสร้างในกรุงศรีอยุธยาตามครรลองสงคราม แต่ปัจจุบันกลับเป็นคนไทยเราเองที่ทำลายจิตวิญญาณแห่งกรุงศรีอยุธยา
“ที่แท้อยุธยาไม่ได้ถูกข้าศึกทำลาย คนไทยนี่เองที่ทำลายจิตวิญญาณแห่งอยุธยาลงสิ้น ไม่เว้นแม้แต่สมัยนี้ ทุกเวลาทุกนาที ที่สุดสะเทือนใจคือพวกเรายังทำลายอยุธยาด้วยเงินภาษีผ่านความเห็นชอบของผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน่าอเนจอนาถใจ”
ปัจจุบันทั้งสองฝั่งคลองบางพระครูยังมีความหลากหลายของไม้ยืนต้นแบบป่าที่ราบน้ำท่วมถึง อันเป็นแหล่งพันธุกรรมพืชชั้นเลิศตามธรรมชาติ การอนุรักษ์พันธุกรรมพืชไม่ใช่เอาพืชที่พบไปเพาะแล้วปลูกปะปนกับประชากรดั้งเดิม เพราะจะยิ่งทำให้เกิดการกัดเซาะทางพันธุกรรม (genetic erosion)
หนทางรักษาพันธุกรรมพืชมีทางเดียว ไม่มีทางเลือกอื่นใดคือต้องเก็บถิ่นอาศัยตามธรรมชาติให้ได้
ก่อนที่จะเหลือเพียงเรื่องเล่าขานในความทรงจำ
ขอขอบคุณ
ศศิน เฉลิมลาภ, ปวุติ ปรัชญาภรณ์, เบญจพล อุดมสุวรรณ
ชานคลองแคมป์ ลานกางเต็นท์และโฮมสเตย์ ตำบลตาลเอน อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โทร. ๐๘-๑๖๔๔-๘๐๕๔
ดอกกุ่ม สตูดิโอ แอนด์ เลิร์นนิง เซนเตอร์ สถานที่พบปะสังสรรค์และแหล่งเรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย ตำบลบางนางร้า อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โทร. ๐๘-๐๗๗๘-๓๘๐๖
Rocket Media Lab แหล่งข้อมูลสาธารณะในการติดตามประเด็นทางสังคม