Image

บริเวณชายฝั่งตอนปลายสุดของสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ พืชพรรณส่วนใหญ่อยู่ใน Cape Floristic Kingdom อาณาจักรของพืชที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก แต่มีความหลากหลายของพืชเฉพาะถิ่นสูงที่สุดแห่งหนึ่ง

"ความจริงของเอกภพ
ย่อมดำรงอยู่เสมอ"
รศ.ดร. กิติเชษฐ์ ศรีดิษฐ
นักพฤกษศาสตร์ด้านอนุกรมวิธาน
และนิเวศวิทยาของพืช

INTERVIEW

สัมภาษณ์และเรียบเรียง : ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล
ภาพ : จิตรทิวัส พรประเสริฐ

รศ.ดร. กิติเชษฐ์ ศรีดิษฐ นักพฤกษศาสตร์ด้านอนุกรมวิธานและนิเวศวิทยาของพืช เคยใช้ชีวิตตั้งแต่เกิดจนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัยที่บ้านสวนย่านบางขุนนนท์ ริมคลองบางกอกน้อย จังหวัดธนบุรี

หลังสำเร็จการศึกษาเป็นมหาบัณฑิตจากภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำงานเป็นนักพฤกษศาสตร์ช่วยวิจัย ณ หอพรรณไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (กรมป่าไม้เดิม) ในโครงการสำรวจพรรณไม้ห้วยขาแข้ง จากนั้นเขาได้รับทุน
จากรัฐบาลออสเตรียไปเรียนต่อปริญญาเอกด้านพฤกษศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเวียนนา ก่อนกลับมาเป็นอาจารย์ประจำสาขาพฤกษศาสตร์* ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กระทั่งเกษียณอายุราชการเมื่อปลายปี ๒๕๖๗

การเรียนการสอนด้านพฤกษศาสตร์รับรู้กันว่าไม่ได้สร้างรายได้หรือทำเงินเหมือนแขนงอื่น หากแต่เขาก็เลือกทางเดินชีวิตด้านนี้ตลอดมา

หลายปีที่ผ่านมาอาจารย์กิติเชษฐ์มีผลงานวิจัยและบรรยายโดยเฉพาะหัวข้อที่เกี่ยวกับระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น โครงสร้างของสังคมพืชบนบกตามชายฝั่งในคาบสมุทรไทย (Phytosociology of the Terrestrial Vegetation along the Coasts of the Peninsular Thailand), ความหลากหลายของพืชแบบมีเนื้อเยื่อลำเลียงไล่ตามลำดับความสูงของเทือกเขาหิมาลัยในเมรัก เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซักเต็ง ประเทศภูฏาน (The Diversity of vascular plants along the altitudinal gradient of the Merak Himalaya, Sakteng Wildlife Sanctuary, Bhutan), ผลงานนำเสนอในฐานะวิทยากร หลัก เรื่องระบบนิเวศหายากในคาบสมุทรไทย (Unseen Ecosystems in Peninsular Thailand) เหล่านี้ล้วนสะท้อนความเชี่ยวชาญด้านนิเวศวิทยาและความหลากหลายของพรรณพืชในธรรมชาติ

Image

ล่าสุดอาจารย์กิติเชษฐ์เป็นผู้ร่วมจัดทำรายงานผลกระทบของเงินอุดหนุนที่เป็นอันตรายต่อความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศของประเทศไทย (The Impacts of Harmful Subsidies on Biodiversity and Ecosystems in Thailand) เผยแพร่โดยโครงการริเริ่มทางการเงินเพื่อความหลากหลายทางชีวภาพ (The Biodiversity Finance Initiative, BIOFIN) ในการดูแลของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme, UNDP) นำเสนอผลการวิเคราะห์ว่า เงินอุดหนุน (subsidies) จากภาครัฐเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ การทบทวนงบประมาณรายจ่ายของโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการก่อสร้างกำแพงกันคลื่น รอดักทราย เขื่อนกันตลิ่ง โครงการพัฒนาที่ดินบนพื้นที่ชุ่มน้ำ ฯลฯ ระหว่างปี ๒๕๖๔-๒๕๖๖ พบว่ามีการอนุมัติงบประมาณราว ๒๑๙,๗๘๘ ล้านบาท ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพตามมา

“คุณอาจไม่เชื่อ ตัวการสำคัญที่ทำลายธรรมชาติคืองบประมาณที่มาจากภาษีของพวกเราทุกคน”

อาจารย์กิติเชษฐ์บอกในช่วงหนึ่งของบทสนทนาที่สะท้อนให้เห็นหน้าที่สำคัญของนักชีววิทยา นั่นคือการตามหาความจริงของเอกภพ

หมายเหตุ * ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ

“ความฉิบหายของระบบนิเวศในประเทศไทยส่วนใหญ่มาจากพวกที่ไม่รู้ว่าไม่รู้ เรียนสูงแต่เหมือนไร้การศึกษา แล้วดันเป็นหัวหน้าหน่วยงานต่าง ๆ ตั้งแต่เล็กถึงใหญ่ และมีอำนาจตัดสินใจ”

เนื้อหาสำคัญของรายงาน The Impacts of Harmful Subsidies on Biodiversity and Ecosystems in Thailand คืออะไร

ตัวการสำคัญที่ทำลายธรรมชาติของประเทศไทยคืองบประมาณที่มาจากภาษีของพวกเราทุกคน  เงินอุดหนุนจากภาครัฐในโครงการต่าง ๆ เป็นสาเหตุหลักที่สร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ รายงานฉบับนี้มีตัวอย่างโครงการ รายละเอียดตัวเลข ผลกระทบต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพที่ต้องสูญเสียไปอย่างน่าใจหาย

เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศธรรมชาติ ส่วนหนึ่งเจ้าหน้าที่และหน่วยงานในท้องถิ่นเป็นคนทำลายจากเงินภาษีที่เราอุดหนุนทุก ๆ ปี  ผู้ว่าฯ ไม่ว่าที่ไหนก็มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจ บางครั้งลองผิดลองถูก พอระบบนิเวศบรรลัยก็ได้เวลาโยกย้ายไปลองผิดถูกที่อื่นต่อ

แม่น้ำลำคลองทั่วประเทศ ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพต้องบรรลัยสิ้นจากเงินอุดหนุนในรูปภาษี ความโง่และความทะนงในความไม่รู้จะทำลายเราและอารยธรรมของเราจนไม่เหลือในอีกไม่นาน จากการอนุมัติงบประมาณ จากผู้ที่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้แต่มีอำนาจตัดสินใจ

ในรายงานมีตัวอย่างหรือกรณีศึกษาที่น่าสนใจเรื่องใดบ้าง

ประเด็นหลักที่ศึกษา คือ โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐ เช่น เขื่อน เขื่อนกันคลื่น กำแพงกันคลื่น คันคอนกรีตที่สร้างขึ้นบนพื้นที่แม่น้ำ ชายฝั่ง พื้นที่ชุ่มน้ำต่าง ๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ เกิดการกัดเซาะชายฝั่ง และสูญเสียความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต

นอกจากนี้ยังศึกษาผลกระทบจากการประกาศใช้ พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งพบว่าเป็นตัวเร่งหรือบีบบังคับให้เจ้าของที่ดินปลูกพืชเชิงเดี่ยวตามบัญชีรายชื่อพืชที่รัฐกำหนด ทำให้สูญเสียพื้นที่ป่าธรรมชาติและทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ

กลุ่มเงินอุดหนุนที่ส่งผลเสียสูงสุดสามประเภท ได้แก่ โครงการก่อสร้างที่ส่งผลกระทบต่อแม่น้ำและพื้นที่ชุ่มน้ำ โครงการก่อสร้างที่กระทบพื้นที่ชายหาดและสันทรายชายฝั่ง รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายภาษีที่ดิน

ยกตัวอย่างโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวเกาะคอเขา จังหวัดพังงา กระทบสันทรายและพื้นที่ชายฝั่ง โครงการพัฒนาที่ดินและโครงสร้างด้านชลประทานรอบทะเลสาบสงขลากระทบพื้นที่ชุ่มน้ำ การสร้างคันคอนกรีตริมตลิ่งกระทบระบบนิเวศของแม่น้ำเพชรบุรี และที่พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน จังหวัดเพชรบุรี โครงการก่อสร้างเขื่อนกันคลื่นชายฝั่งทะเลทำให้เกิดการกัดเซาะ ส่งผลเสียหายต่อระบบนิเวศมาจนถึงทุกวันนี้

การออกกฎหมายเก็บภาษีที่ดิน ตามกฎหมายคือมีที่ดินรกร้างว่างเปล่า ไม่นำมาใช้ประโยชน์ในการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ทำการเกษตร คนไม่อยากเสียภาษีก็ไปเอากล้วยมาลงเพื่อเป็นข้ออ้างว่าฉันปลูกกล้วย ฉันใช้ประโยชน์จากที่ดินแล้วนะ หรือปลูกอาคารโรงเรือนเพื่อการค้าอุตสาหกรรมตามกฎหมาย 

โลกนี้ไม่มีพื้นที่รกร้าง ความรกร้างเป็นสิ่งที่มนุษย์นิยามขึ้นจากความเห็นแก่ประโยชน์ของมนุษย์ สังคมพืชตามธรรมชาติไม่มีแบ่งเกรดเอ บี ซี ดี มันมีความสำคัญเท่า ๆ กัน ไม่ว่าต้นไม้เล็ก ต้นไม้ใหญ่ หรือทุ่งหญ้าธรรมชาติ

ในพื้นที่ว่างเปล่า สังคมพืชย่อมเกิดการทดแทนตามธรรมชาติ ป่าธรรมชาติไม่จำเป็นต้องอยู่ในเขตอนุรักษ์ อยู่ในที่ดินเอกชนไม่ใช่ป่าหรือถึงออกกฎหมายให้ไถทิ้งเล่นซะ อยู่ในที่ดินใคร ๆ แล้วมันยังไงกัน อยากได้เงินภาษีแต่ไม่ได้คิดถึงผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมจากคนไปถางที่เพื่อเอาต้นไม้มาปลูก เอาป่ามาทำเป็นสวน สนับสนุนกดดันให้ทำลายป่าเพื่อมาเพาะปลูกนั่นเอง

รัฐบอกว่าอยากเพิ่มพื้นที่ป่า สะดีดสะดิ้งเรื่องคาร์บอนเครดิต แต่ดันไปทำลายกระบวนการทดแทนตามธรรมชาติที่ป่าจริง ๆ จะเกิด แล้วดัดจริตพูดว่าจะต้องมีพื้นที่ป่าเท่านั้นเท่านี้ ทำตาเชื่อมมุ่งมั่นราวกับแสดงหนังเป็นทาร์ซานผู้ปกป้องป่า แต่ดันไม่รู้จักว่าป่าคืออะไร หมายถึงป่าธรรมชาตินะ ไม่ใช่ป่าเก๊ที่ตั้งงบมาปลูกป่า

พวกเราก็ตั้งหน้าตั้งตาเสียภาษี ทำงานเอาเงินให้คนพวกนี้สร้างความดีทำลายสิ่งแวดล้อม

Image

คำพูดที่ว่า “ตัวการสำคัญที่ทำลายธรรมชาติของประเทศไทยคืองบประมาณที่มาจากภาษีของพวกเราทุกคน” น่าจะเป็นเรื่องใหม่ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

ความฉิบหายของระบบนิเวศในประเทศไทยส่วนใหญ่มาจากพวกที่ไม่รู้ว่าไม่รู้ เรียนสูงแต่เหมือนไร้การศึกษา แล้วดันเป็นหัวหน้าหน่วยงานต่าง ๆ ตั้งแต่เล็กถึงใหญ่ และมีอำนาจตัดสินใจ

พวกหัวหน้าหน่วยงานส่วนมากดูโขนไม่เป็นแต่ชอบใส่หัวโขน ดูดี โก้นะ แต่กลวง และหลงในการทำความดีแบบหลับหูหลับตา ขอให้หัวหน้าใหญ่สั่งมาลูกน้องก็พร้อมทำตาม แล้วหัวหน้าใหญ่ก็มักอีโก้สูง มีมาดเคร่งขรึมเจ้าปัญญาราวกับศรีธนญชัย

การจะทำอะไรต้องแสวงหาความรู้ที่ใกล้เคียงความจริง ใช้แต่หัวใจกับความรู้สึกไม่ได้ ต้องศึกษา วิจัย เพื่อให้ความเห็นใกล้ความจริงที่สุด เป็นสัมมาทิฐิ ไม่ก่อปัญหา คนขยันที่มีใจงดงาม แต่ขาดความรู้จริง สร้างความฉิบหายยิ่งกว่าคนขี้เกียจที่ไม่ทำอะไรเลย

ยิ่งเรียนมากขึ้นทำวิจัยมากขึ้นก็ยิ่งต้องรู้ว่าไม่รู้อะไร รู้ว่าต้องทำอย่างไรเพื่อขจัดความไม่รู้ไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่ยิ่งไม่รู้ว่าไม่รู้ ปัจจุบันนอกจากเราจะเสียภาษีไปทำลายระบบนิเวศ ยังมีสถาบันการศึกษาที่ผลิตนักทำลายจู่โจมระบบนิเวศด้วย

เหตุใดอาจารย์ถึงคิดว่าสถาบันการศึกษาผลิตคนที่ทำลายสิ่งแวดล้อม

เชื่อไหมครับ ความฉิบหายต่าง ๆ มาจากการจัดทำหลักสูตรในมหาวิทยาลัย ทุกวันนี้มหาวิทยาลัยสนใจแต่การงานอาชีพ คิดว่าต้องสร้างนวัตกรรม ทำการค้า งานวิชาการไม่เป็นอิสระ คำว่า academic freedom ไม่มีจริงแล้วในสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐที่บริหารอิสระแยกจากระบบราชการที่เราเรียกว่ามหาวิทยาลัยนอกระบบ เทียบกับที่เคยเป็นหน่วยราชการแบบเมื่อก่อน อิสระกว่ามาก

ทุกวันนี้มหาวิทยาลัยผลิตคนออกมาทำลายระบบนิเวศจากหลักสูตรที่มีผู้ทรงคุณวุฒิแต่ไม่มีความรู้

ผมยกตัวอย่างสิ่งที่กำลังเกิดกับทะเลสาบสงขลา รอบลุ่มน้ำนี้มีมหาวิทยาลัยทั้งเก่าแก่ ทั้งใหม่ ทั้งกลางตั้งอยู่จำนวนมาก มีปรมาจารย์แทบทุกด้าน ทั้งน้ำจืด น้ำเค็ม น้ำกร่อย เชี่ยวชาญระดับจักรวาล รู้ทุกเรื่อง เก่งทุกทางแต่ความรู้เหล่านั้นหาได้เป็นประโยชน์ในการสื่อสารให้สาธารณะตระหนักรู้ธรรมชาติของทะเลสาบสงขลาอย่างใดไม่  ผมเองเศร้าใจมากที่เคยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ไม่ได้ทำหน้าที่สื่อสารให้สังคมหายจากความโง่ซึ่งทำลายทั้งตนเองและระบบนิเวศ ความรู้ที่สั่งสมสั่งสอนกันนั้นหาได้มีคุณค่าต่อสิ่งใดถ้าไม่ได้ดับความโง่ ไม่ใช่แค่ของตน แต่รวมถึงความโง่ของหมู่คณะด้วย

บริเวณที่ราบลุ่มทะเลสาบสงขลามีมหาวิทยาลัยใหญ่โต มีศาสตราจารย์เป็นกระบุงโกย แต่ระบบนิเวศตั้งแต่ปากทะเลสาบขึ้นไปจนพรุควนเคร็งฉิบหายบรรลัยสิ้น นักวิชาการบางคนเป็นเจ้าของเปเปอร์ที่วางกองเป็นตั้งแต่ความรู้เหล่านั้นหาได้มีคุณค่าทำให้คนเลิกทำลายระบบนิเวศ

ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาวันนี้แทบไม่เหลืออะไรแล้ว จีบปากจีบคอบอกว่าต้องปลูกป่าชายเลน อนุรักษ์หญ้าทะเลสนใจคาร์บอนเครดิต (carbon credit) กันในที่ประชุมต่าง ๆ แต่ไม่เคยสนใจปรากฏการณ์จริง ๆ ที่เกิดขึ้นกับพื้นที่ที่มีการกักเก็บคาร์บอนอย่างดินพรุ ปล่อยให้ถูกขุดขึ้นมาตากแดดจนสารอินทรีย์เกิดออกซิเดชัน (oxidation) ย่อยสลายและปลดปล่อยคาร์บอนออกมา  นี่ยังไม่นับว่าถ้ามีแร่ไพไรต์ (pyrite) อยู่ด้วยมันจะทำให้เกิดกรดซัลฟูริกรุนแรงเมื่อฝนตกหรือน้ำท่วม ภายในไม่กี่เดือนก็ฉิบหายสิ้น

จุดอ่อนหรือข้อบกพร่องของการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษาคืออะไร

ในดินแดนที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกอย่างประเทศไทย พลเมืองกลับไม่รู้จักนักชีววิทยา แม้แต่อาจารย์สอนชีววิทยาหลายคนก็ไม่ได้สอนชีววิทยา (Biology) แต่สอนเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) หรือการจัดการสิ่งแวดล้อม (Environmental Management) ซึ่งไม่ใช่ชีววิทยา

ในสังคมโลกยุคที่มี AI นักชีววิทยาทวีความสำคัญมากแต่คนไทยยังไม่รู้จักนักชีววิทยา มหาวิทยาลัยหลายแห่งในประเทศไทยยุบภาควิชาชีววิทยา หรือปรับหลักสูตรให้กลายเป็นเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อทำงานในโรงงาน ชื่อหลักสูตรฟังดูคล้าย ๆ แต่แตกต่างจากชีววิทยาโดยสิ้นเชิง

ทุกคนอยากอนุรักษ์ แต่ถ้าให้เรียนชีววิทยาหรือนิเวศวิทยา (Biology/Ecology) หรือพฤกษศาสตร์ภาคสนาม (Field Botany) ที่ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ก็ไม่เอา เราจึงไม่มีนักธรรมชาติวิทยารุ่นใหม่ที่มีความรู้อย่างแท้จริง

การลดเครดิตวิชานิเวศวิทยา การถอดวิชานี้ออกจากหลักสูตร การขาดอาจารย์ที่มีความรู้จริงและมีประสบการณ์
วิจัยภาคสนาม การมีผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่เป็นพ่อค้า แม่ค้า นักธุรกิจ ไม่ใช่ครู คือปัญหาของประเทศไทย

อาจารย์ทางชีววิทยารุ่นใหม่ที่พบเจอในยุคปัจจุบันก็เน้นการทำวิจัยประยุกต์ในห้องปฏิบัติการ ในแปลงทดลอง ไม่นิยมออกภาคสนามเพื่อตั้งคำถามให้ได้มาซึ่งความจริงของเอกภพในเชิงธรรมชาติวิทยา มหาวิทยาลัยที่อยู่ใกล้พื้นที่ธรรมชาติก็ไม่สนใจงานวิจัยทางธรรมชาติวิทยา จึงไม่สามารถเป็นหลักให้สังคมและโลกได้เมื่อเกิดปัญหาระบบนิเวศ

ทั้ง ๆ ที่มหาวิทยาลัยมีหน้าที่ทำให้สังคมหายโง่งมในเรื่องทั้งปวง แต่ไปเน้นการทำมาหาเงินกับการจัดอันดับ เพื่อเชิดชูว่าตนมีคุณภาพมาตรฐาน และการหาทางอยู่อย่างสุขสบายไร้โรคามากกว่ามาโดยตลอด

ปัญหาที่ยกตัวอย่างมาเกิดจากสาเหตุใดเป็นปัญหาของคนไทย หรือในระดับโลกก็มีปัญหาแบบเดียวกัน

ไม่นานมานี้ผมไปสอนหนังสือและสัมมนาตามคำเชิญของ Prof.Dr. Libor Jankowsky คณบดีคณะวนศาสตร์ที่ Mendel University of Agriculture เมืองเบอร์โน ประเทศสาธารณรัฐเช็ก ได้กลับไปเยี่ยมผู้มีอุปการคุณที่ประเทศออสเตรีย สมัยผมไปเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเวียนนาเมื่อ ๓๐ ปีก่อน

ผมรู้จัก Prof. Jankowsky มานานเกิน ๒๕ ปี คบหาเป็นเพื่อนรุ่นน้อง เมื่อเขามาประชุมในกรุงเทพฯ ก็เจียดเวลามาหาผม ๒ วัน ไม่รู้จะพาไปไหนจึงพาไปดูพื้นที่ทำวิจัยเรื่อง “ส่วนที่เหลือของสังคมพืชในเขตลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา” พาไปตะลอนดูไซต์ทำงานวิจัยของตัวเองกับลูกศิษย์ แต่สิ่งที่อวดได้มีแค่ซากของการทำลายสังคมพืชธรรมชาติที่เหลือเป็นหย่อมกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในไซต์ที่เคยเลือกแล้วว่าดีงาม บางไซต์เมื่อต้นเดือนมีนาคมก่อนไปออสเตรีย-เช็ก ยังงดงามอยู่แท้ ๆ แต่พอพาเพื่อนไปดูพบว่าฉิบหายตายโหงสิ้นในเวลาไม่ถึง ๒ เดือน 

สถานที่ที่ผมไปในยุโรปไม่ใช่ที่หรูหราฟู่ฟ่า เช่น ทางเดินหรือป่าละเมาะที่เคยเดินเมื่อยังหนุ่ม ไปเห็นต้นไม้ต้นเดิมที่โตขึ้นเล็กน้อย บางสถานที่ไปเดินบ่อยจนเป็นเพื่อนกับต้นไม้ กลับไปก็ยังจำกันได้  เพื่อน ๆ ยังยืนรอทักทายอยู่ที่เดิม ทั้งเพื่อนที่เป็นคนและเพื่อนที่ไม่ใช่คน

แต่พอละสายตาจากหย่อมสังคมพืชที่ไซต์วิจัยที่ทะเลสาบสงขลาไปไม่ถึง ๒ เดือน ทุกอย่างเปลี่ยนหมด

ผมเคยไปประเทศอังกฤษ แม่น้ำเทมส์ดูเหมือนคลองบางกอกน้อยตอนผมยังเด็ก ๆ ไม่ผิดเพี้ยน ต้นซาลิกซ์ (Salix) ริมแม่น้ำก็ช่างเหมือนลำพูและทองหลางริมคลองที่บ้าน วันนี้แม่น้ำเทมส์ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่คลองบางกอกน้อยหรือ “Menam River” ก่อนสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชไม่เหลืออะไรให้จดจำอีกเลย เสียยิ่งกว่ากรุงแตก  วัดทองที่อยู่ตรงข้ามบ้านกลายเป็นดิสนีย์แลนด์แดนมหัศจรรย์ ผีข้าศึกที่ถูกตัดหัวขาดมาเดินเล่นที่ลานวัดดอนดึก ๆ พากันหายไป ไม่กล้ามาหลอกหลอนใครอีกแล้ว ผมตายไปตอนนี้ก็ไม่รู้จะไปคุยกับผีบรรพบุรุษยังไงแล้ว

ผมคุยกับเพื่อนว่า สิ่งที่เราคิดว่าเป็นปัญหานั้นแท้จริงไม่ใช่ปัญหาคนไทยเลย แต่เป็นปัญหาของผมคนเดียวที่ไปทึกทักว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้ตามความรู้ที่ได้มาจากการทำวิจัยจากการรวบรวมหลักฐาน  ท่าจะบ้าไปแล้วครับที่คิดว่าเป็นปัญหาของชาติหรือของโลก

เรื่องระบบนิเวศของประเทศไทยในมุมมองส่วนตัวที่คิดว่ามีปัญหานั้น ที่จริงไม่ใช่ปัญหาของคนไทย เพราะส่วนใหญ่คนไทยมุ่งแต่เรื่องทำมาหากิน ความเจริญก้าวหน้าในการงาน ลูกเต้าครอบครัว และยศศักดิ์ของตนเท่านั้น ผมบอกเพื่อนร่วมอุดมการณ์ชาวต่างประเทศว่า ปัญหาที่แท้จริงของชาติและสังคมคือคนแบบผมนี่แหละที่สาระแนศึกษาวิจัยจนเกิดปัญหาว่ารู้มากยากนาน รู้น้อยพลอยรำคาญไปเอง คนอื่นแม้แต่ในมหาวิทยาลัย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านระบบนิเวศ ด้านการจัดการน้ำ เขาไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย ยิ่งดูรายชื่อคณะกรรมการจัดการน้ำระดับชาติก็แน่ใจว่าท่านไม่มีปัญหาเพราะมั่นใจว่าคณะกรรมการเหล่านั้นไม่เคยเรียนวิชานิเวศวิทยาพื้นฐานและพันธุศาสตร์ประชากรแน่นอน แล้วจะมีปัญหาอะไรได้

ปัญหาเกิดจากการมีความรู้ความเข้าใจ รู้มากทุกข์มาก ไม่รู้ก็ไม่ทุกข์

“หน้าที่ของนักชีววิทยาและงานของพวกเรามีเพียงศึกษาวิจัยให้เข้าถึงความจริงแท้ของเอกภพ เพื่อหายจากความโง่ มีความถ่อมตน และดำรงชีวิตโดยเบียดเบียนสิ่งอื่นในระบบนิเวศให้น้อยที่สุด”

ชีวิตริมคลองบางกอกน้อยในวัยเด็กมีอิทธิพลต่อชีวิตและความคิดเมื่อเติบโตขึ้นอย่างไรบ้าง

ผมเป็นกลุ่มชาติพันธุ์คนอาศัยอยู่ริมแม่น้ำมาแต่บรรพบุรุษ อาศัยทำสวนเลี้ยงชีพสืบ ๆ กันมาอยู่แถบฝั่งธนบุรี แต่วิถีชีวิตถูกกลืนหายจนสิ้นเชื้อไปเพราะการพัฒนาเมือง ใครจะเชื่อว่าผมหัดขี่รถจักรยานกลางสนามหลวง พ่อเคยพาพายเรือจากบ้านในคลองบางกอกน้อยข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาเข้าคลองรอบกรุงเพื่อซื้อต้นไม้ที่ตลาดนัดต้นไม้เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา ตั้งแต่ยังไม่มีสะพานพระปิ่นเกล้า  อย่างกับโกหก แต่นี่คือวิถีเผ่าของเรา

ใครมีบ้านริมน้ำจะรู้ว่าหน้าหนาวน้ำในคลองอุ่นสบาย ตอนเด็ก ๆ พ่อชวนอาบน้ำคลองหน้าหนาวที่ท่าน้ำหน้าบ้านตรงข้ามวัดสุวรรณารามหรือวัดทอง ตอนตี ๕ ถึง ๖ โมงเช้าก่อนไปโรงเรียน ซึ่งอุ่นสบายอย่างแปลกประหลาด 

จำได้แม่นว่าตอนเด็ก ๆ เกลียดเรือตรวจการของกรมเจ้าท่ามาก เพราะลำใหญ่ แล่นเร็วจนเกิดคลื่นลูกใหญ่ซัดสะพานท่าน้ำที่เราใช้ลงเรือจนพังทุกปี  เมื่อหมดหน้าน้ำพ่อและญาติ ๆ ที่ใช้สะพานร่วมกันต้องหาเศษไม้ลอยน้ำมาช่วยกันซ่อม จนพ่อเริ่มแก่ หมดแรง แล้วตายไป พวกผมก็ค่อย ๆ หันไปใช้ถนนที่ต้องเดินฝ่าสวนเพื่อนบ้านออกไปทุกวัน สะพานและสายสัมพันธ์กับแม่น้ำของเราจึงขาดสะบั้น สายใยที่มีมาแต่บรรพบุรุษระหว่างเรากับแม่น้ำก็ขาดลงสิ้น อายุปูนนี้ความเกลียด “เจ้าท่า” ยังตราตรึงอยู่ในหัวใจส่วนลึก

ทุกวันนี้แค่นั่งรถผ่านเห็นหลังคาโบสถ์วัดทองน้ำตาก็ไหลอาบหน้าเพราะไม่เหลืออะไรที่สืบทอดกันมาอีกแล้ว นอกจากสิ่งก่อสร้างแปลกประหลาดบนลานวัดที่เคยผีดุเพราะใช้ตัดคอเชลยข้าศึก ถึงวันนี้ผีสางก็คงอยู่ไม่ไหว

ญาติพี่น้องต้องกระจัดพลัดพรายเพราะการพัฒนาเมือง บ้านแตกสาแหรกขาดยิ่งกว่าเสียกรุงศรีอยุธยา คันคลองกั้นน้ำท่วมหรือ levee ไม่เพียงกันน้ำท่วมเมืองใหญ่แต่กั้นอารยธรรมที่สืบกันมาหลายชั่วคนที่อยู่กับน้ำ กันคนเผ่าพื้นเมืองแบบผมไม่ให้หวนกลับไปสืบสานสิ่งที่บรรพบุรุษส่งมาให้จนสิ้นเชื้อกันไปในรุ่นนี้เอง

ชนเผ่าชาวบางกอกอย่างผมนับว่ามีมานาน ทั้งคนที่อยู่มาแต่เดิมและคนที่อพยพมาคราวเสียกรุงฯ ครั้งที่ ๒ มาสิ้นตระกูลสูญเผ่ากัน พ.ศ. นี้ เราผ่านสงครามเสียกรุงฯ ครั้งที่ ๒ ผ่านสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่บ้านของปู่ย่าถูกลูกระเบิดก็ยังรักษาตระกูลเผ่าพันธุ์ไว้ได้ มาบ้านแตกสาแหรกขาดจากการจัดการน้ำของภาครัฐในเวลา ๓ ทศวรรษที่ผ่านมานี้เอง

บางทีก็งงว่าการพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนคืออะไรกันแน่

เหตุใดการรักษาระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพจึงสำคัญมาก

วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่คนประดิษฐ์จากพื้นฐานทรัพยากร จากธรรมชาติ เมื่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพล่มสลาย อารยธรรม ความเจริญงอกงามต่าง ๆ โดยเฉพาะความเจริญทางจิตวิญญาณย่อมฉิบหายบรรลัยลงไปพร้อมกับมัน

น่าคิดว่าคุณค่าของการศึกษาวิจัยคืออะไรกันแน่ เกียรติคุณของคณาจารย์ คุณภาพของมหาวิทยาลัยที่วัดเป็นตัวเลข หรือการค้นหาความจริงทำลายความโง่ของตนเองและหมู่คณะ

กิเลส ความอยากใหญ่อยากโต อีโก้ และความโง่งม หล่อเลี้ยงสังคมไทยของเราให้ก้าวไปพร้อมการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ความล่มสลายของ culture และ nature  เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ชักไม่แน่ใจว่าเราเป็นคนไทยแท้ ๆ หรือเปล่า ทำไมคิดขนาดนี้

มีความเสียหายของทรัพยากรธรรมชาติอะไรอีกบ้างที่เกิดจากความไม่รู้

การอ่านหนังสือและการดูงานวิจัยคนอื่นเป็นสิ่งดี แต่การใช้วิจารณญาณจากหลักฐานเชิงประจักษ์สำคัญกว่า นักวิชาการไทยทางชีววิทยาหลายคนบ้าการอ้างอิงมากจนลืมคิดไปว่าหลักฐานเชิงประจักษ์และความเห็นต่อหลักฐานเหล่านั้นสำคัญ เพราะชีววิทยาหรือศาสตร์ที่เกี่ยวข้องมันพิสูจน์แบบสมการคณิตศาสตร์ไม่ได้ ใครเขียนอะไรมาก็ถูกหมด เพราะพิสูจน์แบบกฎทางฟิสิกส์หรือคณิตศาสตร์ไม่ได้ มันเป็นเรื่องวิวัฒนาการที่มองไม่เห็น ใครว่าอะไรเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ก็ถูกหมดถ้าได้รับการตีพิมพ์ แต่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นคือความจริงแท้นะครับ

ตำราที่เขียนโดยคนที่ไม่รู้แต่อีโก้สูงมีอานุภาพทำลายระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก แบบที่เกิดในประเทศไทยของเรา

ส่วนเรื่องกฎหมายภาษีที่ดินทำลายความหลากหลายทางชีวภาพได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น Mangifera foetida Lour. เป็นพืชวิเศษมีเฉพาะในปักษ์ใต้ สกุลเดียวกับมะม่วงแต่คนละชนิด ทวินาม (Specif ic epithet) คือ foetida นั้น แปลว่ามีกลิ่นแรง บางที่เรียกลูกมุดเฉย ๆ แบบคนปักษ์ใต้ แต่ไม่ใช่ละมุด

ภาคใต้ของไทยเลยลงไปตลอดแหลมมลายูเป็นศูนย์กลางการกระจายของพืชในสกุล Mangifera  ปัจจุบันหลายชนิดใกล้สูญพันธุ์เพราะการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัย (habitats) โดยเฉพาะจากโครงการพัฒนาของทางราชการและกฎหมายภาษีดิน

กฎหมายภาษีที่ดินที่บังคับใช้ใน ๓-๔ ปีมานี้ทำให้ระบบนิเวศตามธรรมชาติถูกทำลายไปเพื่อแลกกับเงินภาษีท้องถิ่นของ อบต.  เรามิอาจกล่าวได้ว่าคุ้มค่าหรือไม่ เพราะบุคคลย่อมตีค่าของระบบนิเวศธรรมชาติแตกต่างกันตามสติปัญญา ความรู้ และความละเอียดอ่อนของจิตใจ

การนำปลาหมอคางดำเข้ามาในประเทศแล้วหลุดเข้าสู่ระบบนิเวศก็เป็นส่วนหนึ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น แต่การระบาดจะมากมายขนาดนี้ไม่ได้เลยถ้าระบบนิเวศพื้นเมืองไม่ถูกเปลี่ยนแปลงจากกิจกรรมต่าง ๆ ของคน ที่จริงคนที่ทำให้ปลาหมอคางดำระบาดคือพวกเราทุกคนที่ไม่สนใจหาความรู้ในทางนิเวศวิทยา และเงินภาษีของเราที่จ่ายไปเพื่อบำรุงท้องที่ให้ อบต. ต่าง ๆ แต่แลกมาด้วยความหายนะของความหลากหลายทางชีวภาพ

“เรื่องวิชาการนั้นประนีประนอมไม่ได้การแสวงหาสัจธรรมความจริงของเอกภพประนีประนอมไม่ได้ ต้องไม่เปลี่ยนปณิธานในการแสวงหาความจริงของเอกภพ ซึ่งนี่คือหน้าที่สำคัญของมหาวิทยาลัย”

ยังมีมายาคติหรือความเชื่อผิด ๆ อะไรอีกเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ

ผมเองไม่ได้เป็นนักธรณีวิทยาหรือนักสมุทรศาสตร์ เคยได้ยินเรื่องการกัดเซาะชายฝั่งพอ ๆ กับคนที่ฟังจากนักข่าวและผู้ทรงคุณวุฒิบางคน เคยกลัวน้ำท่วมเมฆ กระต่ายลอยคอ กลัวน้ำจะท่วมฟ้า ปลาจะกินดาว เหมือนคำทำนายที่เคยร้องเล่นเมื่อยังเป็นเด็ก จนเข้าใจว่ามันคงเกิดแน่ ๆ  แต่เมื่อเฒ่าแล้วกลับพบว่าปัญหาที่พูด ๆ กันส่วนมากเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เราต้องเข้าใจและอยู่ร่วม และเกิดจากความต้องการเอาชนะธรรมชาติทั้งสิ้น อย่างการกัดเซาะชายฝั่งก็มาจากการกระทำของคน อุทกภัยที่พูดกันว่าเป็นภัยนั้นแท้จริงเกิดเพราะคนไปอยู่ในที่น้ำท่วมแบบไม่เข้าใจ ไม่มีหรอกครับที่น้ำท่วมซ้ำซาก ชื่อมันก็แฝงนัยความเป็นวัฏจักรในตัวเองคือคำว่า “ซ้ำซาก” ก็รู้อยู่ว่ามันซ้ำ เมื่อแก่ตัวลงเข้าในวัยนี้เลยไม่เชื่อผู้ทรงคุณวุฒิที่ไหนอีกแล้ว ตอนนี้เวลาใครเชิญเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจะรีบปฏิเสธ เพราะกลัวไปสร้างปัญหาให้สังคมโดยไม่รู้ตัว

อีกประเด็นหนึ่งคือพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งไม่ได้มีเพียงป่าชายเลน ยังมีบึงน้ำจืดชายฝั่ง (freshwater pools), พื้นที่น้ำซับชายฝั่งเขตร้อนชื้น (tropical coastal bog), พรุ (peat swamp forest)  ป่าชายเลนมีความสำคัญเฉพาะในที่ที่ควรมี ไม่จำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับอิทธิพลจากน้ำขึ้นน้ำลงหรือเขตน้ำเค็มเท่านั้น

ป่าชายเลนในน้ำจืดที่ทะเลสาบสงขลามีบัวและจูดหนู เป็นป่าชายเลนที่ถูกกักเก็บหรือกั้นแยกอยู่ในลากูน ระดับน้ำขึ้นกับระดับน้ำใต้ดิน (ground water table) ไม่อยู่ในอิทธิพลของน้ำขึ้นน้ำลง เป็นชนิดหนึ่งของป่าชายเลนที่เรียกว่า basin mangrove ซึ่งนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิอาจไม่รู้จักหรือไม่สนใจจะรู้จัก เอะอะก็จะปลูกแต่ป่าชายเลน ปล่อยให้พื้นที่ป่าแบบอื่น ๆ ริมทะเลถูกทำลายโดยกิจกรรมทำความดีปลูกป่าชายเลนของภาครัฐและโครงการ CSR ของบริษัทเอกชนต่าง ๆ ที่ทำลายระบบนิเวศจนบรรลัย

ความหลากหลายทางชีวภาพสร้างไม่ได้ มันถูกเนรมิตโดยพระเป็นเจ้าชื่อ “วิวัฒนาการ” ที่ใช้มนตราชื่อว่า “การคัดสรรตามธรรมชาติ” มนุษย์อย่างเราทำไม่ได้  พื้นที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากไม่ได้พิเศษกว่าพื้นที่มีความหลากหลายทางชีวภาพน้อย ทุกแห่งตามธรรมชาติสำคัญเท่ากัน ไม่มีป่าอะไรสำคัญกว่าป่าอะไร ไม่มีแม่น้ำอะไรสำคัญกว่าแม่น้ำไหน ทุ่งหญ้าข้างบ้านเราถ้าเกิดตามธรรมชาติก็มีศักดิ์และสิทธิ์เท่าป่าแอมะซอน บึงน้ำตามธรรมชาติสำคัญไม่ต่างจากป่าชายเลนเช่นกัน

อาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไร เรื่องภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โลกคงร้อนขึ้นจริง แต่ปัญหาต่าง ๆ ที่เราคิดว่าเป็นเพราะโลกร้อน เช่น การกัดเซาะชายฝั่ง น้ำในแม่น้ำแห้งในหน้าแล้งหรือน้ำท่วมเมฆ กระต่ายลอยคอนั้น ไม่น่าจะมาจากโลกร้อน แต่มาจากการสร้างความดีทำลายระบบนิเวศ และการไม่มีความรู้ที่แท้จริงทางธรรมชาติวิทยา ที่ช่วยให้เราเห็นความจริงต่าง ๆ

เรากลัวโลกร้อนขึ้น ๑ องศา แต่ไม่กลัวโลกพัง กลัวจีนทำเหมืองในพม่า แต่ไม่พูดถึงผลกระทบจากการขุดลอกคูคลอง ทำเขื่อนทำฝาย ทำเหมืองหินทั่วประเทศไทยทั้งที่ปัญหาเหล่านี้หนักมาก

ป่าชุมชนบ้านคีรีวง อำเภอปลายพระยา จังหวัดกระบี่ เพิ่งจะมีเหตุการณ์น้ำพุแห้ง มีคนบอกว่าเป็นเพราะแล้ง แล้วก็จะมีคนดัดจริตมาบอกว่าโลกร้อน ผมไม่ได้เถียงว่าโลกไม่ร้อน แต่ที่ฉิบหายนี่มันไม่ใช่ ผมคิดว่าน้ำพุมันหยุดแล้วเพราะแรงดันน้ำในระบบลดลง ป่าที่เคยมีน้ำตลอดเวลาแห้งสนิท นี่มันหายนะ

ที่บอกว่าไม่ใช่เรื่องโลกร้อนหรือฤดูกาลแล้ง เพราะบางแห่งน้ำพุยังไหล ถ้าเป็นเรื่องแล้งมันต้องแล้งเท่ากันเพราะระดับน้ำเดียวกัน แต่นี่แสดงว่าแรงดันน้ำ (pressure) มันลดหาย (lost) น้ำค่อย ๆ หยุดไหลทีละแห่งที่เป็นน้ำซับและมันจะหยุดหมดแน่ในไม่ช้า ต่อไปไฟจะเข้า แล้วโครงการปลูกป่าสร้างฝายจะตามมา ความฉิบหายจะยิ่งเพิ่มพูน

ผมยกตัวอย่างอีกกรณีหนึ่งเรื่องสนทะเล ปราชญ์ทางพืชหลายท่านบอกว่าเป็นพืชพื้นเมือง แม้แต่ตำราฝรั่ง บางเล่มก็ว่าเช่นนั้น แต่จากการศึกษาของผมเองมานานปี ทราบประวัติการปลูกจากท่านที่เคารพหลายท่าน ผมเห็นว่าเป็นพืชรุกรานแน่นอน ในป่าชายหาดธรรมชาติจะเห็นว่าไม่มีสนทะเล 

แม้กระนั้นทางการก็ยังส่งเสริมให้ปลูกตามชายฝั่งจนสร้างปัญหาเรื่องการกัดเซาะ ทั้ง ๆ ที่บางแห่งไม่เคยมีปัญหามาก่อน แล้วก็โทษว่าเพราะโลกร้อน น้ำแข็งละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น เป็นคำแก้ตัวที่นิยมมากในสมัยปัจจุบัน โลกร้อนนั้นเกิดจริงตามธรรมชาติ แต่ไอ้ที่เห็น ๆ ว่าเป็นปัญหานั้นมาจากอีโก้และความโง่ทั้งสิ้น

ต้นสนทะเลโตเร็วและสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ล้มลงตามธรรมชาติจากแรงโน้มถ่วง และเนื่องจากรากสนไม่ได้มีคุณสมบัติยึดทรายแต่อย่างใด จึงงัดเอาทรายขึ้น เกิดการกัดเซาะ เนื่องจากบริเวณที่นิยมเอาต้นสนไปปลูกเป็นโซนทุ่งชายฝั่ง (coastal grassland) อยู่ถัดจากแนวน้ำขึ้น น้ำลง ไม่ใช่แนวไม้ยืนต้น

สนทะเลเป็นพืชพื้นเมืองหรือไม่อาจไม่ใช่ประเด็น แต่ไม่ใช่พืชในแนวหน้าลมของชายหาดตามธรรมชาติ มันขึ้นผิดธรรมชาติของสังคมพืชชายหาด และไม่ได้บังลมตามที่คนส่วนมากเข้าใจ

ชายหาดลาดเอียงตามธรรมชาติ สังคมพืชขึ้นอยู่กับแรงลมที่พัดพาไอเกลือเข้ามา ขึ้นกับว่าพืชพรรณจะทนไอเกลือและแรงลมได้อย่างไร จึงเริ่มด้วยโซนด้านหน้าเป็นทุ่งชายฝั่ง ต่อด้วยไม้พุ่มที่มักเป็นทรงสามเหลี่ยมหันด้านแหลมออกทะเลตามแรงลม ซึ่งมักต่อเนื่องกับเรือนยอดของสังคมไม้ต้น ลมที่พัดเอาไอเกลือมาจะพัดสอบขึ้น ทำให้พื้นที่ด้านหลังได้รับไอเกลือน้อยกว่าด้านหน้า ความหลากหลายตามธรรมชาติของพืชจึงมากขึ้นด้วย แต่ถ้ามีต้นสนทะเลมาแทนสังคมพืชธรรมชาติ ลมที่พัดมาตามแนวปะทะจะพัดผ่านต้นสนไปได้ เพราะต้นสนไม่มีใบต้านลมเช่นพืชชายฝั่งอื่น ๆ อีกทั้งยังโตเร็วกว่าพรรณไม้ใด ไอเกลือที่พัดเข้าสู่ฝั่งตามทิศทางที่ผ่านสนจึงเข้มข้นมากกว่าปรกติ เป็นผลให้ความหลากหลายของพืชพรรณในแนวหลังต้นสนลดลง

ตอนนี้อายุเลย ๖๐ แล้วขอพูดตรง ๆ เอะอะก็โลกร้อน ๆ แล้วการซื้อขายคาร์บอนเครดิตนี่แหละจะยิ่งส่งเสริมให้เกิดการปลดปล่อยคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ มากเข้าไปอีก สถานการณ์ในป่าเขตร้อนต่างจากเมืองฝรั่ง ไม่มีใครเป็นผู้เชี่ยวชาญได้หมด เราที่เกิดและเติบโตมาในระบบนิเวศแบบนี้ต้องรู้เอง ศึกษาเอง ส่วนคนทั่วไปก็เป็นหนูลองยากันไป

ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับสังคมในเรื่องต่าง ๆ และพากันพูดว่าเป็นปัญหาโลกร้อนก็ดี ปัญหาภัยธรรมชาติก็ดี ลองสาวไส้ไปเรื่อย ๆ ก็จะพบว่าเหตุทั้งสิ้นเป็นเพราะไม่รู้ว่าไม่รู้ เป็นมิจฉาทิฐิทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้การค้นหาความจริงด้วยกระบวนการวิทยาศาสตร์จึงสำคัญ นำไปสู่การเข้าใจโลกทราบความจริง เกิดความสว่างไสว

ระบบนิเวศของไทยกำลังถูกทำลาย เพราะกฎหมายภาษีที่ดินส่งเสริมให้เจ้าของที่ทำลายระบบนิเวศธรรมชาติในที่ดินตัวเอง พวกนักวิชาการก็มัวแต่สนใจเรื่องโลกร้อน คาร์บอนเครดิต ซื้อขายกันราวกับเล่นขายของ แต่ไม่สนใจระบบนิเวศตามธรรมชาติที่กำลังย่อยยับ

คนที่สนับสนุนกลไกซื้อขายคาร์บอนเครดิตน่าจะคิดว่านี่คือทางออกของปัญหาโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

กิจกรรมมนุษย์เป็นสาเหตุของการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลง ถ้าจะฟื้นฟูแก้ปัญหาพวกนี้ง่ายนิดเดียว หยุดกิจกรรมมนุษย์ที่เป็นสาเหตุ ไม่ต้องทำวิจัยหรือเพิ่มคาร์บอนเครดิตใด ๆ

เรื่องคาร์บอนเครดิต คาร์บอนซิงก์ (carbon sink) คนอย่างเรา ๆ ยิ่งฟังก็ยิ่งงง แต่ก็เชื่อไปก่อน มันเท่ดี เป็นแหล่งสะสมความดีความงาม สร้างคุณค่าให้สังคมไทย เวลาใครพูดเรื่องโลกร้อน คาร์บอนเครดิต ก็ตามกันไป

ระบบนิเวศทุกระบบต่างมีความสำคัญ แม้บางระบบจะเก็บสะสมคาร์บอนมาก บางระบบเก็บสะสมน้อยกว่า ถึงอย่างนั้นตัวกำหนดว่าที่ใดสะสมคาร์บอนน้อยหรือมากคือ ecological carrying capacity ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะไปช่วยเพิ่มคาร์บอนเครดิต เพราะทุกกิจกรรมของการปลูกป่า ปลูกหญ้าทะเล ต้องมีการสูญเสีย

การปลูกป่าในพื้นที่ธรรมชาติ เขตป่าธรรมชาติที่ตามธรรมดาฟื้นตัวกลับมาได้เอง แต่ดันไปทำสวนเกษตรไม้ป่า แล้วเรียกปลูกป่า คิดว่าจะสร้างคาร์บอนเครดิต ลดคุณค่าความเป็นธรรมชาติลงสิ้น ในพื้นที่เกษตรกรรมถ้าเราไม่ปลูก มันจะมีไม้ป่าขึ้นเอง แบบนี้ช่วยโลกได้มากกว่าการไปส่งเสริมปลูกต้นไม้หลากชนิด

การปลูกต้นไม้เป็นเรื่องของเกษตรกรรม เราไม่ควรเอาแนวคิดเกษตรกรรมมาใช้ฟื้นฟูธรรมชาติ

ปรกติธรรมชาติฟื้นฟูตัวเองด้วย ecological succession
เป็นการเพิ่มคาร์บอนเครดิตอัตโนมัติ โดยไม่เกิดการสูญเสีย
และไม่ต้องลงทุน ซึ่งคนไม่เคยคิดเรื่องนี้  เอาดี ๆ การปลูกป่า ปลูกหญ้าทะเล เป็นกิจกรรมฟอกเขียว (green washing) สำเร็จความใคร่ทางศีลธรรมเสียด้วยซ้ำไป

คนทั่วไปที่ไม่วิเคราะห์จะเข้าใจว่าแคมเปญเรื่องคาร์บอนเครดิตนี้เป็นการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพ แต่หากเรามีองค์ความรู้มากพอ โดยเฉพาะด้านนิเวศวิทยา จะรู้ว่าทุกอย่างเป็นการแลกเปลี่ยน ทุกกระบวนการของกิจกรรมรณรงค์ให้ทุกคนมีส่วนร่วมสร้างคาร์บอนเครดิต เช่น ปลูกป่า ปลูกต้นไม้ แทนที่จะช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กลับปลดปล่อยและสร้างหนี้คาร์บอน (carbon debts) มากขึ้น  เงินทุนที่รัฐบาลสนับสนุนให้มีกิจกรรมเหล่านี้กลายเป็นแรงจูงใจอันวิปลาส อย่าลืมว่าเงินทุนล้วนมาจากการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้นยิ่งสนับสนุนก็ยิ่งส่งเสริมให้ทำลายมากยิ่งขึ้น ผลสุดท้ายปัญหายิ่งมากขึ้น

ป่าธรรมชาติหรือป่าที่ฟื้นตามธรรมชาติมีความสามารถกักเก็บคาร์บอนสูงกว่าป่าปลูก ฉะนั้นอยู่บ้านเฉย ๆ ช่วยโลกได้มากกว่า หรือถ้าจะช่วยก็กันพื้นที่ไม่ให้คนบุกรุก  ใครมีที่ดินมากลองกันพื้นที่บางส่วนให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ เราจะได้ป่าทุติยภูมิ ส่งเสริมแบบนี้ถึงจะเป็นการเพิ่มคาร์บอนเครดิตอย่างแท้จริง

“เมื่อเทียบกับอายุของเอกภพ สิ่งที่เราทำได้ มีอย่างเดียวคือตั้งคำถาม หาคำตอบ เพื่อให้เราหายโง่ จะได้ไม่สร้างความบรรลัยฉิบหายให้เพื่อนร่วมเอกภพอื่น ๆ”

อาจารย์มีข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่กล่าวมาอย่างไร

ผมคิดว่าปัญหาของชาติอย่างหนึ่งคือคนไทยขี้เกียจคิด ชอบดื่มกาแฟสำเร็จรูป เพราะสะดวก เชื่อในสิ่งที่ผู้ทรงคุณวุฒิบอก ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่รู้จัก พวกลูกน้องตามหน่วยงานราชการต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่มีความคิดดี ๆ แต่ก็ขี้เกียจเถียงนาย เพราะตัวเองจะเดือดร้อน สิ่งสำคัญคือคิดถึงประโยชน์ที่ตนจะได้รับหรือจะเสียไปมากกว่า “ความจริง” และไม่รักธรรมชาติจริง ๆ เหมือนปากพูด เพราะไม่รู้จักธรรมชาติ

มีคนถามว่าแล้วจะแก้ยังไง พูดแบบนี้ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ดีแต่บ่น ผมอยากเรียนว่าก็แก้ที่คนพูดว่าดีแต่บ่นนั่นแหละ ก็ต้องเข้าไปค้นหาในประเด็นที่เราบ่นต่อสิว่าจริงหรือไม่จริงอย่างไร ถ้าจริงก็เข้าใจที่เราบ่น ไม่จริงก็ต้องบอกมาว่าไม่จริงยังไง สงสัยก็ถาม ไม่ใช่จะชงแต่กาแฟสำเร็จรูปดื่มอย่างเดียว

ผมมีลูกศิษย์ที่มีหน้าที่การงานในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เขาเคยได้รับเชิญจากชาวบ้านไปนั่งร่วมประชุมขอความเห็นจากชุมชนในการสร้างอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ จังหวัดพัทลุง ซึ่งจะทำลายพื้นที่ชุ่มน้ำและระบบนิเวศ ทั้ง ๆ ที่พัทลุงมีฝนตกชุกและมีลำคลองธรรมชาติมากมายจากเขาบรรทัด แต่เขาก็มีข้ออ้างถ้าจะสร้างซะอย่างลูกศิษย์บ่นว่าเจ้าหน้าที่ทางการหาว่าพวกคัดค้านเป็นพวกจัดตั้ง รวมทั้งลูกศิษย์ผม ผมฟังแล้วงง เพราะต่อให้เป็นพวกจัดตั้ง แต่คนที่มาให้ความเห็นเขาศึกษาโดยตรงในเรื่องระบบนิเวศที่คนนั่งหน้าสลอนไม่มี มีแค่ตำแหน่ง อีโก้ และลมปาก ตัวแทนกรมอุทยานฯ ก็สนับสนุนเขาเสียอีก ผมเลยบอกลูกศิษย์ทำเท่าที่เราทำได้ ให้ความเห็นเท่าที่มีความรู้ ใครว่าเราก็ต้องด่าบ้างตามสมควรแก่เหตุ เราก็เป็นอิสรชนที่การศึกษาสูงกว่าด้วย แต่ฟังแล้วก็อนาถใจ คนที่มีหน้าที่ต้องหวงแหนทรัพยากรแทนเราก็ไม่ค้านได้ข่าวว่าเจ้าหน้าที่ที่ค้านก็ถูกย้ายไปแล้ว

ทุกคนทำตามกฎหมาย เป็นศรีธนญชัยกลับชาติมาเกิด ไม่สนใจทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศและอ้างประชาชนทั้งนั้น

เรื่องนี้โทษใครไม่ได้เลยนอกจากโรงเรียนที่เรียนมากับครูที่สอน หลักสูตรระดับมหาวิทยาลัยมีปัญหา ถึงผลิตคนที่อีโก้สูงแต่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้เป็นกระบุงโกย มีแต่ความภาคภูมิใจแต่ไม่มีความรู้  ผู้ทรงคุณวุฒิหัวลูกโป่งสร้างปัญหาให้ระบบนิเวศไม่สิ้นสุด เหมือนเชื้อมะเร็งที่ฆ่าเจ้าบ้าน สุดท้ายตัวมันก็ตายเพราะไม่มีเจ้าบ้านแล้ว

คนที่ภาคภูมิใจในสิ่งต่าง ๆ คนที่รักการทำความดีคนที่อยากได้ชื่อว่าทำดี เป็นคนดี คนที่มีการศึกษาสูง มีตำแหน่งใหญ่แต่ไม่มีความรู้ มาว่าเราเป็นพวกจัดตั้ง มาคัดค้านการสร้างอ่างเก็บน้ำ แทนที่จะดูว่าสิ่งที่พูดมีตรรกะเหตุผลอย่างไร

ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย แต่นี่แหละคือหน้าที่อาจารย์มหาวิทยาลัย ไม่ใช่แค่ตีพิมพ์รายงานการค้นพบพืชชนิดใหม่โก้เก๋ ออกข่าวกันครึกโครม มีตำแหน่งวิชาการ คนเรียกอาจารย์ยกมือไหว้กันปลก ๆ แค่นั้น 

อะไรคือบทบาทหรือหน้าที่สำคัญที่สุดของผู้ศึกษาด้านนิเวศวิทยาหรือวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ

หน้าที่ของนักชีววิทยาและงานของพวกเรามีเพียงศึกษาวิจัยให้เข้าถึงความจริงแท้ของเอกภพ เพื่อหายจากความโง่ มีความถ่อมตน และดำรงชีวิตโดยเบียดเบียนสิ่งอื่นในระบบนิเวศให้น้อยที่สุด ก่อนที่เราจะกลายเป็นธุลีละอองในระบบนิเวศที่ใครก็หนีไม่พ้น

การศึกษาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติย่อมพาเราไปสู่ความจริงแท้ ไม่ใช่พยายามหาประโยชน์เพื่อการดำรงเผ่าสืบพันธุ์

หน้าที่ของนักวิชาการนอกจากแสวงหาความจริงเพื่อหลุดพ้นจากความโง่ของตัวเอง ก็ต้องบอกสังคมในสิ่งที่รู้มาด้วย จึงจะถือว่างดงามตามแบบบูรพาจารย์

ผมขอยกเรื่องราวของอริสโตเติล (Aristotle) นักปราชญ์
กรีกโบราณและอาจารย์ของทีโอฟราสตัส (Theophrastus)
ศิษย์เอกผู้นี้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งพฤกษศาสตร์ ก่อนอริสโตเติลตายได้เรียกลูกศิษย์มาสั่งเสีย ยกมรดกคือสวนพฤกษศาสตร์และห้องสมุดให้  ทีโอฟราสตัสส่งเสริมสืบทอดมาจนถึงเรา ผ่านกาลเวลาและผู้คนหลายยุคสมัย คนที่มีความรู้ถูกคนโง่ทำลายลงก็มากด้วยอำนาจ กำลัง แต่ความจริงของเอกภพย่อมดำรงอยู่เสมอ

แม้ว่าอริสโตเติลจะรู้ว่าถ้าออกความเห็นตามที่ตนเข้าใจจะหาชีวิตไม่จากผู้ปกครอง แต่ก็ทำเพื่อคงความศักดิ์สิทธิ์แห่งความจริงของเอกภพไว้

มรดกที่อริสโตเติลมอบให้ลูกศิษย์คือห้องสมุดและสวนสะสมนานาพรรณไม้ที่ชื่อว่า The Lyceum ในกรุงเอเธนส์ ซึ่งอาจเป็นต้นแบบให้เกิดสวนพฤกษศาสตร์ (botanic gardens) ในอีกหลายศตวรรษต่อมา  ปัจจุบันยังมีซากโบราณสถานแห่งนี้เหลือให้เห็นว่าการศึกษานั้นค่อย ๆ พัฒนาตามธรรมชาติของคนที่ใฝ่รู้และตั้งคำถาม ยอมสละชีวิตเพื่อรักษาอุดมการณ์ในการแสวงหาสัจธรรมของเอกภพ กล้าหาญแบบไม่ต้องออกศึกและปราศจากอาวุธ

สัตบุรุษย่อมเป็นผู้ค้นหาความจริงของเอกภพ ขจัดความโง่ของตัวเองและขจัดคนโง่ด้วยการบอกความจริงที่รู้มา เพื่อปลดปล่อยความโง่แก่ผู้อื่นด้วย เพื่อคนโง่จะได้หายจากความโง่ หากแต่คนโง่ย่อมมีความเห็นเป็นมิจฉาทิฐิตามจริตแห่งตน ยากที่จะเข้าถึงความจริงของเอกภพ อันนี้เปล่าสอนใครนะครับ แต่เป็นสิ่งที่ผมบอกลูกศิษย์เสมอ

ในโลกของเราจะมีคนกลุ่มหนึ่งเป็นตัวกันชนกับกลุ่มต่าง ๆ ตลอดเวลา คือกลุ่มคนที่ประนีประนอมกับทุกกลุ่ม ทุกเรื่องคนพวกนี้นั่นเองที่ก่อปัญหา ไม่ออกความเห็นอย่างจริงใจ เพราะเขาต้องการลดการถกเถียง ปะทะกัน เห็นว่าเป็นเรื่องไม่ดี คนโง่เลยได้ใจ

เรื่องวิชาการนั้นประนีประนอมไม่ได้ การแสวงหาสัจธรรมความจริงของเอกภพประนีประนอมไม่ได้ ต้องไม่เปลี่ยนปณิธานในการแสวงหาความจริงของเอกภพ ซึ่งนี่คือหน้าที่สำคัญของมหาวิทยาลัย

ผมเคยอ่านข่าวมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดอันเก่าแก่ได้รับผลกระทบจากนโยบายต่าง ๆ ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เข้ามาแทรกแซงเสรีภาพทางวิชาการ ตัดงบอุดหนุนด้านการศึกษาและวิจัย กำหนดนโยบายทางสังคมต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อนักวิจัยและนักศึกษาต่างชาติ ผมไม่รู้สึกโกรธประธานาธิบดีหรือนึกตำหนิเลย เพราะเข้าใจว่านี่คือสิ่งที่ชาวอเมริกันส่วนมากคงต้องการแบบนั้น และคงเปลี่ยนนิสัยคนที่มีความมั่นใจสูงได้ยาก แต่กลับรู้สึกชื่นชมชาวมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดด้วยใจตื้นตันยิ่ง และเห็นด้วยว่าเป็นมหาวิทยาลัยทรงความศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่หนึ่งตลอดมา เพราะแม้ในวิกฤตจากนโยบายรัฐบาล มหาวิทยาลัยก็ยังยืนหยัดในปณิธานของความเป็นมหาวิทยาลัยไม่เปลี่ยน ไม่ประนีประนอม

หัวใจหลักสำหรับคนที่ศึกษาด้านพฤกษศาสตร์ในมุมมองของอาจารย์คืออะไร

เชื่อการศึกษาวิจัยที่มีพื้นฐานจากหลักฐานเชิงประจักษ์ ตาม scientif ic methodology อย่างแท้จริง และต้องไม่ใช่กระบวนการวิทยาศาสตร์เทียม (pseudoscience) แบบที่มีดาษดื่นในปัจจุบัน ซึ่งคนไทยส่วนมากเชื่อเพราะเหมือนใช้วิธีการแบบวิทยาศาสตร์

ไม่เชื่อในตัวบุคคล ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร แม้แต่ตัวเราเองในอดีตก็อาจมีข้อผิดพลาดเชิงวิทยาศาสตร์มากมาย เชื่อในหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เป็นปัจจุบัน แม้ไม่ได้ความจริงแท้ แต่ต้องใกล้เคียงมากที่สุด

สิ่งนี้จึงเป็น science philosophy ที่อาจกล่าวได้ว่าเริ่มจากอริสโตเติลในยุคกรีก แต่ปรัชญาการศึกษาของไทยนั้น น่าจะยังห่างอริสโตเติลไปมาก เพราะเราเป็นชาติทุคตะเข็ญใจ การศึกษาจึงเป็นไปเพื่อปากเพื่อท้อง หาเงิน หรือยืดอายุขัยเป็นหลัก ยิ่งปฏิรูปการศึกษาก็ยิ่งเสื่อม

ผมพูดในฐานะที่มีเบื้องหลังทางการศึกษาทางพฤกษศาสตร์และมีอาชีพทำงานวิจัยกับสังคมพืชธรรมชาติมาตลอดชีวิต เปล่าทรงคุณวุฒิ ปราศจากเกียรติคุณมีอย่างเดียวคือประสบการณ์จากการศึกษาวิจัยทางพฤกษศาสตร์ในภาคสนาม

เมื่อก่อนเคยมีคนถามผมว่าเรียนพฤกษศาสตร์ไปทำไม ผมตอบว่าเรียนแก้โง่ จะได้ไม่โง่เหมือนคนที่มาตั้งคำถามแบบซ้อมค้างเรา ไม่ได้คิดจะเป็นอาเสี่ย อธิบดี ผู้อำนวยการ หรือปลัดกระทรวงแต่อย่างใด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะจบไปทำงานอะไร ไม่เคยห่วง คิดว่าคนเรามีความรู้อยู่กับตัวจะกลัวอะไร

ผมไม่เคยรับตำแหน่งแม้แต่หัวหน้าภาควิชา เลยไม่รู้ว่าเวลาคนเรามีอำนาจเป็นยังไง รู้แต่สภาวะ “หายโง่” ในเรื่องเล็ก ๆ บางเรื่องทำให้เกิดความสนุก รู้สึกพึงใจ และอยากให้สภาวะนั้นเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก

มหาวิทยาลัยเวียนนาที่ผมเคยเรียนปริญญาเอกมีอายุสืบมากว่า ๘๐๐ ปีนั้นมีคำขวัญแค่สองคำคือ “Wir fragen” แปลว่า “เราถาม” แค่นั้นเองครับ และผมเชื่อว่านี่คือหัวใจของการศึกษาอย่างแท้จริง ผมยึดถือคำขวัญของสถานศึกษาที่เคยเรียนมาเป็นหลักนำพาชีวิต

เราคงหยุดอะไรไม่ได้ ต้องรอดูความฉิบหายช้า ๆ ทำได้แค่นี้ในฐานะคนธรรมดา ๆ เมื่อเทียบกับอายุของเอกภพ สิ่งที่เราทำได้มีอย่างเดียวคือตั้งคำถาม หาคำตอบ เพื่อให้เราหายโง่ จะได้ไม่สร้างความบรรลัยฉิบหายให้เพื่อนร่วมเอกภพอื่น ๆ

เราเป็นแค่เศษธุลีของเอกภพที่ไม่มีความสำคัญ จัดการธรรมชาติตามใจเราไม่ได้  สิ่งที่ผมและคนที่เรียนกับผมจะไม่ทำคือสร้างความระยำฉิบหายให้ระบบนิเวศ