Image

สัตว์เลือดเย็น
ที่ (อาจ) ไม่เลือดเย็นนัก

วิทย์คิดไม่ถึง

เรื่อง : ดร. นำชัย ชีววิวรรธน์ namchai4sci@gmail.com
ภาพประกอบ : นายดอกมา

แอปพลิเคชัน Thai Dictionary ของราชบัณฑิตยสภาให้ความหมายคำว่า “เลือดเย็น” ไว้สองอย่าง อย่างแรกใช้เป็นคำนามคือ “สัตว์มีกระดูกสันหลังที่สามารถปรับอุณหภูมิของร่างกายให้เหมาะสมกับอุณหภูมิของสภาวะแวดล้อม เช่น ปลา กบ เรียกว่า สัตว์เลือดเย็น” ขณะที่ความหมายที่ ๒ ใช้เป็นคำวิเศษณ์ หมายถึง “มีใจเหี้ยมสามารถทำลายชีวิตหรือชื่อเสียงผู้อื่นได้โดยไม่รู้สึกหวั่นไหว เช่น ฆ่าอย่างเลือดเย็น”

ส่วน AI ของกูเกิลแปลคำว่า “cold blood” ได้หลายความหมายขึ้นอยู่กับบริบท หากใช้กับพฤติกรรมมนุษย์จะหมายถึงการกระทำอย่างโหดร้าย ทารุณ โดยไม่แสดงความเมตตาหรือความเห็นอกเห็นใจ

ทั้งหมดนี้ชวนให้นึกไปว่า สัตว์เลือดเย็นขาดไร้ความเมตตา ไร้ความเห็นอกเห็นใจ หรืออาจไม่มี “อารมณ์ความรู้สึก” เลยทีเดียว

แต่เรื่องนี้จริงแค่ไหน ?

มีเรื่องเกี่ยวกับสมองที่โด่งดังเรื่องหนึ่งชื่อสมมุติฐานสมองแบบตรีเอกภาพ (triune-brain hypothesis) ที่นักประสาท
วิทยาศาสตร์ พอล แม็กลีน (Paul Mac-Lean) เสนอไว้ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ ๑๙๖๐ และถกเถียงกันยืดยาวจนถึงคริสต์ทศวรรษ ๑๙๙๐ โดยมีใจความสำคัญว่า สมองของมนุษย์ประกอบด้วย “สมองกิ้งก่า” ที่อยู่ใต้ “สมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม” และมี “สมองไพรเมต” อยู่บนสุด โดยไพรเมตก็คือกลุ่มของลิงไร้หางที่มีมนุษย์เป็นสมาชิกอยู่ด้วย

สมมุติฐานนี้เชื่อว่าวิวัฒนาการของสมองเป็นแบบเติมเสริมจากที่มีอยู่เดิมเกิดเป็นสมองชั้นใหม่อยู่เหนือสมองชั้นเดิม ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ การที่แม็กลีนเสนอสมมุติฐานแบบนี้เพราะสังเกตว่าเมื่อตัดสมองส่วนที่เชื่อว่าควบคุมความเป็นสัตว์เลือดเย็น (ดูจากรูปร่างหน้าตาและความคล้ายคลึงกันของเนื้อเยื่อ) ออกจากลิงตัวหนึ่ง ทำให้มันหยุดก้าวร้าวในยามที่มองภาพสะท้อนจากกระจก ซึ่งปรกติแล้วมันจะแสดงอาการก้าวร้าวใส่เพราะคิดว่าเป็นลิงตัวผู้อีกตัวเสมอ

แต่ในปัจจุบันเรารู้แล้วว่าสมมุติฐานนี้ไม่ถูกต้อง สมองส่วนดังกล่าวมีชื่อเรียกว่าโกลบัสพัลลิดัส (globus pallidus) เกี่ยวข้องกับกระบวนการต่าง ๆ อย่างหลากหลายมากมาย ไม่แค่เพียงเรื่องความก้าวร้าว และที่สำคัญกว่านั้นคือดูเหมือนจะไม่มีใคร “ทำซ้ำ” การทดลองของแม็กลีน

สมองส่วนโกลบัสพัลลิดัสเป็นแค่ “ส่วนหนึ่ง” ของสมองสัตว์เลื้อยคลานไม่ได้เป็น “ทั้งหมด” อย่างที่แม็กลีนเชื่อ

แต่ช้าไปเสียแล้ว เพราะนักดาราศาสตร์และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ชื่อดัง คาร์ล เซแกน กล่าวอ้างอิงถึงทฤษฎีของแม็กลีนในหนังสือขายดี The Dragons of Eden ตีพิมพ์ใน ค.ศ. ๑๙๗๗ หนังสือเล่มนี้ได้รางวัลพูลิตเซอร์ในปีถัดมา และทำให้ทฤษฎีที่กล่าวถึงพัฒนาการของสติปัญญามนุษย์ดังกล่าวเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

เท่านั้นยังไม่พอ แนวคิดนี้ยังได้รับการตอกย้ำซ้ำอีกครั้งในหนังสือขายดีอีกเล่มหนึ่งที่ตีพิมพ์ ค.ศ. ๒๐๐๕ ชื่อ Mind Wide Open ของ สตีเวน จอห์นสัน นักเขียนเรื่องทางวิทยาศาสตร์ เลยทำให้ความเชื่อดังกล่าวแพร่หลายมากขึ้นไปอีก

แต่คำถามสำคัญยังคงอยู่ คือ ปัจจุบันเรารู้แน่ชัดหรือพิสูจน์จนหายสงสัยแล้วหรือไม่ว่า “สัตว์เลือดเย็น” มีอารมณ์ความรู้สึกหรือไม่ ?

บทปริทัศน์ (review) ชิ้นหนึ่งในวารสาร Animals ค.ศ. ๒๐๑๙ วิเคราะห์งานวิจัยเกี่ยวกับสัตว์เลื้อยคลานจำนวน ๓๗ ชิ้น ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๙๙-๒๐๑๘ ได้ข้อสรุปว่า มีหลักฐานชัดเจนเพียงพอจะชี้ว่าสัตว์เลื้อยคลานมีอารมณ์ความรู้สึกอยู่จริง

ยกตัวอย่างการทดลองหนึ่งพบว่า การสัมผัสกิ้งก่าทำให้พวกมันมีอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น แสดงว่ามีการตอบสนองทางอารมณ์  อีกการทดลองหนึ่งพบว่าเต่าตีนแดง (redfooted tortoises) ที่เป็นเต่าบกชนิดหนึ่ง แสดงพฤติกรรมคล้ายกระวนกระวายใจเมื่อถูกนำไปปล่อยในสิ่งแวดล้อมใหม่

แม้ว่าสัตว์เลื้อยคลานเหล่านี้จะไม่แสดงอารมณ์ชัดแจ้งแบบเดียวกับมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น แต่อันที่จริงแล้วพวกมันก็เป็นสัตว์สังคมเช่นเดียวกันและมีวิวัฒนาการอย่างยาวนานจนมีอุปนิสัยที่ซับซ้อน ทั้งในเรื่องจับคู่ผสมพันธุ์สร้างรัง และเลี้ยงลูก นักวิทยาศาสตร์ จึงจำเป็นต้องสังเกตอย่างละเอียดลออด้วยวิธีการแตกต่างจากเดิม

งานวิจัยในวารสาร Integrative and Comparative Biology ค.ศ. ๒๐๒๑ พบว่ากิ้งก่าสื่อสารกันด้วยการหลั่งสารเคมีบางอย่าง วิธีการสื่อสารแบบนี้ใช้กันมากในแมลง และไม่นานมานี้พบว่าพืชก็สื่อสารแบบนี้เช่นกัน

นั่นย่อมเป็นเครื่องยืนยันว่า เราอาจเข้าใจการสื่อสารหรืออารมณ์ของสัตว์เลื้อยคลานได้ยากกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีพฤติกรรมโจ่งแจ้งสังเกตเห็นง่ายกว่า ด้วยความที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมส่วนใหญ่มักอยู่กันเป็นสังคมและมีสมองพัฒนามาก จึงแสดงอารมณ์ต่าง ๆ ผ่านทางหน้าตาและท่าทางได้ดี

สาเหตุอีกข้อหนึ่งที่อาจทำให้เราสังเกตเห็นอารมณ์ความรู้สึกของสัตว์เลื้อยคลานยากกว่าก็คือข้อจำกัดทางจิตวิทยาของมนุษย์

มีการวิเคราะห์ทางจิตวิทยาที่สรุปได้ว่า มนุษย์มีแนวโน้มจะคุ้นเคยและเข้าใจสัตว์ที่มีลักษณะทางกายภาพ (รูปกายภายนอก) และแสดงอารมณ์ความรู้สึกใกล้เคียงกับเรามากกว่า นี่เองอาจเป็นสาเหตุที่พวกเราชื่นชอบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างหมา แมว มากกว่าสัตว์เลื้อยคลานอย่างเต่าหรืองู

ในภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ทั้งหลาย หากต้องการทำให้ฉากที่พระเอกผู้เป็นมนุษย์หรือมนุษย์ต่างดาวที่คล้ายมนุษย์ (เช่น
ซูเปอร์แมนหรืออุลตร้าแมน) ประหัตประหารฝ่ายตรงข้ามดูซอฟต์ลง ไม่โหดร้าย ก็มักออกแบบรูปร่างหน้าตาท่าทางของ “สัตว์ประหลาด” ให้คล้ายสัตว์เลื้อยคลานมากกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม บางเรื่องถึงกับกำหนดให้มีเลือดสีแตกต่างออกไป เช่น เอเลียนมีเลือดสีเขียว

ในการต่อสู้ระหว่างสิ่งมีชีวิตต่างดาวอย่าง “พรีเดเตอร์” กับ “เอเลียน” ก็ให้ความรู้สึกว่าฝ่ายแรกมีอารยธรรมสูงกว่า ขณะที่ฝ่ายหลังที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบเมตามอร์โฟซิส (metamorphosis) เป็นขั้น ๆ คล้ายแมลง จึงดูเป็นแค่สัตว์ประหลาดอวกาศชั้นต่ำแค่นั้น

มีงานวิจัยหนึ่งที่ทำสำรวจออนไลน์พบว่า เจ้าของสัตว์เลื้อยคลานให้คะแนนความฉลาดของสัตว์เหล่านั้นสูงกว่าคนที่ไม่เลี้ยงสัตว์เลื้อยคลาน ทั้งนี้มีเจ้าของสัตว์เลื้อยคลานร่วมตอบคำถาม ๗๓๔ คน ส่วนคนที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์เลื้อยคลานมี ๓๓๔ คน

แต่กระนั้นทั้งสองกลุ่มก็ให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่าสัตว์เลื้อยคลานมีความสามารถแสดงอารมณ์ความรู้สึกที่จำกัด

หลักฐานทั้งหมดนี้จึงชี้ว่า สัตว์เลื้อยคลานอาจไม่ได้ “เลือดเย็น” อย่างที่เราเคยเชื่อ แค่เรามีอคติและไม่ค่อยเข้าใจวิธีแสดงอารมณ์ของพวกมันมากกว่า !