จิตวิญญาณ
จากบรรณาธิการ
ถ้ามนุษย์ยอมรับว่าสิ่งที่เรามองเห็นด้วยตา ไม่ใช่ทุกอย่างของโลกนี้
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ยังมีสิ่งมากมายที่เรามองไม่เห็น
ไม่ใช่ว่าเพราะความเล็กจิ๋ว แต่เพราะมิติการรับรู้ของมนุษย์นั้นจำกัด
ถ้าเรายอมรับว่าเรารู้เห็นแค่บางช่วงเวลาสั้น ๆ วินาทีนี้ ชั่วโมงนี้ วันนี้...แต่ไม่อาจเห็นความต่อเนื่องของกาลเวลาที่โลกหรือธรรมชาติดำเนินมานานแสนนาน จากอดีตนับหลายพันล้านปีมาถึงปัจจุบัน
เราจึงไม่เห็นว่าสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ วิวัฒนาการต่อเนื่องกันมาหลายยุคหลายสมัย
กว่าจะเป็นสังคมมนุษย์ เคยมีสังคมของสิ่งมีชีวิตที่เป็นบรรพบุรุษของเรา และบรรพบุรุษของบรรพบุรุษ...ย้อนไกลไปจนถึงสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ซึ่งเป็นชีวิตแรกเริ่มสุดบนโลก
และยังไม่แน่ว่า ต้นกำเนิดของชีวิต ยังอาจมาจากนอกโลกจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้น ไกลเกินการรับรู้
แค่เรื่องราวในชีวิตอันแสนสั้นของเรา เมื่อเทียบกับอายุโลก สุดท้ายแล้วเราก็ยังจดจำระลึกได้แค่บางช่วงบางตอน
....
ถ้าเรายอมรับว่าเรารู้เห็นได้แค่บางแง่มุมของสิ่งที่ปรากฏ
เราเห็นจมูก แต่ไม่เห็นอากาศที่หายใจ เราจึงไม่เห็นออกซิเจนที่เดินทางเข้ามาในปอด เพื่อให้ร่างกายใช้เป็นเชื้อเพลิงสร้างพลังงาน และดำรงชีวิต
เพราะแค่เพียงไม่กี่นาที ถ้าขาดออกซิเจน เราก็ตาย
เรายิ่งไม่เห็นว่าออกซิเจนมาจากไหน จึงไม่เห็นว่าออกซิเจนผลิตโดยพืชและต้นไม้ที่งอกงามบนแผ่นดิน ผลิตโดยแพลงก์ตอนและสาหร่ายเล็กจิ๋วในแหล่งน้ำและท้องทะเลกว้างใหญ่ ก่อนจะเดินทางล่องลอยผ่านอากาศมาถึงจมูกเรา
เมื่อเราไม่เห็น เราจึงไม่ตระหนักถึงสายใยสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงทุกสิ่งบนโลกนี้ไว้ด้วยกัน
เรายกย่องและยอมรับแต่วัตถุที่มนุษย์ผลิตสร้าง และเชื่อว่าสามารถกำกับควบคุมทุกสิ่งด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีให้ก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ
วันนี้โลกเข้าสู่ยุคใหม่ ยุคที่มนุษย์ครองอำนาจบาตรใหญ่เรียกว่ายุคแอนโทรโปซีน (Anthropocene) เปลี่ยนแปลงสภาพของโลก ทั้งบนบก ใต้ดิน น้ำ อากาศ ด้วยระบบที่มอบประโยชน์สูงสุดต่อมนุษย์เผ่าพันธุ์เดียว แทนที่ระบบธรรมชาติซึ่งเอื้ออำนวยต่อทุกสรรพชีวิตอันแตกต่างหลากหลาย
ครั้งหนึ่งอารยธรรมเก่าแก่ของมนุษย์เคยเชื่อเรื่องจิตวิญญาณที่สิงสถิตในธรรมชาติ คือสิ่งที่อยู่พ้นไปจากมิติการรับรู้ เป็นผู้ดูแลโลกใบนี้ให้สมบูรณ์และงดงาม
แต่วันนี้อารยธรรมเหล่านี้ส่วนใหญ่ล่มสลายไปแล้ว พื้นที่ธรรมชาติซึ่งจิตวิญญาณดำรงอยู่ก็กำลังสูญหายไปเช่นกัน
อารยธรรมใหม่กำลังทำลายวิวัฒนาการซึ่งทำงานผ่านการคัดสรรและสืบทอดสิ่งมีชีวิตรุ่นแล้วรุ่นเล่าตามธรรมชาติ ด้วยการบริหารจัดการผ่านเทคโนโลยีของมนุษย์อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
คำถามคือ ผลลัพธ์สุดท้ายของยุคแอนโทรโปซีนจะเป็นอย่างไร
ถ้าเรายอมรับว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง เราอาจพบดุลยภาพระหว่างการพัฒนาทางวัตถุกับการรักษาจิตวิญญาณที่สิงสถิตในธรรมชาติเพื่อดำรงอยู่ร่วมกัน
ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะล่มสลาย เพราะอารยธรรมแห่งการทำลายล้างจะกลืนกินมนุษย์เอง
ไม่ใช่ธรรมชาติหรอกที่จะสูญสิ้น เพราะจิตวิญญาณซึ่งเรามองไม่เห็นจะฟื้นคืนธรรมชาติให้กลับมา
สุวัฒน์ อัศวไชยชาญ
บรรณาธิการบริหารนิตยสารสารคดี
suwatasa@gmail.com
ภาพ : จิตรทิวัส พรประเสริฐ
ฉบับหน้า : ๑๐๐ ปี พระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว