Image

เรื่อง : สุชาดา ลิมป์
ภาพ : บันสิทธิ์ บุณยะรัตเวช

เทรนด์เที่ยวพิพิธภัณฑ์กำลังอยู่ในกระแส

แปดปีกว่าที่คอลัมน์ “Hidden (in) Museum” ฉบับแรก มีนาคม ๒๕๖๐ ชวนไปชมพิพิธภัณฑ์และสิ่งจัดแสดง “ไม่ป็อป แต่มีเสน่ห์” เกือบ ๑๐๐ แห่ง น่าเสียดายหากหลงตาผู้สนใจ เราจึงรวบตึง ๒๐ สถานที่เจ๋งในใจจาก ๕ ภาคทั่วไทย (ลำดับตามแผนที่ประเทศ) มาชวนเที่ยวตามหาสิ่ง hidden อีกครั้ง

ซุกอยู่มุมไหนของพิพิธภัณฑ์...
ต้องมาดู

หมายเหตุ ทุกพิพิธภัณฑ์ในนี้รวบรวมจากนิตยสาร สารคดี ซึ่งเผยแพร่ตั้งแต่ปี ๒๕๖๐ จึงควรตรวจสอบสถานที่อีกครั้งก่อนเดินทาง

ภาคเหนือ

1
บ้านน้อย-จออู

หมู่ที่ ๗ บ้านท่าตาฝั่ง ตำบลแม่ยวม 
อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน

Image

สี่สิบนาทีจากบ้านแม่สามแลบ นั่งเรือขึ้นเหนือตามน้ำสาละวินจะถึงบ้านท่าตาฝั่ง

ในอดีต พ่อเฒ่าจออู ศรีมาลี ชาวกะเหรี่ยงสะกอ เป็นผู้ลงหลักปัก “บ้านหลังแรก” ตั้งแต่ปี ๒๔๘๕ ภายหลังมีชาวกะเหรี่ยงตามมาสมทบเยอะ จออูจึงได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรกและเรียกขานชุมชนในชื่อ “บ้านน้อย-จออู” ก่อนจะยกเป็นชุมชนบ้านท่าตาฝั่งในปี ๒๕๑๘

บ้านน้อยที่ว่าความจริงหลังใหญ่ ปลูกด้วยเสาไม้แงะไม้พลวงราว ๓๐ ต้น มุงหลังคาใบตองตึงกว่า ๑,๕๐๐ ตับ วันว่างจออูชอบบันทึกเรื่องส่วนตัวและเรื่องราวของหมู่บ้านลงสมุดด้วยอักษรกะเหรี่ยง เช่น

“...บ้านท่าตาฝั่งเป็นจุดล่อแหลมเนื่องจากการสู้รบระหว่างเคเอ็นยูกับทหารพม่า เคเอ็นยูตั้งฐานอยู่อุสุทะ ทหารพม่าตั้งฐานตรงข้ามกับบ้านท่าตาฝั่งจากการยิงต่อสู้กันทำให้เศษลูกปืนกระเด็นพลัดตกเข้ามาในหมู่บ้าน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้ทั้งกลางวันและกลางคืน หมู่บ้านป้องกันได้เพียงหลุมหลบภัย...”

เจ้าของสิ้นลมหายใจนานแล้ว แต่บ้านไม้หลังแรกที่อายุกว่า ๘๐ ปี รวมถึงบันทึกลายมือที่แม้ผ่านมาร่วม ๔ ทศวรรษก็ยังเป็นข้อมูลทันสมัยเพราะยังเกิดเหตุการณ์ไม่ต่างจากอดีต ได้รับการถนอมรักษาโดยทายาทและชาวชุมชนบ้านท่าตาฝั่งให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของท้องถิ่น

Image

จากเรื่อง “บันทึกตกฟาก ‘บ้านน้อย-จออู’”
เรื่องและภาพ : พิณ คืนเพ็ญ 
สารคดี ฉบับที่ ๔๓๖ กรกฎาคม ๒๕๖๔

2
พิพิธภัณฑ์เรียนรู้ราษฎรบนพื้นที่สูง

ศูนย์เรียนรู้ชาติพันธุ์ภาคเหนือ สวนล้านนา ร. ๙  ถนนโชตนา ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
โทร. ๐-๕๓๒๑-๐๘๗๒

Image

บรรดาเรื่องราว ๑๐ ชนเผ่า ทั้งกะเหรี่ยง, ม้ง, เมี่ยน, ลีซู, ลาหู่, อาข่า, ลัวะ, ถิ่น, ขมุ และมลาบรี

น่าสนใจการเดินทางของชาวเมี่ยน ชาติพันธุ์กลุ่มจีน-ทิเบตซึ่งเดิมอาศัยอยู่แถบยูนนาน ครั้นถูกขับออกจากจีนและเกิดภัยสงครามก็มีเหตุให้ระหกระเหินจนที่สุดอพยพข้ามภูเขาสู่เวียดนาม ลาว และไทย

เสียดายแน่หากพลาดสังเกต “เกียเซ็นป๊อง” หนังสือเดินทางข้ามเขตภูเขาที่นักวิจัยต่างชาติเรียก “Yao passport” คือ “พระราชสาส์นจากฮ่องเต้ผิงหวาง” กษัตริย์ องค์ที่ ๑๓ ของราชวงศ์โจวตะวันออก ซึ่งฉบับแรกพระราชทานแก่พระราชธิดาให้พกเดินทางไปสร้างเมืองใหม่ และบันทึกนิรโทษกรรมแก่ “เปี้ยนฮู้ง” ชาวเมี่ยนผู้เคยร่วมรบในอดีต  หลังเปี้ยนฮู้งเสียชีวิต ฮ่องเต้ออกเกียเซ็นป๊องให้อีก ๑๒ ฉบับแก่บุตรทั้ง ๑๒ ของเขา พร้อมพระราชทานนามสกุลให้เป็นต้นตระกูลเมี่ยน ๑๒ แซ่ บนหนังสือเดินทางที่กางออกแล้วยาวเหยียดไม่เพียงบันทึกสิทธิต่าง ๆ แก่ครอบครัวที่ครอบครอง ยังประทับตราของฮ่องเต้ระบุปี ๒๕๐๐

ในไทยเคยมีชาวเมี่ยนพกเกียเซ็นป๊องมาสามฉบับแต่เหลือเพียงฉบับเดียวของตระกูลแซ่ตั่งที่บ้านปางค่า อำเภอปง จังหวัดพะเยา ปัจจุบันทายาทรุ่น ๕ เป็นผู้เก็บรักษา และนับถือเป็น “พระราชสาส์น”

ที่เห็นแม้จำลองจากต้นฉบับแต่มีขนาดเท่าของจริงและแสดง “พระราชโองการ” ชัดเจน

Image

“เกียเซ็นป๊อง” หนังสือเดินทางข้ามภูเขาฉบับถาวรของชาติพันธุ์เมี่ยนที่ยาวสุดในโลก

จากเรื่อง “‘เกียเซ็นป๊อง’ พาสปอร์ตของชาวเมี่ยน” 
สารคดี ฉบับที่ ๔๑๕ กันยายน ๒๕๖๒

3
เฮือนรถถีบ

๑๕๔ หมู่ ๔ ถนนเจ้าฟ้า ตำบลกลางเวียง อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน โทร. ๐-๕๔๗๘-๑๓๕๙

Image

Image

งานเก็บสะสมเป็นเรื่องของจังหวะเวลาที่เหมาะสมจึงได้มาอยู่รวมกัน

จากร้าน “เต็งไตรรัตน์” จำหน่ายและซ่อมจักรยานในรุ่นปู่ ภายหลังปรับกิจการขายจักรยานยนต์แล้วเปลี่ยนเป็นธุรกิจสถานีบริการน้ำมันเชลล์ โชคดีที่ สุพจน์ เต็งไตรรัตน์ ทายาทรุ่นลูกเห็นคุณค่าของอะไหล่จักรยานยุโรปที่พ่อแม่เก็บไว้หลายพันชิ้นจึงนำมาจัดหมวดหมู่และเริ่มสะสมจักรยานยุโรปเรื่อยมา ทั้งของครอบครัวตนและขอซื้อ มีผู้มอบให้ แลกเปลี่ยน พบบังเอิญในกองขยะ ฯลฯ กระทั่งวันหนึ่งมากพอให้นำเจ้าพวกล้อเล็ก-ล้อโตมาจอดเรียงระเบียบในฐานะคลังจัดแสดงให้ผู้สนใจเยี่ยมชม

ชีวิตชีวาของที่นี่ไม่เพียงมีสิ่งของที่ผ่านการใช้งานจริง ทุกคันยังได้รับการซ่อมบำรุงให้มีสภาพพร้อมใช้ ที่นี่จึงเหมาะแก่การมาเที่ยวเป็นครอบครัวด้วย ขณะที่ผู้ใหญ่ได้ย้อนรอยทรงจำถึงรถที่ตนเคยใช้ แลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับอะไหล่โบราณหรือสิ่งอนุสรณ์ในแวดวงนักปั่น เด็ก ๆ รุ่นใหม่ก็พลอยสนุกกับการลองขี่จักรยานโบราณคันเล็ก ชนิดที่เจ้าของไม่หวงเลย...ชำรุดก็ซ่อมได้

Image

Image

รถถีบเคยใช้ของนักสะสมรุ่นปู่

Image

ก่อนปี ๒๕๐๐ รัฐบาลไทยเคยออกกฎหมายให้จักรยานสองล้อที่สัญจรบนถนนทุกคันต้องขึ้นทะเบียน จึงมี “ป้ายทะเบียน” เช่นรถทั่วไปและผู้ใช้ต้องมี “ใบขับขี่ ” ด้วย

จากเรื่อง “อาณาจักรเท้าถีบที่มีชีวิต” 
สารคดี ฉบับที่ ๓๘๙ กรกฎาคม ๒๕๖๐

4
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ ๒ เสรีไทย

๑๗๗ (หลังโรงแรมภราดร) ถนนยันตรกิจโกศล 
ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่
โทร. ๐-๕๔๕๑-๑๑๗๗

Image

การเรียนรู้เรื่องราวของประเทศเป็นหน้าที่ เป็นจิตสำนึกดีที่ทุกคนควรมี

คือแนวคิดของ ภุชงค์ กันทาธรรม บุตรชายของ ทอง กันทาธรรม อดีตหัวหน้าเสรีไทยสายแพร่ ผู้จัดตั้งหน่วยปฏิบัติการลับสืบความเคลื่อนไหวของกองทัพญี่ปุ่นในภาคเหนือ

พิพิธภัณฑ์นี้เล่าตั้งแต่จุดเริ่มเสรีไทยสายกลาง แสดงประวัติแกนนำเสรีไทยคนสำคัญ กำลังพลเสรีไทยสายแพร่อันเป็นพื้นที่จังหวัดเดียวในภาคเหนือที่มีขบวนการเสรีไทย ไปจนการรวมตัวเสรีไทยสายอเมริกา เล่ากลยุทธ์เสรีไทยสายอังกฤษ ก่อนจบวิกฤตด้วยการร่วมมือทางทหารและการเจรจาของเสรีไทยแพร่กับฝ่ายสัมพันธมิตร การทำลายล้างญี่ปุ่นด้วยระเบิดปรมาณู และจุดจบของสงครามโลกครั้งที่ ๒

หลายสิ่งจัดแสดงเป็นของจริงจากยุคสมัยนั้น เด็ดสุดคือ “ดาบซามูไร” และภาพหลักฐานพิธีมอบดาบโดยให้เสรีไทยแพร่เป็นตัวแทนรับมอบ ถือเป็นการประกาศสิ้นสุด-ญี่ปุ่นยอมแพ้ในเชิงสัญลักษณ์

Image

Image

วัตถุสงคราม-พยานวีรกรรมของเสรีไทย

จากเรื่อง “ดาบซามูไร พยานยุติสงครามญี่ปุ่น-เสรีไทยแพร่”
สารคดี ฉบับที่ ๔๐๓ กันยายน ๒๕๖๑

ภาคกลาง

5
พิพิธภัณฑ์ไข่นก

สวนนกชัยนาท หมู่ที่ ๔ ถนนพหลโยธิน ตำบลเขาท่าพระ อำเภอเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท
โทร. ๐-๕๖๔๗-๖๖๒๔

Image

โลกนี้มีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับสัตว์ปีกเยอะ แต่เรื่องราวของ “ไข่นก” แทบไม่มี

“สวนนกชัยนาท” จึงสถาปนาตนเป็นศูนย์กลางรวบรวมไข่นกสารพัดชนิดจากทั่วโลกมาจัดแสดงวงจรชีวิตของนก ทั้งไข่กาอเมริกัน ไข่เหยี่ยวออสเปรย์ ไข่นกคิลล์เดียร์ ไข่นกเกรย์แคตเบิร์ด ไข่นกสครับเจย์ ไข่นกฟินซ์ ไข่นกโรบิน ไข่นกคาร์ดินัล ไข่นกอินทรีทอง ฯลฯ กระทั่งที่พบในไทยอย่าง
ไข่นกเขา ไข่นกเอี้ยง ไข่นกหัวขวาน ไข่นกเรเวน ไข่นกกระเรียน ไข่นกกระสาเทา ไข่นกกระยาง ไข่นกแสก ฯลฯ
ดูแล้วเพลิดเพลินทั้งขนาดใหญ่-เล็ก ทรงกลม-รี ลวดลายริ้ว-จุด สีสันขาว ครีม ส้ม น้ำตาล เขียว ฟ้า ดำ ฯลฯ

คุ้มค่าสายตาคือตัวอย่างจำลอง “ฟอสซิลไข่นกช้าง” กว้างเกือบ ๙ นิ้ว ยาวราว ๑๖ นิ้ว หนักประมาณ ๑๐ กิโลกรัม จากนกขนาดใหญ่สุดในโลกที่สูงถึง ๑๐ ฟุต และหนัก ๖๐๐ กิโลกรัม ซึ่งเคยมีอยู่จริงบนเกาะมาดากัสการ์ก่อนสูญพันธุ์เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ จัดวางเทียบ “ไข่นกฮัมมิงเบิร์ด” เจ้าจิ๋วประจำถิ่นทวีปอเมริกาที่ลำตัวยาวสุดไม่เกิน ๓-๕ นิ้ว และหนักน้อยกว่า ๒ กรัม ไข่ของมันจึงยาวเพียงเมล็ดกาแฟ ได้ชื่อว่ามีขนาดเล็กที่สุดของไข่นกทั้งหมดในโลกนี้...ใครเห็นก็ตกหลุมรัก

Image

ใบซ้ายสุดคือฟอสซิลไข่นกช้างมีความสูงถึง ๓๓ เซนติเมตร และเส้นรอบวงมีขนาดราว ๙๐ เซนติเมตร ถือเป็นไข่นกยักษ์ที่ใหญ่สุดในโลก

จากเรื่อง “ไข่จิ๋ว ไข่ยักษ์ อัญมณีน่ารักจากวิหค” 
สารคดี ฉบับที่ ๔๗๓ สิงหาคม ๒๕๖๗

6
พิพิธภัณฑ์บัว

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ๓๙ หมู่ที่ ๑ ถนนรังสิต-นครนายก ตำบลคลองหก อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี โทร. ๐-๒๕๔๙-๓๐๔๐-๔๕

Image

ไทยโชคดีอยู่ในภูมิประเทศที่เอื้อต่อการเติบโตของบัวหลายสายพันธุ์

เพราะวิถีบัวจะพักตัวสะสมอาหารช่วงอากาศเย็น ค่อยผุดดอกเมื่อฤดูอบอุ่นมาเยือน การปลูกบัวแถบเมืองหนาวจึงไม่ง่าย ทำให้ประเทศเขตร้อนได้เปรียบด้านปรับปรุงสายพันธุ์

เสน่ห์ของที่นี่คือรวมบัวกว่า ๓๐๐ สายพันธุ์ทั่วโลก ทั้งสกุลบัวหลวง บัวสาย และบัวฝรั่งหลากพันธุ์ย่อยหลายสีสัน ทั้งขาว เหลือง ชมพู ส้ม แดง ม่วง ฯลฯ ของดีคือ “บัวจงกลนี” สีชมพูหวานที่ได้รับเชิดชูเป็น “บัวชนิดใหม่ของโลก” ไม่เพียงพบได้เฉพาะถิ่นไทย ยังรอดยากเพราะสายพันธุ์นี้อ่อนไหวต่อแหล่งน้ำ จึงถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูญพันธุ์ และได้รับยกย่องเป็น “สายพันธุ์มหัศจรรย์ของพิพิธภัณฑ์”

ทั้งหมดล้วนจัดแสดงบนพื้นที่กลางแจ้งขนาด ๑๘ ไร่ บ้างลอยในสระ บ้างอยู่ในบ่อ

ประดับประดาให้พื้นที่ดูน่ารักราวหลุมจานสียักษ์ที่ธรรมชาติ-มนุษย์ร่วมเป็นจิตรกร

Image
Image

ไม่เพียงทำหน้าที่รวมพันธุ์บัวซึ่งได้รางวัลระดับโลกจากนักปรับปรุงพันธุ์ ทั้งของคนไทยและต่างชาติมาปลูกเพื่ออนุรักษ์ พิพิธภัณฑ์ยังเพียรปรับปรุงพันธุ์บัวถิ่นไทยเพื่อส่งเข้าประกวดเองด้วย

จากเรื่อง “จานสีน่ารัก สวรรค์ของนักรักบัว” 
สารคดี ฉบับที่ ๔๖๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗

7
พิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์
กรมราชทัณฑ์

๒๒๒ ถนนนนทบุรี ๑ ตำบลสวนใหญ่ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี โทร. ๐๖-๕๒๙๑-๐๕๑๘

Image

Image

การลงทัณฑ์แต่ละยุคมีวิธีทรมานที่ไม่เป็นความลับเพื่อข่มให้คนหลาบ

และที่นี่ก็รวมประวัติศาสตร์กฎหมายทารุณตั้งแต่ยุคก่อนรัชกาลที่ ๕ จวบปัจจุบันมาแสดงความรู้ จำลอง “ตะราง” สถานกักนักโทษคดีเล็กน้อย กับ “คุก” ที่คุมขังนักโทษความผิดเบา-หนักตั้งแต่ ๑๕ วันถึงตลอดชีวิต แล้วต่อด้วยบทบาทงานราชทัณฑ์ อุปกรณ์ที่ใช้ตั้งแต่ยังเป็นคบเพลิงส่องทางเมื่อจะนำนักโทษประหารออกจากคุกลงเรือไปตัดหัวที่วัดให้ทันย่ำรุ่ง, ดาบที่เพชฌฆาตเคยใช้, เครื่องแบบเพชฌฆาต, เครื่องลงทัณฑ์ที่รับจากเรือนจำทั่วประเทศ เช่น ตะโหงก ขื่อ คา สมอบก เบ็ดเหล็ก ค้อนตอกเล็บ ไม้ บีบขมับ ฯลฯ

แต่หลากรสทรมานใดก็ยังเทียบยากกับความสยองของ “ตะกร้อช้างเตะ” จากเรือนจำกลางนครราชสีมา สานด้วยหวายขนาดใหญ่พอให้คนเข้าไปนั่งคุดคู้ ตอกตะปูด้านในเป็นระยะ แล้วให้ช้างเตะกลิ้งไปมา สร้างความเจ็บปวดจากการถูกเหล็กแหลมทิ่มอัด

แม้อยู่ในฐานะเครื่องทรมาน แต่ผู้ถูกลงทัณฑ์มักตายเฉกเครื่องประหาร

Image

เครื่องมือลงทัณฑ์หลายชิ้นไม่เคยจัดแสดงที่ไหนมาก่อน แต่ทุกชิ้นล้วนเป็นของจริงจากอดีตกาลในสถานที่ท่องเที่ยวร่วมสมัย

จากเรื่อง “การคุก การลงทัณฑ์ กาลเวลา”
สารคดี ฉบับที่ ๔๖๓ ตุลาคม ๒๕๖๖

8
พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้

๓๑๕ ถนนสามเสน ซอย ๒๘ (แยกซอยองครักษ์ ๑๓) เขตดุสิต กรุงเทพฯ โทร. ๐-๒๖๖๙-๓๖๓๓-๔

Image

Image

การมาที่นี่คล้ายคืนความทรงจำวัยเด็กที่เราต่างเคยเล่น-ชิม “ดอกไม้”

บางทีเด็ดมารูดเกสรดูดน้ำหวาน บางดอกเก็บไปเล่นหม้อข้าวหม้อแกง นึกครึ้มก็ร้อยเป็นสร้อยคอ โมไบล์ พอโตมาเลิกเล่นจึงเหินห่าง ขณะที่ สกุล อินทกุล ศิลปินนักจัดดอกไม้ไม่ยอมให้ดอกไม้หายจากวิถีประจำวันจึงนำมารังสรรค์ผลงานประติมากรรมทันสมัยเสมอ แล้วรวบรวมเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์ดอกไม้ในพิธีการต่าง ๆ ของนานาชาติมาจัดแสดงในเรือนสองชั้นทรงโคโลเนียลอายุนับร้อยปี

น่าสนใจทั้ง “สายสะพายดอกไม้สด” ของไทยสมัยโบราณ, “ต้นดอกไม้” ในเทศกาลสงกรานต์ของชาวจังหวัดเลย, ศิลปหัตถกรรมดอกไม้สด “ภาพพระอินทร์และดวงตรานพรัตน์ดาราสี่ดวง” ที่ประดับหน้าโต๊ะเสวยในหลวงรัชกาลที่ ๙ ในงานพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำแด่พระประมุขต่างประเทศ, “ตำราจัดดอกไม้” ของญี่ปุ่นอายุ ๒๐๐ กว่าปี, “มงกุฎดอกไม้” ในวัฒนธรรมบาหลี ฯลฯ

มาที่นี่ไม่ใช่แค่ได้เห็นดอกไม้แห้งนานา ศึกษาวิธีการนำดอกไม้เหล่านั้นมาขึ้นรูปเป็นงานศิลปะโดยเย็บ ปัก ถัก ร้อย ผูก มัด จัดเรียง ติดกาว ฯลฯ นอกอาคารยังมีดอกไม้ไทยโบราณอย่างดาวเรือง พุด รัก มะลิ ให้ชื่นชมและสูดดมกลิ่นหอม บางโอกาสก็มีกิจกรรมดื่มชาดอกไม้ในสวนดอกไม้ด้วย

Image

Image

Image

จากเรื่อง “หวนกลิ่นวัฒนธรรมผ่านกลีบดอกไม้”
สารคดี ฉบับที่ ๓๘๖ เมษายน ๒๕๖๐

9
พิพิธภัณฑ์พัฒน์พงศ์

อาคารเลขที่ ๕ ชั้น ๒ พัฒน์พงศ์ซอย ๒ เขตบางรัก กรุงเทพฯ โทร. ๐๙-๑๘๘๗-๖๘๒๙

Image

Image

จากนี้สรรพสิ่งใน “พัฒน์พงศ์” จะไม่ใช่เรื่องต้องกระซิบ

รางวัล “พิพิธภัณฑ์เพื่อชุมชนและสังคม” ที่ได้รับจาก Museum Thailand Award 2021 ตัดสินโดยผลโหวตของคนทั่วโลกที่เข้าชม Trip Advisor ภาคภูมิพอการันตีฐานะแหล่งเรียนรู้ สร้างสรรค์ ฉลาดนำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ผ่านวิธีทันสมัยและเซ็กซี่ ให้เวลาเสพเรื่องที่พูดยากถึง ๓ ทุ่ม ยังยกบาร์เครื่องดื่มเคล้าดนตรีมาขับกล่อมขณะชมโชว์อะโกโกด้วยเทคนิคเสมือนจริง ภายใต้เงื่อนไขที่สงวนให้เข้าเฉพาะผู้มีอายุถึง ๑๘ ปี

โลกหลังบาร์ชวนว้าวต่อกับ “ประวัติศาสตร์ในร่างกายสตรี” ซึ่งเกิดขึ้นจริงทั่วโลกก่อนดังที่พัฒน์พงศ์ช่วงสงครามเวียดนาม ผ่านกิจกรรม “fucking shows” ที่นักแสดงต้องชำนาญการใช้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานบดกล้วย, เปิดฝาขวด,
จับตะเกียบคีบของ, เก็บปลาทองไว้ข้างในก่อนใช้แรงลมขับออกมาใส่ชามโดยปลายังมีชีวิต, สอดลูกโป่งแล้วเป่าลมให้ผู้เล่นปาลูกดอก ฯลฯ น่าสนใจ “ปิงปองโชว์” ซึ่งโด่งดังในภาพลักษณ์อนาจาร แต่พิพิธภัณฑ์ออกแบบให้ผู้มาเยือนสัมผัสประสบการณ์อย่างไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยน

คุณค่าแง่ประวัติศาสตร์สังคม ที่นี่เหมาะกับผู้สนใจรากเหง้า-วิถีมนุษย์อันมีเอกลักษณ์ของชาวกรุงผ่านมุมมองศิลปะ+เทคโนโลยีที่แสดงเรื่องราวได้สวยงามตื่นตาตื่นใจไม่แพ้หอศิลป์

เป็นสถานเล่าประวัติศาสตร์นอกตำราสำหรับคนที่ไม่กล้าสัมผัสของจริง

Image

Image

เมนูนำเสนอวัฒนธรรมเซ็กซี่ที่เกิดในยุคสงครามเย็นผ่านสถานเริงรมย์ย่านพัฒน์พงศ์ ที่ตั้งของ “บาร์อะโกโก” แห่งแรกในไทย

จากเรื่อง “Ping Pong Patpong”
สารคดี ฉบับที่ ๔๔๕ เมษายน ๒๕๖๕

10
พิพิธภัณฑ์ปลากัดไทย

๑๘/๑ หมู่ที่ ๓ ถนนเพชรหึงษ์ ตำบลบางกะเจ้า อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
โทร. ๐๙-๐๓๒๓-๙๑๙๗

Image

สิ่งที่ดูเหมือนธรรมดา ถ้าเรามีเวลาละเลียดกับมันก็จะพบความงดงาม

อย่างการจัดแสดงปลากัดไว้ใต้ถุนบ้านไม้ในสวนแทนที่จะสร้างอาคารสวยแบบอะควา-เรียม เพราะเจ้าของต้องการสะท้อนระบบนิเวศดั้งเดิมของสัตว์ ไม่ใช่แค่มาดูปลา แต่ได้นั่งรับลม เสพถิ่นอาศัยแบบชนบทของปลาด้วย ที่นี่จึงไม่เน้นรวบรวมสายพันธุ์แปลก หายาก หรือสวยจัด แต่เน้นอนุรักษ์ปลาพื้นถิ่นจำพวกปลากัดหม้อ ปลากัดลูกทุ่ง ปลากัดมหาชัย ฯลฯ ซึ่งเคยถือกระชอนหาช้อนง่ายตามห้วย หนอง คลอง บึง

ด้วยจัดแสดงปลาในโหลใบเล็ก ผิวเผินจึงดูเหมือนมีจำนวนน้อย แต่สำหรับผู้สนใจแค่นี้ก็เพลินมาก เพราะแต่ละตัวเคลื่อนไหวต่างกัน ปลากัดเก่งมักว่ายว่องไว ส่วนปลาสวยงามจะกรีดกรายครีบขณะว่ายไปเรื่อย ๆ ซึ่งแต่ละชนิดก็ล้วนน่าสนใจ ต้องคอยจังหวะเวลาอย่าง “ปลากัดหางพระจันทร์เสี้ยว” พอว่ายไปสักพักจะคลี่หางเป็นครึ่งวงกลม หรือ “ปลากัดหูช้าง” ก็น่ารักที่ใบหูขนาดใหญ่ ต้องค่อย ๆ ว่ายเลียบไปตามขวด ถ้าเดินชมแบบผ่านตาปราดเดียวก็คงเห็นแค่เป็นปลากัด

แต่ถ้าเป้าหมายแรกคือมาดูสิ่งมีชีวิต ที่นี่คือรากเหง้าแท้ ๆ ของมัน

Image

ความมหัศจรรย์ของลูกปลากัดแต่ละครอกคือการผสมสีที่ต่างกันของพ่อ-แม่ เป็นสีใหม่ของตนที่ไม่อาจคาดเดาได้ เป็นศิลปะจากธรรมชาติที่สร้างความสนุกให้ผู้เลี้ยง

จากเรื่อง “แอบดูเขาก่อหวอดพลอดรัก”
สารคดี ฉบับที่ ๔๐๙ มีนาคม ๒๕๖๒

ภาคตะวันออก-ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

11
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ 
บ้านเชียง

หมู่ที่ ๑๓ ถนนสุทธิพงษ์ ตำบลบ้านเชียง 
อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี
โทร. ๐-๔๒๒๓-๕๐๔๐ และ ๐-๔๒๒๓-๕๐๔๑ 

Image

ในไทยมีสถานที่มากมายอวดผลงานของนักโบราณคดี

แต่น้อยนักที่แสดงเบื้องหลังการทำงานของอาชีพที่มีความหมายต่อมนุษยชาติ พวกเขามีความเป็นนักผจญภัยพอกับนักวิทยาศาสตร์ สำรวจโลกใต้ผืนดินเพื่อค้นหาร่องรอยประวัติศาสตร์ผ่านวัตถุที่หลับใหลใต้พื้นพิภพนับพันนับหมื่นปี แล้วนำขึ้นมาค้นหาความหมายสู่การทำความเข้าใจอดีตของมนุษย์

ภายในอาคารพิพิธภัณฑ์แบ่งนิทรรศการไว้เก้าส่วนโดดเด่นที่เรื่องราวค้นพบหลักฐานโบราณวัตถุที่บ้านเชียงซึ่งมีแหล่งขุดค้นถึง ๑๒๗ แหล่ง กระจายตามลุ่มน้ำสำคัญในอุดรธานี สกลนคร และหนองคาย

นอกจากนี้ยังมีสิ่งน่าสนใจไม่แพ้กันคือ การจำลองบรรยากาศ “หลุมขุดค้นทางโบราณคดี” สภาพเสมือนจริงเพื่อแสดงกระบวนการ “สำรวจ” เดินเสาะหา ตรวจตราจากภาพถ่ายทางอากาศ ศึกษาจากศิลาจารึก จดหมายเหตุพงศาวดาร ฯลฯ กระทั่งแน่ใจในตำแหน่งบริเวณจึงวางแผน “ขุดค้น” อย่างระมัดระวังที่สุดเพื่อไม่ให้ทำลายหลักฐานประวัติศาสตร์อันเปราะบางที่ทับถมอยู่ในดินมาหลายพันปี

เวลาที่เราชมผลสำเร็จ อาจนึกไม่ออกว่าเบื้องหลังพวกเขาต้องเชี่ยวชาญเพียงใดจึงสังเกตเห็นกระทั่งซากเล็ก ๆ บางส่วนว่าเป็นโบราณวัตถุของอะไร ยุคใด และเพื่อไม่ให้ร่องรอยของอารยธรรมอดีตตกหล่นจากความทรงจำก็ต้อง “บันทึก” อย่างละเอียด ทั้งเขียน วาด และถ่ายภาพประกอบ หน้าที่ไม่ได้จบแค่นั้น ยังต้องนำหลักฐานไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ ยากสุดคือขั้นตอน “แปลความหมาย” ใช้ทักษะตีโจทย์และวางตัวอย่างไร้อคติในเรื่องชาตินิยมเพื่อการตีความอย่างสมบูรณ์ ก่อนเขียนรายงาน จัดพิมพ์เผยแพร่ และแสดงนิทรรศการโบราณวัตถุที่ค้นพบเพื่อสรุปเรื่องราวของมนุษย์ยุคนั้น

ไม่ง่ายที่ใครจะได้ร่วมผจญภัยภาคสนามกับนักโบราณคดี แต่เป็นไปได้ที่นี่

จากเรื่อง “นักโบราณคดี วิชาชีพไขปริศนาในพื้นพิภพ”
สารคดี ฉบับที่ ๔๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๒

12
พิพิธภัณฑ์สิรินธร

๒๐๐ หมู่ที่ ๑๑ ตำบลโนนบุรี อำเภอสหัสขันธ์ 
จังหวัดกาฬสินธุ์ โทร. ๐-๔๓๘๗-๑๐๑๔ 
และ ๐-๔๓๘๗-๑๖๑๒-๖

Image

เพราะทุกเรื่องในโลกมีความสำคัญเชื่อมโยงถึงกัน

เมื่อพบหลักฐานฟอสซิลใดจึงไม่ใช่แค่ได้รู้รากเหง้าตนแต่การศึกษาเรื่องการสูญพันธุ์ในอดีตจะนำไปสู่การต่อยอดทางวิทยาศาสตร์ว่าสิ่งที่เคยมีหายไปได้อย่างไร สิ่งที่เหลือรอดจะมีโอกาสเกิดซ้ำรอยไหม

ด้วยฐานะศูนย์ศึกษาวิจัยและสถานเก็บรักษาจึงตั้งใจออกแบบความรู้หลายระดับให้พิพิธภัณฑ์เป็นมากกว่าที่ท่องเที่ยว เพื่อคนทั่วไปสามารถเข้าใจความรู้ได้ง่าย คนที่มีอาชีพโดยตรงอย่างนักบรรพชีวินวิทยา นักธรณีวิทยา หรือนักสัตววิทยา ก็ยังศึกษาข้อมูลเชิงลึกได้ เป็นตำราที่อ่านไม่หมดแม้มาหลายครั้ง

น่ารู้ทั้งเรื่องการเกิดพืช-สัตว์แต่ละยุค สมัยบรรพบุรุษมนุษย์เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดจิ๋วที่ใช้ชีวิตหลบซ่อนจากคมเขี้ยวของไดโนเสาร์สารพัดสายพันธุ์ เฉพาะแผ่นดินอีสานก็พบสายพันธุ์ที่ไม่ซ้ำใครในโลกเพียบ  ที่ไม่ค่อยรู้กันคือพบหลักฐาน “ฟันกรามแพนด้ายักษ์” อายุราว ๒ แสนปี ที่ถ้ำวิมานนาคิน จังหวัดชัยภูมิ รวมถึงฟอสซิลหมาป่าไฮยีนา  บ่งชี้ว่าเมื่อแสนปีภาคเหนือและอีสานเคยมีอากาศหนาวจัด  อ่าวไทยเมื่อหมื่นปีเป็นทุ่งหญ้าสลับพื้นที่ป่าสะวันนา มีเขตไผ่อบอุ่นเป็นอาหารแพนด้ายักษ์ ครั้นน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือละลายท่วมเป็นน้ำทะเลหนุนสูง พื้นที่สะวันนาจึงหายไปกับไฮยีนากลายเป็นอ่าวไทย

การเรียนรู้วิถีสัตว์ดึกดำบรรพ์ไม่เพียงได้ดื่มด่ำความอัศจรรย์ของสัตว์แต่ละยุคสมัย ยังสะกิดให้คิดว่าไดโนเสาร์อาจไม่ได้สูญพันธุ์ไปหมด ทุกวันนี้มนุษย์อาจใช้ชีวิตร่วมกับไดโนเสาร์โดยไม่รู้ตัว

Image

ซากขนาดยักษ์ของ อีลาสโมซอรัส พลาทิยูรัส สัตว์เลื้อยคลานทะเล หัวเล็กแต่คอยาวถึง ๑๓ เมตร

จากเรื่อง “ซากดึกดำบรรพ์เล่าเรื่องปัจจุบัน” 
สารคดี ฉบับที่ ๔๓๙ ตุลาคม ๒๕๖๔

13
พิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์

๑๘๔ ถนนมิตรภาพ-หนองปลิง หมู่ที่ ๗ บ้านโกรกเดือนห้า ตำบลสุรนารี อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา 
โทร. ๐-๔๔๓๗-๐๗๓๙-๔๑

Image

คล้ายได้ลอดอุโมงค์สู่ยุคไมโอซีนเมื่อ ๖-๗ ล้านปีก่อน

สมัยบรรพกาล “ที่ราบลุ่มแม่น้ำมูล” เป็นป่าดิบชื้นริมแม่น้ำสายใหญ่ บางส่วนเป็นบึงที่ลุ่มริมแม่น้ำ บ้างเป็นทุ่งหญ้าติดป่าดงดิบ ความอุดมสมบูรณ์ต่อเนื่อง ๑๐ ล้านปี ทำให้มีสัตว์ใหญ่อพยพมาอาศัยมากมาย อย่างเต่าขนาด ๑-๒ เมตร หรือช้างสูง ๔ เมตร ซึ่งมีหลักฐานที่สถาบันวิจัยไม้กลายเป็นหินและทรัพยากรธรณี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา

ตามจริงที่นี่เน้นนำเสนอเรื่องช้างดึกดำบรรพ์ของจังหวัดนครราชสีมาเป็นหลัก เพราะในแหล่งดูดทรายริมแม่น้ำมูล ตำบลท่าช้าง และตำบลช้างทอง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ เคยเป็นถิ่นของช้างมากถึง ๑๐ สกุล (จาก ๔๔ สกุลทั่วโลก)  แต่ถ้าใครชอบมองหาของดีนอกกรอบก็มีซากฟันและกระดูกสัตว์ดึกดำบรรพ์อื่นให้ชม เช่น เต่ายักษ์ แรดไร้นอ ฮิปโปโปเตมัส ม้าฮิปปาเรียน แอนทราโคแทร์ กวางแอนติโลป ยีราฟคอสั้น หมูป่าโบราณ เสือเขี้ยวดาบ ฯลฯ ซึ่งโดยมากเป็นกลุ่ม “สัตว์ดึกดำบรรพ์ชนิดใหม่ของโคราช”

หนึ่งในนั้นคือ “ขากรรไกรล่างพร้อมฟัน” ขนาด ๕ เซนติเมตรของ “เอปโคราช” ลิงใหญ่ไร้หาง พบหลักฐานปี ๒๕๔๕ ริมแม่น้ำมูล ตำบลท่าช้าง เป็นฟอสซิลเอปชนิดแรกที่มีกรามเฉพาะตัว คือหนามาก ความย่นของเคลือบฟันคล้ายอุรังอุตังในปัจจุบัน ไม่มีกล้ามเนื้อที่ใช้เปิด-ปิดปากใต้กรามส่วนหน้า และกรามก็โค้งเป็นรูปตัวยูแบบมนุษย์ ฟอสซิลนี้ยืนยันแล้วว่าเป็นเอป “สกุลใหม่และชนิดใหม่ของโลก”

Image

ฟอสซิลนี้จัดแสดงข้างหุ่นจำลองเอปด้วยขนาดเทียบเท่า
ตัวจริง ซึ่งคาดว่ามีน้ำหนักตัว ๗๐-๘๐ กิโลกรัม

จากเรื่อง “ฟอสซิล ‘เอปสายพันธุ์ไทย’ สกุลใหม่และชนิดใหม่ของโลก”
ภาพ : ณัฐฐินี ศิริจันทร์  สารคดี ฉบับที่ ๔๑๙ มกราคม ๒๕๖๓

14
พิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร

๓๒/๗ หมู่ ๑๒ ถนนปราจีนอนุสรณ์ ตำบลท่างาม อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี โทร. ๐-๓๗๒๑-๓๖๘๑

Image

แล้วจะหลงรักยาไทยโบราณเมื่อมาเยือนมุมนิทรรศการบุณยะรัตเวช

จัดแสดงเภสัชภัณฑ์และเคมีภัณฑ์ที่ใช้รักษาโรคของโรงงานผลิตยาสมุนไพร “ตราม้า” มาตั้งแต่สมัย “ขุนทรงสุขภาพ (นพ. ทรง บุณยะรัตเวช)” ยังมีชีวิต ภายหลังทายาทนำของสำคัญบางส่วนมอบให้พิพิธภัณฑ์จัดแสดงเพื่อการศึกษา เช่น ยาหอมสุคนธโอสถ ยาอุทัย ยาสตรี ยาประสะระย่อม ยาเม็ดปิดทองคำ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ยังมีอุปกรณ์-เครื่องใช้ทำยาลูกกลอน หม้อต้มยา ตู้เก็บยาสมุนไพร ฯลฯ หลายสิ่งไม่สามารถพบเห็นได้จากร้านขายยาสมุนไพรโบราณที่ใดอีก

แนะนำให้มองหา “โอ่งบรรจุสมุนไพรสำหรับหมักทำน้ำยาอุทัย” เป็นโอ่งวิเศษที่หมอยาใช้บันดาล “เครื่องยา” ให้เป็น “เครื่องดื่ม” บำรุงเลือด ด้วยวิธีพัฒนา “ยาลมผสมยาเลือด (ยาหอมบำรุงกองลมละลายน้ำฝาง)”  ด้วยโอ่งใบนี้หมักสมุนไพรนับร้อยชนิดมายาวนานตั้งแต่ปี ๒๕๑๐ ทำให้เกิดกลิ่นหอมมาก เจ้าหน้าที่เล่าว่าหลังหมดเวลาทำการพิพิธภัณฑ์จะปิดประตูห้องมิดชิด แล้วพอเปิดประตูอีกครั้งกลิ่นหอมแรงของน้ำยาอุทัยที่ผ่านการหมักในโอ่งมาครึ่งศตวรรษก็จะตลบอบอวลทั่วห้องทุกเช้า

เป็นทั้งความสดชื่นใจและขนลุกในพลังของสมุนไพรโบราณไปในตัว

Image

หลักการปรุงยาตามตำรับแผนโบราณต้องใส่ใจภาชนะบรรจุด้วยเมื่อปรุงเสร็จเรียบร้อยจะเขียนชื่อยา ขนาด วิธีใช้สรรพคุณ และวันเวลาที่ปรุงยา

จากเรื่อง “มรดกหยูกยาจากบุณยะรัตเวช”
สารคดี ฉบับที่ ๓๙๐ สิงหาคม ๒๕๖๐

ภาคตะวันตก

15
พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น
อำเภออุ้มผาง 

หมู่ที่ ๑ ตำบลอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก โทร. ๐๘-๖๒๑๓-๑๓๘๙ และ ๐๘-๑๗๒๗-๐๐๕๓

Image

สถานท่องเที่ยวใดมีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ควรเยี่ยมชมก่อนเที่ยวชุมชน

นอกจากรู้เกร็ดเรื่องราวของพื้นที่นั้นยังจะได้เข้าใจความเป็นอยู่ของคนพื้นที่

อย่างชื่อเมืองอุ้มผาง สนุกดีที่รู้ว่ามาจากคำเรียก “อุผะ” ซึ่งชาวกะเหรี่ยงชายแดนทั้งปกาเกอะญอและโผล่งหมายถึงกระบอกไม้ไผ่ใส่เอกสารเดินทาง  ยังมีเรื่องเล่าย้อนไปครั้งอุ้มผางเคยเป็นฐานที่ตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยตั้งแต่ปี ๒๕๑๔-๒๕๒๗ จึงมีการจัดแสดงเงินตรา เครื่องแต่งกาย เครื่องมืออาชีพ เครื่องใช้ครัวเรือน อาวุธ อุปกรณ์การแพทย์ ฯลฯ ของอดีต “สหาย”

ในบรรดาสิ่งแสดงอัตลักษณ์กะเหรี่ยง “เตหน่า” จัดว่าน่าสนใจ เป็นเครื่องดนตรีโบราณคล้ายพิณ รับมอบจากชาวบ้านยะโม่คี-ห่างตัวเมืองอุ้มผาง ๒ กิโลเมตร เล่ากันว่าสมัยก่อนหนุ่มกะเหรี่ยงจะเสาะหาไม้ป่าที่หมายตา พอคืนพระจันทร์เต็มดวงจะตัดไปฝังดินบนทางสามแพร่ง ครบ ๗ วันก็ขุดกลับบ้านมาเหลาทำฐาน แล้วรอจันทร์เต็มดวงปีถัดไปจึงเข้าป่าหาไม้ลักษณะโค้งสวยมาทำคัน จนจันทร์เต็มดวงปีที่ ๓ จึงตัดเถาวัลย์ “จอจื่อ” ปอกเปลือกลอกเส้นใยข้างในมาทำสายด้วยเชื่อว่าพืชชนิดนี้ให้เสียงไพเราะเยือกเย็น  เตหน่าแต่ละตัวของคนโบราณจึงใช้เวลาประดิษฐ์ถึง ๓ ปี บางคนใส่ของศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อไว้ในฐานด้วย เสริมคุณค่าทางจิตวิญญาณให้เหนือเครื่องดนตรีอื่นใด  หนุ่มโสดมักหยิบเตหน่ามากรีดนิ้วบนเส้นสายคลอเพลง “อื่อธา” เกี้ยวสาว  ส่วนผู้เฒ่าใช้ดีดประกอบการเล่านิทานสอดแทรกคติสอนใจแก่ลูกหลาน

เตหน่าไม่มีขายทั่วไป อยากได้ต้องสั่งทำกรณีพิเศษ ซึ่งก็หาคนทำเป็นน้อยเต็มที

Image

จากเรื่อง “‘เตหน่า’ ราชาพิณกะเหรี่ยง”
สารคดี ฉบับที่ ๓๙๕ มกราคม ๒๕๖๑

16
พิพิธภัณฑ์ปานถนอม 

๘/๑ หมู่ที่ ๑ บ้านหนองจิก ตำบลหนองปรง อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี โทร. ๐๘-๑๗๙๑-๗๖๖๑ และ ๐-๓๒๔๔-๖๔๔๔

Image

สถานที่เล่าเรื่องลาวโซ่งอาจมีหลายแห่ง แต่ที่นี่เน้นความถูกต้องแบบดั้งเดิม

โดยเฉพาะเรื่องการแต่งกายที่ ถนอม คงยิ้มละมัย ผู้เปิดบ้านเป็นพิพิธภัณฑ์ถือเป็นอัตลักษณ์เด่นสุด  เธอเป็นลูกหลานลาวโซ่ง เกิดในตำบลหนองปรง อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี จบปริญญาตรีเป็นคนแรกของตำบล  การจัดแสดงของเธอไม่เพียงให้คุณค่าความสำคัญของวิถีชาติพันธุ์ ยังตั้งใจให้ทุกอย่างเป็นธรรมดาที่สุด ไม่แปลกปลอมด้วยวัฒนธรรมใหม่ที่แทรกซึม แต่ก็ออกมาน่ารัก เริ่มจากประดับสถานที่ด้วยธงฝ้ายย้อมสีตามเอกลักษณ์ที่ชาวโซ่งนิยมทอผ้า (คือนอกจากขาว-ดำเป็นหลัก สีอื่นจะใช้เพียงเขียว เหลือง และแดง) เพื่อนำสายตาสู่อาคารพิพิธภัณฑ์ซึ่งดัดแปลงจากบ้านไม้หลังใหญ่ที่ตนเคยอาศัย ใต้ถุนเล่าประเพณีตั้งแต่การเกิด, เสนเรือน (ทำบุญให้บรรพบุรุษ), ปานขวัญ (ทำขวัญ), พิธีศพ ฯลฯ ไปจนแสดงงานหัตถกรรมต่าง ๆ

เด่นสุดคือเครื่องแต่งกายที่สาวลาวโซ่งซ่อนความรู้สึกไว้ในลายผ้าอย่างแยบคาย ผิวเผินอาจไม่เห็นว่ามีลวดลายบนลายผ้า เพราะความจริงพวกเธอสวมใส่ด้านที่มีลายน้อยไว้ด้านนอก เก็บด้านที่มีลายมากไว้ด้านใน จะกลับด้านออกมาเปิดเผยก็ต่อเมื่อเจ้าของเสียชีวิตแล้วนำมาคลุมศพ อย่าง “ชุดเจ้าสาวผัวหนุ่ม” “ชุดเจ้าสาวผัวพ่อม่าย” “ชุดไว้ทุกข์เมื่อผัวตาย” ฯลฯ

แสบทรวงสุดคือกลวิธีระบายอารมณ์ผ่าน “ชุดแช่งแม่ผัว” เมื่อสะใภ้ขุ่นแค้นใจจัดเธอจะนุ่งซิ่นโดย “กลับตีนซิ่นที่ปรกติสวมด้านล่างขึ้นไว้ด้านบน” ง่ายแค่นั้น แต่แม่ผัวเห็นก็เข้าถึงความคิดทันที ปัจจุบันไม่มีการสวมชุดลักษณะนี้แล้ว คนรุ่นสุดท้ายที่ทันนุ่งมีอายุไม่น้อยกว่า ๗๐-๘๐ ปี

Image

จากเรื่อง “ซุกซ่อนบางสิ่งในซิ่นโซ่ง”
สารคดี ฉบับที่ ๔๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๒

ภาคใต้

17
พิพิธภัณฑ์เพอรานากัน ภูเก็ต

๑๒๔/๑ หมู่ที่ ๑ ถนนเทพกระษัตรี ตำบลศรีสุนทร อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต โทร. ๐-๗๖๓๑-๓๕๕๖

Image

อันที่จริงการจัดแสดงที่นี่เน้นเล่าวิถีกินอยู่ของชาวเพอรานากัน (หญิงภูเก็ตกับชายจีนฮกเกี้ยน)

นับแต่ยุคที่บรรพชนตั้งรกรากที่ภูเก็ตโดยเฉพาะถนนถลาง-อดีตย่านการค้า ก่อเกิดสถาปัตยกรรมผสานจีนกับตะวันตกอย่างชิโน-โปรตุกีส และแบบดั้งเดิมฉบับภูเก็ตกับปีนัง แต่ในบรรดาวัฒนธรรมสวยแปลกโดดเด่นสุดคงเป็น “วิวาห์บ้าบ๋า” ซึ่งแต่ละสิ่งอย่างในพิธีกรรมล้วนแฝงเกร็ดสนุก

ต้องตาต้องใจสุดยกให้มงกุฎ “ฮั่วก๋วน” ของเจ้าสาว ภาษาจีนฮกเกี้ยนหมายถึง “ดอกไม้ไหว” เพราะที่ฐานสูงด้านบนจะประดับดอกไม้เล็ก ๆ ๑๒ ดอก (เชื่อมโยงแนวคิด ๑๒ นักษัตร) ทำจากดิ้นเงินดิ้นทองระยิบระยับและมีเกสรดอกไม้ยาวเพื่อให้เกิดความสั่นไหว-วัดระดับความเขินอายของเจ้าสาว

ภูเก็ตเคยเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านการจัดงานวิวาห์บ้าบ๋าหมู่ประจำปี น่าเสียดายที่ยกเลิกไปเพราะงานแต่งแบบนี้มีค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว ต้องเป็นผู้มีฐานะดีจึงจัดส่วนตัว เฉพาะเครื่องประดับศีรษะจดปลายเท้าของเจ้าสาวเกือบทั้งหมดก็มักทำด้วยทอง เงิน นาก เพชร เพชรซีก และไข่มุก ไม่รวมอุปกรณ์ประกอบพิธี  ชาวบ้าบ๋าจึงนิยมมาถ่ายพรีเวดดิ้งที่บาบ๋าสตูดิโอในพิพิธภัณฑ์นี้แทน ใช้หมู่ห้องจัดแสดงเป็นฉากจำลองวัฒนธรรมรากเหง้า ขาดเพียงแขกเหรื่อที่พร้อมใจสวมชุดพื้นเมืองบ่งบอกความเป็นเพอรานากัน

เป็นชีวิตชีวาที่ปัจจุบันหาชมยาก นอกจากโอกาสสำคัญของเมือง

Image

จากเรื่อง “มงกุฎดอกไม้ไหว เสน่ห์วิวาห์ของบ้าบ๋า” 
สารคดี ฉบับที่ ๔๐๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒

18
พิพิธภัณฑ์บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา ๑๒

หมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา ๑๒ ตำบลสุคิริน อำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส โทร. ๐๘-๗๙๖๗-๓๐๗๖ และ ๐๘-๘๓๙๓-๓๕๑๙

Image

...ก่อนสร้างสิ่งรำลึกใด ควรสร้างสถานเก็บข้อมูลที่ถูกต้องไว้ให้ลูกหลาน

เพื่อรับผิดชอบต่อประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา...

คือแนวคิดของผู้นำ “กรม ๑๐” ชาวมุสลิมที่บอกอดีตสมาชิกพรรคชาวมุสลิมด้วยกัน

นราธิวาสเป็นจังหวัดเชื่อมต่อประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย นอกจากเด่นเรื่องธรรมชาติ รู้กันว่าคนส่วนใหญ่ถือวัฒนธรรมมลายู และที่นี่เป็นผืนดินที่มีร่องรอยกู้ชาติของ “พรรคคอมมิวนิสต์มาลายา” หลังเหตุการณ์สงบและออกจากป่าฮาลา-บาลามาสร้างหมู่บ้าน อดีตสหายชาวมุสลิมจึงร่วมกันตั้งสถานจัดเก็บหลักฐานประวัติศาสตร์ ทั้งภาพถ่าย อาวุธยุทโธปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ ข้อมูลต่าง ๆ

สรรพสิ่งไม่ได้เรียงตามเกณฑ์ที่พิพิธภัณฑ์พึงมี เพียงจัดวางโดยใช้หัวใจที่ยังรู้สึกรู้สาต่อเหตุการณ์ในอดีต และยึดหลักระยะห่างง่าย ๆ ให้ดูสบายตา  อาจด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกเหมือนมาบ้านญาติผู้ใหญ่แล้วไล่สายตาดูข้าวของที่เจ้าบ้านเก็บรักษาในตู้กระจก ตั้งบนหลังตู้เก็บของ วางบนโต๊ะไม้ทำงาน ติดอยู่ข้างผนัง ฯลฯ เพื่อระลึกความทรงจำมากกว่าเดินอยู่ในพิพิธภัณฑ์

ผิวเผินอาจเสมือนพิพิธภัณฑ์เรียบง่าย ยากตรงวิธีสื่อหลักฐานความจริงอีกด้าน

เป็นข้อมูลของผู้ร่วมชะตาจากเหตุการณ์ค่ายในป่าลึกเมื่อครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา

Image

เครื่องพิมพ์ดีดชุดตัวอักษรยาวี และสื่อสิ่งพิมพ์ ภาษายาวี นำชุดอักษรอาหรับมาดัดแปลง สำหรับใช้สื่อสาร
การสงครามกับชาวมุสลิมที่พูดภาษามลายู

จากเรื่อง “บางสิ่งที่ซ่อนอยู่ใน ‘ชุดตัวอักษรยาวี’”
สารคดี ฉบับที่ ๔๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๓

19
พิพิธภัณฑ์คติชนวิทยา 

สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ
หมู่ที่ ๑ บ้านอ่าวทราย ตำบลเกาะยอ 
อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา
โทร. ๐-๗๔๕๙-๑๖๑๑-๒

Image

อยากชวนมาดู “ห้องวัฒนธรรมมะพร้าว” บนพื้นที่ของ “กลุ่มอาคารหลังคาบลานอ”

ว่าด้วยภูมิปัญญาชาวใต้ที่ผูกพันกับการใช้ประโยชน์จากต้นมะพร้าว ทั้งภาชนะจากกะลา เครื่องดนตรี เครื่องแต่งบ้าน เครื่องประดับเด็ดสุดยกให้มุมจัดแสดงเหล็กขูดนับร้อยตัวที่ล้วนผ่านการใช้สอยจริง

ในอดีตเหล็กขูดถือเป็นงานอวดฝีมือช่างของหนุ่ม ๆ ที่สนุกกับจินตนาการแปลงลำตัวสัตว์ ทำส่วนหัว-หางเป็นรูปสัตว์เลี้ยง สัตว์น้ำ สัตว์ป่า ไปจนหมีตะครุบหอย คนดึงหางเต่า ผู้ชายนอนหงาย ผู้หญิงนอนชันเข่า นอนตะแคง ฯลฯ สารพัดรูปแบบ แม้สะท้อนอารมณ์ทะเล้น-อัตลักษณ์ชาวใต้ แต่ใครจะเห็นเป็นอะไรย่อมขึ้นอยู่กับจินตนาการอันกว้างไกลตามพื้นฐานประสบการณ์ ความรู้ และอุปนิสัย

จึงไม่แปลกที่บางคนดูแล้วฉงน บ้างรีบเดินผ่าน ขณะบางคนเพ่งพินิจแล้วขบขัน

หากพยายามทำความเข้าใจสังคม เหล็กขูดบางตัวอาจกำลังสอนปรัชญาแก่ผู้พบเห็น

Image

จากเรื่อง “‘เหล็กขูด’ อารมณ์ขันสุดสยิวของชาวใต้”
สารคดี ฉบับที่ ๔๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓

20
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ปิยะมิตร

อุโมงค์ปิยะมิตร หมู่ที่ ๒ บ้านปิยะมิตร ๑ ตำบลตาเนาะแมเราะ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา โทร. ๐-๗๓๓๗-๘๐๕๕

Image

ไม่มากเกินจะเยินยอว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่ดีมาก

ตั้งแต่ส่วนจัดแสดงกลางแจ้งก่อนถึง “อุโมงค์ปิยะมิตร” ให้ความสำคัญแก่ทัศนียภาพป่าเขา สองข้างทางมากด้วยพรรณไม้ มีแอ่งน้ำไหลจากภูเขา ผู้มาเยือนคล้ายได้จำลองการเดินเข้าป่า สัมผัสวิถีเป็นอยู่ของชาวคอมมิวนิสต์ บ่มความรู้สึกให้มีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ แล้วนำทางสู่อุโมงค์อีกค่ายใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา (กลุ่มของ จางจงหมิง) ซึ่งสร้างบนเนินเขาปรกป่าทึบบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซียให้เป็นฐานปฏิบัติการ หลบภัยโจมตีทางอากาศ และสะสมเสบียง ชวนทึ่งว่าพวกเขาใช้เวลาเพียง ๓ เดือน ด้วยแรงงาน ๕๐ คน ขุดอุโมงค์ยาว ๑ กิโลเมตร กว้าง ๕๐-๖๐ ฟุต เพื่อจุสมาชิกพรรคกว่า ๒๐๐ คน ภายในมีทางเลี้ยวลัดไปห้องส่งวิทยุกระจายเสียง ห้องสื่อสิ่งพิมพ์ ห้องผลิตอาวุธสงคราม ห้องเก็บเสบียง ห้องเก็บของ ห้องนอน ฯลฯ แต่เมื่อออกจากอุโมงค์ แหงนมองด้านบนกลับเห็นเพียงป่าไม้ใหญ่ปกคลุม ไม่น่าแปลกที่เมื่อครึ่งศตวรรษจะสามารถพรางตาการลาดตระเวนจากเฮลิคอปเตอร์ของทหารไทยได้

ปลายอุโมงค์ด้านหนึ่งจัดแสดงนิทรรศการภาพถ่ายและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ นำเครื่องมือที่ผ่านการยังชีพมาจำลองสภาพการใช้ชีวิตในป่า ใกล้กันมีอาคารพิพิธภัณฑ์จัดแสดงข้อมูลหลายประเด็น น่าสนใจเรื่อง “เหตุการณ์ขัดแย้งทางความคิด” ที่ทำให้ผู้นำเกิดการ “แยกพรรค” มีหลักฐานของจริงหลายอย่างชวนขนลุก เพราะไม่เพียงเป็นบันทึกร่องรอยอันทรงคุณค่าของนักรบมาลายา

ยังเปรียบดั่งหลักฐานประวัติศาสตร์ขนาดกะทัดรัดฉบับหนึ่ง 

Image

“ตราสัญลักษณ์รูปงาช้าง” ทำจากผงกระดูกช้างป่าป่นละเอียด อัดรวมกันขึ้นเป็นรูปงา หลักฐานที่ระลึกระหว่างผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา

จากเรื่อง “สัญญางาช้างระหว่างผู้นำ”
สารคดี ฉบับที่ ๔๓๒ มีนาคม ๒๕๖๔