Image

คนทำงานพิพิธภัณฑ์ไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวอย่างเรียบเฉย แต่สอดแทรกผ่านประสบการณ์ต่าง  ๆ ที่ผู้ชมจะได้รับ และได้เรียนรู้ด้วยตนเอง

สรรค์สร้าง
ผู้สร้างสรรค์พื้นที่การเรียนรู้

PEOPLE OF THE MUSEUM
ผู้สร้างนักเล่าเรื่อง

เรื่อง : อิทธิกร ศรีกุลวงศ์ 
ภาพ : อิทธิกร ศรีกุลวงศ์ และ ประเวช ตันตราภิรมย์

พิพิธภัณฑ์ในโลกใบนี้เป็นพื้นที่ของการศึกษานอกห้องเรียน มีคนทำงานมากมายหลายตำแหน่ง ทั้งภัณฑารักษ์ นักอนุรักษ์ นักการศึกษา และอื่น ๆ คอยขับเคลื่อนทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ทำเรื่องยากให้ง่าย ทำเรื่องไกลตัวให้ใกล้ และกระตุ้นให้ผู้คนในสังคมเรียนรู้ใหม่ ๆ

แต่เมื่อพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้คนเปลี่ยนแปลงไป คนทำงานพิพิธภัณฑ์ก็ต้องปรับตัวขนานใหญ่

ชวนมาดูกันว่าในยุคนี้หัวใจของการสรรค์สร้างผู้สร้างสรรค์พื้นที่การเรียนรู้คืออะไร

นักศึกษาผู้หาคำตอบ

“เราถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับงานพิพิธภัณฑ์ อย่างกระทรวงวัฒนธรรม กรมศิลปากร พิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ว่าเขาต้องการคนแบบไหนไปทำงานด้วย หลายที่ตอบตรงกันว่าอยากได้คนที่มีทักษะการวิจัย ตั้งคำถามได้ แล้วก็หาคำตอบเป็น”

ผศ.ดร. พธู คูศรีพิทักษ์ ประธานหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพิพิธภัณฑศึกษา สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล เล่าถึงการร่างหลักสูตรพิพิธภัณฑศึกษาในระดับปริญญาโทแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย

สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล ก่อตั้งเมื่อปี ๒๕๑๗ เพื่อศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในประเทศไทย และเปิดการศึกษาด้านพิพิธภัณฑ์เป็นสาขาย่อยในสาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษามาตั้งแต่ปี ๒๕๓๔ ก่อนจะขยับขยายแยกเป็นสาขาวิชาพิพิธภัณฑศึกษาเมื่อปี ๒๕๖๖

“ตลอด ๓๐ ปีที่ผ่านมา หลายคนอาจจะไม่ค่อยรู้ว่าในไทยก็มีสอนวิชาพิพิธภัณฑ์ คนที่มาเรียนส่วนมากก็ออกไปก่อร่างสร้างพิพิธภัณฑ์ทั่วประเทศ หรือคนที่ไม่ได้อยากได้ใบปริญญา แต่อยากได้ความรู้ไปทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นก็มี สมัยก่อนมีพระมานั่งเรียนด้วยเยอะเลยนะ คิดว่าเราก็สร้างคนในวงการพิพิธภัณฑ์ไทยไว้ไม่น้อยเหมือนกัน”

พธูเล่าว่าพิพิธภัณฑศึกษาเป็นวิชาที่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้เรียนมาโดยตลอด เมื่อเปิดคอร์สสำหรับบุคคลภายนอกตั้งแต่ปี ๒๕๕๗-๒๕๖๕* ก็มีทั้งคนจากบริษัทรับออกแบบนิทรรศการและคนทำงานพิพิธภัณฑ์ทั่วประเทศตั้งใจเดินทางมาเรียนด้วย หลาย ๆ ฝ่ายอยากให้เปิดหลักสูตรพิพิธภัณฑศึกษามานานแล้ว แต่ยังติดปัญหาจำนวนอาจารย์สำหรับแยกไปตั้งหลักสูตรใหม่ไม่เพียงพอ จึงต้องเลื่อนแผนเรื่อยมา กว่าจะร่างหลักสูตรอย่างจริงจังก็เมื่อประมาณ ๔-๕ ปีก่อนนี่เอง

“คำว่าทักษะการวิจัยที่เราพยายามสร้างให้นักศึกษา ไม่ได้หมายถึงการที่คุณต้องมานั่งเขียนเอกสารวิชาการอย่างเดียว แต่คือการฝึกให้ค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาใหม่ ๆ ในหน้างานของตัวเองได้ มีกระบวนการทำงานอย่างเป็นระบบ ตั้งคำถามได้ เก็บข้อมูลอย่างมีทฤษฎีและหลักการได้ ตอบคำถามอย่างเป็นระบบและมีหลักฐานรองรับ การสอนการคิดเชิงวิพากษ์และความคิดสร้างสรรค์ก็สอดแทรกอยู่ในทุก ๆ วิชา”

* โครงการอบรมศิลปะการทำงานพิพิธภัณฑ์ เป็นคอร์สระยะสั้น จัดโดยกลุ่ม iCulture ร่วมกับกรมศิลปากรและภาคีพิพิธภัณฑ์

“วิวิธชาติพันธุ์” นิทรรศการกลุ่มชาติพันธุ์ไทย บนรถบ้านแห่งนี้คือห้องเรียนจริงที่พธูใช้สอนนักศึกษา ฝึกส่งต่อเรื่องราวโดยอาศัยแค่ข้าวของเครื่องใช้และบทสนทนา

รายวิชาในหลักสูตรพิพิธภัณฑศึกษาครอบคลุมงานสามประเภทในปฏิบัติการทำงานพิพิธภัณฑ์จริง คือ การดูแลวัตถุจัดแสดงและการจัดการคลัง การออกแบบประสบการณ์ผู้ชม ซึ่งผนวกรวมทั้งการออกแบบนิทรรศการและการออกแบบการเรียนรู้เข้าไว้ด้วยกัน และประเภทสุดท้ายคือการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์ ตั้งแต่การเงิน การตลาด การหาทุน จนถึงการทำงานร่วมกับสังคมและชุมชน

“คนที่อยากเรียนด้านพิพิธภัณฑ์หรือทำงานพิพิธภัณฑ์ต้องเข้าใจใหม่ว่ายุคนี้พิพิธภัณฑ์ต้องตอบโจทย์สังคม ต้องช่วยเหลือสังคมทางใดทางหนึ่ง  พิพิธภัณฑ์ไม่ใช่สถานที่ อาคาร หรือห้อง แต่เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่จะอยู่ตรงไหนก็ได้ หัวใจคือการส่งต่อ แลกเปลี่ยน เรียนรู้ร่วมกัน งานที่เราทำคือพยายามสร้างสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นในพื้นที่”

พธูเล่าว่าการจะเปิดหลักสูตรใหม่ในมหาวิทยาลัยต้องผ่านกระบวนหลายขั้นตอน รวมถึงการตอบคำถามผู้ใหญ่ว่าใครจะมาสมัครเป็นผู้เรียน

“ออกแบบกลุ่มเป้าหมายเป็นคนทำงานพิพิธภัณฑ์อยู่แล้ว มาเรียนเพื่อเพิ่มพูนทักษะการทำงาน ครูหรือกลุ่มคนทั่วไปที่สนใจประเด็นทางวัฒนธรรม แต่มีคณะกรรมการสภาท่านหนึ่งยกมือขอตอบแทนเรา บอกว่าหน่วยงานท้องถิ่นทั่วประเทศ ทั้ง อบต., อบจ. ต้องส่งคนมาเรียนสิ เพราะในทุกจังหวัด ทุกตำบลเขามีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ก็จะต้องส่งคนมาเรียนด้านนี้เพื่อกลับไปพัฒนาพิพิธภัณฑ์เหล่านั้น วันนั้นก็เลยเสนอผ่านมาได้”

หัวใจหนึ่งที่เธอให้ความสำคัญคือการเรียนรู้ข้ามศาสตร์ หลักสูตรพิพิธภัณฑศึกษาจึงเปิดรับผู้เรียนจากทุกวงการโดยไม่กำหนดคณะที่เรียนจบมาจากระดับปริญญาตรี การเปิดรับนักศึกษารุ่นแรกในปีการศึกษา ๒๕๖๖ มีคนจากหลากหลายแวดวงมาเรียน ๑๙ คน ถือว่าล้นหลามมากสำหรับการศึกษาในระดับปริญญาโท แถมยังเป็นหลักสูตรเปิดใหม่ที่มีอาจารย์เพียงแค่ ๔ คน

Image
Image

ของเล่น ของใช้ทั้งหมดในนิทรรศการนี้ สามารถจับต้องและใช้งานได้ พาเรื่องราวของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง  ๆ ไปสู่ผู้คนที่หลากหลายทุกเพศวัย

“ปีแรกมีตั้งแต่นักวิทยาศาสตร์ที่อยากมาเพิ่มพูนทักษะการออกแบบประสบการณ์ นักประวัติศาสตร์ ช่างภาพ คนที่จบจากสายรัฐศาสตร์ สาย ICT (เทคโนโลยีสารสนเทศ) คุณครูก็มี ไปจนถึงตำรวจสายสืบ ทหารจากกรมต่าง ๆ คนที่อยากกลับไปพัฒนาพิพิธภัณฑ์ของเขา หลากหลายและแปลกเกินที่เราคาดไว้ พอถามว่าทำไมถึงมาเรียนด้านนี้กัน ส่วนใหญ่ก็ตอบว่าสนใจอยู่แล้ว พอมีหลักสูตรของเราเปิดขึ้นมาก็รู้สึกว่าพิพิธภัณฑ์เป็นพื้นที่ของทุกคนมากขึ้น”

ในการทำงานพิพิธภัณฑ์ ยิ่งมีองค์ความรู้หลากหลาย ยิ่งช่วยให้มองสังคมได้รอบด้าน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ไปเจอแง่มุมการทำงานแบบใหม่  พธูชวนคิดอีกว่าหลังเรียนจบ ไม่ต้องทำงานพิพิธภัณฑ์ก็ได้ แต่เอาความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลายแบบ อาจเป็นคนทำคอนเทนต์หรือคนที่ต้องสร้างการมีส่วนร่วมกับสังคมก็เป็นไปได้ทั้งหมด

“โดยหัวใจแล้วทักษะการทำงานพิพิธภัณฑ์หรือที่เรียกว่าการคัดสรร (curation) คือการเลือก-คัด-จัด-แสดง เพียงแค่ปรับมุมมอง ปรับบริบท เราก็จะทำงานทุกประเภทที่เกี่ยวกับการสร้างสรรค์เรื่องเล่าได้”

สัปดาห์ที่ผู้เขียนเดินทางมาพูดคุยกับพธูนั้นอยู่ในช่วงปิดภาคการศึกษา นักศึกษาหลักสูตรพิพิธภัณฑศึกษารุ่นแรกส่วนใหญ่สอบหัวข้อวิทยานิพนธ์แล้วและกำลังอยู่ในช่วงเก็บข้อมูลการวิจัย ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงสุดท้ายของการเปิดรับสมัครนักศึกษารุ่นที่ ๓

เธอบอกว่าหากทุกอย่างราบรื่น ราวปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้าสังคมไทยอาจได้เห็นมหาบัณฑิตพิพิธภัณฑศึกษารุ่นแรกก้าวเท้าออกจากรั้วมหาวิทยาลัยไปสู่การสร้างสรรค์เรื่องราวในสังคม

“การทำงานพิพิธภัณฑ์ คือการเลือก-คัด-จัด-แสดง เพียงแค่ปรับมุมมองและบริบท เราก็จะทำงาน ทุกประเภทที่เกี่ยวกับการสร้างสรรค์เรื่องเล่าได้”

หน้าที่ของคนทำงานพิพิธภัณฑ์คือการชวนคุย ชวนคิด สร้างสรรค์บรรยากาศแห่งการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในพื้นที่จัดแสดง และในใจของผู้มาเยี่ยมชมเอง

Image

การจัดแสดงนิทรรศการให้เท่าทันพฤติกรรมผู้ชมในปัจจุบัน ถือเป็นองค์ความรู้แบบหนึ่งที่ไม่ได้หาเรียนได้ทั่วไป แต่ถูกรวบรวมไว้ที่นี่ ห้องคลังความรู้ มิวเซียมสยาม

คนทำงานผู้ส่งต่อเรื่องราว

“พฤติกรรมผู้ชมเปลี่ยนไปทุกวัน ทักษะพื้นฐานที่สุดของคนทำงานพิพิธภัณฑ์คือการเล่าเรื่อง (storytelling) ถ้าไม่มีทักษะนี้คุณจะอยู่ในวงการยาก”

ประโยคข้างต้นคือสิ่งที่ได้จากการมองวงการพิพิธภัณฑ์มานานกว่า ๑๐ ปีของ ชนน์ชนก พลสิงห์ ผู้อำนวยการฝ่ายนิทรรศการและกิจกรรม มิวเซียมสยาม

คนทั่วไปอาจมีภาพจำของมิวเซียมสยามจากอาคารเก่าอายุ ๑๐๐ ปีที่เคยเป็นกระทรวงพาณิชย์ หรือจากนิทรรศการหมุนเวียนและกิจกรรมต่าง ๆ ที่ให้อารมณ์เหมือนการละเล่น สร้างการเรียนรู้ที่สนุกสนานเพลิดเพลิน แต่สำหรับคนทำงานพิพิธภัณฑ์แล้วอาจรู้จักมิวเซียมสยามในฐานะพื้นที่การเรียนรู้ในสังกัดสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.)

“เราเป็นห้องทดลองการคัดสรร (curation lab) ที่นำโจทย์เกี่ยวกับวัฒนธรรมการชมพิพิธภัณฑ์ของคนไทยและสากลในปัจจุบันมาทดลองอยู่ตลอดเวลา พยายามหาวิธีเล่าเรื่องและจัดแสดงใหม่ ๆ คอยช่วยส่งเสริมให้คนในอุตสาหกรรมพิพิธภัณฑ์มีองค์ความรู้มากขึ้น เพื่อผลักเพดานของการทำงานพิพิธภัณฑ์ในบ้านเรา”

ชนน์ชนกอธิบายว่าเบื้องหลังงานแต่ละงานของมิวเซียมสยามมักมีโจทย์ คำถาม หรือมีสมมุติฐานบางอย่างที่ทีมต้องการทดลองอยู่ เพื่อหาวิธีเล่าเรื่องที่สอดรับกับพฤติกรรมของผู้ชม

“บางงานเราตั้งต้นจากการถามว่า ถ้าจัดนิทรรศการกลางแจ้งยาว ๔ เดือน ผู้ชมจะตอบรับยังไง เราควบคุมทิศทางการเดินชมได้มากน้อยแค่ไหน หรือวัสดุชนิดไหนที่ติดตั้งแล้วจะทนแดดฝนได้ ขณะที่บางงานก็ชวนคนในชุมชนมาร่วมออกแบบนิทรรศการกับเรา แล้วติดตามดูผลว่าสังคมตอบรับแบบไหน”

เธอเล่ากึ่งเล่นกึ่งจริงว่าผลการทดลองไม่ได้ออกมาดีทุกครั้ง มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบวิธีการจัดแสดงใหม่ ๆ บางงานพบว่าผู้ชมสูงวัยตอบรับดีมาก แต่คนรุ่นใหม่ไม่ประทับใจนัก บางงานเป็นที่ชื่นชมของคนทำงานในประเด็นนั้น ๆ อย่างลึกซึ้ง แต่อาจจะยังส่งไปไม่ถึงคนหมู่มากที่มาชม อย่างไรก็ตามสิ่งที่ได้รับทุกครั้งคือความเข้าใจพฤติกรรมการมาชมพิพิธภัณฑ์

ผลการทดลองแต่ละครั้งจะถูกประมวลในรูปแบบต่างกันไป เช่น นิทรรศการ “พม่าระยะประชิด” เมื่อปี ๒๕๕๙ ที่เผยแพร่หนังสือถอดบทเรียนในชื่อเดียวกัน ซึ่งเปิดเผยตั้งแต่วิธีคิด การออกแบบ มุมมองที่ใช้วางเส้นเรื่อง ไปจนถึงขั้นตอนการวางแผนและทำงานร่วมกันในนิทรรศการครั้งนั้น

Image

นิทรรศการ “ถอดรหัสไทย” นิทรรศการถาวรชุดปัจจุบันของมิวเซียมสยามที่ผสมผสาน ทั้งเทคโนโลยีและวิธีการเล่าเรื่องที่มุ่งสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้เข้าชม เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี ๒๕๖๐ ในฐานะหมุดหมายสำคัญในการยกระดับการจัดแสดงนิทรรศการในไทย

บางโจทย์บางองค์ความรู้อาจไม่ได้ถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือ แต่ทุกปีมิวเซียมสยามก็ส่งต่อสู่คนทำงานพิพิธภัณฑ์ทั่วประเทศผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งการจัดเสวนาอบรม และการให้คำปรึกษา

“มีแนวคิดตั้งต้นว่าพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยนั้นมีหลากหลายรูปแบบ ปฏิบัติการและดูแลโดยหน่วยงานที่แตกต่างกันไป มีไม่น้อยที่จัดตั้งและดูแลโดยคนที่ไม่ได้เรียนด้านพิพิธภัณฑ์โดยตรง ทำยังไงเราจะลดช่องว่างทางองค์ความรู้ในวงการพิพิธภัณฑ์ไทยได้”

หัวข้อการอบรมมีจำนวนมากและปรับตามการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ชมและแนวโน้มในวงการพิพิธภัณฑ์โลก แต่ท้ายที่สุดชนน์ชนกในฐานะตัวแทนฝ่ายนิทรรศการและกิจกรรมมองเห็นว่า โจทย์ใหญ่ของวงการพิพิธภัณฑ์ไทยคือ “การเล่าเรื่อง”

“บางปีเราจัดอบรมหัวข้อการออกแบบนิทรรศการ การทำโปรแกรมกิจกรรม การใช้ละครหรือบอร์ดเกมเป็นเครื่องมือ ถ้าผู้ชมบอกว่าดูพิพิธภัณฑ์ไทยไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนเอาของมาแสดงอย่างเดียว งั้นเราเพิ่มวิธีการเล่าเรื่องเข้าไปในรูปแบบไหนได้บ้าง  หรือคนทำงานในพิพิธภัณฑ์เดิมมานาน ๆ อยู่กับวัตถุชุดเดิมนาน ๆ จนหมดมุกจะเล่นแล้ว เราจะเปลี่ยนวิธีคิด หาเส้นเรื่องใหม่ไปเล่าวัตถุเก่าได้ไหม”

โมเดลการจัดอบรมของมิวเซียมสยามคือการเฟ้นหาวิทยากรที่เปิดโลกทัศน์การทำงานพิพิธภัณฑ์ในระดับสากลมาสู่คนไทยได้ ทำให้เห็นว่าการออกแบบประสบการณ์ผู้ชมนั้นยังทำให้ลึก ตื้น กว้าง สนุก หรือหนักแน่นยังไงได้อีก เปิดให้เห็นความเป็นไปได้ที่หลากหลาย แต่เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งนั้นต้องนำมาประยุกต์ใช้ได้จริง

ครั้งหนึ่ง เพื่อจะทลายข้อจำกัดในการทำงานของพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก มิวเซียมสยามจึงจัดอบรมการออกแบบสื่อในพิพิธภัณฑ์ โดยชวนผู้เข้าร่วมให้ลองออกแบบจริง มีเงื่อนไขว่าให้ใช้อุปกรณ์ได้เพียงแค่ดินสอ ปากกา กับกระดาษเพียงแผ่นเดียว

“ในทุกการอบรมจะมีทั้งช่วงเรียนทฤษฎีและช่วงทดลองปฏิบัติจริงผ่านแบบฝึกหัด ครั้งนั้นเราคิดว่าทุกพิพิธภัณฑ์มีกระดาษ มีเครื่องถ่ายเอกสาร ถ้าในห้องอบรมนี้เราออกแบบแผ่นพับหรือแผนที่นำชมง่าย ๆ ในกระดาษ A4 ได้ พอกลับไปที่พิพิธภัณฑ์ของตัวเอง คุณก็น่าจะทำได้เหมือนกัน”

“องค์ความรู้สำคัญของวงการพิพิธภัณฑ์ในวันหน้าอาจเป็นการ rebranding  การรู้ว่าจะเลือกเก็บอะไรไว้และทิ้งอะไรไป สุดท้ายจะวนกลับไปที่การเล่าเรื่องว่าเราหาวิธีเล่าใหม่ ๆ มาใช้กับวัตถุเดิมได้ไหม”

Image

ภาพกิจกรรม ปฏิบัติการ “สวย” ด้วย “แสง” (Lighting Design for Exhibition) ส่วนหนึ่งของการอบรม Museum Academy 2017

ภาพ : มิวเซียมสยาม

หัวข้อหนึ่งของการอบรมที่เธอประทับใจมากคือการจัดไฟ “สวย” ด้วย “แสง” (Lighting Design for Exhibition) ที่แม้จะดูเป็นการทำงานเชิงเทคนิค แต่เนื้อหาที่สอดแทรกอยู่นั้นคือการพยายามแก้ปัญหาใหญ่ในการทำงานร่วมกันของคนในวงการ

“การจัดไฟเป็นปัญหารูปธรรมที่สุดอย่างหนึ่ง เพราะเวลาทำงานภัณฑารักษ์อยากให้งานนั้นสื่อสาร เล่าเรื่อง นักออกแบบนิทรรศการอยากให้แสงออกมาดูดี ดูสวย ส่วนนักอนุรักษ์ที่ดูแลวัตถุก็อยากให้วัตถุปลอดภัย ทำยังไงให้เข้าใจกันมากขึ้น หาวิธีทำงานร่วมกันได้”

ชนน์ชนกอธิบายเพิ่มว่าโดยทั่วไปแล้วงานจัดไฟมักไม่ได้รับความสำคัญมากเท่าที่ควร พิพิธภัณฑ์เกือบทุกแห่งไม่มีนักจัดไฟ ต้องอาศัยบริษัทภายนอกและมักจะถูกจัดตารางให้มาติดตั้งในสัปดาห์สุดท้ายก่อนเปิดนิทรรศการ ตอนที่งานส่วนอื่น ๆ ติดตั้งหมดแล้ว ในการอบรมครั้งนั้นจึงให้แต่ละตำแหน่งได้ทำงานกันเป็นกลุ่ม ลองออกแบบการจัดไฟจริง ๆ ร่วมกัน

“มีกลุ่มหนึ่งได้โจทย์ให้จัดไฟใส่ทับหลัง ภัณฑารักษ์ก็ต้องมาอธิบายให้ช่างไฟรู้ว่าฉากบนทับหลังนี้คือฉากไหน พระอิศวร พระนารายณ์อยู่ตรงไหน ไฟต้องส่องที่ไหนบ้าง และอารมณ์ที่สื่อออกมาเป็นยังไง อยากให้ดูมีเมตตาหรือน่าเกรงขาม ฝั่งนักอนุรักษ์ก็ต้องบอกข้อจำกัดของการจัดแสดง  บางกลุ่มได้วัตถุที่เป็นผ้า กระดาษ ก็ต้องสื่อสารกันว่าวัตถุนี้โดนแสงไฟได้แค่กี่ชั่วโมงต่อวัน ต้องตัดไฟทุกกี่ชั่วโมงเพื่อรักษาสภาพวัตถุ

“พอเราคำนึงถึงเพื่อนที่ทำงานด้วยกันอีกนิดหนึ่ง ก็ขยับเพดานการทำงานไปได้อีก”

ในทุกงานอบรม สิ่งที่ชนน์ชนกอยากให้ส่งไปถึงคนที่เข้าร่วมคือความเชื่อมั่นว่างานของเราจะพัฒนาไปมากกว่านี้ได้ ความเชื่อมั่นว่าแม้อาจจะเป็นเพียงผู้ปฏิบัติงานตัวเล็ก ๆ ก็กลับไปริเริ่มอะไรบางอย่างในหน้างานของตัวเองได้ อาจเริ่มจากแค่เพิ่มช่วงประชุมงานสั้น ๆ กับช่างไฟ หรือการออกแบบบางอย่างในกระดาษ A4  สิ่งเล็ก ๆ นี้จะพาวงการพิพิธภัณฑ์ไทยไปสู่ความเป็นไปได้ใหม่ ๆ

เพื่อนร่วมวงการ
สร้างการเรียนรู้

“ย้อนกลับไปสัก ๒๐ ปีก่อน ตอนที่เราเข้ามาสู่แวดวงนี้ใหม่ ๆ เป็นช่วงขาขึ้นของพิพิธภัณฑ์ไทย มีความพยายามเปิดพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ในพื้นที่ทั่วประเทศ แต่โจทย์ที่คนทำงานเจอในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว”

ชนน์ชนกสะท้อนจากการทำงานเป็นที่ปรึกษาให้พิพิธภัณฑ์หลายแห่งในช่วงที่ผ่านมา ว่าตอนนี้พิพิธภัณฑ์ที่เปิดมานานกำลังประสบปัญหาไม่มีผู้เข้าชม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนิทรรศการถาวรอาจไม่สอดคล้องกับยุคสมัยแล้ว

“องค์ความรู้สำคัญของวงการพิพิธภัณฑ์ในวันหน้าอาจเป็นองค์ความรู้ในการ rebranding เพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์ของพิพิธภัณฑ์ การรู้ว่าจะเลือกเก็บอะไรไว้และทิ้งอะไรไป สุดท้ายก็จะวนกลับไปที่การเล่าเรื่อง ว่าเราหาวิธีเล่าใหม่ ๆ มาใช้เล่าวัตถุเดิมได้ไหม”

สิ่งที่ชนน์ชนกสะท้อนพาเรานึกถึงสถานการณ์ในแวดวงการศึกษาที่พธูเคยเล่าถึง ว่าแม้หลักสูตรที่ใช้ชื่อว่า “พิพิธภัณฑศึกษา” จะมีแค่ที่สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล แต่ก็มีหลักสูตรใกล้เคียงกันจากสถาบันอื่น ๆ เปิดใหม่อย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

“หลังจากนี้จะมีพื้นที่รองรับคนที่เรียนด้านนี้อีกมาก สิ่งที่สังคมต้องการมาก ๆ ในยุคนี้คือคนที่มีทักษะการเล่าเรื่องนั่นแหละ รู้ว่าจะเลือก-คัด-จัด-แสดงอะไร บางมหาวิทยาลัยอาจเน้นการจัดการวัฒนธรรม บางแห่งเน้นการอนุรักษ์ แต่ท้ายที่สุดเราแค่ทำงานกับวัตถุคนละแบบ และเราก็แลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้ามศาสตร์ ข้ามสถาบันกันได้ บางงานฉันไปขอความรู้จากคุณ บางงานคุณมาเรียนกับฉัน เราเป็นทั้งคู่แข่งแล้วก็เป็นเพื่อนร่วมวงการกัน” พธูเชื่อแบบนั้น

ชนน์ชนกทิ้งท้ายว่าถ้ามีคนทำงานพิพิธภัณฑ์เก่ง ๆ จะทำให้วงการพิพิธภัณฑ์ขยายเพดานไปได้อีกไกล ร่วมกันสรรค์สร้างคนทำงาน สร้างสรรค์งานที่ดี

“ไม่ใช่แค่การร่วมงานกันของคนทำพิพิธภัณฑ์ ยังมีผู้เชี่ยวชาญอีกหลายด้านที่เราชวนเขาเข้ามาช่วยผลักดันวงการพิพิธภัณฑ์ได้ บางงานอาจเป็นการพาโจทย์ของพิพิธภัณฑ์ไปอยู่ในงานของเขาก็ได้ นี่ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะทำให้ได้ผลลัพธ์ใหม่ ๆ ในแวดวงมากขึ้น เพื่อให้การเรียนรู้เชื่อมโยงไปถึงผู้คนได้จริง”