ดร. นวรัตน์ แก้วอ่อน ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อการอนุรักษ์งานศิลปะจากศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ หรือ Science Conservation Centre for Art (SCICCA)
สืบ สาน ศิลป์ กับ
ดร. นวรัตน์ แก้วอ่อน
นักวิทยาศาสตร์
ด้านการอนุรักษ์งานศิลปะ
PEOPLE OF THE MUSEUM
นักวิทยาศาสตร์
เรื่อง : พัชนิดา มณีโชติ
ภาพ : ประเวช ตันตราภิรมย์
เมื่อศิลปะจากการรังสรรค์ของศิลปินย่อมมีวันเสื่อมชำรุด แล้วการรักษาฟื้นฟูผลงานเหล่านี้ทำได้อย่างไร
คำตอบคือกระบวนการทำงานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมองผ่านสีสันและพื้นผิวของวัตถุ ลึกลงไปในระดับองค์ประกอบทางเคมี ผ่านการใช้เครื่องมือเฉพาะทางอันละเอียดอ่อน ผสานกับการสำรวจความงามและร่องรอยทางประวัติศาสตร์จากสายตาของนักวิทยาศาสตร์ หนึ่งในคนทำงานด้านนี้ของเมืองไทยคือ ดร. นวรัตน์ แก้วอ่อน (ไหม) ที่จะมาเปิดเผยเรื่องราวที่มิอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ศาสตร์และศิลป์ในภารกิจสำคัญการอนุรักษ์ สานต่อมรดกทางวัฒนธรรมให้คงอยู่สืบไป
นักวิทย์หัวใจศิลป์
“ตั้งแต่เด็กชอบงานศิลปะมากจนอยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปากร แต่สังคมสมัยก่อนยังนิยมให้ลูกเรียนสายวิทย์ เราสอบติดที่สถานศึกษาเคมีปฏิบัติ สังกัดกรมวิทยาศาสตร์บริการ ในกระทรวงวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นสถาบันสมทบของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต้องมาเรียนวิชาของคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ด้วย เลยมาเจอวิชาของภาควิชาเทคโนโลยีทางภาพและการพิมพ์ ซึ่งเราคิดว่ามีองค์ความรู้เกี่ยวข้องกับงานศิลปะที่สุดแล้วถ้าเทียบกับวิทยาศาสตร์สาขาอื่น ๆ”
พอเรียนจบไหมมีโอกาสทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านบรรจุภัณฑ์ของบริษัทค้าปลีกสัญชาติอเมริกัน โดยทำหน้าที่ดูแลความถูกต้องของสีและวัสดุบรรจุภัณฑ์ของสินค้าที่ส่งออกจากภูมิภาคอาเซียน เธอสานต่อความฝันเมื่อครั้งวัยเยาว์ด้วยการลงเรียนคอร์สเกี่ยวกับการวาดภาพและการสร้างงานศิลปะมากมาย จนกระทั่งมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อได้พบกับ รศ.ดร. พิชญดา เกตุเมฆ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปัจจุบัน
“คุยเล่นกับอาจารย์พิชญดาว่า ถ้าตกงานแล้วขอทุนมาเรียนต่อหน่อย แต่อาจารย์ชวนมาเรียนเลย เพราะมีทุนเรียนต่อในระดับปริญญาเอกซึ่งเป็นหัวข้องานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์งานศิลปะไทยโดยใช้วิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย ตอนนั้นเราอายุ ๓๐ ปลาย ๆ เงินเดือนก็สูงแล้ว ประจวบกับเริ่มวาดรูปได้ดีระดับหนึ่ง เลยตัดสินใจแบบบ้าระห่ำมาก ๆ ออกจากงานมาเรียนต่อ เพราะดูหัวข้อวิจัยแล้ว ยังไงก็ต้องมาเรียนให้ได้ เลยได้วิจัยเกี่ยวกับเรื่องสีและสารรองพื้นที่ใช้ในงานจิตรกรรมไทย”
“นักวิทยาศาสตร์ต้องเน้นใช้เทคนิคหรือเครื่องมือที่ส่งผลกระทบต่องานศิลปะหรือวัตถุชิ้นนั้นน้อยที่สุด หรือเลือกใช้เทคนิคที่ไม่ทำลายชิ้นงาน”
การตรวจสอบภาพวาดด้วยรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) เพื่อดูสภาพหรือ “ประวัติ” ของภาพวาด เช่น ร่องรอยการซ่อมแซม การทาสีทับ (overpainting) ซึ่งจะเห็นความแตกต่างระหว่างสีเดิมกับสีใหม่อย่างชัดเจน
ใช้ วิทย์ สืบ ศิลป์
เพื่อทำความรู้จัก
การศึกษาในระดับปริญญาเอกทำให้ไหมมีโอกาสไปเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre Museum) ประเทศฝรั่งเศส ขณะนั้นนักวิทยาศาสตร์กำลังนำภาพหนึ่งในผลงานของ เลโอนาร์โด ดา วินชี ศิลปินชื่อก้องโลกเจ้าของภาพ โมนาลิซา มาวิเคราะห์และเก็บข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ด้วยเทคโนโลยีทางภาพถ่ายที่ทันสมัย เพื่อนำข้อมูลไปศึกษาต่อในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าการศึกษาแค่ภาพเดียวทำให้เรารู้เรื่องประวัติศาสตร์ศิลปะ องค์ประกอบทางเคมีของสีที่ใช้ บริบทของสังคมในยุคนั้น หรือกระทั่งความคิด ความเชื่อ และตัวตนของศิลปิน
ไหมค้นพบว่าเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช่วยให้ทำความรู้จักกับงานศิลปะหนึ่งชิ้นได้ดีมากขึ้น ผ่านการวิเคราะห์ชนิดของรงควัตถุบนภาพวาด วัสดุที่ใช้ทำผืนผ้าใบสำหรับวาดภาพ ชนิดของกระดาษ ร่องรอยของภาพลับที่ถูกซ้อนทับอยู่ใต้ภาพที่เห็น รวมถึงลายเซ็นอันเป็นเอกลักษณ์ของศิลปินผู้ล่วงลับ
“นักวิทยาศาสตร์ต้องเน้นใช้เทคนิคหรือเครื่องมือที่ส่งผลกระทบต่องานศิลปะหรือวัตถุชิ้นนั้นน้อยที่สุด หรือเลือกใช้เทคนิคที่ไม่ทำลายชิ้นงาน (non-destructive analysis) เช่น การถ่ายภาพด้วยเทคนิคพิเศษด้วยรังสีเอกซ์ (digital x-ray radiography technique) เพื่อมองทะลุชั้นสีของภาพวาดเผยให้เห็นภาพร่างดั้งเดิมที่ซ่อนอยู่ การใช้เครื่อง X-ray Fluorescence (XRF) แบบพกพา ยิงรังสีเอกซ์ไปที่วัตถุเพื่อวิเคราะห์ชนิดของธาตุที่เป็นองค์ประกอบ ทำให้ทราบว่าศิลปวัตถุชิ้นนี้ประกอบด้วยโลหะอะไร หรือการใช้เครื่องมือวิเคราะห์สีว่าเป็นสีจากธรรมชาติหรือสีสังเคราะห์ เพื่อสืบประวัติของภาพวาดและถือเป็นข้อมูลสำคัญมากต่อการอนุรักษ์งานศิลปะ”
ข้อมูลเหล่านี้ไม่เพียงทำให้รู้จักงานศิลปะดีขึ้น แต่สำคัญยิ่งต่อ “นักอนุรักษ์” (conservator) ผู้ลงมือซ่อมแซมและบูรณะศิลปวัตถุ เปรียบเสมือนศัลยแพทย์ที่ต้องรู้ข้อมูลคนไข้อย่างละเอียดก่อนลงมือผ่าตัด เพื่อเลือกใช้วัสดุและวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในการอนุรักษ์โดยไม่ทำลายคุณค่าดั้งเดิม
การทำงานวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ต้องบูรณาการร่วมกัน ทั้งนักเคมี นักฟิสิกส์ นักชีววิทยา และนักถ่ายภาพเชิงเทคนิค
การใช้เทคนิคถ่ายภาพดิจิทัลด้วยเอกซเรย์เพื่อตรวจสอบสิ่งที่อาจซ่อนอยู่ภายใต้ศิลปวัตถุ รวมถึงภาพในอดีตที่อาจซ่อนอยู่ในภาพ
แค่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
อย่างเดียวไม่พอ
บทบาทของนักวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ไม่ได้หยุดอยู่แค่การวิเคราะห์เพื่อซ่อมแซมหรืออนุรักษ์ แต่ยัง “สืบ” ค้นเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในศิลปวัตถุแต่ละชิ้นอีกด้วย ซึ่งจำเป็นต้องทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาเฉพาะที่เหมาะสมกับประเภทหรือชนิดของงานศิลปะชิ้นนั้น ๆ เช่น นักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์ศิลปะ หรือภัณฑารักษ์ เพื่อสืบข้อมูลแวดล้อมเพิ่มเติมนอกเหนือจากผลลัพธ์ที่ได้จากเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์
“แค่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถพูดได้ว่าภาพวาดหรือผลงานศิลปะชิ้นนี้ของจริงหรือของปลอม ใช่ของศิลปินคนนี้หรือเปล่า หรือเป็นของเลียนแบบ เราต้องพิสูจน์ร่วมกับหลักฐานอื่น ๆ ด้วย เช่น สืบกลับไปว่าได้ภาพวาดนี้มาจากไหน หรือการตรวจพบว่าสีจากภาพวาดนี้มาจากวัสดุที่ยังไม่ปรากฏในพาเลตต์สีเดียวกับที่ใช้ในยุคที่ศิลปินเจ้าของภาพใช้ ก็ต้องไปปรึกษากับนักประวัติศาสตร์ศิลปะ เราจึงต้องใช้ข้อมูลหลาย ๆ ส่วนมาพิจารณาประกอบรวมกัน ซึ่งไม่ได้ใช้แค่งานพิสูจน์ของจริงของปลอม แต่ใช้เป็นข้อมูลในงานด้านการบูรณะหรือป้องกันเพื่อรักษาสภาพงานศิลปะชิ้นนั้น ๆ ด้วย”
การใช้องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ตรวจสอบหรือวิเคราะห์ศิลปวัตถุไม่เพียงแต่นำไปสู่การอนุรักษ์ที่ถูกวิธีแต่ยังต่อยอดองค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดี ทำให้เข้าใจเทคนิคของช่างฝีมือในอดีต เรื่องราวและบริบททางสังคมในยุคสมัยนั้น ๆ ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จึงเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ช่วยเติมเต็มหน้าประวัติศาสตร์ให้สมบูรณ์ และยังช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้นี้ผ่านผลงานศิลปะที่จัดแสดงตามหอศิลป์หรือพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก
การใช้เทคนิคเอกซเรย์ฟลูออเรสเซนซ์เพื่อวิเคราะห์ธาตุซึ่งเป็นองค์ประกอบของสีบนภาพวาด ตรวจสอบชนิด
โลหะธาตุของโบราณวัตถุ รวมถึงการสำรวจชนิดของวัสดุที่ใช้ในพื้นที่โบราณสถานทางประวัติศาสตร์
“หัวใจสำคัญของงานนี้คือความรักและความเคารพในศิลปวัตถุ เราต้องตระหนักอยู่เสมอว่าเรากำลังดูแลรักษามรดกของบรรพบุรุษเพื่อส่งต่อไปยังคนรุ่นหลัง”
รศ.ดร. พิชญดา เกตุเมฆ รองคณบดีฝ่ายบริการวิชาการ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในผู้ขับเคลื่อนการก่อตั้งศูนย์วิทยาศาสตร์ เพื่อการอนุรักษ์ หรือ Science Conservation Centre for Art (SCICCA)
ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์งานศิลปะ : อนาคตของงานอนุรักษ์ในประเทศไทย
“อาชีพนักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และประเทศไทยยังขาดแคลนบุคลากรในสาขานี้อีกมาก อาจารย์พิชญดาจึงตั้งใจก่อตั้งศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์งานศิลปะ (Science Conservation Centre for Art - SCICCA) เพื่อมุ่งถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์งานศิลป์ นอกจากเป็นศูนย์รวมเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ให้บริการตรวจสอบวิเคราะห์งานศิลปะต่าง ๆ แล้ว ยังมุ่งเน้นเป็นแหล่งรวมผู้เชี่ยวชาญจากหลากสาขา เป็นเวทีและพื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ เช่น จัดอบรมให้ภัณฑารักษ์ นักอนุรักษ์ และผู้สนใจ เพื่อสร้างเครือข่ายและยกระดับมาตรฐานงานอนุรักษ์ของประเทศให้ทัดเทียมนานาชาติ”
อาจารย์พิชญดาชวนไหมมาร่วมเป็นคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนการสร้างศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์งานศิลปะ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หวังให้ศูนย์แห่งนี้ เป็นแหล่งรวมผู้เชี่ยวชาญสหสาขา ผู้มีใจรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม ที่ไม่เพียงใช้องค์ความรู้ทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปะเป็นเครื่องมือ “สืบ” ค้นความจริงจากอดีต เพื่อ “สาน” ต่องานอนุรักษ์ในปัจจุบัน แต่ยังร่วมส่งมอบ “ศิลป์” อันล้ำค่านี้ให้คงอยู่ต่อไปยังโลกในอนาคต
“หัวใจสำคัญของงานนี้คือความรักและความเคารพในศิลปวัตถุ เราต้องตระหนักอยู่เสมอว่าเรากำลังดูแลรักษามรดกของบรรพบุรุษเพื่อส่งต่อไปยังคนรุ่นหลัง องค์ความรู้ตรงนี้ไม่ควรจะอยู่แค่ในวงของนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ หรือนักอนุรักษ์ แต่ควรสื่อสารไปถึงคนในสังคมเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ และที่สำคัญคือเห็นคุณค่าของการอนุรักษ์งานศิลปวัฒนธรรมของชาติมากขึ้น”